เข้าสู่ระบบวันรุ่งขึ้นหลังจากได้อิสรภาพมาอย่างเต็มตัว โรงครัวของจวนเสนาบดีก็ตกอยู่ในความโกลาหลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
"คุณหนูเจ้าคะ! นมแพะต้องต้มให้เดือดก่อนนะเจ้าคะ จะเอามาผสมกับไข่ดิบๆ เช่นนี้ไม่ได้!" "สวรรค์! คุณหนู! นั่นมันแป้งสาลีสำหรับทำหมั่นโถว จะเอาไปผสมกับผลไม้ได้อย่างไรกัน!" "คุณหนู! ได้โปรดวางถ่านไฟลงเถิดเจ้าคะ! เดี๋ยวไฟก็จะไหม้โรงครัวเอา!"
เสียงร้องโวยวายของเหล่าแม่ครัวและสาวใช้ดังขึ้นระงม แต่ศูนย์กลางของความวุ่นวายนั้นกลับกำลังยืนเท้าสะเอวอย่างสบายอารมณ์ ซินซินในชุดผ้าฝ้ายที่ทะมัดทะแมง และมีผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้เล็กๆ ผูกไว้ที่เอว กำลังมองผลงานตรงหน้าด้วยแววตาที่เป็นประกายแห่งความสุข
นางกำลังจะปฏิวัติวงการขนมหวานแห่งยุคนี้
"พวกเจ้าใจเย็นๆ กันหน่อยสิ" นางกล่าวพลางหัวเราะคิกคัก "ข้ารู้ว่าสิ่งที่ข้ากำลังทำมันดูแปลกประหลาด แต่เชื่อข้าเถอะว่าผลลัพธ์ของมันจะทำให้พวกเจ้าต้องตกตะลึง!"
นางกำลังพยายามทำ "ชีสเค้กผลไม้" ขนมจากโลกอนาคตที่ไม่มีใครในยุคนี้เคยได้ยินชื่อมาก่อน การหาส่วนผสมที่ใกล้เคียงที่สุดนั้นยากเย็นแสนเข็ญ นางต้องใช้เวลาเกือบทั้งเช้าในการอธิบายให้พ่อครัวเข้าใจว่า "ครีมชีส" ที่นางต้องการนั้นทำมาจากนมแพะที่ผ่านกรรมวิธีที่ซับซ้อน และ "ฐานพาย" ก็ทำมาจากขนมเปี๊ยะบดละเอียดผสมกับเนย ไม่ใช่แป้งหมั่นโถว!
หลังจากผ่านความทุลักทุเลไปหลายชั่วยาม ในที่สุด "ชีสเค้ก" หน้าตาประหลาดก้อนแรกในประวัติศาสตร์ของแผ่นดินนี้ก็เสร็จสมบูรณ์ มันอาจจะไม่ได้มีรูปร่างที่สวยงามเหมือนในโลกเก่า แต่กลิ่นหอมหวานอมเปรี้ยวของผลไม้สด และกลิ่นหอมมันของชีสนั้นช่างยั่วยวนใจเสียเหลือเกิน
"เสร็จแล้ว" นางประกาศอย่างภาคภูมิใจ "ชิงหลวน ไปจัดโต๊ะน้ำชาที่ศาลาริมสระบัวให้ข้าที วันนี้ข้าจะเชิญสหายคนแรกของข้ามาที่จวน"
ไม่นานนัก รถม้าหรูหราของสกุลหลินก็มาจอดที่หน้าจวนเสนาบดี หลินเฟยเฟยกระโดดลงมาจากรถม้าด้วยท่าทีที่กระตือรือร้นราวกับเด็กน้อย
"ซินซิน ข้ามาแล้วขนมที่ท่านว่าอยู่ที่ไหน?" นางตะโกนถามตั้งแต่ยังไม่ทันจะก้าวเข้าประตูจวนด้วยซ้ำ
เมื่อทั้งสองมานั่งอยู่ที่ศาลาริมสระบัว ซินซินก็ค่อย ๆ เปิดฝาครอบถาดเงินออก เผยให้เห็นขนมหน้าตาประหลาดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ชีสเค้กสีขาวนวลที่ถูกราดด้วยซอสผลไม้สีแดงสด และตกแต่งด้วยผลไม้ตามฤดูกาลนานาชนิด ทำให้หลินเฟยเฟยถึงกับตาโตอ้าปากค้าง
"สวรรค์! นี่มันขนมอะไรกัน! เหตุใดข้าจึงไม่เคยเห็นมาก่อนเลย!"
"สิ่งนี้เรียกว่า 'เค้ก' น่ะ" ซินซินยิ้มกริ่ม "ลองชิมดูสิ"
หลินเฟยเฟยไม่รอช้า นางใช้ช้อนเงินเล็ก ๆ ตักเค้กเข้าปากอย่างรวดเร็ว... และในวินาทีต่อมา ดวงตาของนางก็เบิกกว้างยิ่งกว่าเดิม
"โอ้... โอ้... สวรรค์!" นางอุทานออกมาเสียงดัง "นี่มัน... นี่มัน... อร่อยเหลือเชื่อ! รสชาติมันทั้งหวาน ทั้งเปรี้ยว ทั้งหอม ทั้งมัน มันละลายในปากราวกับปุยเมฆ ซินซิน ท่านไปได้สูตรขนมเทวดานี้มาจากที่ใดกัน"
ซินซินหัวเราะร่า "มันเป็นสูตรลับของตระกูลข้าน่ะ" นางตอบอย่างภาคภูมิใจ "เป็นอย่างไรเล่า? อร่อยกว่าขนมกุ้ยฮวาเกาเมื่อวานหรือไม่?"
"เทียบกันไม่ติดเลย" หลินเฟยเฟยส่ายหน้าอย่างจริงจัง "นี่มันคือสุดยอดขนมแห่งปฐพี ซินซิน ท่านต้องเปิดร้านขายขนม ข้าจะเป็นหุ้นส่วนกับท่าน ข้ากับท่านต้องรวยแน่ๆ"
"ใจเย็นๆ ก่อนสิ" กู้ซินซินหัวเราะ "ข้าแค่ทำเล่นๆ เท่านั้นแหละ"
"ทำเล่นๆ ไม่ได้" เฟยเฟยยืนกราน "ของอร่อยเช่นนี้ต้องแบ่งปันให้ชาวเมืองได้ลิ้มลอง เรามาเปิดร้านกันเถอะนะ นะ!"
ในขณะที่สองสาวกำลังถกเถียงกันเรื่องแผนธุรกิจในอนาคตอย่างสนุกสนาน พ่อบ้านก็ได้เดินเข้ามารายงานด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างลำบากใจ
"คุณหนูขอรับ... ท่านอ๋องสี่... ทรงขอเข้าพบขอรับ"
คำพูดนั้นทำให้เสียงหัวเราะของทั้งสองสาวหยุดชะงักลงทันที
"อ๋องสี่รึ?" ซินซินทวนคำ "เขามาทำอะไรที่นี่?"
ยังไม่ทันที่พ่อบ้านจะได้ตอบ ร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีนิลสนิทก็เดินเข้ามาในศาลาเสียแล้ว ข้าง ๆ เขาคือแม่ทัพหนุ่มจ้าวหยางที่เดินตามมาด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
"ต้องขออภัยที่มาโดยไม่ได้นัดหมาย" เสียงทุ้มต่ำที่เยือกเย็นของอ๋องสี่เซียวเช่อดังขึ้น "พอดีข้ามี 'เรื่องงาน' ที่ต้องมาสอบถามคุณหนูกู้เป็นการส่วนตัว"
เขาจงใจเน้นคำว่า "เรื่องงาน" พร้อมกับเหลือบมองขนมเค้กบนโต๊ะด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา
"ท่านอ๋องมาด้วยตนเองถึงที่นี่ มีเรื่องอันใดสำคัญหรือเพคะ?" ซินซินลุกขึ้นย่อกายคารวะอย่างเป็นทางการ แม้ในใจจะรู้สึกระแวดระวังบุรุษผู้นี้อยู่ไม่น้อย
"ข้าเพียงแค่อยากจะมาแจ้งความคืบหน้าของ 'คดีความ' ที่ท่านเป็นผู้จุดประกายขึ้นมา" เขาตอบเรียบ ๆ "ดูเหมือนว่าหลักฐานที่ท่านค้นเจอในวันนั้น จะมีประโยชน์มากกว่าที่คิดไว้มากนัก"
"เช่นนั้นหรือเพคะ"
"ใช่" เขากล่าวต่อ "ตอนนี้ขุนนางที่เกี่ยวข้องหลายคนเริ่มร้อนตัว และเคลื่อนไหวกันอย่างน่าสงสัยแล้ว ข้าจึงอยากจะมาสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมจากเจ้าเผื่อว่าเจ้าอาจจะ 'จำ' อะไรเพิ่มเติมได้อีก"
จ้าวหยางที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถึงกับแอบกลอกตา "สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมรึ? ข้ออ้างชัด ๆ ไม่เคยเห็นท่านอ๋องจะขยันเรื่องงานขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต!" เขาคิดในใจ
"เชิญท่านอ๋อง และท่านแม่ทัพนั่งก่อนสิเพคะ" ซินซินกล่าวอย่างมีมารยาท "ชิงหลวน ไปยกชา และขนมมาเพิ่ม"
เมื่อขนมเค้กจานใหม่ถูกนำมาวางตรงหน้าบุรุษทั้งสอง จ้าวหยางก็มองมันด้วยความสงสัย "นี่มันขนมอะไรกัน? หน้าตาประหลาดนัก" เขาลองตักเข้าปาก... และปฏิกิริยาของเขาก็ไม่ต่างจากหลินเฟยเฟยในตอนแรก "โอ้โห! อร่อย! อร่อยมาก! ท่านอ๋อง! ท่านต้องลองชิม!"
อ๋องสี่เหลือบมองขนมนั้นนิ่ง ๆ ก่อนจะลองตักชิมดูบ้าง... เขานิ่งไปครู่หนึ่ง... ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ "รสชาติไม่เลว"
"แค่ไม่เลวเองรึ!?" จ้าวหยางโวยวาย "นี่มันอร่อยที่สุดเท่าที่ข้าเคยกินมาเลยนะ"
"เอาล่ะ... กลับเข้าเรื่องงานกันดีกว่า" ท่านอ๋องกล่าวตัดบท เขามองหน้าซินซินตรง ๆ "ข้าอยากจะรู้ว่านอกจากรายชื่อขุนนาง และการเบิกจ่ายงบประมาณแล้ว เจ้ายังได้พบเห็นเอกสารอะไรที่น่าสงสัยอีกหรือไม่ในวันนั้น?"
การสนทนาเรื่องงานดำเนินไปอย่างจริงจัง ซินซินให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่นางจดจำได้ด้วยความฉลาดเฉลียว ในขณะที่อ๋องสี่ก็ตั้งใจฟังและซักถามในประเด็นที่เฉียบคม ทั้งสองปะทะไหวพริบกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร ราวกับแม่ทัพสองคนที่กำลังวางแผนการรบร่วมกัน
หลินเฟยเฟย และจ้าวหยางได้แต่นั่งมองตาปริบ ๆ ฟังเรื่องราวที่น่าปวดหัว และกินขนมต่อไปเงียบ ๆ
"เอาล่ะ... สำหรับวันนี้คงพอเท่านี้ก่อน" อ๋องสี่กล่าวสรุปหลังจากผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม "ข้าต้องขอขอบคุณสำหรับข้อมูลและขนม"
"เป็นเกียรติของซินซินเพคะ"
"เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน" เขาลุกขึ้นยืน "อ้อ... จริงสิ" เขานึกอะไรขึ้นมาได้ "อีกไม่นานในวังหลวงคงจะมีการจัดงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ ข้าหวังว่าจะได้พบเจ้าในงานเลี้ยงนะ... คุณหนูกู้"
พูดจบเขาก็หันหลังเดินจากไป ทิ้งให้กู้ซินซินยืนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย งานเลี้ยงฉลองชัยชนะ? ชัยชนะเรื่องอะไรกัน?
หลังจากที่แขกผู้สูงศักดิ์ทั้งสองกลับไปแล้ว หลินเฟยเฟยก็รีบพุ่งเข้ามากระซิบกระซาบกับเพื่อนใหม่ทันที "ซินซิน! ท่านอ๋องสี่ผู้นั้น... เขาดูไม่เหมือนปีศาจอย่างที่เขาเล่าลือกันเลยนะ แถมยังหล่อเหลาราวกับเทพเซียนอีกต่างหาก แต่ที่สำคัญที่สุดนะ... ข้าว่าเขาดีกับท่านเป็นพิเศษเลย ข้าเคยเห็นเขาในงานเลี้ยงหลวงสองสามครั้ง เขาไม่เคยชายตาแลสตรีคนใดเลยนะ แถมยังทำหน้าเย็นชาเหมือนน้ำแข็งตลอดเวลา แต่เมื่อครู่นี้... สายตาที่เขามองท่านน่ะมันไม่เหมือนกันเลย"
"แปลกอย่างไรของเจ้าน่ะ" ซินซินหัวเราะกลบเกลื่อน "เขาแค่มองในฐานะผู้ร่วมงานเท่านั้นแหละ"
"ไม่จริง!" เฟยเฟยส่ายหน้าอย่างจริงจัง "สายตาแบบนั้นน่ะข้าเห็นบ่อย ๆ ในโรงงิ้ว มันคือสายตาของพระเอกที่กำลังตกหลุมรักนางเอกชัด ๆ"
"เจ้านี่ช่างจินตนาการเสียจริง ๆ" ซินซินได้แต่ส่ายหน้า แต่ในใจกลับอดที่จะนึกถึงสายตาคมกริบคู่นั้นไม่ได้
ช่วงเวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซินซินได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่สุดนับตั้งแต่มาถึงโลกใบนี้ นางได้สอนหลินเฟยเฟยทำขนมแปลก ๆ อีกหลายอย่าง และได้พูดคุยกับบิดาของนางถึงแผนการในอนาคตที่นางอยากจะเปิดร้านขนมเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง
"พ่อไม่ขัดข้องหรอก" เสนาบดีกู้กล่าวด้วยรอยยิ้ม "ขอเพียงแค่เจ้ามีความสุข พ่อก็พร้อมจะสนับสนุนเจ้าทุกอย่าง"
ชีวิตที่เรียบง่ายและสงบสุขนี่คือสิ่งที่นางต้องการมาตลอด
แต่แล้ว... ในบ่ายของวันที่สาม... ความสงบสุขนั้นก็ถูกทำลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี
ราชองครักษ์ได้นำราชโองการฉบับใหม่มาประกาศที่หน้าจวนเสนาบดี!
"บัดนี้ การสืบสวนคดีทุจริตเงินหลวงทางภาคใต้ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ด้วยความสามารถของอ๋องสี่เซียวเช่อ และข้อมูลจากคุณหนูใหญ่กู้ซินซิน ทำให้สามารถจับกุมขุนนางกังฉินได้ทั้งสิ้นสิบเจ็ดคน และได้รับการสำเร็จโทษไปแล้ว นับเป็นความดีความชอบครั้งใหญ่หลวง แต่องค์รัชทายาทซึ่งเป็นผู้ดูแลโครงการกลับปล่อยปละละเลยให้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นได้ สมควรถูกลงโทษลดทอนอำนาจ และงดราชกิจทั้งหมดเป็นเวลาสามเดือน และเพื่อเป็นการตอบแทนคุณงามความดีของตระกูลกู้ อีกทั้งเพื่อเป็นการรักษาสัมพันธไมตรีอันดีงามระหว่างราชวงศ์ และจวนเสนาบดีสืบไป... องค์ฮ่องเต้จึงมีพระบรมราชโองการ... ประทานสมรสระหว่าง... องค์ชายสี่ เซียวเช่อ และคุณหนูใหญ่ กู้ซินซิน! โดยให้จัดพิธีอภิเษกสมรสขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า"
เปรี้ยง!
ราชโองการนั้นดังยิ่งกว่าสายฟ้าฟาดลงกลางศีรษะของกู้ซินซินเสียอีก นางยืนตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาป... ในหัวของนางมีแต่คำว่า...
"อะไรนะะะะะะะะะะะ!?"
นางสู้แทบตายเพื่อให้ได้อิสรภาพมา... แต่ยังไม่ทันจะได้ใช้ชีวิตโสดให้คุ้มเลย ก็ต้องถูกจับแต่งงานอีกแล้วเรอะ แถมคราวนี้ยังต้องแต่งกับ "อ๋องปีศาจ" ที่ดูอันตรายและคาดเดายากยิ่งกว่าองค์รัชทายาท
ห้าปีต่อมา...กาลเวลาได้ผันผ่านไปราวกับสายน้ำที่ไม่เคยไหลกลับ แผ่นดินต้าเยี่ยนภายใต้การดูแลขององค์รัชทายาทเซียวเช่อ และพระชายากู้ซินซินได้เข้าสู่ยุคสมัยที่รุ่งเรืองและสงบสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราษฎรอยู่ดีกินดี การค้าขายเฟื่องฟู เหล่าขุนนางต่างตั้งใจทำงานรับใช้บ้านเมืองด้วยความซื่อสัตย์สุจริตองค์หญิงน้อยเซียวซือซิน บัดนี้เจริญชันษาได้แปดขวบ และองค์ชายน้อยเซียวจื่ออาน พระชันษาสี่ขวบ ทั้งสองพระองค์ทรงเป็นที่รักใคร่ของทุกคนในวังหลวง องค์หญิงน้อยทรงพระปรีชาสามารถเกินวัย ทรงได้รับการถ่ายทอดสติปัญญาอันหลักแหลมมาจากพระมารดา และได้รับการสอนวรยุทธ์และวิชาการปกครองจากพระบิดาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ส่วนองค์ชายน้อยนั้นก็ทรงน่ารักน่าเอ็นดูและเริ่มฉายแววความเฉลียวฉลาดตามรอยพระเชษฐภคินี (พี่สาว)ณ ห้องทรงอักษรในตำหนักตะวันออก..."เสด็จพ่อเพคะ... หากเราต้องการจะส่งเสบียงไปยังหัวเมืองชายแดนที่ห่างไกล เหตุใดเราจึงไม่ใช้เส้นทางแม่น้ำสายใหม่ที่เพิ่งจะขุดแล้วเสร็จเล่าเพคะ? มันน่าจะรวดเร็วกว่าการใช้เกวียนเทียมม้ามิใช่หรือ?" องค์หญิงน้อยซือซินในชุดสีเหลืองอ่อนเอ่ยถามพระบิดา ขณะที่กำลังนั่งดูแผนที่แผ่นใหญ
สามปีผ่านไป...องค์หญิงน้อย "เซียวซือซิน" ผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจขององค์รัชทายาทและพระชายา บัดนี้เจริญชันษาได้สามขวบพอดี นางคือส่วนผสมที่ลงตัวที่สุดของบิดาและมารดา... นางได้รับดวงตากลมโตที่ฉายแววฉลาดหลักแหลมมาจากกู้ซินซิน และได้รับริมฝีปากบางเฉียบที่มักจะเม้มเข้าหากันอย่างดื้อรั้นมาจากเซียวเช่อองค์หญิงน้อยทรงเป็นเด็กที่ร่าเริง และซุกซนเกินวัย นางไม่เคยอยู่นิ่งได้นานเกินหนึ่งเค่อ และโปรดปรานการวิ่งเล่นไล่จับผีเสื้อในสวนสวยของตำหนักเป็นที่สุด โดยมี "พระบิดาผู้พ่ายแพ้" คอยวิ่งไล่ตามอย่างไม่ลดละอยู่เสมอ ภาพขององค์รัชทายาทผู้สง่างามที่ต้องยอมแพ้ให้กับเสียงหัวเราะคิกคักของธิดาตัวน้อย กลายเป็นภาพที่น่าเอ็นดู และคุ้นชินสำหรับทุกคนในตำหนักในฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น หลังจากที่เก็บเกี่ยวผลผลิตทั่วทั้งแคว้นเป็นไปได้ด้วยดี องค์ฮ่องเต้ก็ได้ทรงมีพระราชโองการให้องค์รัชทายาทและพระชายา พร้อมด้วยองค์หญิงน้อย เสด็จประพาสหัวเมืองทางเหนือที่เคยประสบภัยแล้งเมื่อหลายปีก่อน เพื่อตรวจดูทุกข์สุขของราษฎร และตรวจสอบการทำงานของเหล่าขุนนางท้องถิ่นมันคือภารกิจสำคัญ... แต่สำหรับครอบครัวเล็ก ๆ นี้แล้ว... มันคือการเดินทางไ
หนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็วหลังงานวิวาห์ของจ้าวหยาง และหลินเฟยเฟยแผ่นดินต้าเยี่ยนสงบสุขและเจริญรุ่งเรืองภายใต้การดูแลขององค์รัชทายาทเซียวเช่อและพระชายากู้ซินซิน ความรักและความเข้าใจของคนทั้งสองกลายเป็นต้นแบบที่เหล่าหนุ่มสาวทั่วทั้งแคว้นต่างใฝ่ฝันถึงแต่แล้ว... ความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ก็ได้เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ ในตำหนักรัชทายาทตะวันออก"อุ๊บ..."กู้ซินซินยกมือขึ้นปิดปากอย่างรวดเร็ว นางรีบวิ่งออกจากห้องหนังสือไปยังสวนด้านนอกทันที เซียวเช่อที่กำลังตรวจดูฎีกาอยู่ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความกังวล เขารีบวางทุกอย่างลงแล้วเดินตามนางออกไป"ซินซิน! เจ้าเป็นอะไรไป!?" เขาถามเสียงเครียดขณะลูบหลังให้นางเบา ๆ "นี่เป็นครั้งที่สามในสัปดาห์นี้แล้วนะที่เจ้ามีอาการเช่นนี้ หรือว่าอาหารมื้อกลางวันจะมีปัญหาอะไร? ข้าจะไปสั่งลงโทษห้องเครื่องเดี๋ยวนี้""ไม่... ไม่ใช่เพคะ" นางส่ายหน้าช้า ๆ หลังจากที่อาการคลื่นไส้ทุเลาลง "หม่อมฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้... ช่วงนี้หม่อมฉันรู้สึกเหม็นกลิ่นขนมอบของตัวเองอย่างประหลาด ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนชอบมากแท้ ๆ""เหม็นกลิ่นขนมรึ?" เขายิ่งขมวดคิ้วแน่น "แล
หลายเดือนผ่านไปนับตั้งแต่วันที่จ้าวหยางคุกเข่าขอหลินเฟยเฟยแต่งงานท่ามกลางสักขีพยานเต็มร้านข่าวดีนี้ได้สร้างความยินดีให้กับทุกคน โดยเฉพาะกู้ซินซินและองค์รัชทายาทเซียวเช่อที่รับบทเป็น "พ่อสื่อแม่สื่อ" อย่างไม่เป็นทางการให้กับคนทั้งสองมาโดยตลอด ฤกษ์งามยามดีสำหรับงานวิวาห์ถูกกำหนดขึ้นอย่างรวดเร็วโดยโหรหลวง และการเตรียมงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปีก็ได้เริ่มต้นขึ้น... พร้อมกับความโกลาหลที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กันณ ตำหนักรัชทายาทตะวันออก"กระหม่อมไม่ไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะพระชายา! ข้าทนไม่ไหวแล้วจริงๆ!"จ้าวหยางในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง และขอบตาคล้ำเหมือนหมีแพนด้า วิ่งเข้ามาระบายความอัดอั้นตันใจกับกู้ซินซินที่กำลังนั่งจิบชาอยู่ในศาลากลางน้ำอย่างหมดสภาพ ความองอาจของรองแม่ทัพองครักษ์เงาหายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงว่าที่เจ้าบ่าวผู้ใกล้จะเสียสติเต็มทน"ใจเย็น ๆ ก่อนจ้าวหยาง เกิดอะไรขึ้นอีกแล้วล่ะ?" ซินซินถามพลางกลั้นหัวเราะ "ดูจากสภาพของเจ้าแล้ว... เฟยเฟยคงจะสร้างเรื่องปวดหัวให้เจ้าอีกตามเคยสินะ""เรื่องปวดหัวธรรมดาที่ไหนกันล่ะพ่ะย่ะค่ะ! นี่มันมหันตภัยชัด ๆ" เขาโอดครวญ "เรื่องแรกก็คือชุดเจ้าสาว! นางไม่พอใจชุด
หลังจากวันพิพากษาอันน่าตื่นตะลึง คลื่นลมทางการเมืองที่เคยปั่นป่วนก็ได้สงบลงอย่างรวดเร็วภายใต้การควบคุมขององค์รัชทายาทองค์ใหม่ การกวาดล้างขุนนางกังฉินที่เป็นเครือข่ายของราชครูไป๋ดำเนินไปอย่างเด็ดขาดแต่ยุติธรรม ผู้ที่ทำผิดจริงถูกลงโทษ ส่วนผู้ที่ถูกบังคับหรือหลงผิดก็ได้รับการไต่สวนอย่างเป็นธรรม ทำให้ราชสำนักกลับมาใสสะอาดและมั่นคงอีกครั้งในเวลาอันสั้นชีวิตของทุกคนค่อย ๆ กลับคืนสู่ภาวะปกติ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่เหมือนเดิมอีกต่อไป...ณ ร้านหวานใจ..."ท่านจะมานั่งเฝ้าข้าที่ร้านทุกวันแบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ!" หลินเฟยเฟยกล่าวกับจ้าวหยางที่บัดนี้นั่งประจำอยู่ที่โต๊ะมุมในสุดของร้านทุกบ่ายราวกับเป็นรูปปั้น "ท่านเป็นถึงรองแม่ทัพองครักษ์เงา ไม่มีการมีงานทำแล้วหรืออย่างไร""ข้าทำเสร็จแล้ว" จ้าวหยางตอบเสียงเรียบ พลางจิบชา แต่สายตากลับไม่ได้ละไปจากนางเลย "ท่านอ๋อง... เอ่อ... องค์รัชทายาททรงอนุญาตแล้ว""แต่ท่านทำให้ข้าทำงานไม่สะดวกนี่นา!""ข้าก็นั่งของข้าเฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไรให้เจ้าเดือดร้อนเสียหน่อย" เขาเถียง "ข้าแค่... มาดูให้แน่ใจว่าเจ้าจะปลอดภัย"นับตั้งแต่วันที่นางถูกลักพาตัวไป จ้าวหยางก็เปลี่ยนไปราวกับเป
หนึ่งเดือนผ่านไปหลังจากค่ำคืนแห่งการนองเลือดในวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมืองหลวงก็ได้กลับคืนสู่ความสงบสุขอีกครั้ง แต่เป็นความสงบสุขที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่และลึกซึ้งที่ทุกคนต่างสัมผัสได้ราชครูไป๋ และเหล่าขุนนางกบฏถูกตัดสินโทษประหารชีวิตเจ็ดชั่วโคตรตามพระราชโองการ แต่ด้วยพระเมตตาขององค์ฮ่องเต้ที่ทรงเห็นว่าเหล่าสตรีในตระกูลไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในแผนการอันชั่วร้าย จึงทรงละเว้นโทษตายให้ โดยให้เนรเทศพวกนางไปเป็นไพร่ยังเมืองชายแดนที่ห่างไกลแทน ตระกูลที่เคยยิ่งใหญ่และทรงอำนาจมากมายต้องล่มสลายลงในชั่วข้ามคืน กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าขานไว้เตือนใจคนรุ่นหลัง ส่วนอดีตองค์รัชทายาทเซียวจิน ผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด หลังจากถูกไต่สวนและพบหลักฐานความผิดในการสมรู้ร่วมคิดก่อการกบฏอย่างแน่นหนา ก็ถูกพิพากษาให้ดื่มสุราพิษพระราชทาน สิ้นสุดชีวิตอันน่าสมเพชของตนเองลงอย่างเงียบ ๆ ภายในคุกหลวง ปิดฉากตำนานของอดีตรัชทายาทผู้โฉดเขลาลงอย่างสมบูรณ์คลื่นลมในราชสำนักสงบลงอย่างรวดเร็วภายใต้การควบคุมสถานการณ์อย่างเฉียบขาดของอ๋องสี่ เขาได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากเหล่าขุนนางที่ภักดี และได้รับกา







