หนิงเออร์กระวนกระวายอยู่หน้าประตูมาพักใหญ่ เหตุเพราะยังไม่มีเสียงของผู้เป็นนายเรียกให้เข้าไปปรนนิบัติ ปกติแล้วเจียวซินมักขึ้นมาปลายยามอิ๋น (03.00 – 04.59 น.) เพื่อแต่งกายและผัดหน้า ประทินผิว จากนั้นจึงไปรอรับเครื่องเสวยจากโรงครัวเพื่อนำไปให้ท่านอ๋องด้วยตนเอง แต่นี่จะเข้าปลายยามเหม่า (05.00 – 06.59 น.) แล้วก็ยังไร้วี่แววว่าเจียวซินจะตื่น
“หรือว่าพระชายาทรงประชวร มิได้การแล้ว” หนิงเออร์เอ่ยขอเข้าไปในห้อง และพุ่งพรวดเข้าไปในห้องทันที ตามมาด้วยนางกำนัลอีกสอง
“พระชายา พระชายาเพคะ ทรงประชวรหรือไม่เพคะ” สองมือของหนิงเออร์แตะลงบนแขนของผู้เป็นนาย
“ตัวมิได้ร้อน พระชายาจะเข้าปลายยามเหม่าแล้วเพคะ ประเดี๋ยวไปรับเครื่อง-”
“อื่ออออออ ตื่นแล้วๆ ข้าตื่นแล้ว” เจียวซินบิดตัวไปมาอยู่หลายรอบ มองไปก็คล้ายเด็กน้อยที่กำลังงัวเงีย หนิงเออร์เห็นเช่นนั้นได้แต่ลอบยิ้ม นานมาแล้วที่พระชายาไม่ได้เผยกิริยาเช่นนี้ให้นางเห็น
“หม่อมฉันเตรียมน้ำไว้แล้ว มาเพคะหม่อมฉันช่วย พวกเจ้าสองคนไปเตรียมของในห้องอาบน้ำเถิด” เจียวซินที่ยังไม่ได้สติดี ยกแขนให้หนิงเออร์เข้ามาช่วยประครองเดิน จนไปถึงในห้องอาบน้ำ หนิงเออร์ก็กำลังจะช่วยปลดผ้าให้ผู้เป็นนาย
“นี่เจ้าจะทำอะไร!?” เจียวซินเปิกตากว้าง รีบใช้สองมือรวบเสื้อผ้าบนตัวเอาไว้
“หม่อมฉันจะช่วยปลดผ้าเพคะ แล้วจะปรนนิบัติพระชายาตอนอาบน้ำเหมือนอย่างเคยเพคะ พระชายาทรงจำมิได้หรือเพคะ” หนิงเออร์เอ่ยเสียงสั่น เมื่อนึกขึ้นได้ว่านายของตนนั้นเป็นผู้ความจำหดหาย
“เอ่อ…เป็นเช่นเจ้าว่า ข้าจำไม่ได้เลย ต่อไปหากข้าลืมสิ่งใดเจ้าช่วยบอกข้าได้หรือไม่” เจียวซินเอาตัวรอดโดยการบอกไปว่านางจำไม่ได้ แต่แท้จริงแล้วนางเพียงตกใจ เพราะโลกเดิมนางไม่เคยอาบน้ำร่วมกับผู้ใดมาก่อน ยิ่งเป็นการปรนนิบัติขัดถูยิ่งแล้วไปใหญ่
“หม่อมฉันจะคอยบอกพระชายาเองเพคะ มาเถอะเพคะ หม่อมฉันปลดผ้าให้” หนิงเออร์ปลดผ้าให้นายของตน แล้วใหนางกำนัลสองคนพาไปนั่งในอ่าง หนิงเออร์และนางกำนัลทั้งสองช่วยกันขัดนั่นถูนี่ใช้เวลากว่าสามเค่อ (15 นาที) จึงแล้วเสร็จ วันนี้เจียวซินเลือกสวมใส่ผ้าที่สีอ่อนที่สุดเท่าที่มีอยู่ จางเจียวซินคนเดิมคงชื่นชอบสีสด เพราะเสื้อผ้าที่มีอยู่มีแต่พวกสีแดงสด สีส้มสด สีชมพูสด ดูแล้วแสบตาไปหมด
เห้ออออ คงต้องไปตัดเสื้อผ้าใหม่เป็นอันดับแรก
“หนิงเออร์ ข้าว่าไม่ต้องแต่งแต้มสิ่งใดให้มากมายหรอก แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
เจียวซินเอ่ยห้ามเมื่อเห็นหนิงเออร์กำลังจะใช้แป้งผัดหน้าสีแดงสดแตะลงบนแก้มนางเป็นครั้งที่สาม
“พอแล้วหรือเพคะ หม่อมฉันว่าสีมันดูอ่อนไปนะเพคะ แตะเพิ่มอีกนิดผู้คนได้ตกตะตลึงในความงดงามของพระชายาแน่เพคะ”
“เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ข้าหิวแล้วเมื่อวานข้ายังไม่ได้กินอะไรเลย” เจียวซินเอ่ยขัด หากแตะเพิ่มอีกครา คนคงตกใจใบหน้าของนางมากกว่าตกตะลึงเป็นแน่ ใบหน้าขาวเกินไปไม่เป็นธรรมชาติ แก้มและปากก็สีแดงสดจนเกินไป หนิงเออร์แต่งหน้าไม่เป็นสินะ ไม่เป็นไร! เดี๋ยวแม่จัดการเอง
ในโลกก่อนนางแต่งหน้าไปทำงานทุกวันอยู่แล้ว และยังศึกษาเรื่องแต่งหน้ามาเป็นอย่างดี วันหลังนางจะลองแต่งหน้าเอง วันนี้เอาแบบนี้ไปก่อน มันก็ไม่ได้ดูแย่เพียงแต่ยังไม่ถูกใจนางก็เท่านั้น
“เพคะ” หนิงเออร์เก็บของเสร็จและลุกขึ้นพยุงนายของตน
“จะพาข้าไปไหนหรือ”
“แต่เดิมพระชายาจะไปรับเครื่องเสวยให้ท่านอ๋องแล้วจะอยู่ร่วมรับอาหารกับท่านอ๋อง หากท่านอ๋องอนุญาตเพคะ”
“ห๊ะ! กับท่านอ๋อง ข้าไม่ไปได้หรือไม่ วันนี้ข้าอยากกินที่นี่ นะ นะ” เจียวซินพูดพร้อมทำทาทางออดอ้อนจนหนิงเออร์ยิ้มเอ็นดู นางเองก็มิอยากเห็นท่านอ๋องทำท่าทางรำคาญยามที่พระชายาขอร่วมรับอาหารด้วยเช่นกัน
“ได้เพคะ หม่อมฉันจะไปนำเครื่องเสวยมาให้เพคะ” เมื่อหนิงเออร์นำนางกำนัลอีกจากห้องไป สบโอกาสให้เขียงซินได้อยู่ตามลำพัง
“ระบบ ระบบ ออกมาเถอะ ระบบ ระบบๆๆๆ ไม่มีหรอวะ” เจียวซินร้องเรียกด้วยเสียงแผ่วเบา ตามที่นางเคยอ่านนิยายจากโลกก่อนมา ถ้าย้อนเวลามาเกิดใหม่มันมักจะมีระบบคอยบอกว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่นี่นางเรียกยังไงก็ไม่มีท่าทีตอบรับ
“ถ้าอย่างนั้น…ของวิเศษจงออกมา!!!” เงียบ...หรือว่าพูดเสียงเบาไปนะ
“มิติลับจงออกมา!!!” เงียบ...อะไรกันทำไมนางถึงไม่มีแบบในนิยายบ้างเลย หรือว่า…
“ท่านผู้เฒ่า แม่เฒ่า อยู่ไหม ออกมาได้เลยข้าอยู่คนเดียว ท่านอยู่ไหมมมมมม”
ฮึก ไม่มี ไม่มีอะไรเลย ความทรงจำเก่าของจางเจียวซินคนก่อนก็ไม่มี ไม่รู้สึกปวดหัวหรือมีภาพความจำไหลเข้ามาเลย
ฮื่ออออออ ต้องพึ่งตนเองงั้นหรือ
เมื่อเป็นดังนี้เจียวซินได้แต่กระฟัดกระเฟียดอย่างขัดใจ ไม่นานหนิงเออร์ก็ยกเครื่องเสวยเข้ามา เจียวซินจึงตัดสินใจทานอาหารก่อน เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้อง เมื่อท้องอิ่มนางก็จะคิดออกว่าจะทำยังไง
แหะๆ จริงๆ แล้วคือหิวน่ะ
“เรียกข้างั้นหรือ…”“จะ..เจ้าค่ะ ช่วยข้าเลือกกลิ่นเครื่องหอมได้หรือไม่เจ้าคะ” เฟยเทียนเดินเข้าใกล้เจียวซิน แล้วฉวยเอาข้อมือของเจียวซินขึ้นมา“ตรงนี้ใช่หรือไม่”“เจ้าค่ะ” สิ้นเสียงของเจียวซิน เฟยเทียนก้มหน้าลงจนปลายจมูกโด่งแตะลงบนข้อมือของเจียวซิน“อ๊ะ…” เหตุใด!! เหตุใดท่านอ๋องต้องเองจมูกแตะลงไปเช่นนั้นด้วยเล่า เจียวซินใจเต้นกับการกระทำนี้ไม่น้อย ตั้งแต่ที่นางมาอยู่โลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านอ๋องแสดงท่าทีใกล้ชิดกับนางเฉกเช่นสามีภรรยาคู่อื่น เมื่อนึกถึงจุดนี้ก็ทำเอาเจียวซินหน้าขึ้นสีระเรื่อ“อีกกลิ่นเล่า อยู่ตรงที่ใด” เฟยเทียนเอ่ยถาม มิใช่ว่าเขาไม่เห็นท่าทีขัดเขิน แต่เลือกที่จะปล่อยผ่าน มิอยากทำให้นางต้องอึดอัด เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาแตะเนื้อต้องตัวนางตั้งแต่ที่นางแต่งเข้ามา แต่ครั้งนี้…เขาแค่อยากรู้ อยากรู้ว่ากลิ่นเหล่านั้นจะหอมเพียงใด เมื่ออยู่บนตัวนาง“อยู่หลังมือ ข้างนี้เจ้าค่ะ” เจียวซินยื่นมืออีกข้างให้ท่านอ๋องลองดมกลิ่น เฟยเทียนแตะจมูกลงไปบนหลังมือเจียวซินอีกครั้งหอม หอมมากทั้งสองกลิ่น ไม่ว่ากลิ่นใดก็หอม“เอากลิ่นใดดีเจ้าคะ” เจียวซินเอ่ยถามออกไป แม้จะขัดเขินต่อการกระทำที่ไม่
..“ท่านอ๋องและพระชายาจะออกไปนอกจวน เจ้ารีบนำความไปบอกท่านพ่อเสีย อย่าให้ถูกจับได้” หญิงสาวรับคำสั่งจากผู้เป็นนายแล้วจึงเร่งรีบออกไปส่งข่าว..ด้านเฟยเทียนและเจียวซินที่กำลังนั่งรถม้าไปยังตลาดเทียบท่า ระยะทางค่อนข้างไกลต้องใช้เวลาเดินทางเกือบครึ่งชั่วยาม เจียวซินที่ได้ออกนอกจวนครั้งแรกถึงกับยิ้มไม่หุบ เปิดม่านดูบรรยากาศรายทาง ปากก็เอ่ยถามสิ่งที่แปลกตากับท่านอ๋อง จนลืมไปเสียสนิทว่าตนเองต้องอย่าล้ำเส้นท่านอ๋อง ส่วนเฟยเทียนก็ทำหน้าที่ตอบคำถามของชายาตน ภายในหัวก็คุ้นคิดว่าเจียวซินนั้นจะแกล้งเป็น จำมิได้หรือไม่ แต่คำตอบที่เขาได้คือ ดูอย่างไรนางก็ไม่มีท่าทีแกล้งหรือหลอกลวงใดๆ เขาเชื่อไปแปดในสิบส่วนแล้วว่านางจำสิ่งใดมิได้เลย“ท่านอ๋องคิดว่าหม่อมฉันจะเปิดสำนักศึกษาสำหรับชาวบ้านดีหรือไม่” เจียวซินเอ่ยถามขณะมองชาวบ้านตามท้องถนน“หากจะทำต้องมีเงินทองมากพอ เพราะชาวบ้านคงมิมีเงินทองสำหรับมา ใช้จ่ายค่าเล่าเรียน”“จริงของท่าน เช่นนั้นหม่อมฉันจะสอนลูกขุนนางและเชื้อพระวงศ์ไปด้วย สอนชาวบ้านไปด้วยดีหรือไม่เพคะ”“เหตุใดต้องไปสอนลูกขุนนางด้วยเล่า” เฟยเทียนเอ่ยถามเสียงนุ่ม เมื่อไหร่มิรู้ที่เขาหลงไหลไปกับ
เจียวซินที่กำลังจดจ่ออยู่กับการเลือกตำรา ก็เดินไปเรื่อยๆ อย่างแรก นางต้องรู้ก่อนว่าโลกที่นางอยู่ตอนนี้เป็นอย่างไร ต้องหาหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์หรือสังคม“กฎหมาย การรบ จารีต … แล้วประวัติศาสตร์อยู่ไหนกันล่ะ” เจียวซินเดินหาเท่าไหร่ก็มิเจอ หรือนางควรไปถามท่านอ๋องดี แต่ก็กลัวโดนท่านอ๋องตำหนิ อีกอย่างนางรู้สึกหมั่นไส้ เบื่อหน่าย รำคาญท่านอ๋องอย่างไรก็ไม่รู้เอ่อ ยอมรับก็ได้ว่างอน จริงๆ ก็ไม่ถึงกับงอนแต่แค่รู้สึกผิดหวัง รู้สึกเสียใจนิดๆ โมโหหน่อยๆ ก็เท่านั้น“ชิ หาเองดีกว่า ไม่ง้อหรอก”“เจ้าหาตำราใดอยู่งั้นหรือ” เฟยเทียนที่เข้ามาเงียบๆ เอ่ยถามขึ้น“เห้ย!! ท่านทำข้าตกใจ” เจียวซินยกมือขึ้นลูบหน้าอกตนเองเบา“ตกใจอันใดของเจ้า แล้วเจ้าหาตำราอันใดอยู่…ข้าจะช่วยหา” ประโยคสุดท้ายเฟยเทียนพูดเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน อีกทั้งยังแสดงอาการเก้งๆ กังๆ เหมือนมิค่อยแน่ใจในสิ่งที่ทำอยู่ด้านเจียวซินที่อยูใกล้ได้เห็นท่าทีและได้ยินทุกคำพูดของท่านอ๋อง จึงแอบลอบยิ้มทันทีหึ มาง้อข้าสินะ จะยอมพูดด้วยสักหน่อยก็ได้“จะช่วยหม่อมฉันหาหรือเพคะ”“หืม…ใช่ บอกมาว่าอยากได้ตำราอันใด” เฟยเทียนที่เริ่มขัดเขินกับการกระทำของตน
“ท่านเป็นเด็กหรือไร ถึงได้เขี่ยผักทิ้งเช่นนั้น” เจียวซินเอ่ยขึ้นเมื่อสังเกตเห็นเฟยเทียนเขี่ยผักที่ติดอาหารออก ทั้งยังคีบเมนูผักให้เฟยเทียนอีกด้วย“นี่เจ้ากล้า-” เฟยเทียนกัดฟันกรอด กล้าดีอย่างไรมาว่าให้เขาเป็นเด็ก แม้แต่องค์ฮ่องเต้ยังเอ่ยชมเขาอยู่หลายหนว่ามีความคิดเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่เขาอายุเพียงสิบห้าหนาว แต่นี่เขาอายุได้ยี่สิบห้าหนาวแล้ว นางยังกล้ากล่าวว่าเขาเป็นเด็ก ช่างกล้า ช่างกล้านัก!“ทานเสีย ผักมีประโยชน์ท่านมิรู้หรือ ถึงไม่ชอบก็ต้องทานนะเพคะ” เจียวซินวางผักที่คีบลงบนข้าวของท่านอ๋องด้วยความหวังดี“เจ้ามิต้องมาสอดเรื่องของข้า ทานของเจ้าไป!!” ด้วยกลัวจะเสียหน้าต่อหน้าขันทีและนางกำนัลที่เฝ้าอยู่ในห้อง เฟยเทียนจึงเขี่ยอาหารที่เจียวซินคีบให้ทิ้งและกล่าวตำหนิเจียวซินด้วยเสียงดุจนเจียวซินชะงักนางเพียงหวังดีเหตุใดจึงว่ากล่าวกันด้วยถ้อยคำเช่นนี้ หากไม่กินก็เพียงแค่บอกกล่าวกันเท่านั้น มันยากนักหรือ“เพคะ! หม่อมฉันจะมิสอดเรื่องของท่านอีก” เจียวซินไม่เข้าใจท่านอ๋อง แม้แต่น้อย แต่ก็ทำสิ่งใดไม่ได้ ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนนางอยู่ในห้องประชุมของโรงเรียนในโลกเก่า ไม่พอใจ ไม่เข้าใจ แต่ก็ทำอันใดไม
“งั้นเราไปเตรียมเครื่องเสวยเถิด วันนี้ข้าจะไปรับสำรับเช้ากับท่านอ๋อง” ว่าแล้วเจียวซินก็เดินตรงไปที่โรงครัวทันทีด้านเฟยเทียนกำลังนั่งฟังรายงานขององค์รักษ์เงาที่ส่งไปติดตาม เจียวซิน“พระชายามิได้ออกไปที่ใด ไม่ได้พบเจอผู้ใดเลยพ่ะย่ะค่ะ ส่วนมากจะนั่งเล่นที่ศาลาริมสระหรือไม่ก็ศาลาในสวนพ่ะย่ะค่ะ”“แล้วท่าทีของนางเป็นอย่างไร”“พระชายาดูเหมือนมิรู้สิ่งใดจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ พระชายามักสอบถามเรื่องต่างๆ จากหนิงเออร์ แม้แต่เรื่องการปฏิบัติตนยังถูกหนิงเออร์กล่าวเตือนอยู่หลายครั้ง พ่ะย่ะค่ะ”“อืม ติดตามดูต่อไป หากมีอันใดเร่งด่วนมาแจ้งข้าได้ทันที แล้วตอนนี้ใครดูแลนางอยู่”“เป็นหงฮวาและไป่ฮวาพ่ะย่ะค่ะ” องค์รักษ์เงากล่าวชื่อลับของเพื่อนทั้งสองด้วยความขัดเขิน“อ่าาา งั้นเจ้าคงเป็นหวงฮวาสินะ ฮึๆ” เฟยเทียนนึกไปถึงยามที่เขานำองค์รักษ์เงาทั้งสามคนไปพบเจียวซิน“พวกท่านมีชื่อหรือไม่”“พวกกระหม่อมถูกเรียกขานว่า อี เอ้อ และซาน พ่ะย่ะค่ะ”“อีกแล้วหรือ องค์รักษ์เงาของคนอื่นๆ ก็ถูกเรียกว่า อี เอ้อ ซาน มันซ้ำกับผู้อื่น หม่อมฉันขอเปลี่ยนชื่อพวกเขาใหม่ได้หรือไม่เพคะท่านอ๋อง” เจียวซินอยากเปลี่ยนชื่อองค์รักษ์เงาของ (สวาม
“หนิงเออร์ เหตุใดพวกนางต้องมาคารวะข้าแต่เช้าเช่นนี้ด้วย” เช้าวันนี้ เจียวซินถูกปลุกขึ้นมาแต่งกาย ผัดหน้าแต่เช้า เพื่อมานั่งรอบรรดาเมียๆ ของสวามี ตั้งแต่นางเข้ามาอยู่ในโลกนี้เกือบสิบวัน วันนี้เป็นวันที่เขาหงุดหงิดเป็นที่สุด สิบวันที่ผ่านมานางไม่ได้ทำอะไรเลย จะหยิบจับอันใดก็มีคนทำให้ทุกอย่างจน น่าเบื่อหน่าย ท่านอ๋องที่เคยบอกว่าจะพาไปค่ายทหารก็ผัดผ่อนมาเรื่อยๆ มีเพียงนำองค์รักษ์เงาสามคนที่จะให้ติดตามนางมาแนะนำให้รู้จักเท่านั้น นอกนั้นก็แทบจะมิได้เจอหน้ากัน แล้ววันนี้ยังจะต้องตื่นเช้ามารอรับการคำนับจากชายารองและอนุของสวามีอีก น่าเบื่อหน่ายเกินไปแล้ว คิดถึงเด็กนักเรียนของนางเสียจริง ตอนทำงานเป็นครู มิมีวันใดเลยที่ไม่ตื่นเต้นเพราะในแต่ละวันก็จะเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันแตกต่างกันไป“เป็นเวลานี้ปกติอยู่แล้วเพคะ ก่อนหน้านี้พระชายาประชวรจึงละเว้นการคำนับไปในช่วงนั้นเพคะ”“เอาเถิดๆ แล้วเมื่อไหร่พวกนางจะมา” พูดได้ไม่ทันขาดคำ เสียงของนางกำนัลหน้าห้องก็ดังขึ้น“ทูลพระชายา พระชายารองและอนุทั้งสามขอเข้าเฝ้าเพคะ”“ให้พวกนางเข้ามา”“คำนับพระชายาเอกเพคะ” ทั้งสี่คนกล่าวพร้อมกัน“อย่าได้มากพิธี พวกเจ้านั่ง