สายลมเอื่อยพัดยอดดอกหญ้าสีขาวพลิ้วไหวลู่เอนไปทางซ้าย ดวงตาของเสี่ยวหยุนจ้องมองภาพของใครบางคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขา ยามได้เห็นคนในใจมักจะยิ้มแย้มโดยไม่รู้ตัว
หากแต่ครานี้กลับชะงักงันเพราะใบหน้าที่คุ้นเคยเหมือนเยาว์วัยลงไปหลายปี ทั้งสีหน้า แววตาที่เศร้าสร้อยทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจเหลือเกิน
เสี่ยวหยุนอยากเอื้อมมือเช็ดน้ำตาเปื้อนแก้มอีกฝ่ายใจจะขาดแต่ทำไม่ได้ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างดึงรั้งเอาไว้ไม่ให้แตะต้องร่างเปราะบางที่พร้อมจะแตกสลายในทุกเมื่อ
“อย่าร้องเลย” เขาเอ่ยแผ่วเบาพร้อมทำทุกอย่างเพียงเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายมีน้ำตา “เป็นข้าหรือที่ทำผิดต่อท่าน”
คนตรงหน้าไม่เอื้อนเอ่ยคำใด สายตาที่มองมาทางเขาว่างเปล่าจนเจ็บแปลบในใจ เสี่ยวหยุนไม่รู้เลยว่าต้องทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้นจากสถานการณ์เช่นนี้
ขณะกำลังตกอยู่ในภวังค์ความฝัน เสียงหนึ่งที่คุ้นเคยดังขึ้นมา “เสี่ยวหยุน”
“…” เขามั่นใจว่าเสียงนั้นคือเสียงของคนที่เขากำลังมองอยู่ข้างหน้า แต่น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกเขาดูสดใส ร่าเริงและเต็มไปด้วยความสุขต่างจากภาพใบหน้าที่เขาเห็นเวลานี้
“เสี่ยวหยุน”
ชายหนุ่มคิดในใจรู้ตัวแล้วว่าเขาเพียงแค่หลับฝัน หากลืมตาตื่นแล้วคงจะได้เห็นรอยยิ้มของอาจารย์ที่เขารัก หวังลึก ๆ ว่าใบหน้าช่วงเยาว์วัยของคนรักจะเป็นแค่ความฝันเรื่อยเปื่อยของเขาเท่านั้นเพราะเสี่ยวหยุนไม่อยากเห็นน้ำตาของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
ครั้นลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วจึงได้เห็นว่าคนที่เรียกเขากำลังส่งยิ้มให้ สีหน้าที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
“ฝันอันใดอยู่หรือจึงมีน้ำตาเช่นนี้” เหลียนเฟินไม่พูดเปล่าแต่ไล้นิ้วเช็ดน้ำตาเปรอะเปื้อนหางตาให้อย่างอ่อนโยน
“ข้าฝันเห็นท่านมีน้ำตาแต่ข้ากลับไม่อาจปลอบโยนได้” เขาเล่าความฝันให้เหลียนเฟินได้รู้
เหลียนเฟินได้ยินเช่นนั้นยิ้มมุมปากแล้วจับแก้มคนที่นอนอยู่บนทุ่งหญ้ากว้าง สายตาเอ็นดูระคนรักใคร่ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ผู้ใดกันแน่ที่ชอบร้องไห้จนข้าต้องปลอบใจอยู่บ่อย ๆ เสี่ยวหยุน เจ้ายังไม่โตจริง ๆ ด้วย”
“ข้าน่ะหรือยังไม่โต” ชายหนุ่มยิ้มเจ้าเล่ห์พลางโอบเอวคว้าเหลียนเฟินมานั่งตักตัวเอง ปลายคางเกยไหล่คนตรงหน้าแล้วพูดอีกว่า “ท่านพูดเช่นนี้อยากพิสูจน์อีกสักหนดีหรือไม่”
“พิสูจน์ไปแล้วจะเกิดอันใด ทั้งที่เมื่อครู่เจ้ายังฝันร้ายจนร้องไห้อยู่เลยมิใช่หรือ” เหลียนเฟินกล่าวเฉไฉมองไปทางอื่น
แผ่นหลังสัมผัสอกกว้างของเสี่ยวหยุน สัมผัสนั้นย้ำเตือนให้รู้ว่าเด็กน้อยในวันวานเติบโตมากขนาดนี้แล้ว ลมหายใจร้อนรดต้นคอเรียว เสียงกระซิบทำให้เขานึกถึงเรื่องราวในค่ำคืนนั้น
“เหตุใดจึงไม่คิดว่าข้าเพียงแค่อยากให้อาจารย์โอบปลอบใจบ้างเล่า” ปลายจมูกของเสี่ยวหยุนแตะหลังใบหู พลันริมฝีปากประทับแก้มข้างขวาอย่างนุ่มนวล “ยิ่งได้รู้ว่าอ้อมกอดอบอุ่นนั้นมีให้ข้าเพียงผู้เดียว ยิ่งไม่อาจห้ามใจ อยากสัมผัสครั้งแล้วครั้งเล่า”
ใบหน้าของเหลียนเฟินแดงระเรื่อเขินอายจนทำตัวไม่ถูกทุกครั้งที่เขาพูดจาเช่นนั้นและไม่อาจทำตัวให้คุ้นชินกับการกระทำของเขาได้เลยเพราะเมื่อสองเดือนก่อน เสี่ยวหยุนยังไม่กล้าสบตากับเขาหรือคิดกับเขาอย่างคนรักเสียด้วยซ้ำ
หลังจากสารภาพความในใจแล้ว ไม่ว่าเขาจะคิดหรือรู้สึกอย่างไรก็คงไม่เคยนึกอยากปิดบังอีกต่อไป ทุกวันนี้เหลียนเฟินจึงได้ยินคำบอกรักราวกับเป็นคำทักทายยามเช้าไปแล้วและตัวเขาเองก็รู้สึกใจเต้นรัวทุกครั้งที่ได้ยินจนเผลอยิ้มออกมา
“อาจารย์”
“อืม… ทำเสียงออดอ้อนเช่นนี้ เจ้าคงมีเรื่องที่อยากได้สินะ”
“ภรรยาเรียกสามีว่าอย่างไรหรือ” เขาถามออกมาราวกับอยากรู้คำตอบ
“ฟูจวิน” เหลียนเฟินตอบโดยไม่ทันได้คิดลึกซึ้งมากไปกว่าการบอกสิ่งที่เขาสงสัย
“เรียกข้าว่าฟูจวินได้หรือไม่” น้ำเสียงของเสี่ยวหยุนยามต้องการสิ่งใดมักดูไพเราะเป็นพิเศษแต่คนที่ได้ฟังคำขอหน้าแดงกระวนกระวายทำตัวไม่ถูก “ข้าอยากได้ยินท่านเรียกข้าเช่นนั้นบ้างเหมือนสามีภรรยาคนอื่น ๆ”
“ไม่ชอบให้เรียกเสี่ยวหยุนแล้วหรือ ข้าอุตส่าห์ตั้งชื่อนั้นให้เจ้าแท้ ๆ” เหลียนเฟินนึกถึงครั้งแรกที่ได้เจอเขาในตลาด เด็กชายตัวน้อยมอมแมมหิวโซชอบอกชอบใจยิ่งนักที่ตนเองจะได้มีชื่อเรียกอย่างคนอื่นเขา
“อย่างนั้นก็ชอบแต่ข้าอยากให้ผู้อื่นรู้ด้วยว่าข้าเป็นสามีของท่านแล้ว ใครบางคนจะได้เลิกมายุ่งวุ่นวายกับท่านเสียทีเพราะว่าข้าไม่ชอบ”
เหลียนเฟินได้ยินดังนั้นจึงยิ้มกว้าง “ทุกวันนี้มีเจ้าอยู่เคียงข้างไม่ห่างกาย ผู้ใดจะกล้าเข้ามายุ่งกับข้ากันเล่า”
“หลี่จิ้นหลิง” เขาเอ่ยชื่อบุตรชายของใต้เท้าหลี่ด้วยแววตาไม่สบอารมณ์ราวกับเป็นศัตรูกันมาช้านาน เสี่ยวหยุนนับว่าอีกฝ่ายเป็นหนามยอกอกเพราะไม่ว่าจะข่มขู่หรือไล่ให้ไปสักเท่าใด ชายคนนี้ก็ไม่เคยเกรงกลัวต่างจากคนอื่นยิ่งนัก
“ไม่รู้สิ” ท่าทีลังเลของเหลียนเฟินทำให้เขาเลิกคิ้วก่อนจะได้ยินว่า “คุณชายหลี่อยากเป็นศิษย์ของข้าแต่เจ้าห้ามไว้ เขาจึงยอมเป็นเพื่อนบ้าน นับถือและเคารพข้า ไม่ก้าวก่ายสถานะที่ข้าขีดกั้นเอาไว้ ความสัมพันธ์เช่นนั้นมีอะไรให้เจ้ากังวลด้วยหรือ”
เสี่ยวหยุนกดปลายจมูกตรงต้นคอเหลียนเฟิน สูดดมกลิ่นหอมที่คุ้นเคยแล้วตอบว่า “ข้าเพียงแค่กลัวว่าใจของท่านจะเปลี่ยนไป ข้าทนไม่ได้จริง ๆ” เขาพูดแล้วแนบใบหน้าซบแผ่นหลังของอีกฝ่าย เอ่ยพึมพำราวกับเด็กน้อยเอาแต่ใจ “หากวันนั้นมาถึง หัวใจของข้าคงแตกสลาย”
“เสี่ยวหยุน ข้าไม่มีวันเปลี่ยนใจไปจากเจ้าหรอก ทั้งยังไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรเจ้าจึงจะเชื่อ แต่ว่าข้าให้เจ้าไปหมดทุกอย่างแล้ว ทั้งร่างกายและหัวใจดวงนี้เป็นของเจ้าคนเดียว”
“แต่ก็ยังไม่เรียกข้าว่าฟูจวิน” เหลียนเฟินเหมือนได้ยินเสียงถอนหายใจของคนดื้อรั้นจึงอดอมยิ้มไม่ได้
เขาเอนศีรษะไปทางข้างหลัง มือข้างขวาโน้มใบหน้าเสี่ยวหยุนเข้ามาใกล้แล้วกระซิบบอกสิ่งที่อีกฝ่ายอยากได้ยินมากที่สุดในยามนี้ “ฟูจวิน”
รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าชายหนุ่ม ความสุขล้นปรี่จนไม่อาจเก็บอาการไว้ได้ต้องแก้เก้อด้วยการหอมแก้มอีกฝ่ายพลางพูดว่า “เรียกอีกได้หรือไม่”
“อืม… ฟูจวิน” ครั้นเห็นสีหน้าอารมณ์ดีของเขา เหลียนเฟินจึงเผลอทำตามใจอีกฝ่ายอยู่ร่ำไป “ใกล้มืดค่ำแล้ว เรากลับบ้านกันดีหรือไม่” พลันลุกขึ้นยืนแล้วมองตาคนตรงหน้า
“ขอรับ” เสี่ยวหยุนหันหลังค้อมตัวลงมาเล็กน้อยก่อนจะบอกว่า “ขี่หลังข้าดีหรือไม่ คืนนี้ฟูเหรินต้องเก็บแรงเอาไว้ ข้าไม่อยากให้ท่านเหนื่อยตั้งแต่เดินกลับบ้าน”
เมื่อได้ยินคำเรียกเช่นนั้น เหลียนเฟินพลันนึกถึงค่ำคืนเร่าร้อนขึ้นมาทันที “เจ้าคงไม่ได้คิดจะทำอย่างนั้นใช่หรือไม่” แต่ก็ขึ้นขี่หลังอย่างว่าง่าย
“หากฟูเหรินหมายถึงเรื่องที่สามีภรรยากระทำยามค่ำคืน ข้ากำลังคิดเช่นนั้นอยู่”
นับตั้งแต่คืนนั้น เสี่ยวหยุนไม่ได้แตะต้องตัวเหลียนเฟินอีกเลยด้วยเกรงว่าร่างกายที่เปราะบางราวกลีบดอกท้อที่พร้อมปลิวเพราะสายลมจะแตกสลาย เขาจึงคอยดูแลทะนุถนอมปานดวงใจรอให้อีกฝ่ายพร้อม
“…”
“ข้าทำได้หรือไม่ ฟูเหริน”
เหลียนเฟินถอนหายใจเพราะตกหลุมพรางความออดอ้อนอีกแล้ว รู้ว่าชายหนุ่มอดทนอดกลั้นมากแค่ไหน นึกเสียดายเรื่องเดียวที่ร่างกายของเขาอ่อนแอเกินไปจึงไม่อาจตอบสนองความต้องการของเสี่ยวหยุนได้อย่างคู่รักทั่วไป
แต่กระนั้น เสี่ยวหยุนเข้าใจดีทุกอย่างจึงไม่เคยร้องขออะไรที่ทำให้เขาต้องรู้สึกว่ากำลังบกพร่องหน้าที่นั้น กลับกันมักจะชอบสัมผัสเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างการกอด หอมแก้ม จุมพิตตามร่างกายเพราะอยากทิ้งร่องรอยของตนเองเอาไว้เสียมากกว่า
“อืม ตามใจเจ้าเถิดแต่ว่ายั้งแรงไว้ได้หรือไม่” เขาเอ่ยขอล่วงหน้าเพราะรู้ดีว่ากำลังวังชาของเสี่ยวหยุนมีมากล้น ส่วนเขานั้นเรียกได้ว่าร่างกายอ่อนแอไม่พอ สังขารยังไม่เอื้อสักเท่าใดนัก
“เหตุใดจึงพูดเหมือนแก่เฒ่าไปได้ ฟูเหรินก็ยังหนุ่มอยู่แท้ ๆ” เสี่ยวหยุนยิ้มกว้างนึกถึงสีหน้าและร่างกายเย้ายวนของเหลียนเฟินในยามไร้อาภรณ์
“เฮอะ… เจ้าพูดเช่นนี้ลืมไปแล้วหรือว่าข้าอายุเท่าใด”
“ได้ยินท่านพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ทำให้ข้านึกสงสัยว่าเหตุใดข้าจึงไม่เกิดให้เร็วกว่านี้สักหน่อย ข้ารู้สึกเสียดายที่ไม่ได้เติบโตมาพร้อมท่าน”
เหลียนเฟินโอบกอดคอคนตรงหน้า “ต่อจากนี้ข้าจะอยู่กับเจ้าไปอีกนาน ชดเชยช่วงเวลาที่เราเจอกันช้าไปดีหรือไม่”
“อืม” ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ หัวใจเต้นรัวราวกับได้ยินคำสัญญาว่าฟูเหรินของเขาจะไม่มีวันจากเขาไปที่ใด
พวกเขาพูดคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ระหว่างทางกลับบ้าน บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรักและความอบอุ่นจนกระทั่งได้เห็นแขกที่มาเยี่ยมเยียนในรอบสิบปี เสี่ยวหยุนไม่เคยเจอพวกเขามาก่อนแต่เพียงแค่เห็นหน้าก็ทำให้ไม่สบอารมณ์ในทันทีเพราะหนึ่งในนั้นตะโกนทักทายคนรักของเขาว่า “ศิษย์พี่เหลียนเฟิน”
หน้าบ้านหลังน้อยของพวกเขามีบุรุษร่างสูงและสตรีบอบบางสวมชุดสีขาวน้ำเงิน ในมือถือกระบี่อันเป็นสัญลักษณ์ของสำนักเซียน“ศิษย์พี่เหลียนเฟิน” ชายผู้นั้นยิ้มกว้างเมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่ได้เจอกันมานานกว่าสิบปี “ศิษย์พี่ ท่านบาดเจ็บที่ใดหรือ”เหลียนเฟินเพิ่งนึกได้จึงบอกคนให้ขี่หลังว่า “เสี่ยวหยุน ปล่อยข้าลงก่อนเถิด ถึงบ้านเราแล้ว”“พวกเขาเป็นผู้ใดกันจึงเรียกหาสนิทสนมปานนั้น” น้ำเสียงฮึดฮัดอย่างที่เคยทำบ่อย ๆ เวลาหลี่จิ้นหลิงมาเยี่ยมอาจารย์ของเขาทำให้เหลียนเฟินเผลอยิ้มไม่ได้“มานี่สิ ข้าจะแนะนำให้พวกเจ้ารู้จักกัน” เหลียนเฟินเอ่ยทักทายศิษย์พี่และศิษย์น้องที่เขาไม่ได้เจอมานานด้วยความยินดีเพราะหลังจากขอออกจากสำนักวังธาราเหมันต์ เหลียนเฟินไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใดอีกเลยสตรีรูปงามคือศิษย์พี่หญิงหลวนเล่อ ส่วนอีกคนศิษย์น้องซิ่นเฉิง เขาบอกกับทั้งสองว่า “เสี่ยวหยุนเป็นลูกศิษย์ของข้า”ชายหนุ่มหันขวับมองหน้าเหลียนเฟินราวกับจะถามว่าเหตุใดจึงแนะนำว่าเขาเป็นเพียงศิษย์ ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่ตกลงกันแล้วว่าจะเรียกเขาว่าฟูจวินหากแต่เห
สายลมเอื่อยพัดยอดดอกหญ้าสีขาวพลิ้วไหวลู่เอนไปทางซ้าย ดวงตาของเสี่ยวหยุนจ้องมองภาพของใครบางคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขา ยามได้เห็นคนในใจมักจะยิ้มแย้มโดยไม่รู้ตัวหากแต่ครานี้กลับชะงักงันเพราะใบหน้าที่คุ้นเคยเหมือนเยาว์วัยลงไปหลายปี ทั้งสีหน้า แววตาที่เศร้าสร้อยทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจเหลือเกิน เสี่ยวหยุนอยากเอื้อมมือเช็ดน้ำตาเปื้อนแก้มอีกฝ่ายใจจะขาดแต่ทำไม่ได้ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างดึงรั้งเอาไว้ไม่ให้แตะต้องร่างเปราะบางที่พร้อมจะแตกสลายในทุกเมื่อ“อย่าร้องเลย” เขาเอ่ยแผ่วเบาพร้อมทำทุกอย่างเพียงเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายมีน้ำตา “เป็นข้าหรือที่ทำผิดต่อท่าน”คนตรงหน้าไม่เอื้อนเอ่ยคำใด สายตาที่มองมาทางเขาว่างเปล่าจนเจ็บแปลบในใจ เสี่ยวหยุนไม่รู้เลยว่าต้องทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้นจากสถานการณ์เช่นนี้ขณะกำลังตกอยู่ในภวังค์ความฝัน เสียงหนึ่งที่คุ้นเคยดังขึ้นมา “เสี่ยวหยุน”“…” เขามั่นใจว่าเสียงนั้นคือเสียงของคนที่เขากำลังมองอยู่ข้างหน้า แต่น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกเขาดูสดใส ร่าเริงและเต็มไปด้วยความสุขต่างจากภาพใบหน้าที่เขาเห็นเวลานี้“เสี่ยวหยุน”ชายหนุ่มคิดในใจรู้ตัวแล้วว่าเขาเพียงแค่หลับฝัน หากลืมตาตื่นแล้ว
“ความผิดร้ายแรงมีมากนัก ส่งเขาไปรับโทษในนรกขุมที่สาม” เสียงดุดันทรงอำนาจกล่าวพิพากษา หางตาของหวังเยี่ยนหลงเหลือบเห็นร่างวิญญาณคุ้นเคยกำลังดื่มน้ำแกงยายเมิ่งจึงโพล่งขึ้นมา “เหตุใดเจ้านั่นถึงได้ไปเกิดก่อนข้าเล่า” เขาสงสัยคำตัดสิน “มิใช่ว่าข้าเพิ่งบอกเจ้าหรือว่าความผิดเจ้ามีอันใดบ้าง” เสียงลึกลับโต้ตอบกลับมา ไม่เข้าใจว่าเหตุใดวิญญาณตัวเล็กกระจิดริดถึงได้ต่อปากต่อคำกับเขาเก่งนัก หวังเยี่ย
สิบเอ็ดปีต่อมา สายลมเย็นในฤดูใบไม้ผลิพัดเอื่อย ๆ ท้องฟ้าอากาศแจ่มใส ไร้ก้อนเมฆ เหลียนเฟินกำลังนั่งถือเบ็ดตกปลาอยู่ริมทะเลสาบ สายตาเหม่อมองไปอีกฝั่งที่อยู่แสนไกลนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา หลังจากจัดการกับหวังเยี่ยนหลงแล้ว เขาไม่เหลือความทรงจำเกี่ยวกับคนผู้นั้นอีกเลย เหลียนเฟินเดินทางกลับไปที่วังธาราเหมันต์เพื่อรับโทษและขอออกจากสำนัก นับตั้งแต่นั้นมาจึงใช้ชีวิตร่อนเร่พเนจรอยู่เพียงลำพัง ตัดขาดจากทุกสิ่งทุกอย่างโดยสิ้นเชิง 
หลังจากผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ หวังเยี่ยนหลงโผล่มาให้เหลียนเฟินเห็นหน้าแต่เช้าตรู่ สีหน้าของเขาดีขึ้นกว่าเดิมมาก อีกทั้งยังแววตาสดใสผิดกับก่อนหน้านี้นัก วันนี้เขายกถาดสำรับอาหารเช้ามาให้ด้วยตัวเองพร้อมยาอีกหลายขนาน “เช้านี้ ข้าขอกินข้าวพร้อมเจ้าได้หรือไม่” เสียงของคนตรงหน้าเอ่ยถาม “ไม่” เหลียนเฟินปฏิเสธโดยที่ไม่ต้องคิด
เช้าวันต่อมา หวังเยี่ยนหลงยังคงนั่งอยู่ข้างเตียง รอยื่นถ้วยยาให้เหลียนเฟินดื่มตามเวลา ร่างบางไม่อาจปฏิเสธได้เพราะโอสถนี้หวังซีซวนตั้งใจทำมาให้จึงดื่มแต่โดยดี จากนั้นจึงยกสำรับอาหารเช้ามาวางไว้ที่ข้างหัวเตียง ตั้งใจจะป้อนทีละคำ แต่เหลียนเฟินไม่ยอมแม้แต่จะมองหน้า สายตาเย็นชาเฉไฉมองไปทางอื่น จนเจ้าตัวรู้สึกเจ็บแปลบในใจ “กินข้าวบ้างเถิด ข้าจะออกไปรอข้างนอก” เขาตัดใจยอมหลบหน้าชั่วคราวจนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่งจึงกลับเข้ามาดู เห็นถ้วยชามอาหารยังอยู่ที่เดิมจึงสั่งให้ยกสำรับใหม่เข้ามาแทน&n