หนิงเออร์เห็นผู้เป็นนายคีบอาหารเข้าปากครั้งแล้วครั้งเล่าจนอาหารหมดนางได้แต่ยิ้มดีใจ เมื่อก่อนพระชายาเสวยน้อยมากหรือบางครั้งแทบจะไม่เสวย สิ่งใดเลยเพราะกลัวว่าจะมีรูปร่างอวบอ้วน แต่วันนี้กลับเสวยเสียจนอาหารหมด เมื่อเห็นว่าเจียวซินวางตะเกียบ หนิงเออร์จึงสั่งให้นางกำนัลยกเครื่องเสวยไปเก็บในโรงครัว
“หนิงเออร์ ข้าอยากไปนั่งเล่น มีทีใดให้ข้าไปนั่งเล่นรับลมได้บ้าง”
“เป็นศาลาในสวนใกล้ตำหนักท่านอ๋องดีหรือไม่เพคะ”
“ใกล้ตำหนักท่านอ๋องหรือ อืม...มีที่อื่นหรือไม่” มองอย่างกับจะฆ่าจะแกงกันเช่นนั้น ใครจะอยากเข้าใกล้
“เอ่อ เช่นนั้นก็จะมีศาลาริมน้ำท้ายจวนเพคะ แต่มันเป็นที่ที่พระชายา พระชายาทรง…” หนิงเออร์ทำหน้าเศร้าหมองลงเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นวันก่อน
“ข้าจะไปที่นั่น เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง แม้ข้าจะจำเหตุการณ์ทั้งหมดมิได้ แต่ข้ามั่นใจว่าข้าเพียงพลัดตกลงไปเท่านั้น มิได้ตั้งใจจะโดดลงไป” นางไม่รู้ว่าเจียวซินคนเก่าตั้งใจโดดลงไปเพื่อปลิดชีพตนเองหรือไม่ แต่หากนางไม่กล่าวเช่นนั้นออกไป หนิงเออร์และคนอื่นๆ คงต้องคอยระแวดระวังจนนางมิได้ทำสิ่งใดเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้นางจึงตัดใจกล่าวว่านางเพียงพลัดตกลงไปเท่านั้น
“จริงหรือเพคะ ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันก็สบายใจเพคะ” หนิงเออร์โล่งใจ อย่างน้อยนายของตนก็มิได้คิดทำร้ายตนเองเพราะท่านอ๋องจะยื่นฎีกาหย่าขาด
“จริง เพราะฉะนั้นเจ้านำข้าไปศาลาและให้คนไปเอา เอ่อ…เอาพู่กันกับกระดาษมาให้ข้าที”
“พระชายาอยากเขียนอักษรหรือเพคะ” แปลกจริง ทุกทีมิเคยคิดอยากจะเขียนอักษร
“ใช่ ไปกันเถอะ” เมื่อมาถึงศาลาและของที่ขอไปเตรียมพร้อมหมดแล้ว เจียวซินจึงเริ่มคิดว่าจะใช้ชีวิตให้อยู่รอดได้อย่างไร
“หนิงเออร์ ท่านอ๋องจะยื่นฎีกาขออย่าขาดกับข้าเมื่อใดหรือ”
“ในวันนั้นท่านอ๋องเพียงกล่าวว่าจะยื่น แต่มิได้ระบุแน่ชัดว่าจะยื่นวันใดเพคะ”
“หากยื่นฎีกาไปแล้ว ข้ากับท่านอ๋องจะได้หย่าขาดกันในอีกกี่วันหรือ เจ้ารู้หรือไม่”
“ข้อนี้หม่อมฉันมิทราบเพคะ แต่หากเป็นพวกบัณฑิต หรือขุนนางย่อมมีข้อมูลที่พระชายาทรงถามแน่เพคะ”
“ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้เอาไว้ก่อน…คำถามใหม่ หากข้าหย่าขาดไปแล้วเราทั้งสองไปอยู่ที่ใดได้บ้าง”
“โถ่…พระชายาของหม่อมฉัน” หนิงเออร์สงสารพระชายาจับใจ ตากลมคลอไปด้วยน้ำตา
“หยุด! ห้ามร้อง! ตอนนี้เป็นเวลาที่เราต้องเข้มแข็ง แม้จะหย่าขาดกับท่านอ๋อง ข้าและเจ้าก็ต้องอยู่รอดปลอดภัย เพราะฉะนั้นมาช่วยกันคิดและตอบคำถามของข้าก่อน” เจียวซินกล่าวขึ้นเสียงเข้มราวกับต้องการปลุกใจตนเองและหนิงเออร์
“เพคะ พระชายายังมีจวนตระกูลจางอยู่เพคะ ตอนนี้คุณชายใหญ่ให้พ่อบ้านดูแลอยู่ อาจจะมีบ่าวไพร่ไม่มากและเรือนก็ทรุดโทรมลงบ้าง แต่ก็สามารถอยู่อาศัยได้อย่างสะดวกสะบายเพคะ”
“งั้นหรือ แล้วพี่ชายข้าได้ส่งจดหมายมาบ้างหรือไม่”
“ครั้งสุดท้ายคุณชายแจ้งว่าจะไปทำศึกกับชนเผ่านอกด่านเพคะ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีจดหมายจากคุณชายมาอีกเลย”
“เฮ้อออ หากไปทำศึกคงใช้เวลานานพอควรกว่าท่านพี่จะกลับมา ว่าแต่ตอนนี้ข้ามีเงินอยู่เท่าไหร่หรือ”
“เอ่อ ไม่มากเพคะ เหลือไม่ถึง 200 ตำลึงทองเพคะ” หนิงเออร์พยายามกระซิบให้เบาที่สุด เพราะกลัวผู้อื่นได้ยินแล้วจะเอาไปนินทาเอาได้ว่าผู้เป็นนายนั้นไม่เป็นที่โปรดปรานจึงไม่ได้รับเบี้ยหวัด
“นี่ท่านอ๋องผู้นั้นรังเกียจข้าจนมิยอมจ่ายเบี้ยหวัดให้เลยหรือ อย่างไรเสียก็เป็นถึงชายาเอกแต่ไม่ให้เบี้ยหวัดกันเช่นนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรือ” ยิ่งพูดเจียวซินก็ยิ่งโมโห
ไอ้คนขี้งก ขนาดเมียยังไม่ให้เงิน หึ! เก็บไว้ให้เมียน้อยสินะ
“มิได้เป็นเช่นนั้นเลยเพคะพระชายา”
“เจ้าไม่ต้องแก้ต่างแทนเขา หากเขาให้เบี้ยหวัดข้าบ้าง เงินข้าจะเหลือแค่นั้นได้อย่างไน หึ! มีเมียมากจนจ่ายเบี้ยหวัดไม่ไหว”
“ท่านอ๋องให้เพคะพระชายา”
“ให้น้อยใช่หรือไม่” ถึงให้ก็ให้น้อยเป็นแน่ เจียวซินพยักหน้าให้กับความคิดของตนเองอย่างมั่นใจ
“ให้มากเพคะ”
“งะ งั้นหรือ แล้วเงินข้าหายไปไหนหมด” เจียวซินหน้าเจื่อนลง กล่าวว่าท่านอ๋องไปเสียเยอะ
“เป็นพระชายาที่ให้นำเงินไปซื้อของมีค่ามาประดับตำหนัก ตัดเย็บผ้า ซื้อเครื่องประดับราคาแพงจนหมดเลยเพคะ” สิ้นเสียงของหนิงเออร์ เจียวซิน ก็ปวดหัวขึ้นมาทันใด จางเจียวซินเป็นคนเช่นใดกันแน่ น่าปวดหัวเสียจริง ยังไม่ทันที่เจียวซินจะได้พูดอะไรออกไป หนิงเออร์ก็กระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา
“อีกอย่างนะเพคะ พระชายาถูกพ่อค้าต่างเมืองเล่นแง่จึงถูกโกงค่าผงเสน่ห์ไปหลายร้อยตำลึงทองเพคะ”
เปรี้ยง! ดังฟ้าผ่าลงกลางใจ เจียวซินนิ่งงันไปชั่วขณะ นี่ถึงขนาดจะใช้ผงเสน่ห์กับท่านอ๋อง จางเจียวซินคนก่อนต้องรักปักใจขนาดไหนกัน
“ยึ้ย! นี่มันอันใดกัน! ใครถ่ายหนักแล้วเอามาเช็ดตรงนี้ แหวะ!” ไฉ่หงรีบเช็ดมือเข้ากับบานประตูแล้วรีบออกมาทันที เพราะกลัวว่าจะมีผู้ใช้ห้องสุขาต่อและคิดว่าตนเองเป็นคนทำ แต่ทว่าเด็กน้อยมิทันได้ระวังจึงเหยียบเข้ากับน้ำมะม่วงที่สองแฝดเทเอาไว้จนรองเท้าหรูเปรอะเปื้อนไปหมด“อ่าว! ไฉ่หงอยู่นี่เอง ข้าอยากขอโทษที่ต่อว่าเจ้าเมื่อวันก่อน ยกโทษให้ข้านะ” ซินอี๋ทำทีว่าบังเอิญเจอไฉ่หงที่หน้าห้องสุขา เขาแสร้งตีหน้าเศร้าราวกับว่าเรื่องวันก่อนเขาได้ทำผิดไป“อะ เอ่อ ข้ายกโทษให้ แต่เจ้าอย่าได้มาขึ้นเสียงกับข้าอีกเล่า มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน หึ!”“ขอบใจเจ้ามากนะไฉ่หง น้องข้าก็เอาแต่ใจเช่นนี้ มิได้ความเสียจริง” หย่งเล่อที่จู่ก็โผล่มาเกาะไหล่ไฉ่หงจากด้านหลัง มือเล็กของหย่งเล่อลูบไปทั่วแผ่นหลังและบั้นท้ายของไฉ่หง“อืม ข้าต้องไปแล้ว เจ้าก็สั่งสอนน้องเจ้าให้ดีด้วยเล่า” ว่าแล้วไฉ่หงก็เดินกลับเข้าห้องเรียนของตนทันทีหย่งเล่อและซินอี๋ที่มองไฉ่หงจากด้านหลังก็ยิ้มกริ่มพอใจกับผลงานตนเอง เพราะอาภรณ์ด้านหลังของไฉ่หงเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำมะม่วงสุกที่หย่งเล่อลงทุนใช้มือตนเองป้ายลงไป“ข้าว่าเจ้าไปล้างมือก่อนเถิด ข้าเหม
“หย่งเล่อเจ้าว่าน้องของเราจะเป็นหญิงหยือชาย” ซินอี๋และหย่งเล่อกำลัง ยืนเกาะขอบประตูห้องทำคลอด ที่บัดนี้ด้านในกำลังทำคลอดให้มารดาของพวกเขาอยู่หลังจากที่บิดาของพวกเขาให้คำมั่นว่าจะมีน้องชายน้องสาวมาให้พวกเขาเลี้ยงมานานนับหลายปีจนตอนนี้พวกเขาอายุได้สี่หนาวย่างเข้าห้าหนาวแล้วมารดาพวกเขาถึงได้ตั้งครรภ์และกำลังจะคลอด มิเหมือนกับท่านลุงซีห่าวกับท่านน้าเฟยเฟิ่งที่บัดนี้มีทั้งน้องชายวัยสองหนาว ทั้งท่านน้าเฟยเฟิ่งยังตั้งครรภ์ได้กว่าแปดเดือนแล้ว แต่ก็ช่างเถิด อย่างไรเสด็จพ่อก็ทำตามสัญญาแม้จะช้าไปหลายปีก็เถอะนะ…“ไม่รู้” หย่งเล่อจดจ้องอยู่ที่ประตูตาไม่กระพริบ เด็กน้อยกำลังกังวลว่าเสด็จแม่และน้องจะปลอดภัยหรือไม่ แต่ปากเล็กก็ยังเอ่ยตอบน้องชาย“แล้วเจ้าว่าน้องจะหน้าตาเหมือนผู้ใด เสด็จพ่อหยือเสด็จแม่”“ไม่รู้”“แต่ข้าว่าให้น้องเหมือนข้าน่าจะเข้าท่า เพราะข้าเป็นชายหนุ่มที่หย่อเหยาที่สุดในแคว้นเฉินแห่งนี้” ซินอี๋ใช้มือเล็กๆ ลูบคางของตนเองไปมา ดึงท่าทีคล้ายต้องการแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าตนเองนั้นหล่อเหลาเพียงใด สองแฝดคู่นี้แม้หน้าตา จะเหมือนกันจนแยกไม่ออกแต่ทว่านิสัยใจคอกลับแตกต่างกับลิบลับ คนหนึ่งนิ่งข
“อ๊ะ อื้ออออ”จุ๊บ! จ๊วบ! ปากหนาเลื่อนไปครอบยอดถันสีแดงก่ำ ทั้งไล่เลีย ทั้งดูดดึงดั่งทารกที่หิวโหย เฟยเฟิ่งที่พึ่งเคยถูกสัมผัสที่ลึกซึ้งถึงกับตัวอ่อนระทวย ปล่อยให้ร่างหนารุกเร้าอยู่อย่างนั้น ปากบางถูกเจ้าของขบกัดจนแดงก่ำ สองมือลูบไล้ไปตามร่างกายอันกำยำของสามีอย่างหลงไหล“ทะ ท่านพี่ ของ ของท่านมัน-” ร่างกายเปลือยเปล่าบดเบียดแนบชิดกันจนเฟยเฟิ่งรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งดุนดันอยู่ที่บั้นท้ายของนางอยู่“อะฮึ่ม! มันคงอยากมาเล่นกับเจ้ากระมัง มาเถิด ทำให้พี่ดูว่าที่เจ้าเล่าเรียนมานั้นจะใช้ได้จริงหรือไม่” ซีห่าวผละกายออกจากเฟยเฟิ่งพลางถอยไปพิงอ่าง สองแขนแกร่งยกขึ้นพาดขอบอ่างดั่งคุณชายเจ้าสำราญที่รอรับการปรนนิบัติ เฟยเฟิ่งที่ถูกทวงถามก็รีบเค้นบทเรียนที่เล่าเรียนมาปรนนิบัติให้สามีประทับใจ“อึก! ของท่านดูเหมือนจะใหญ่กว่าแท่งหยกที่เสด็จแม่นำมาสอน” เฟยเฟิ่งเอื้อมมือที่สั่นเทาไปแตะแท่งทวนของสามีที่อยู่ใต้น้ำ มือบางชักรูดเบาๆ พลางวนนิ้วโป้งบนปลายหยัก“อืมมมม ดี มือเจ้านุ่มเหลือเกิน ซี๊ดดด” ซีห่าวแหงนหน้าสูดลมเข้าปากด้วยความเสียวซ่าน เฟยเฟิ่งเห็นท่าทีของสามีก็ได้ใจรีบรูดรั้งแท่งทวนช้าบ้างเร็วบ้างหวังให้สา
“เป็นอย่างไรบ้าง มาให้แม่ดูเสียหน่อยว่าเรียบร้อยดีหรือไม่” ฮองเฮาหลี่เดินเข้ามาจัดชุดพิธีการสีแดงปักดิ้นทองที่เฟยเฟิ่งใส่อยู่ให้เป็นระเบียบมากขึ้น มือบางลูบไล้จัดแต่งเรือนผมของบุตรีพลางย้อนนึกถึงตอนที่เฟยเฟิ่งยังเป็นเด็กซุกซนวิ่งเล่นอยู่ในตำหนัก แต่มาบัดนี้เด็กน้อยแสนซนผู้นั้นกำลังจะได้ตบแต่งออกไปมีครอบครัวเป็นของตนเองแล้ว“ลูกงดงามหรือไม่เพคะ” เฟยเฟิ่งที่เห็นว่ามารดานิ่งเงียบไป จึงเอ่ยถามขึ้น“งดงาม แต่คงมิเท่าแม่ หึๆ”“โถ่! วันนี้เป็นวันสมรสของลูก เสด็จแม่จะมิยอมให้ลูกงดงามที่สุดบ้างเลยหรือเพคะ”“ฮ่าๆ ได้ๆ วันนี้แม่ให้เจ้างดงามที่สุด…เฟิ่งเออร์ แม้ตบแต่งออกไปแล้วแต่เจ้าก็ยังเป็นบุตรของแม่และเสด็จพ่อ หากว่าซีห่าวทำสิ่งใดให้เจ้าเจ็บช้ำน้ำใจขอเพียงเข้าบอกแม่ แม่จะให้เสด็จพ่อจัดการกับเขาเอง” ฮองเฮาหลี่อดเป็นห่วงบุตรีของตนมิได้ ด้วยเพราะตั้งแต่เกิดมาเฟยเฟิ่งมิเคยห่างจากอกบิดามารดาเลยสักครา“หึ อย่างซีห่าวนะหรือจะทำให้เฟิ่งเออร์เจ็บซ้ำน้ำใจ คงจะมีแต่คนของเรามากกว่าที่จะทำให้เขาปวดหัว” ฮ่องเต้เฟยหลงที่เพิ่งเดินเข้ามาเอ่ยเย้าบุตรของตน“โถ่ เสด็จพ่อละก็ ลูกมิได้ซุกซนถึงเพียงนั้นเสียหน่อย อีก
“อืม…แค่กๆ” เฟยฉีรู้สึกตัวขึ้นมาก็รู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย ตาคมมองไปรอบๆ ก็พบว่าตะเกียงในห้องของเขาถูกจุดสว่างไสว ความทรงจำสุดท้ายคือเขารู้สึกตาพร่ามัว ทั้งยังเจ็บปวดไปทุกส่วน และหลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดดับไป“องค์รัชทายาท ได้สติแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” จินเยว่ที่ฟุบหลับอยู่ข้างเตียงได้ ไม่นานก็ได้เสียงไอของคนบนเตียงเขาจึงได้สะดุ้งตื่นขึ้นมา จิเยว่รีบเดินไปรินน้ำอุ่นมาให้เฟยฉีทันที ร่างบางพยายามประคองร่างสูงให้ดื่มน้ำให้มากๆ ด้วยการขับพิษในครั้งนี้เฟยฉีเสียเลือดไปมาก“แค่กๆ จินเยว่” ปากหนาเอ่ยเรียกคนรักด้วยเสียงออดอ้อน ยังดีที่เฟยเทียนสั่งให้นางกำนัลเฝ้าอยู่หน้าห้องบรรทม ภายในห้องจึงมีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น“พ่ะย่ะค่ะ”“จินเยว่”“อึก! พ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาทมีสิ่งใดจะรับสั่งกับกระหม่อมหรือ” ดวงใจน้อยๆ ของจินเยว่ถึงกับกระตุกเมื่อเห็นแววตาเว้าวอนของคนรัก“เยว่เยว่ เยว่เยว่”“ว่าอย่างไร”“ข้าเจ็บไปทั้งตัวเลย ฮึก! ใจข้าก็เจ็บ” ร่างสูงโถมกายเข้าซุกซบกับอกของ จินเยว่จนล้มหงายหลัง“ชะ เช่นนั้นกระหม่อมจะไปนำยามาให้ องค์รัชทายาทปล่อยกระหม่อมก่อนพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่ หากข้าปล่อยเจ้า เจ้าก็จะหนีไป”“กระห
"ซี๊ดดดดด ตัวเล็กกระจิดริดเหตุใดจึงกัดเจ็บถึงเพียงนี้นะ”จินเยว่ที่กำลังเก็บสมุนไพรเงี่ยหูฟังเสียงที่ดังแว่วเข้ามาในหู ใบหน้าแสนน่ารักหันไปหันมาเพื่อสำรวจหาต้นเสียง เขาเดินไปตามเสียงที่ได้ยินสุดท้ายก็พบเข้ากับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังก้มๆ เงยๆ ล้างเลือดออกจากแผลบนมือ จินเยว่ขมวดคิ้วแน่นคิดไม่ตกว่าควรเข้าไปช่วยดีหรือไม่ หากเข้าไปช่วยจะเกิดเหตุการณ์ดังเช่นครั้งก่อนหรือไม่“เจ็บๆ หากรู้ว่ากัดเจ็บถึงเพียงนี้ อย่าหวังว่าข้าจะช่วย ข้าจะปล่อยเจ้าแห้งตายอยู่ในกับดักโง่ๆ นั่น ฮึ่ย!” เสียงบ่นกับตนเองของชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นทำให้จินเยว่อดยิ้มขำออกมามิได้ หากให้เขาคาดเดาชายหนุ่มผู้นี้คงจะช่วยสัตว์ที่ติดอยู่ในกับดักแต่ดันถูกสัตว์ตัวนั้นกัดมาเป็นแน่จึงได้มานั่งบ่นอยู่เช่นนี้น่าสงสารเสียจริง…“คิกๆ” จินเยว่หยุดหัวเราะออกมาโดยมิรู้ตัว“ใครน่ะ” แย่แน่แล้ว!!! จินเยว่รีบหลบไปอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ร่างบางตัวสั่นเทา ใจหนึ่งก็นึกกลัว แต่อีกใจหนึ่งก็อดสงสารชายหนุ่มผู้นั้นมิได้ หากชายหนุ่มถูกสัตว์มีพิษกัดเข้าเล่าจะทำเช่นไร“ข้าถามว่าใคร ออกมา! มิเช่นนั้นข้าจะถือว่าเจ้ามาร้าย” จินเยว่ได้ยินเสียงเข้มเอ่ยดังนั้นจ