ณ สถานที่ถ่ายทำละครแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่หลายคนกำลังเตรียมเซ็ตฉากอย่างขะมักเขม้น เสียงจากห้องด้านข้างดังลอดออกมาเบา ๆ ห้องที่นักแสดงนำของเรื่องกำลังนั่งอ่านบทอยู่ไม่ไกลนัก
“ผ้าแพร ได้เวลาถ่ายทำต่อแล้ว มัวทำอะไรอยู่!” ผู้จัดการส่งเสียงเรียกดาราสาวดาวรุ่งผู้กำลังเป็นกระแสอยู่ในตอนนี้ “ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันตามไป” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นตอบเรียบ ๆ เธอคือ “ผ้าแพร” ดาราสาวที่เพิ่งเข้าสู่วงการ แต่กลับได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ทั้งที่เมื่อไม่นานมานี้ยังเป็นเพียงพนักงานในร้านสะดวกซื้อใจกลางเมือง ความสวยที่โดดเด่นสะดุดตานั่นเองที่ทำให้เธอถูกแมวมองชักชวนเข้าสู่วงการบันเทิง หลังจากผลงานเรื่องแรกออกฉาย กระแสตอบรับก็ถาโถมจนชีวิตของเธอเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เธอรีบเก็บบทละครแล้วเดินตามผู้จัดการเข้าไปในกองถ่าย ใช้เวลาอยู่หน้ากล้องตั้งแต่เช้าจรดเย็น จนร่างกายแทบหมดแรง ผ้าแพรเดินออกจากกองถ่ายพลางนวดไหล่เบา ๆ ความเหนื่อยล้าถาโถมเข้าใส่จนไม่อยากแวะไปไหนต่อ อยากกลับไปซบเตียงนุ่ม ๆ ที่บ้านมากกว่า เพื่อให้หน้าตาได้พักผ่อน และพร้อมสำหรับการถ่ายทำในวันพรุ่งนี้ “ให้พี่ไปส่งที่บ้านไหม?” ผู้จัดการสาวหันมาถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย “ไม่เป็นไรค่ะพี่ส้ม เดี๋ยวแพรขับรถกลับเองดีกว่า ตอนนี้ก็มืดมากแล้ว ไม่น่ามีใครเห็นหรอก ที่พักก็อยู่ไม่ไกลจากกองถ่ายเท่าไหร่ด้วย” เธอตอบพร้อมฝืนยิ้ม ไม่อยากรบกวนใคร เพราะรู้ว่าทุกคนต่างก็เหนื่อยล้ามาทั้งวันเช่นกัน เมื่อได้ยินคำตอบนั้น ผู้จัดการยังไม่วางใจ “ไม่ให้พี่ไปส่งจริง ๆ นะ ถ้าอย่างนั้นก็ขับรถกลับดี ๆ ล่ะ พี่กลับก่อนนะ” ผ้าแพรพยักหน้ารับ ขอบคุณอีกฝ่ายในใจ ก่อนจะเดินออกไปยังที่จอดรถ ขณะกำลังจะเปิดประตู เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าก็ดังขึ้นอีกครั้ง ทว่ามันเป็นเพียงเสียงข้อความ เธอจึงไม่ใส่ใจนัก รีบขึ้นรถแล้วสตาร์ทออกไปทันที รถแล่นด้วยความเร็วปานกลาง เส้นทางคุ้นเคยผ่านไปอย่างราบรื่น จนเหลืออีกไม่ไกลก็จะถึงที่พักแล้ว ทว่าเสียงแจ้งเตือนข้อความดังขึ้นอีกครั้ง… หนนี้ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ถึงสามครั้งติดกัน จนเธอเริ่มรู้สึกหงุดหงิด ‘ใครส่งข้อความมาตอนนี้กัน?’ เธอบ่นในใจ ก่อนจะเอื้อมมือไปควานหาโทรศัพท์ เปิดหน้าจอขึ้นดูอย่างเสียไม่ได้ สายตาผละจากถนนชั่วครู่เพื่ออ่านข้อความ “สิทธิ์พิเศษของผู้โดดเดี่ยว” เธอหลุดหัวเราะเบา ๆ ‘อะไรกันเนี่ย ข้อความไร้สาระชะมัด’ ขณะที่กำลังจะกดปิด ดันเผลอไปแตะที่ลิงก์แนบมากับข้อความ และเผลอกดยืนยันเข้าไปโดยไม่ทันระวัง ใจของเธอเริ่มเต้นแรง ความกลัวแล่นขึ้นมาทันที ‘หรือว่านี่จะเป็นมิจฉาชีพ!? เงินเก็บทั้งหมดของฉันจะปลอดภัยไหม?’ มือหนึ่งยังกุมพวงมาลัย ส่วนอีกข้างพยายามโทรหาเจ้าหน้าที่ธนาคารด้วยความลนลาน ทว่าในจังหวะที่สายตาหันกลับมามองถนนอีกครั้ง กลับเห็นแมวสีดำตัวหนึ่งพุ่งตัดหน้ารถไปอย่างรวดเร็ว! เธอตกใจสุดขีด รีบหักพวงมาลัยหลบ แต่ข้างทางกลับมีเสาไฟฟ้าตั้งตระหง่านอยู่ การหลบเลี่ยงไม่ทันทำให้รถพุ่งชนเสาเข้าอย่างจัง โครม! หัวของเธอกระแทกกับถุงลมนิรภัยแรงจนหมดสติทันที… “ตู๊ด!…” “สวัสดีค่ะ คุณลูกค้ามีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ” เสียงจากธนาคารดังขึ้นในสายที่เธอโทรไปเมื่อครู่ แต่เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับ สายก็ค่อย ๆ ถูกตัดไปในความเงียบ ทันใดนั้น หน้าจอโทรศัพท์ที่หล่นอยู่ก็ปรากฏข้อความขึ้นมาอีกครั้ง… “ท่านได้กดยืนยันเพื่อเข้าสู่ชีวิตใหม่ เพื่อบรรเทาความโดดเดี่ยว ณ สถานที่แห่งใหม่…” “ระบบจะเริ่มพาท่านเข้าสู่โลกใหม่ใน…” 3… 2… 1… ปิ้บ! ความเจ็บแปลบแล่นไปทั่วร่างทำให้เธอค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้น “โอ๊ย… เจ็บ! ใครมาหยิกฉันเนี่ย!” เสียงร้องหลุดจากปากทันทีที่รู้สึกตัว ภาพแรกที่เธอเห็น… ไม่ใช่คน ไม่ใช่สถานที่เดิม…แต่เป็นหัวของไก่ตัวหนึ่ง มันยืนอยู่ในระดับสายตา และจ้องเธอเขม็ง “ว้ากกกกก!” เธอกรีดร้องลั่น พยายามจะปัดมันออกไป แต่มือกลับขยับไม่ได้อย่างใจคิด ‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!?’ เธอได้แต่ตั้งคำถามในใจด้วยความสับสนปนหวาดกลัว เมื่อไก่ตัวนั้นหมดความสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มันก็เดินจากไปอย่างไม่ใยดี ผ้าแพรค่อย ๆ ปรับสายตา พยายามกวาดมองไปรอบตัว ทุกสิ่งรอบข้างดูใหญ่โตผิดธรรมชาติ ไม่ใช่แค่ใหญ่ธรรมดา แต่ใหญ่กว่าร่างของเธอราวกับเธอกลายเป็นสิ่งมีชีวิตตัวจ้อยในโลกของยักษ์ ‘นี่มันที่ไหนกัน… ทำไมทุกอย่างถึงได้ใหญ่โตขนาดนี้?’ เธอพรึบคิดในใจด้วยความสับสน หญิงสาวพยายามยกมือขึ้นมาตรวจดูให้แน่ใจ แต่ไม่ว่าจะพยายามขยับสักแค่ไหน แขนของเธอกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย มันยังคงแนบติดอยู่ในตำแหน่งเดิมราวกับถูกตรึงเอาไว้ เธอทำได้เพียงแค่มองเห็นโลกตรงหน้า แต่ไม่อาจตอบสนองได้ดั่งใจปรารถนา เมื่อหันสายตาไปด้านหน้า เธอสังเกตเห็นเล้าไก่ขนาดย่อมตั้งอยู่ห่างออกไปไม่มากนัก ตัวเล้าทำจากไม้เก่า ดูทรุดโทรมจวนเจียนจะพังลงมาทุกเมื่อ ใกล้กันมีบ้านหลังเล็กสร้างจากไม้ไผ่เก่า ๆ สภาพยิ่งย่ำแย่กว่ากันนัก หลังคาบางจุดแหว่งหาย รอยรั่วและรอยผุพังปรากฏชัดราวกับเวลาหลายปีได้กลืนกินมันไปทีละน้อย ‘เจ้าของบ้านนี้คงลำบากมากทีเดียว…’ เธอครุ่นคิด ขณะสายตากวาดมองไปรอบบริเวณ เธอเห็นเพียงไก่ป่าสองสามตัวเดินคุ้ยเขี่ยอย่างเชื่องช้า ดูแล้วคงเป็นสิ่งมีชีวิตไม่กี่ตัวที่ถูกเลี้ยงไว้ในบริเวณนี้ ทุกอย่างเงียบเชียบจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง ภาพตรงหน้าเหมือนฉากหนึ่งในความฝัน… หรือบางที อาจเป็นฝันร้ายที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นจริง ๆเมื่อคิดถึงฟ่านอิง เด็กน้อยก็คลานเข้ามาหานางพอดี เขายังดูน่ารักมากขึ้นทุกวัน ฮวาอี้อุ้มเขาไว้ในอ้อมแขน เดินชมร้านไปพลาง เด็กน้อยก็มองนางด้วยสายตาใสซื่อราวกับกำลังพยายามจดจำใบหน้าของผู้คนรอบตัวอย่างจริงจังเวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน จนถึงกำหนดวันแต่งงาน ฮวาอี้กลับไปพักที่บ้านของเหว่ยหยาง และเข้าไปเตรียมตัวที่ร้านในเมืองหลวงเมื่อถึงวันงาน เหว่ยหยางส่งเกี้ยวแปดคนหามมาอย่างยิ่งใหญ่เพื่อรับตัวเจ้าสาว ผู้คนริมทางต่างพากันชื่นชมและยินดี เมื่อเกี้ยวหยุดหน้าบ้าน เขาก็เป็นผู้มารับตัวนางด้วยตนเองฮวาอี้สวมชุดเจ้าสาวสีแดงสดงดงาม ผ้าคลุมหน้าสีเดียวกันปิดบังใบหน้าไว้ บนศีรษะประดับด้วยปิ่นที่เหว่ยหยางเคยมอบให้นางเมื่อครั้งก่อน แซมด้วยปิ่นหยกอันใหม่ที่ส่องประกายเจิดจรัสยิ่งนักหลังพิธีเสร็จสิ้น เหว่ยหยางพานางเข้าห้องหอ ซึ่งเป็นห้องเดิมที่นางเคยนอนป่วยอยู่ บัดนี้ถูกประดับตกแต่งด้วยผ้าแพรสีแดงสด ดูอบอุ่นและเป็นสิริมงคลยิ่งนัก“ฮวาอี้…” เขาเอ่ยเรียกนางเบา ๆ“เจ้าค่ะ” เสียงตอบรับของนางนุ่มนวล เจือความเขินอาย“ตอนนี้เจ้าเป็นภรรยาของข้าแล้ว ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเสียเปรียบอีก คืนนี้เจ้าตรวจร่างกายของข้าได้เต็มที
“เจ้าเช็ดน้ำลายเสียหน่อยเถิด” เหว่ยหยางเอ่ยยิ้ม ๆฮวาอี้รีบยกมือเช็ดปากทันที ทว่ากลับไม่มีอะไรอย่างที่เขาว่า นางจึงหันมามองเขาตาขวางเหว่ยหยางหัวเราะเสียงดัง เขารู้สึกว่าการมีนางอยู่ให้หยอกเย้าเช่นนี้ คือความสุขที่แท้จริงของเขา“ข้าอยากออกไปข้างนอกแล้ว” ฮวาอี้รีบเปลี่ยนเรื่อง“ได้เลย หากทุกคนได้เห็นเจ้า คงดีใจกันไม่น้อย โดยเฉพาะท่านแม่ของข้า” เขาตอบก่อนจะเข้ามาพยุงนาง แม้นางจะเดินได้แล้ว แต่เขาก็ยังคงห่วงใยอย่างไม่คลายฮวาอี้รับรู้ถึงความใส่ใจของเขา จึงยินยอมให้เขาช่วยพยุงโดยไม่ขัดขืน นางกลับรู้สึกอบอุ่น… อยากให้เขาเอาใจใส่เช่นนี้ตลอดไปจริง ๆเมื่อเดินออกมานอกเรือน กลับไม่พบผู้ใดอยู่เลยแม้แต่คนเดียว เป็นเรื่องแปลกที่ไม่มีบ่าวมาคอยดูแล“ทุกคนไปไหนกันหมดหรือ?” ฮวาอี้ถามอย่างสงสัย“ตอนนี้ท่านแม่ไปช่วยงานที่อีกเรือนหนึ่ง ข้าจะพาเจ้าไปดูด้วยตนเอง”“ช่วยงานอะไรหรือ? ที่นี่มีงานให้ทำด้วยหรือ?” นางถามอย่างแปลกใจเหว่ยหยางไม่ปล่อยให้ความสงสัยนั้นอยู่นาน เขาจูงมือนางมายังเรือนหลังหนึ่งซึ่งมีบ่าวรับใช้นั่งทำงานกันอยู่หลายคน และตรงกลางเรือนก็คือมารดาของเขาเมื่อสายตาของฮวาอี้มองไปยังสิ่งที่พวกเขา
“ข้าไม่ขอกลับไปยังโลกเดิมอีก… ในเมื่อที่แห่งนี้มีคนที่รักข้ารออยู่ ข้าย่อมไม่หนีเขาไปที่ใดได้อีก ท่านสามารถส่งข้ากลับไปได้หรือไม่?” หญิงสาวกล่าวด้วยเสียงสั่น น้ำตาไหลพรากลงมาตามพวงแก้มชายชราแย้มยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “หากเจ้าเลือกเช่นนี้ ตัวตนของเจ้าในโลกเดิมจะสูญสลายไปทันที… เจ้ายอมรับได้แล้วจริงหรือ?”“ข้ายอมรับ” ฮวาอี้ตอบด้วยแววตามุ่งมั่น น้ำเสียงหนักแน่นเปี่ยมความเชื่อมั่นเมื่อได้รับคำยืนยันอีกครั้ง ชายชราก็โบกมือเบา ๆ ภาพของร่างในโรงพยาบาลค่อย ๆ จางหาย พร้อมกับเรื่องราวในโลกเดิมที่นางเคยดำรงอยู่“บัดนี้ เจ้าหาได้มีตัวตนในโลกเดิมอีกต่อไปแล้ว… เจ้าจงใช้ชีวิตที่เจ้าเลือกให้คุ้มค่า ส่วนมิติที่ข้ามอบให้ จะยังคงอยู่ตราบจนลมหายใจสุดท้ายของเจ้า ขอให้เจ้าพบความสุขในสิ่งที่เลือกไว้เถิด”เมื่อกล่าวจบ ร่างของชายชราก็ค่อย ๆ เลือนหายไปจากสายตา เหมือนสายลมที่พัดผ่านฮวาอี้ตกใจ รีบร้องเรียกเสียงหลง “เดี๋ยวก่อนเจ้าค่ะ! ท่านยังไม่ส่งข้ากลับไปเลย ข้าจะกลับไปโลกนั้นได้อย่างไร!” นางโอดครวญอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดเขาจึงไม่เคยบอกอะไรให้นางรู้ล่วงหน้าสักครั้งแต่ไม่นานนัก เส้นทางสีขาวสว่างไสวก็ปรากฏขึ้นตร
ไป๋จิ้งอวี่รับดาบนั้นไว้ แต่แรงปะทะรุนแรงจนเขากระอักเลือดออกมา ร่างกายของเขาเองก็อ่อนแรงเต็มที ทว่าในห้วงสุดท้ายนั้น เขาก็เหลือบไปเห็นนักฆ่าคนสนิทปรากฏตัวขึ้น เขาซ่อนรอยยิ้มไว้ในเงามืด ศึกครั้งนี้เขายังไม่แพ้!นักฆ่าในชุดดำที่เพิ่งมาถึง รีบพุ่งเข้าหาด้วยความรวดเร็ว ดาบในมือฟาดลงมาเพื่อช่วยเจ้านายของตนโดยไม่ลังเลฮวาอี้ที่เห็นดังนั้น รีบผลักเหว่ยหยางให้พ้นทาง แล้วรับคมดาบแทน ร่างของนางทรุดลงทันทีตรงหน้าชายคนรัก“ไม่!!” เหว่ยหยางตะโกนลั่น ก่อนจะใช้ดาบในมือตวัดแทงทะลุร่างของไป๋จิ้งอวี่ทันที ศัตรูตัวฉกาจล้มลงในบัดดลเหว่ยหยางรีบโผเข้าประคองร่างของฮวาอี้ไว้ในอ้อมแขน “ฮวาอี้… เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่… อย่าเป็นอะไรไปเลย…” เสียงของเขาสั่นเครือ มือของเขากุมมือของนางไว้แน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นคมดาบเล่มนั้นปักกลางอกซ้ายของนางพอดี เลือดสีแดงไหลรินลงมาเปื้อนเสื้อคลุมสีอ่อนอย่างน่าสลดใจชายชุดดำอีกคนที่เหลืออยู่เห็นท่าไม่ดี พยายามหนีเอาตัวรอด แต่ยังไม่ทันพ้นระยะ ก็ถูกชายหน้าหวานผู้หนึ่งแทงร่างจนสิ้นใจไป๋เทียนวิ่งตรงเข้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ เมื่อมองเห็นหญิงสาวในอ้อมแขนของเหว่ยหยาง เขา
“เจ้าช่างปากหวานเสียจริง…” ฮวาอี้ยิ้มบาง “แล้วเจ้าส่งคนไปดูทางขบวนเจ้าบ่าวหรือยัง?”“ข้าน้อยส่งไปแล้วตามที่นายหญิงสั่งเจ้าค่ะ” ลัวหยูตอบด้วยความเคารพ นางไม่เข้าใจนักว่านายหญิงกังวลสิ่งใด เพราะเหว่ยหยางเองก็เป็นผู้มีฝีมือสูงส่ง ไม่มีใครกล้ารังแกได้ง่าย ๆ“ดี…ข้าค่อยวางใจได้หน่อย” ฮวาอี้พึมพำเบา ๆ พลางลูบต้นหญ้าปักกิ่งในมืออย่างแผ่วเบา หากเกิดเหตุร้ายใด ๆ ขึ้น นางยังมีวิธีช่วยเหลือเขาทางฝั่งของ เหว่ยหยางเขาสวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงเข้มอย่างสง่างาม แววตาเต็มไปด้วยความสุข ในที่สุด…วันที่เขารอคอยก็มาถึงระหว่างทางขบวนขันหมากกำลังเคลื่อนตัวอย่างสงบ ผ่านเส้นทางแคบในหุบเขา ท่ามกลางเสียงดนตรีและเสียงหัวเราะเบา ๆ ของผู้ร่วมขบวนกระทั่ง…เงาดำหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้า!ชายในชุดดำกระโจนออกมายืนขวางทางรถม้าอย่างไม่เกรงกลัวสายตาใด ๆ“นายท่าน! เกิดเรื่องแล้วขอรับ!”เสียงอู๋หยวนดังขึ้นอย่างร้อนรน ใบหน้าของเขาเคร่งเครียดผิดปกติ…“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” เหว่ยหยางขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด รู้สึกถึงลางร้ายบางอย่าง“มีชายชุดดำขวางหน้ารถม้าของเราขอรับ!”“ถ้าเช่นนั้น ฆ่ามันเสีย!” เขาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงกร้าว โม
“เจ้า…ปลูกมันขึ้นมาได้เช่นไร?” เขาเอ่ยถามเสียงสั่นอย่างไม่เชื่อสายตา“ข้าก็ปลูกมันลงในดินธรรมดาเท่านั้น มันก็ขึ้นมาเอง ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลยขอรับ” เหว่ยหยางพูดออกมาด้วยท่าทางโอ้อวดเล็กน้อยเจ้าของร้านขายยามองทั้งสองด้วยสายตาเคลือบความหมั่นไส้ แต่ในใจก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอันใด เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมิใช่เรื่องธรรมดา ต้นโสมสวรรค์จะเติบโตได้ต้องอาศัยปัจจัยบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ง่ายดาย เช่นเดียวกับโชคชะตาและบุญวาสนา และแม้จะอยากรู้ว่าอีกฝ่ายใช้วิธีใด แต่เรื่องนี้ก็ไม่สมควรถามออกไปตรง ๆ“แล้วต้นโสมต้นนี้… เจ้าจะนำกลับไปหรือไม่? หากไม่ ข้าขอซื้อต่อในราคาที่สูงกว่าหลายเท่า” เขาถามพลางจับต้นโสมแน่นราวกับกลัวว่ามันจะหลุดมือเหว่ยหยางแย้มยิ้มบาง “หากไม่ใช่เพราะท่านมอบเมล็ดให้ข้า ข้าก็ไม่มีวันได้ต้นโสมต้นนี้มา ข้ามอบมันให้ท่านโดยไม่คิดสิ่งตอบแทนใด ๆ ถือว่าข้าได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้แล้ว และเมื่อสัญญานั้นสิ้นสุด ข้าก็ไม่แน่ใจว่าจะได้กลับมาพบท่านอีกหรือไม่”เจ้าของร้านขายยาพลันยิ้มกว้างด้วยความยินดีที่ได้ต้นโสมสวรรค์มาโดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่ตำลึงเดียว แต่เมื่อได้ยินว่าเหว่ยหยางจะจากไป ก