Home / วาย / เกิดใหม่เป็นมารดาใจร้าย / บทที่ 5 ผู้ป่วยนิรนามคนนั้น

Share

บทที่ 5 ผู้ป่วยนิรนามคนนั้น

last update Last Updated: 2025-10-12 12:26:02

ผ่านไปหนึ่งวันกับหนึ่งคืนไป๋หลินกับทุกคนก็เดินทางถึงเมืองหลวงเว่ยโจวในยามเหม่า พอถึงบ้านเดิมพี่สะใภ้ใหญ่ไป๋หลินก็ถึงกับตะลึง เพราะบ้านเดิมของพี่สะใภ้ใหญ่ดูจากขนาดบ้านแล้วต้องรวยมากแน่ ๆ มีทั้งบ่าวรับใช้มาเปิดประตูให้ด้วย แต่ลองพินิจดูแล้วมันไม่ใช่บ้านแต่เป็นจวนขุนนางมากกว่า ทำไมไป๋หลินไม่รู้มาก่อนเลยว่าบ้านเดิมพี่สะใภ้ใหญ่จะรวยขนาดนี้ แล้วท่านพ่อท่านแม่ของพี่หลิงฉีทำไมถึงยอมให้แต่งงานกับพี่ใหญ่ที่เป็นชาวบ้านธรรมดาละ ในหัวตอนนี้มันมีคำถามเต็มไปหมด

ส่วนพี่รองกับครอบครัวก็ขอแยกตัวไปบ้านเดิมของพี่สะใภ้รองที่ห่างจากบ้านพี่หลิงฉีไม่ไกลมากนัก ทุกคนนัดรวมตัวกันที่บ้านพี่หลิงฉียามซื่อ เพราะจะได้พากันออกไปเดินชมเมืองชมตลาดก่อน พรุ่งนี้ถึงจะได้ไปดูโรงหมอตระกูลหวงโดยจะให้พี่ใหญ่ของพี่หลิงฉีพาเข้าไปดู

เมื่อถึงยามยามซื่อตามที่นัดกันไว้ทุกคนก็พากันออกไปเดินชมเมืองหลวง คนที่ตื่นเต้นที่สุดก็คงไม่พ้นไป๋หลินกับลูกแฝด ทั้งห้าคนยังไม่เคยมาเมืองหลวงเลยสักครั้ง หลัวฟางนั้นเคยมาหลายครั้งแล้วเพราะของที่ใช้สร้างบ้านบางชิ้นไม่มีขายในหมิงโจวหลัวฟางกับท่านพ่อก็ต้องเดินทางมาสั่งเอง แต่จะเดินทางด้วยม้าเช่าจะเร็วและสะดวกกว่า

คณะเดินทางจากหมู่บ้านถงหยางเมื่อถึงย่านการค้าของเว่ยโจว ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปเดินเองแต่ละครอบครัว แล้วนัดกันไว้ว่าประมาณยามเซินจะมาเจอกันที่โรงเตี๊ยมกู๋เฟิง ส่วนเรื่องอาหารกลางวันจะหากินกันเองที่ตลาดแล้วตอนเย็นค่อยไปกินข้าวที่บ้านพี่สะใภ้ใหญ่พร้อมกัน และจะได้ทำความรู้จักพี่ชายคนโตของพี่หลิงฉีด้วย

ไป๋หลินกับลูก ๆ เดินเข้าร้านโน้นออกร้านนี้เป็นว่าเล่น ในมือของสี่แฝดก็เต็มไปด้วยของกินและขนมมากมาย ก็ซื้อจนเกือบทุกร้านที่เดินเข้าไปดู แม้แต่หลัวฟางมือสองข้างก็ไม่ว่างจับมือลูกเลย เพราะต้องถือของที่ภรรยาซื้อจนถือเต็มสองมือ แต่หลัวฟางก็ไม่ได้บ่นหรือรำคาญพฤติกรรมที่ไป๋หลินทำในตอนนี้ เขากลับมองว่ามันน่ารักน่าเอ็นดูเวลาลูกเมียพากันเล่นซนแบบนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงบ่นที่ไป๋หลินใช้เงินฟุ่มเฟือยที่มักซื้อให้ตัวเองไม่เผื่อลูกแต่กลับซื้อไปให้บ้านลี่แทน พอมาวันนี้ทุกอย่างที่ซื้อนั้นจะคำนึงนึกถึงลูกทั้งสี่ก่อนเสมอและยังคิดเผื่อสามีแบบเขาอีกด้วย ระยะหนึ่งเดือนที่ผ่านมาไป๋หลินเปลี่ยนแปลงตัวเองไปมาก หลัวฟางยอมรับว่าตนเองก็ตกหลุมรักภรรยาตัวเองเข้าให้แล้ว

ระหว่างที่หลัวฟางกำลังตกอยู่ภวังค์ความคิดของตัวเองอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากชายกลุ่มหนึ่งที่เดินผ่านหน้าเขาไปในร้านขายผ้า แล้วตามมาด้วยเสียงทำลายข้าวของและเสียงภรรยาเขากำลังด่าทอชายกลุ่มนั้นอยู่ หลัวฟางไม่รอช้ารีบว่างข้าวของในมือแล้วรีบวิ่งเข้าไปในร้านทันที แต่พอเข้าไปก็เจอกับภรรยากำลังจับชายฉกรรจ์ที่ตัวใหญ่กว่าหลายเท่าทุ่มลงพื้น ส่วนคนอื่นที่มาด้วยกันต่างก็นอนโอดครวญอยู่บนพื้นในสภาพเจ็บหนัก

"ไป๋หลิน" หลัวฟาง

"ท่านพ่อ ท่านดูสิท่านแม่เก่งมาก สามารถจัดการกับคนชั่วที่จะมาทำร้ายท่านป้าเจ้าของร้านได้ด้วย" ลู่เซียน

"ใช่ ๆ คนพวกนี้เข้ามาทำลายข้าวของในร้าน ท่านแม่จัดการให้หมอบเลยนะขอรับ" ลู่ตง

หลัวฟางถึงจะรู้ว่าภรรยาตัวเองนั้นเรียนกังฟูและมีพลังลมปราณ แต่ก็ไม่นึกว่าจะฝีมือร้ายกาจถึงเพียงนี้ ไป๋หลินจัดการชายฉกรรจ์ทั้งหกคนด้วยตัวคนเดียว โดยที่ไม่มีร่องรอยของบาดแผลเลย ระหว่างนั้นหลัวฟางหันไปเห็นสตรีที่อายุน่าจะมากกว่าเขากับภรรยา ที่กำลังกอดเด็กชายทั้งสองคนพากันนั่งแม่ร้องไห้ที่ต้องมุมร้าน คงจะกลัวคนพวกนี้มากแน่ ๆ

"ท่านกับลูกเป็นอย่างไรบ้างพี่สาว" หลัวฟาง

"ข้าไม่เป็นไร ดีที่ภรรยาท่านช่วยข้าไว้" เจ้าของร้านผ้า

"ไม่เป็นไรขอรับ" หลัวฟาง

หลังจากสถานการณ์สงบลงไป๋หลินกับสามีได้ทำการมัดชายฉกรรจ์ทั้งกลุ่มนั้นไว้ เพื่อเตรียมที่จะนำไปส่งที่ศาลต้าเว่ย ก่อนไปสองสามีภรรยาบ้านถานรองได้สอบถามสาเหตุว่าทำไมอันธพาลพวกนี้ ถึงได้หมายจะมาทำร้ายเจ้าของร้าน พอสอบถามจึงได้รู้ว่าเจ้าของร้านชื่อเหนิงกั๋วส่วนลูกชายสองคนชื่อต้าเฟิ่งกับต้าเหลียน เหนิงกั๋วเป็นแม่หม้ายสามีตายเพราะถูกลอบทำร้าย แต่ยังไม่สามารถจับคนร้ายได้สักทีส่วนคดีก็ถูกปิดไปแล้ว แต่เหนิงกั๋วสงสัยว่าเป็นฝีมือของเถ้าแก่หง เพราะคนที่มาทำร้ายวันนี้ก็เป็นคนของเถ้าแก่หง เจ้าของร้านผ้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง สาเหตุหลักคงมาจากที่เถ้าแก่หงต้องการจะซื้อที่ดินตรงร้านนี้

เถ้าแก่หงได้มาเจรจากับสามีตนหลายครั้ง แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะที่ของร้านผ้าแห่งนี้เป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ สามีจึงหวงแหนมากไม่ยอมขาย ก่อนที่สามีจะถูกทำร้ายเถ้าแก่ได้มาเจรจาอีกครั้งแต่ครั้งนี้ทั้งคู่มีปากเสียงกันทะเลาะกันใหญ่โต สามวันต่อมาสามีก็ถูกทำร้ายจนเสียชีวิตที่ท้ายตลาด พองานศพสามีของเหนิงกั๋วผ่านได้สองวันเถ้าแก่หงก็ส่งคนมาขอซื้อที่ดินอีกครั้ง แต่เหนิงกั๋วไม่ยอมขายและถูกข่มขู่จากเถ้าแก่หงอีกด้วย ร้านที่เคยขายดีก็ถูกปล่อยข่าวลือใส่ร้ายจนไม่มีลูกค้ากล้าเข้าร้าน ไป๋หลินกับครอบครัวถือเป็นลูกค้าคนแรกในรอบหนึ่งเดือน แต่ก็มีคนของเถ้าแก่หงมาก่อความวุ่นวายซะก่อน

"พี่เหนิงกั๋วไม่ต้องห่วงวันนี้ข้าจะพาท่านไปร้องทุกข์ที่ศาลต้าเว่ยเอง" ไป๋หลิน

"จริงเหรอ แต่ข้าเคยได้ยินมาว่าศาลต้าเว่ยมีไว้ต้อนรับคนใหญ่คนโตเท่านั้น ข้าเลยไม่กล้าไปร้องทุกข์" หนิงกั๋ว

"ไม่ต้องห่วงท่านได้ร้องทุกข์แน่วันนี้ เราไปกันเถอะ" ไป๋หลิน

การมาเมืองหลวงครั้งนี้นอกจากจะมาศึกษาโครงสร้างโรงหมอแล้ว ไป๋หลินกับหลัวฟางต้องการมาสืบหาว่าเซียวเห่อผู้ป่วยนิรนามคนนั้นว่าเป็นใครกันแน่ แล้วเขาเป็นคนดีหรือไม่จะได้ไม่ค้างคาใจ ไป๋หลินกลัวว่าตนเองจะช่วยคนไม่ดีให้รอดชีวิตกลับไปก่อความเดือดร้อนให้คนอื่น

"พวกเราไปศาลกันเถอะ" หลัวฟาง

ไป๋หลินกับหลัวฟางรีบพากลุ่มคนร้ายกับเหนิงกั๋วไปศาลต้าเว่ยทันที โดยที่เหนิงกั๋วเป็นคนนำทางพาไปเส้นทางลัด เพราะไม่อยากให้เป็นที่จับตามองของคนย่านการค้าเท่าไหร่ สองสามีบ้านถานรองก็ไม่ขัดอะไร ทั้งคู่บังคับให้คนร้ายทั้งหกเดินตาม โดยมีเชือกมัดเชื่อมต่อแล้วจูงให้เดินตามหลัง ใช้เวลาไม่นานก็ถึงศาลต้าเว่ย เหนิงกั๋วจึงรีบไปตีกลองร้องทุกข์ทันที เมื่อตีเสร็จไม่นานก็มีคนของศาลต้าเว่ยมาเปิดประตู จึงสอบถามว่ามาตีกลองร้องทุกข์ด้วยสาเหตุอันใดมีอะไรให้ช่วย เหนิงกั๋วจึงเล่าว่ามีชายฉกรรจ์หกคนมาทำลายข้าวของในร้านเสียหาย แต่โชคดีมีคนมาช่วยและจับคนร้ายมาส่งศาลต้าเว่ย พอคนของศาลได้ฟังก็คิดว่าเป็นเรื่องทะเลาะวิวาททั่วไปจึงได้ออกปากไล่เหนิงกั๋วกลับไป แล้วให้ไปแจ้งศาลเมืองแทน แต่พอไป๋หลินได้ยินแบบนั้นก็โมโหทันที

"นี้ใต้เท้าท่านจะมาบอกว่าเป็นเหตุทะเลาะวิวาทเล็กน้อยเลยจะไม่สอบสวนก่อนเหรอ" ไป๋หลิน

"เจ้าเป็นใครมายุ่งอะไรด้วย ก็แค่คนทะเลาะวิวาทไปแจ้งศาลเมืองไป อย่ามาก่อกวนการทำงานของศาลต้าเว่ย" องครักษ์

"ข้าพึ่งรู้ว่าศาลต้าเว่ยทำงานมักง่ายถึงเพียงนี้" หลัวฟาง

"เจ้ากล้ามากนะที่มาดูถูกศาลต้าเว่ย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือองครักษ์คนสนิทของผู้บัญชาการศาลต้าเว่ยจวินอ๋องอนุชาขององค์ฮ่องเต้เลยนะ คราวนี้ครอบครัวเจ้าต้องเดือดร้อนแน่" องครักษ์

"เหรอข้าก็อยากรู้ว่าข้าจะเดือดร้อนยังไง งั้นช่วยดูป้ายนี้หน่อยว่าเป็นของใคร ท่านพี่ข้าขอป้ายหยกหน่อย" ไป๋หลิน

ไป๋หลินไม่รู้หรอกว่ายศหรือลำดับขั้นมันวัดกันยังไง แต่เขาสังเกตเห็นว่าป้ายขององครักษ์คนนี้เป็นเพียงป้ายไม้แกะสลักธรรมดาและมีตัวอักษรเลขลำดับสลักว่าแปด เขาจึงเดาว่าเจ้าของป้ายหยกอันนี้ในป้ายไม่มีเลขลำดับแต่น่าจะยศสูงกว่าเจ้าองครักษ์ขี้อวดคนนี้แน่นอนถ้าเทียบจากวัสดุที่ใช้ทำป้าย หลัวฟางหยิบเอาป้ายหยกออกมาให้ภรรยาไป๋หลินรับมาแล้วรีบชูให้เจ้าองครักษ์จอมขี้อวดดูทันที

"นี่ นี่มัน" องครักษ์

"จวินอ๋องเสด็จใครกันกล้ามาขวางทาง" องครักษ์

ในระหว่างองครักษ์จอมขี้อวดกำลังตกใจอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นจากทางด้านหลังตะโกนบอกว่าจวินอ๋องมาทุกคนจึงหันไปดู ก็เห็นเป็นขบวนเสด็จของจวินอ๋องจริง ๆ ส่วนคนในรถม้าประจำตำแหน่งได้ยินเสียงองครักษ์ประจำตัวส่งเสียง จวินอ๋องจึงสงสัยเลยลงจากรถม้าเพื่อมาดูว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น พอลงมาแล้วก็ได้เจอกับผู้มีพระคุณที่เคยช่วยชีวิตเขาให้รอดตายมาได้

"มีเหตุอันใดกัน" จวินอ๋อง

เมื่อทุกคนเห็นว่าจวินอ๋องเสด็จลงจากรถม้าจึงรีบคุกเข่าทำความเคารพ แต่มีเพียงบ้านถานรองกับเจ้าของร้านผ้าและลูกเท่านั้นที่ยังยืนงงมองหน้ากัน

"บังอาจยิ่งหนัก รีบคุกเข่าทำความเคารพท่านอ๋องเดี๋ยวนี้" องครักษ์

องครักษ์จอมขี้อวดที่เห็นว่าคนที่มาร้องทุกข์ไม่ยอมคุกเข่า จึงได้รีบเตือนเพื่อทำให้เห็นว่าเขาทำหน้าที่เฝ้าประตูศาลต้าเว่ยได้อย่างยอดเยี่ยม

"ทำไมข้าต้องคุกเข่า" ไป๋หลิน

"เอาละไม่ต้องมากพิธี" จวินอ๋อง

 จวินอ๋องทรงตรัสไม่ให้องครักษ์เฝ้าประตูเอาความกับครอบครัวบ้านถานรอง ไป๋หลินกับหลัวฟางที่เห็นพระพักตร์ของจวินอ๋องชัด ๆ ก็ถึงกับตะลึง เพราะจวินอ๋องกับผู้ป่วยนิรนามที่พวกเขาสองคนกำลังจะตามหาคือคนคนเดียวกัน สวรรค์ทำไมทำกับข้าแบบนี้ นี้ข้าได้รักษาขาทองคำให้รอดตายเลยนะ สี่แฝดเองก็จำได้เพราะตอนที่ท่านลุงคนนี้อยู่ที่บ้านพวกเขาเคยแอบท่านแม่ไปดูว่าเมื่อไหร่ท่านลุงจะฟื้นสักที

"ท่านแม่ นี่มันท่านลุงคนนั้น" ลู่ตง

"ใช่ ๆ ข้าจำได้ ท่านแม่เคยรักษาเขา" ลู่เซียน

"นี้ท่านลุงฟื้นแล้วเหรอขอรับ" ลู่ถิง

"แล้ว แล้วท่านหายไปไหนมาขอรับ แล้วทำไมท่านมาอยู่ที่เมืองหลวงได้" ลู่ฉิน

สี่แฝดด้วยความเป็นเด็กจึงเอยถามออกมาด้วยความสงสัย ส่วนเหล่าองครักษ์ที่ติดตามก็ถึงกับขนลุกแทนเด็กน้อยทั้งสี่ที่ไปถามกับบุคคลที่ไม่ควรถาม เพราะจวินอ๋องนั้นใครก็ลือไปทั่วแผ่นดินต้าเว่ยว่าโหดเหี้ยมไม่ชอบเด็กเอามาก ๆ สงสารเด็กแฝดกับพ่อแม่ของเด็กจริง ๆ

แต่หารู้ไม่ข่าวลือทั้งหมดนั้นไม่ใช่เรื่องจริงตรงที่เขาไม่ชอบเด็กจวินอ๋องนั้นชอบเด็กเอามาก ๆ ส่วนเรื่องความโหดเหี้ยมก็จริงอยู่นะแต่เฉพาะกับพวกขุนนางชั่วเท่านั้น จวินอ๋องเป็นคนให้องครักษ์คนสนิทปล่อยข่าวเองเพียงเพราะไม่ต้องการให้เหล่าขุนนางจอมโลภเข้ามาข้องเกี่ยวหรือหาผลประโยชน์ด้วยเท่านั้น และสิ่งที่จวินอ๋องไม่ชอบที่สุดคือส่งลูกสาวลูกเกอมาเสนอตัวให้ มีหลายตระกูลที่หลงผิดทำเช่นนั้นไม่นานล่มสลายไปหลายตระกูล บางตระกูลก็ถึงกับหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ของต้าเว่ยไปเลยก็มี

"ฮ่า ฮ่า ลุงรีบมาทำธุระที่บ้าน พอฟื้นเลยไม่ได้ทักทายพวกเจ้าเลยขอโทษด้วย เอาแบบนี้ไหมวันนี้ไปท่านข้าวเที่ยงและมื้อเย็นที่บ้านลุงดีกว่า มีอาหารอร่อยเยอะเลย" จวินอ๋อง

"อร่อยเท่าที่ท่านแม่ทำหรือเปล่าขอรับ ถ้าอร่อยข้าถึงจะไป" ลู่เซียน

"นั้นสิ เพราะท่านแม่ทำอร่อยที่สุดในโลกเลยนะขอรับ" ลู่ตง

"แล้วมีขนมด้วยหรือไม่ขอรับ" ลู่ฉิน

"จริงด้วย ท่านแม่ทำขนมอร่อยมาก" ลู่ถิง

"หึ ลุงอยากลองกินอาหารฝีมือแม่พวกเจ้าแล้วสิ งั้นท่านหมอไป๋หลินช่วยลองทำอาหารให้ข้าทานได้หรือไม่ ส่วนท่านหลัวฟางวันนี้อยู่ดื่มกับข้าหน่อยนะ ข้าอยากแนะนำคนในจวนให้รู้จักกับผู้มีพระคุณของข้าสักหน่อย" จวินอ๋อง

"พ พ่ะย่ะค่ะ" ไป๋หลิน

"พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง" หลัวฟาง

หลัวฟางกับไป๋หลินที่ยังมึนงงไม่หายได้แต่รับปากไปก่อน หากเกิดขัดใจจวินอ๋องมีหวังหัวหลุดจากบ่าแน่

"ส่วนเรื่องคดีร้านผ้าตระกูลเหม่า เดียวข้าจะให้คนของศาลต้าเว่ยไปสืบคดีด้วยตัวเองตั้งแต่เริ่มต้น ทั้งคดีของเถ้าแก่เหม่าที่ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต ข้าจะขอประทานอนุญาตจากฮ่องเต้ให้สืบคดีใหม่ ส่วนเจ้าองครักษ์เฝ้าประตูแต่ชอบติดสินบนพวกพ่อค้าชั่วเช่นเจ้าควรถูกเนรเทศไปชายแดน" จวินอ๋อง

"ฮึก ขอบพระทัยเพค่ะ ท่านอ๋อง ฮึก ฮึก" เหนิงกั๋ว

จวินอ๋องกล่าวจบเหนิงกั๋วก็กอดลูกร้องไห้ด้วยความดีใจ ที่คดีของสามีถูกสืบสวนใหม่อีกครั้ง ส่วนเรื่องชายฉกรรจ์ทั้งหกคนจวินอ๋องก็จะช่วยลงโทษเช่นกัน ส่วนองครักษ์เฝ้าประตูก็ได้แต่ร้องขอให้จวินอ๋องอภัยโทษและบอกว่าสำนึกผิดจะไม่ทำอีกแล้ว แต่จวินอ๋องไม่ยอมใจอ่อนสั่งให้องครักษ์ส่วนพระองค์รีบนำตัวคนชั่วไปลงโทษ เพราะมีหลายครั้งที่องครักษ์ผู้นี้รับสินบนนำความเคลื่อนไหวภายในศาลต้าเว่ยไปบอกคนนอก และยังเป็นสายให้กับพวกขุนนางชั่วอีกด้วย

เหล่าองครักษ์ที่พึ่งมาเข้าสังกัดกับท่านอ๋องเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็ประจักษ์แล้วข่าวลือมีทั้งจริงและไม่จริง เรื่องความโหดนั้นเป็นความจริงแน่นอน แต่ก็เฉพาะผู้ที่กระทำความผิดเท่านั้น บางคนถึงกับสัญญาในใจว่าจะไม่ทำผิดแบบนี้แน่นอนเพราะกลัวไม่รอดชีวิต

จวินอ๋องชวนครอบครัวบ้านถานรองขึ้นรถม้าไปด้วยกัน ส่วนเหนิงกั๋วกับลูก ๆ ท่านอ๋องให้องครักษ์หารถม้าและอารักขาไปส่งที่ร้านผ้าตระกูลเหม่า ยังให้องครักษ์ช่วยเก็บกวาดร้านข้าวของชิ้นไหนเสียหายก็ซื้อเข้าร้านใหม่ โดยที่จวินอ๋องเป็นคนออกเงินให้ทั้งหมด แถมยังช่วยแก้ข่าวลือให้อีกด้วย

"เออ ท่านอ๋อง ขอ เออ พ่ะย่ะค่ะ" ไป๋หลิน

"ไม่ต้องมากพิธีหรอกเรียกข้าว่าพี่เซียวเห่อเถอะ เจ้าก็ด้วยหลัวฟางเรียกพี่เซียวเห่อก็พอ" จวินอ๋อง

"ขอรับ พี่เซียวเห่อ" หลัวฟาง

"งั้นข้าขอถามท่านหน่อย ทำไมถึงรู้จักชื่อข้าได้ ในตอนนั้นท่านยังไม่ฟื้นแล้วข้ากับท่านยังไม่ได้คุยกันเลยนะ ขอรับ" ไป๋หลิน

"หึ ยังมีอะไรที่เจ้ายังไม่รู้อีกเยอะ เอาแบบนี้วันนี้ค้างที่จวนข้าสักคืน ข้าจะได้เล่าให้เจ้าสองผัวเมียฟังอย่างละเอียด ฮ่า ฮ่า" จวินอ๋อง

"ก็ได้ขอรับ แต่ว่าข้ามีนัดกับพี่ชายที่โรงเตี๊ยมกู๋เฟิงในเมืองคงต้องกลับไปแจ้งพวกเขาก่อน" ไป๋หลิน

"ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวข้าส่งคนไปแจ้งข่าวให้พวกเขามาทานมื้อเย็นที่จวนอ๋องด้วยกัน เพราะข้ารู้จักพวกเขาดี ฮ่า ฮ่า" จวินอ๋อง

เสียงหัวเราะของจวินอ๋องดังจนเล็ดลอดออกมาข้างนอกจนองครักษ์เสื้อแพรประจำพระองค์ถึงกับได้แต่ส่ายหัวในความขี้เล่นของนายตัวเอง สงสัยคงจะหลอกล่อหาเพื่อนดื่มได้สำเร็จแล้วเป็นแน่ คืนนี้พวกเขาคงต้องได้หิ้วปีกนายตัวเองเข้าห้องบรรทมอีกแน่เลย

จวินอ๋องหรือองค์ชายรองเซียวเห่อเป็นโอรสของอดีตฮ่องเต้กับอดีตฮองเฮา เป็นพระอนุชาร่วมอุทรเดียวกันกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน อายุ 31 ปีแล้ว ระหว่างทางที่กลับไปจวนอ๋องจวินอ๋องเล่าให้ไป๋หลินกับหลัวฟางฟังว่าวันนั้นที่ได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากถูกลอบทำร้ายจากกลุ่มนักฆ่าจากต่างแคว้น พอดีว่าวันนั้นเขากับเหล่าองครักษ์ได้ออกไปตามหาบัวหิมะ เพื่อทำเป็นยารักษาพี่สะใภ้หรือฮองเฮาองค์ปัจจุบันที่ตอนนี้กำลังป่วยเป็นโรคประหลาด ทางหมอก็บอกว่าถ้ามีบัวหิมะจะสามารถรักษาฮองเฮาได้ ฮ่องเต้เลยสั่งให้ท่านอ๋องกับองครักษ์ออกตามหา แต่ว่าคำสั่งนี้เป็นความลับไม่รู้ว่ามันไปรู้ถึงหูกลุ่มนักฆ่าจากแคว้นศัตรูได้อย่างไร

แล้วในตอนนั้นมีสายรายงานมาว่าเคยมีคนพบเห็นบัวหิมะที่บนเขาหยางซานเมืองหมิงโจว จวินอ๋องไม่รอช้ารีบขึ้นเขาหยางซานออกค้นหาบัวหิมะทันที พวกเขาหาอยู่นานแต่ก็ไม่พบจึงพากันถอดใจถอนกำลังกลับ แล้วระหว่างที่ลงเขาก็ถูกดักทำร้ายจนทุกคนต้องแยกกันหนี แต่ดูเหมือนจวินอ๋องจะโชคร้ายถูกธนูจากคนร้ายยิงใส่จนพลาดท่าถูกฟันและแทงซ้ำอีกรอบ

"อ้อ! แบบนี้นี่เองไม่น่าละแผลถึงได้เต็มตัวไปหมด พอล้มลงหัวท่านก็ฟาดก้อนหินจนหัวแตกเลือดอาบหน้า มันเลยยิ่งทำให้เสียเลือดมาก" ไป๋หลิน

"ใช่ เลือดเต็มตัวข้าไปหมด พวกมันเห็นว่าแผลข้าเยอะขนาดนั้นคงต้องตายแน่ ๆ เลยจึงได้ล่าถอยไป ดีแต่ก่อนข้าหมดสติได้ห้ามเลือดบางจุดและเอาลูกธนูออก จากนั้นข้าก็หลับไปจนตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองมีหมอรักษาให้แล้ว ตอนนั้นเององครักษ์เงาตามหาข้าเจอพอดี แล้วแจ้งว่าที่เมืองหลวงมีเรื่องด่วนข้าก็เลยรีบกลับมาโดยทิ้งไว้เพียงจดหมายกับป้ายหยกประจำตำแหน่งไว้" จวินอ๋อง

"ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า พอท่านอ๋องกลับไปก็ให้องครักษ์เงาตามสืบเรื่องราวของครอบครัวข้าใช่หรือไม่ขอรับ ไม่งั้นท่านอ๋องคงไม่รู้จักว่าพวกข้าเป็นใคร" หลัวฟาง

"จะบอกอย่างไรดี ที่จริงข้าก็กะไว้ว่าจะให้องครักษ์ไปสืบอยู่เช่นกัน แต่องครักษ์เงาส่วนตัวของข้าดันมารายงานก่อน บอกว่าประวัติพวกเจ้าสองผัวเมียเป็นใครพร้อมนำรูปวาดมาให้ดู ข้าก็ถึงได้รู้จักชื่อและพอจำหน้าตาของพวกเจ้าได้คร่าว ๆ ยังไงล่ะ" จวินอ๋อง

"โห! องครักษ์ของท่านต้องเก่งมากและทำงานได้เป็นอย่างดีแน่เลย แล้วต้องรู้ใจท่านมากแน่ ๆ ถึงท่านไม่สั่งเขาก็สืบมาให้เลยสุดยอด ข้าอยากมีไว้เป็นของตัวเองบ้างจัง เอาไว้มาอารักขาเวลาท่านพี่ไม่ว่าง ยิ่งเปิดโรงหมอต้องมีทั้งคนดีคนเลวปะปนมารักษากับข้าแน่เลย" ไป๋หลิน

"ฮ่า ฮ่า ข้าว่าเจ้าไม่ต้องมีหรอกดูจากที่เจ้าจัดการกับพวกอันธพาลพวกนั้นได้แสดงว่าก็มีฝีมือพอตัว องครักษ์เงาที่เจ้าอยากได้ข้าว่าเจ้าน่าจะมีอยู่นะ เพียงแค่ไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง" จวินอ๋อง

"ก็อาจเป็นไปได้นะขอรับ ตอนข้าออกไปทำงานข้ารู้สึกเหมือนมีคนมองตลอดเวลา ที่แท้ท่านอ๋องส่งมาอารักขาบ้านข้านี่เอง ขอบคุณมากขอรับ" หลัวฟาง

"จริงเหรอท่านพี่ ข้าไม่เห็นรู้สึกเลย" ไป๋หลิน

ที่ไป๋หลินพูดเขานั้นไม่รู้สึกจริง ๆ ว่ามีคนจับตามองบ้านเขา ถ้ามีจริงเขาต้องรับรู้ได้สิ เพราะการฝึกของหน่วยรบพิเศษจะต้องฝึกสัมผัสความเคลื่อนไหวรอบข้างด้วย หากเกิดโดนโจมตีจะได้รับรู้ก่อนและเตรียมโจมตีกลับได้เร็ว ยิ่งหน่วยรบพิเศษซีอาโนยิ่งต้องฝึกหนักขึ้นไปอีก ยิ่งมาอยู่ในยุคนี้ที่มีพลังลมปราณมันสามารถจับพิรุธได้ง่ายขึ้น มีอย่างหนึ่งที่ไป๋หลินพึ่งค้นพบเวลามีเรื่องที่จะมีคนมาขอความช่วยเหลือหรือต้องไปช่วยเหลือใคร เขาจะรู้สึกมึนหัวแต่พอได้ช่วยแล้วอาการมึนหัวจะหายไป แต่ถ้าต้องช่วยคนในหมู่บ้านถงหยางจะมีความทรงจำเก่าของไป๋หลินแวบเข้ามาในหัวทันที

"จริงด้วยวันนี้เจ้าเก่งมากเลยนะ" หลัวฟาง

"ข ขอบคุณ ขอรับท่านพี่" ไป๋หลิน

จู่ ๆ หลัวฟางก็เผลอชมไป๋หลินขึ้นต่อหน้าจวินอ๋อง ทำเอาไป๋หลินเขินอายหน้าแดง ทำไมต้องมาชมตอนนี้ด้วยนะสามีทึ่มข้าก็อายเป็นนะ แต่ไป๋หลินก็เขินไม่ได้นานเพราะเสียงกระแอมของจวินอ๋องเอ่ยขัดความหวานสองสามีภรรยาบ้านถานรองซะก่อน

"อะแฮ่ม แล้วเจ้าสองคนสนใจฝึกวิชาไหมล่ะ ข้าสามารถสอนให้ได้นะ" จวินอ๋อง

"อยากขอรับ ข้าเคยคิดไว้ว่าอยากฝึกวิชา หากเปิดโรงหมอเสร็จข้าขอหยุดทำงานกับที่บ้านใหญ่แล้วมาช่วยไป๋หลินดูแลโรงหมอแทน ถึงจะรู้เรื่องสมุนไพรไม่มากก็พอช่วยได้ และถ้ามีวิชาไว้ติดตัวเวลาเกิดเรื่องก็สามารถช่วยภรรยาได้ขอรับ" หลัวฟาง

หลัวฟางเขาคิดแบบนั้นจริง ๆ ยิ่งมาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ที่ภรรยาสามารถต่อสู้กับพวกอันธพาลได้ด้วยคนเดียว เขายิ่งชื่นชมในตัวไป๋หลินมากขึ้นและอยากเก่งเหมือนภรรยา หลัวฟางไม่อยากให้ไป๋หลินเหนื่อยคนเดียว หลัวฟางรู้ว่าไป๋หลินแอบฝึกวิชาต่อสู้ตามหนังสือคนเดียวทุกคืน เพื่อเอาไว้ปกป้องตัวเองและคนในครอบครัว เขารู้สึกละอายที่ภรรยาพยายามอยู่คนเดียวหลัวฟางสัญญากับตัวเองแล้ว ว่าต่อไปจะช่วยไป๋หลินทุกเรื่องที่ช่วยได้จะพยายามแบ่งเบาให้ได้มากที่สุด

"ท ท่านพี่ขอบคุณมาขอรับ ที่ท่านนึกถึงข้า" ไป๋หลิน

"ดี แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าครอบครัว ไป๋หลินถ้าข้าอยากให้เจ้ามาเป็นน้องบุญธรรมข้าจะได้หรือไม่ ข้าชอบนิสัยเจ้ามาก"

"ได้สิขอรับ ใครจะกล้าปฏิเสธ ดีเสียอีกได้เป็นพี่น้องกับคนใหญ่คนโต โรงหมอของข้าจะได้มีคนเกรงใจ ไม่กล้ามาก่อกวน ท่านพี่ท่านคิดว่าอย่างไร" ไป๋หลิน

"ข้าตามใจเจ้า เจ้าว่าดีข้าก็ว่าดี" หลัวฟาง

"ฮ่า ฮ่า เจ้านี้คงรักเมียมากเสียจริง ดี ๆ วันนี้มาดื่มฉลองให้เต็มที่ ไป๋หลินต่อเจ้าคือน้องชายของข้า ส่วนก็เจ้าเป็นน้องเขยของข้า มีเรื่องเดือดอันได้ปรึกษาข้าได้ตลอดไม่ต้องเกรงใจ เจ้าจะเปิดโรงหมอที่หมิงโจวข้าจะเป็นคนสนับสนุนเจ้าเอง" จวินอ๋อง

"ขอบคุณขอรับ พี่เซียวเห่อ" ไป๋หลิน

ไป๋หลินไม่มีปฏิเสธอยู่แล้วเจอขาทองคำขนาดนี้ต้องกอดไว้แน่น ยิ่งได้กลายเป็นน้องบุญธรรมของท่านอ๋องผู้โด่งดังแบบนี้ จะหาวาสนาที่ดีแบบนี้ได้ที่ไหนอีก ไป๋หลินเริ่มสงสัยว่าตัวเขาจะมีโชคลาภแบบนี้ติดตัวเหมือนในนิยายขึ้นมาจริง ๆ มาเมืองหลวงครั้งนี้เจอแต่เรื่องดี แต่มีก็มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งหากว่าเขาได้ช่วยใครสักคนหรือทำความดีอะไรสักอย่าง โชคลาภจะตามมาหรือไม่ก็มีบางครั้งได้โชคลาภก่อนแล้วจะมีเรื่องให้ทำความดีตามมาทีหลัง วันนี้เขาเองก็ทำความดีก่อนแล้วได้โชคคือได้เป็นน้องบุญธรรมของจวินอ๋อง ไป๋หลินไม่ได้หวังเงินจากจวินอ๋องเพียงแต่ถ้ามีคนที่มีอำนาจคอยหนุนหลังมันก็สบายใจจะไม่ต้องระแวงว่าใครจะมารังแกใส่ร้ายป้ายสีเขาได้ ข้าสัญญาว่าขาทองคำคู่นี้ข้ากอดไว้ให้แน่นไม่หลุดหนีแน่นอน

สี่แฝดที่เงียบฟังผู้ใหญ่คุยกันแต่ก็ไม่ได้ฟังเปล่า ๆ ด้วยความที่เป็นเด็กฉลาดกล้าพูดกล้าคิด พวกเขาสงสัยว่าจะต้องเรียกท่านลุงว่าอย่างไรดี เพราะตอนนี้ท่านลุงเป็นพี่ชายท่านแม่อีกคนแล้ว

"แล้ว พวกเราต้องเรียกท่านลุงว่าอย่างไรขอรับ" ลู่ฉิน

"นั้นสิ ท่านลุงใหญ่ ลุงรอง ลุงสามก็มีแล้ว ต้องเรียกท่านว่าอะไรดี" ลู่เซียน

"ฮ่า ฮ่า นั้นสิเรียกลุงว่าอะไรดีนะ เจ้าทั้งสี่ช่วยลุงคิดหน่อย" จวินอ๋อง

"ได้ขอรับ เรียกอะไรดีนะ คิด คิด อ้อ! คิดออกแล้วเรียกว่าท่านลุงจวินอ๋อง" ลู่ฉิน

"แบบนี้ไม่ซ้ำกับท่านลุงท่านอื่นแล้วขอรับท่านลุงจวินอ๋อง" ลู่ถิง

"พวกเจ้าฉลาดจริง ถึงจวนแล้วเดี๋ยวลุงจะพาไปรู้จักกับลูกของลุง ลุงว่าพวกเขาต้องชอบเจ้าสี่คนแน่ ๆ" จวินอ๋อง

 ระหว่างที่เดินทางกลับจวนอ๋องหลัวฟางได้เอ่ยปากถามจวินอ๋องเรื่องบัวหิมะว่าได้กลับไปค้นหาอีกหรือไม่ จวินอ๋องบอกว่าไม่ได้ไปหาแล้วเพราะมีพ่อค้าที่เป็นกลุ่มการค้ายาสมุนไพรนำมาถวายแล้ว จวินอ๋องยังเล่าต่ออีกว่าหมอใหญ่ได้ลองนำมาปรุงยาแล้ว อาการของฮองเฮาดีขึ้นแต่ก็ยังไม่หายขาด ถ้าเป็นไปได้อยากให้ไป๋หลินไปช่วยตรวจดูอาการของพี่สะใภ้ที วันนี้ท่านอ๋องได้เชิญหมอใหญ่มาทานข้าวเย็นด้วย เผื่อจะได้ลองปรึกษากับไป๋หลินดู

รถม้าประจำตำแหน่งจวินอ๋องใช้เวลาไม่นานก็เดินทางถึงจวนอ๋องที่อยู่ออกไกลจากย่านการค้าพอสมควร พอลงจากรถม้าได้เด็ก ๆ ก็ตื่นเต้นมากเพราะบ้านของท่านลุงจวินอ๋องนั้นใหญ่กว่าบ้านถานรองมาก พอเดินพ้นประตูจวนเข้าไปก็เจอกับความสวยงามภายในจวนตระการตา แต่ก็เน้นความเรียบง่ายตามแบบฉบับของคนที่ไม่ชอบความวุ่นวาย เดินเข้าไปเรื่อย ๆ ก็จะมีทั้งศาลาไว้นั่งเล่น มีลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่านกลางจวน ทั้งยังมีสวนดอกไม้นานาพันธุ์ดึงดูดสายตา เหมือนจวนหลังนี้ออกแบบมาให้เข้ากับธรรมชาติได้อย่างลงตัว

"ท่านพี่กลับมาแล้วหรือขอรับ" พระชายาเหนียนฉี

"เหนียนฉี เจ้ากลับมาจากในวังแล้วหรือ ดี ๆ มารู้จักกับน้องบุญธรรมข้า นี้ไป๋หลินกับหลัวฟางคนที่ช่วยชีวิตข้าไว้ ไป๋หลิน หลัวฟาง นี่คือพระชายาพี่เอง" จวินอ๋อง

"โตขึ้นมากเลยนะ ไม่เจอกันนานจนมีครอบครัวแล้ว ดูสิแก้มยังป่องเหมือนตอนเด็ก ๆ เลย" พระชายาเหนียนฉี

"เออ คือว่าเราเคยเจอกันมาก่อนหรือพ่ะย่ะค่ะ" ไป๋หลิน

"คุยธรรมดาเถอะไม่ต้องมากพิธี เจ้าอาจจำพี่ไม่ได้ตอนนั้นเจ้าน่าจะประมาณเก้าขวบหรือสิบขวบได้มั้ง วันพี่ใหญ่ของเจ้าแต่งงานกับหลิงฉี เจ้ายังอ้อนคนในบ้านขอกินขนมอยู่เลย ฮ่า ฮ่า ดูทำหน้างงเข้าสิ เดี๋ยวเอาไว้ตอนเย็นทุกคนมาพร้อมกันค่อยเล่าทีเดียวเลยดีกว่า" พระชายาเหนียนฉี

"เด็ก ๆ มาคารวะพระชายาเร็วลูก" ไป๋หลิน

"ขอรับ/ขอรับ/ขอรับ/ขอรับ"

สี่แฝดก็คารวะพระชายาเหนียนฉีพร้อมกับแนะนำว่าใครชื่ออะไรบ้างด้วยท่าทางน่ารัก จนพระชายาเหนียนฉีทนความน่ารักน่าเอ็นดูไม่ไหวขอหอมแก้มเด็กแฝดทีละคนจนหนำใจ

พระชายาเหนียนฉีทำเอาไป๋หลินคิดไม่ตก ว่าตัวเองเคยเจอกับพระชายาตอนไหน แล้วรู้จักพี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่ด้วยแบบนี้ยิ่งน่าสงสัยมากเข้าไปอีก บ้านข้าเป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วไปนะ คนสูงศักดิ์อย่างพระชายาเสด็จไปตอนไหนก่อน เรื่องของพี่สะใภ้ใหญ่หลิงฉีความสงสัยยังไม่กระจ่างเลย ยังมาเรื่องพระชายาเหนียนฉีอีก ในสมองตอนนี้ข้างงไปหมดแล้ว แต่มีข้อสันนิษฐานข้อหนึ่งเข้ามาในหัว หรือแท้จริงแล้วพี่สะใภ้ใหญ่หลิงฉีเป็นลูกคนรวย แต่โดนพี่ใหญ่พาหนีเพราะฐานะทางบ้านแตกต่างกันเกินไป จึงโดนทางพ่อตาแม่ยายกีดกันในช่วงแรก แต่พี่ใหญ่เอาความดีเข้าสู้พ่อตาแม่ยายเลยเห็นความดีตรงนั้น จึงทำให้ยอมรับพี่ใหญ่เป็นลูกเขย นี่มันนิยายดอกฟ้ากับหมาวัดจริง ๆ ไม่น่าเลยพี่ชายข้า

ยังมีคู่พี่รองกับพี่สามอีก อย่าบอกนะว่าเป็นเหมือนกัน หากพี่สะใภ้รองกับพี่สะใภ้สามเป็นลูกคนรวยขึ้นมาจริง ๆ พี่ชายทั้งสามของเขานั้นโคตรโชคดีที่ได้ภรรยาแสนสวยระดับลูกคนรวยเลยนะ แค่คิดเล่น ๆ ก็สนุกแล้วงานนี้ น่าเอาไปแต่งนิยายรักได้หลายเรื่องเลย

"เสด็จพ่อกลับมาแล้ว / เสด็จพ่อ"

ไป๋หลินกำลังคิดเรื่องสนุกอยู่ ก็ได้มีเด็กเกอสองคนอายุราวสิบสองสิบสามปีวิ่งมาหาท่านอ๋องแล้วเรียกว่าเสด็จพ่อ พอมาถึงใกล้ท่านอ๋องไป๋หลินจึงรู้ว่าทั้งสองเป็นลูกแฝดของจวินอ๋อง องค์ชายเกอทั้งสองงดงามมากเหมือนพระมารดา พระชายาเหนียนฉีเองก็เป็นเกอที่งามล่มเมืองมากและหน้าตาของพระชายายังคล้ายกับพี่หลิงฉีมากด้วย แต่พี่หลิงฉีจะสวยหล่อเหมือนนายเอกซีรี่ส์วายในยุคปัจจุบัน ในความคล้ายกันนั้นถ้าบอกว่าพระชายาเหนียนฉีกับพี่หลิงฉีเป็นพี่น้องกันเชื่อสนิทเลยแหละ

"เซียวจ้าน เซียวหลาน แม่บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าวิ่ง อีกสองปีพวกเจ้าจะถึงวัยปักปิ่นแล้ว ยังชอบวิ่งเล่นอีก มาคารวะท่านอาทั้งสองเร็วเข้า" พระชายาเหนียนฉี

"ขอรับ เสด็จแม่" เซียวจ้าน

"ขอรับ" เซียวหลาน

"เอาเถอะ อย่าเข้มงวดกบลูกนักเลยเหนียนฉี มา ๆ พ่อแนะนำให้รู้จัก นี้ท่านอาไป๋หลินน้องบุญธรรมพ่อเอง ส่วนก็ท่านอาหลัวฟางอาเขยพวกเจ้า" จวินอ๋อง

"คารวะขอรับท่านอาไป๋หลิน ท่านหลัวฟาง ข้าแฝดพี่เซียวจ้าน ขอรับ" เซียวจ้าน

"ส่วนข้าแฝดน้องเซียวหลาน ขอคารวะท่านอาทั้งสองขอรับ" เซียวหลาน

"ยินดีจ้ะ เสียดายจังอาไม่ได้เตรียมอะไรมาฝากเลย" ไป๋หลิน

"นั้นสิ" หลัวฟาง

"ไม่เป็นไรหรอกขอรับ" เซียวจ้าน

"เด็ก ๆ มาคารวะพี่เซียวจ้านกับพี่เซียวหลานเร็วเข้า" ไป๋หลิน

"ข้าลู่เซียนแฝดพี่ อายุ 5 ขวบขอรับ" ลู่เซียน

"ข้าแฝดน้องลู่ตง 5 ขวบขอรับ" ลู่ตง

"ส่วนข้าแฝดพี่ลู่ฉิน 4 ขวบขอรับ" ลู่ฉิน

"ข้า ข้าลู่ถิงแฝดน้อง 4 ขวบขอรับ" ลู่ถิง

"พวกเจ้าก็เป็นแฝดกัน น่ารักจังเลย" เซียวหลาน

"เซียวจ้าน เซียวหลาน พาน้องไปเดินชมจวนแล้วทานขนมก่อนนะ เดี๋ยวพอถึงเวลามื้อเที่ยงแม่จะให้ อี้กงกงไปตาม"

"ขอรับ ไปกันเถอะสี่แฝด" เซียวจ้าน

องค์ชายเซียวจ้านกับองค์ชายเซียวหลานก็พาน้องแฝดสี่เดินต่อแถวเป็นขบวนเดินชมรอบจวน เมื่อเห็นว่าเด็กไปเล่นกันแล้ว เหล่าพวกผู้ใหญ่ก็พากันไปที่ห้องรับรองเพื่อนั่งจิบชาสนทนากัน ระหว่างนั้นก็มีองครักษ์ก็เข้ามารายงานว่าได้แจ้งข่าวให้พี่ใหญ่พี่รองของไป๋หลินทราบเรียบร้อยแล้ว หลังทานมื้อเที่ยงเสร็จทุกคนจะตามมาสมทบที่จวนจวินอ๋อง รวมถึงท่านหมอใหญ่เหลียนฉีด้วย ชื่อนี้ไป๋หลินไม่คุ้นเคยเลยแต่มีตำแหน่งเป็นท่านหมอใหญ่ต้องสำคัญมากแน่ ถ้าได้คุยจะขอความรู้สักหน่อยดีกว่า

เมื่อใกล้ถึงเวลามื้อเที่ยงอี้กงกงไปตามองค์ชายแฝดและสี่แฝดบ้านถานรองมาทานข้าว อาหารที่จวนของจวินอ๋องละลานตามาก มีแต่เมนูที่ไม่เคยเห็นทั้งนั้นสี่แฝดถึงกับกลืนน้ำลายกันหลายรอบ เพื่อรอให้ท่านลุงจวินอ๋องลงมือคีบอาหารก่อนคนแรกเนื่องจากอาวุโสที่สุด พอจวินอ๋องลงมือคีบอาหารสี่แฝดก็ขอให้ท่านแม่ท่านพ่อตักอาหารให้ทันที สี่แฝดเมื่อได้ชิมอาหารรสเลิศจากจวนท่านอ๋องปากก็ชมว่าอร่อยมากเหมือนที่ท่านแม่ทำเลย

"ลุงบอกแล้วว่าอร่อย" จวินอ๋อง

"อร่อยจริงขอรับ ท่านแม่ถ้ากลับบ้านแล้ว ทำให้พวกข้าทานบ้างนะขอรับ" ลู่ตง

"ได้ ๆ เดี๋ยวแม่ขอสูตรจากท่านลุงสะใภ้ไปทำที่บ้านให้นะ" ไป๋หลิน

"แสดงว่าไป๋หลินของพวกเราทำอาหารอร่อยแน่เลย ถ้าอย่างนั้นตอนเย็นเจ้ามาเข้าครัวช่วยพี่หน่อยได้หรือไม่" พระชายาเหนียนฉี

"ได้เลยขอรับ ถ้าอย่างนั้นทานมื้อเที่ยงเสร็จ ไปคิดเมนูกันดีกว่าพี่สะใภ้ เดี๋ยวข้าขอดูห้องครัวจวนท่านหน่อยว่าพอมีอะไรทำเป็นเมนูกับแกล้มได้บ้าง" ไป๋หลิน

"ได้สิ ยินดีมากเลย ถ้าวัตถุดิบอันไหนขาดเดี๋ยวพี่ให้คนไหนจวนไปหามาเพิ่ม" พระชายาเหนียนฉี

"ข้าขอช่วยท่านอากับท่านแม่ด้วย" เซียวจ้าน

"ข้าก็ด้วย" เซียวหลาน

"พวกข้าสี่คนช่วยด้วย" ลู่เซียน

การทานอาหารมื้อเที่ยงผ่านไป พระชายาเหนียนฉีรีบจูงมือไป๋หลินเข้าครัวดูวัตถุดิบทันที ปล่อยให้จวินอ๋องกับหลัวฟางปรึกษาเรื่องฝึกวิชากัน ตอนแรกลู่เซียนกับลู่ตงอยากนั่งฟังด้วย แต่มันยังไวไปสำหรับเด็กห้าขวบ ไป๋หลินจึงหลอกล่อให้แฝดคู่พี่มาครัวด้วย ไป๋หลินบอกว่าหากกลับไปจะสอนกังฟูท่าใหม่ให้ ได้ยินแบบนั้นลู่เซียนกับลู่ตงก็รีบตามเข้าครัวทันที

เมื่อดูอย่างละเอียดแล้วมีทั้งของสดจำพวกเนื้อวัวหมูเห็ดเป็ดไก่มีครบและยังมีของทะเลตากแห้ง ไป๋หลินยังเจอมะพร้าวที่เขาอยากได้อีกด้วย ไป๋หลินจึงลองถามพระชายาเหนียนฉีว่าอาหารทะเลพวกนี้นำเข้ามาจากที่ใด พระชายาเหนียนฉีเล่าอาหารทะเลตากแห้งพวกนี้ได้มาจากตวนอ๋องที่ไปประจำการตำแหน่งเจ้าเมืองที่หลางโจว เมืองหลางโจวเป็นเมืองท่ามีอาหารทะเลมากมาย มีสินค้าแปลกตาเยอะแยะที่พวกหัวแดงข้ามน้ำข้ามทะเลมาค้าขายกับต้าเว่ย มีทั้งชาเปอร์เซีย ผักผลไม้ชนิดต่าง ๆ ที่ไม่มีในต้าเว่ยล้วนแต่มาจากพวกหัวแดงซะส่วนมาก เขายังถามต่ออีกว่ามะพร้าวแห้งพวกนี้ก็เป็นชาวหัวแดงนำมาขายอีกใช่หรือไม่ พระชายาบอกว่ามะพร้าวเป็นต้นไม้ให้ผลประจำถิ่นของเมืองหลางโจว ต้นไม้ชนิดนี้จะเกิดเฉพาะที่หลางโจวเท่านั้น แล้วก็จะมีบางส่วนที่ชาวหัวแดงนำมาขายอีกด้วย พอได้ฟังที่พระชายาเล่าแล้วไป๋หลินจึงคิดที่อยากจะไปหลางโจวสักครั้ง

ไป๋หลินกับพระชายารวมไปถึงองค์ชายเกอทั้งสองและสี่แฝดบ้านถามรองก็ช่วยกันเตรียมวัตถุดิบไว้เรียบร้อย หากบ้านพี่ใหญ่พี่รองมาถึงจะได้ลงมือช่วยกันทำ หากถามว่าทำไมไม่ให้นางกำนัลในจวนทำ ไป๋หลินขี้เกียจสอนสู้ลงมือทำเองดีกว่ารสชาติถูกปากกว่าด้วย เมนูมื้อเย็นไป๋หลินจะทำต้มข่าไก่เพราะมีกะทิแล้ว ตอนนี้ให้เหล่าองครักษ์ปอกเปลือกมะพร้าวอยู่ อีกเมนูคือผัดกะเพราเนื้อสับ มีแกงจืดหมูสับเห็ดหอม สุดท้ายเมนูไข่เจียวหมูสับ เมนูขนมหวานจะเป็นกล้วยบวชชี ส่วนกับแกล้มว่าจะทำหมูทอดเนื้อทอดกระเทียม ปลาหมึกแห้งย่างกินกับน้ำจิ้มซีฟู้ดและก็ถั่วทอด สมกับเป็นครัวของจวนอ๋องมีวัตถุดิบทุกอย่างโดยที่ไม่ต้องออกไปหาเอง ถึงเมนูแต่ละอย่างพระชายากับองค์ชายแฝดจะไม่เคยได้ยิน แต่ฟังแล้วน่าอร่อยมากจนอยากลองชิมแล้ว

เลยเวลาเที่ยงไปไม่นาน บ้านพี่ใหญ่พี่รองก็มาถึงจวนอ๋อง พระชายาเหนียนฉีกับไป๋หลินก็รีบออกมารับ ระหว่างเดินไปหน้าจวนไป๋หลินเห็นต้นมะม่วงที่มีผลเต็มต้นลูกใหญ่สีเขียวน่าทาน เขาจึงคิดว่าจะทำมะม่วงน้ำปลาหวานไว้ทานเป็นของว่างดีกว่า เพราะแอบเห็นว่าในครัวมีทั้งน้ำตาล หอมแดง กุ้งแห้ง ยังมีน้ำปลาจากพวกหัวแดงอีกด้วย แค่คิดก็น้ำลายไหลแล้วต้องจัดสักหน่อยแล้วละ

เมื่อถึงหน้าจวนที่ทุกคนต่างก็คารวะท่านอ๋องกับพระชายา ตอนแรกไป๋หลินงงมากที่ว่าพี่สะใภ้ใหญ่หลิงฉีกับพระชายาหอมแก้มกัน จนพี่หลิงฉีเรียกพระชายาว่าพี่รองก็รู้เลยว่าเป็นพี่น้องกัน แต่ความสงสัยยังเพิ่มขึ้นมาอีกคือมาแต่งงานกับผู้ชายบ้านเขาได้ไงก่อน ใครก็ได้ช่วยอธิบายทีข้างงไปหมดแล้ว

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกิดใหม่เป็นมารดาใจร้าย   บทที่ 20 กลับหมิงโจวก็มีเรื่องเลย

    เมื่อถึงกำหนดวันเดินทางกลับเมืองหมิงโจวทุกคนออกเดินทางกันแต่เช้า ฮ่องเต้เปลี่ยนใจจากที่ตอนแรกจะมุ่งหน้ากลับเมืองหลวง แต่ทรงเปลี่ยนพระทัยไปเมืองหมิงโจวก่อนแล้วค่อยกลับเมืองหลวง พี่หลงเห่อต้องการไปดูการเปลี่ยนแปลงของสำนักหมอหลวงประจำเมืองด้วย ทั้งยังจะเดินทางไปที่วัดซ่งซานเพื่อทำบุญขอพรให้ราษฎรแคว้นเว่ยมีความสุขกินดีอยู่ดีไม่อดอยาก ขอให้ประชาชนสุขกายสุขใจ ไป๋หลินได้ฟังเหตุผลของพี่หลงเห่อแล้ว ก็ได้แต่ชื่นชมว่าเป็นฮ่องเต้ที่ดีมีเมตตาและรักราษฎรเป็นห่วงราษฎรอย่างแท้จริงพอถึงเมืองหมิงโจวทุกคนก็แยกย้ายกับกลับบ้านไปพักผ่อน เพราะร่างกายเหนื่อยล้าจากการเดินทางเป็นอย่างมาก สี่แฝดที่พอกลับถึงบ้านหัวถึงหมอนก็หลับปุ๋ยไม่ออกไปเล่นกับพี่ ๆ บ้านใหญ่เลย บอกท่านพ่อท่านแม่ว่าขอนอนกลางวันก่อน พอตื่นถึงจะเอาของเล่นไปให้พี่ชายพี่สาวบ้านใหญ่ บ้านอู๋ บ้านสวี และบ้านจู ไป๋หลินจึงบอกว่าจะพาสี่แฝดไปเองจะเอาของฝากไปให้บ้านใหญ่ และยังแบ่งไปให้พี่สามพี่สี่และพี่ห้าอีกด้วยเมื่อพักผ่อนเต็มที่ทุกคนก็กลับมาทำหน้าที่ทำงานของตัวเอง พอไป๋หลินเข้าเมืองไปที่โรงหมอก็ได้ยินข่าวลือแปลก ๆ จากชาวบ้านที่มารักษา เล่ากันว่ามีคนพบ

  • เกิดใหม่เป็นมารดาใจร้าย   บทที่ 19 ช่วยคนแล้วได้โชคอีกครั้ง

    เมื่อปิดคดีผีน้ำได้สำเร็จพี่หลงเห่อบอกว่าจะพาอยู่เที่ยวที่หลางโจวต่ออีกสักสองอาทิตย์ค่อยเดินทางกลับเมืองหลวง ไป๋หลินได้ยินแบบนั้นก็ดีใจมากเพราะยังเดินสายกินของอร่อยยังไม่ครบทั่วเมืองหลางโจวเลย สี่แฝดบ้านถานรองพอได้ยินว่าท่านลุงฮ่องเต้จะพาอยู่เที่ยวต่อก็ดีใจกันยกใหญ่ รีบไปอ้อนท่านพ่อท่านแม่พาออกไปเที่ยวตลาดพร้อมบอกว่าอยากได้ของเล่นที่มีขายในเมืองนี้และขนมไปฝากพี่ ๆ บ้านใหญ่ ทั้งอยากได้ของฝากไปให้ท่านปู่ท่านย่า ฝากท่านลุงท่านป้าทุกคนด้วย นับวันสี่แฝดก็ยิ่งฉายแววฉลาดและกตัญญูรู้คุณจริง ๆ รู้จักแบ่งปันและนึกถึงผู้มีพระคุณว่าใครที่เคยดีกับพวกเขา หลัวฟางกับไป๋หลินเห็นลูกทั้งสี่เป็นเด็กดีแบบนี้ก็ยิ่งปลื้มใจมากหลังมื้ออาหารเช้าครอบครัวบ้านถานรองก็ขอตัวออกมาเดินเที่ยวย่อยอาหารที่ตลาดท่าเรือ วันนี้ไป๋หลินตั้งจะไปหาเคยมาทำกะปิเอากลับไปหมิงโจวด้วย ถ้าเป็นไปได้เขาอยากจดสูตรเอาไว้ให้พี่จงเห่อหาคนช่วยทำให้ แล้วค่อยส่งกะปิที่ได้ไปให้เขาที่เมืองหมิงโจวอีกที หรือไม่ก็ให้พี่จงเห่อช่วยหาคนตากเคยแตกส่งไปให้ก็ได้ ถึงจะทำไว้ใช้เองจำนวนมากแต่คนที่ชอบอาหารทำจากกะปิแบบเขามันต้องหมดภายในไม่กี่สัปดาห์แน่นอน หาก

  • เกิดใหม่เป็นมารดาใจร้าย   บทที่ 18 คดีเก่าที่คุ้นเคย

    เมื่อองครักษ์วิ่งเข้ามาถวายการรายงานว่ามีคนพบร่างนางกำนัลในจวนเสียชีวิตที่แม่น้ำท้ายจวนอีกแล้ว ไป๋หลินและทุกคนที่เคยไขคดีผีน้ำที่วังหลวงพร้อมด้วยตวนอ๋อง ทั้งหมดพากันตรงไปที่ท้ายจวนทันทีเพื่อไปดูศพของเหยื่อ พอไปถึงก็เห็นว่าเป็นนางกำนัลของจวนตวนอ๋องที่ชื่อว่าหนิงจิงไป๋หลิน หลัวฟางและจวินอ๋องไม่รอช้าเขาไปตรวจดูศพ แล้วก็พบว่าที่คอของเหยื่อมีรอยเข็มปักอยู่ที่คอจริง ๆ เหมือนกับศพในคดีผีน้ำที่เมืองหลวงเลย แต่ต้องตรวจดูก่อนว่าพิษที่ใช้นั้นเป็นตัวเดียวกันกับในคดีของอดีตหมอหลวงใหญ่หรือไม่ เพราะถ้าเป็นพิษตัวนั้นคงไม่มีทางเป็นไปได้เนื่องจากคนปรุงยาได้ถูกประหารชีวิตและถูกจำคุกตลอดชีวิตไปแล้ว ไป๋หลินกลัวจะเป็นคดีเลียนแบบและน่าจะเป็นพิษตัวใหม่ที่คิดค้นขึ้นมา อย่างไรก็ต้องเจาะเลือดไปตรวจก่อน หากเป็นพิษตัวใหม่จริงงานนี้คงต้องทำยาถอดเตรียมไว้หลายชุดแล้วสิ"ข้าว่าคนร้ายคงใช้วิธีซัดเข็มพิษเข้าตัวเหยื่อ ในตอนที่เหยื่อยังไม่ทันตั้งตัว แค่เข็มเดียวก็สามารถตายได้ขนาดนี้ ดูท่าพิษน่าจะร้ายแรงกว่าพิษของคดีผีน้ำที่เมืองหลวงนะขอรับ" หลัวฟาง"ข้าคิดว่าน่าจะเป็นคดีเลียนแบบ ส่วนตัวพิษน่าจะเป็นพิษตัวใหม่ที่คิดค้นขึ

  • เกิดใหม่เป็นมารดาใจร้าย   บทที่ 17 เมืองหลางโจว

    เมื่อถึงกำหนดเดินทางออกจากเมืองฝูโจวเพื่อไปเมืองหลางโจว ก็ใช้เวลาเดินทางสี่วันสี่คืนก็ถึงเมืองหลางโจว พอถึงจวนเจ้าเมืองตวนอ๋องก็ออกมาต้อนรับพร้อมกับพระชายาและองค์ชายน้อยทั้งสามพระองค์ คณะพ่อค้าตระกูลหวงถึงเมืองหลางโจวในยามมื้อเที่ยงพอดี ตลอดทางมีแวะพักตามอำเภอต่าง ๆ เพื่อไม่เร่งรีบจนเกินไปอาจทำให้ทุกคนเหนื่อยได้ตวนอ๋องหรืออดีตองค์ชายห้า จงเห่อ อายุ 27 ปี พระโอรสร่วมอุทรเดียวกันกับฮ่องเต้ จวินอ๋อง รุ่ยอ๋อง และฉินอ๋อง ตวนอ๋องมีพระชายาเป็นญาติกับฮองเฮาเฟยหย่า พระชายาเกาเจียวจิน อายุ 26 ปี ทรงมีพระโอรสแฝดและพระธิดาหนึ่งพระองค์ โอรสองค์โตแฝดพี่เป็นเอกบุตร องค์ชายจงเอิน อายุ 10 ขวบ แฝดน้องเป็นบุตรเกอ องค์ชายจงหมิง อายุ 10 ขวบ และคนสุดท้ายเป็นพระธิดา องค์หญิงจงฝู อายุ 8 ขวบตวนอ๋องเป็นสหายรักของพี่ใหญ่ไป๋อัน จึงไม่แปลกที่จะเอ็นดูไป๋หลินเหมือนน้องชายแท้ ๆ พอรู้ว่าฮ่องเต้ จวินอ๋องและรุ่ยอ๋องรับไป๋หลินเป็นน้องบุญธรรม ตวนอ๋องจะน้อยหน้าได้อย่างไรก็ต้องรับไป๋หลินเป็นน้องบุญธรรมด้วยอีกคน สี่แฝดที่คิดในใจว่าแล้วว่าพวกเขาทั้งสี่ต้องมีท่านลุงเพิ่มมาอีกแน่นอน ญาติเยอะจริง ๆ แค่นี้ก็นับกันไม่ไหวแล้วว่า

  • เกิดใหม่เป็นมารดาใจร้าย   บทที่ 16 เมืองฝูโจว

    ขบวนพ่อค้าตระกูลหวงได้ออกจากอำเภอหลินจือในยามเหมา เพื่อที่วันนี้ตั้งใจจะพากันไปแวะเที่ยวและหยุดพักค้างคืนที่อำเภอซินเจิ้งในเมืองฝูโจว เพราะที่นั่นมีน้ำตกที่ไหลมาจากภูเขาฝังเข็มชะลอยงซานทิวทัศน์สวยงาม ยังมีบ่อน้ำพุร้อนได้ให้แช่คลายเหนื่อยหลายบ่อ ไป๋หลินได้ยินที่พี่หลงเห่อบอกว่ามีบ่อน้ำพุร้อน เขาก็ถึงกับตาโตอยากให้ถึงอำเภอซินเจิ้งแล้วสิ อยากไปแช่น้ำร้อนคลายเหนื่อยเหมือนกัน สมัยยังเป็นภัสกรหากมีโอกาสได้หยุดพักร้อนเขามักจะบินไปเที่ยวญี่ปุ่น เพื่อไปแช่ออนเซ็นคลายปวดเมื่อยตามร่างกาย เพราะงานของภัสกรนั้นมีทั้งความเครียดและใช้ร่างกายอย่างหนัก จึงต้องหาวิธีบำบัดที่ทำให้ร่างกายได้พักผ่อนและฟื้นตัวเร็วขึ้นในที่สุดไป๋หลินกับขบวนก็เดินทางถึงอำเภอซินเจิ้งในช่วงเที่ยงพอดี จึงได้เข้าพักโรงเตี๊ยมประจำอำเภอที่ใกล้กับบ่อน้ำพุมากที่สุด บ่อน้ำพุที่อำเภอซินเจิ้งนั้นเกิดโดยธรรมชาติ ใคร ๆ ก็สามารถเข้าไปแช่ได้แต่ถ้าบ้านใครโชคดีหน่อยมีบ่อน้ำพุในพื้นที่ของตัวเองก็สามารถเปิดโรงเตี๊ยมให้แขกมาพัก พร้อมใช้บริการแช่น้ำพุงร้อนได้ วันนี้ขบวนพ่อค้าตระกูลหวงเลือกพักที่โรงเตี๊ยมเฉิงไฉ โรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่สุดในอำเภอซินเจ

  • เกิดใหม่เป็นมารดาใจร้าย   บทที่ 15 เดินทางไปเที่ยวหลางโจว

    หลัวฟางกับไป๋หลินช่วงนี้ไม่ว่างเลยงานรัดตัวไปหมด ทั้งงานที่โรงหมอก็ยุ่งมากผู้คนมารักษากันเยอะส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านที่ไม่ค่อยมีเงินมารักษา แต่ไป๋หลินก็ไม่ได้เก็บค่ารักษาแต่อย่างใด เพราะไป๋หลินประกาศไปแล้ว ชาวบ้านยากจน คนเร่ร่อนหรือแม้แต่ขอทาน หากเจ็บป่วยมารักษาได้ไม่คิดเงิน แถมโรงหมอกังอันยังมีน้ำแกงกับหมั้นโถแจกให้กินอิ่มท้องอีกด้วย บางวันก็จะเป็นโจ๊กไก่หรือโจ๊กหมูสลับหมุนเวียนกันไป หากถามว่ารักษาแล้วไม่เอาเงินกับผู้ป่วยจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าแรงของหมอกับคนงานกันล่ะ เงินของไป๋หลินกับหลัวฟางมีมากอยู่แล้ว ไป๋หลินได้เงินจากการเป็นขุนนางระดับสูงและการรักษาพวกขุนนางกับเศรษฐีรักษาครั้งหนึ่งก็ได้เงินหลายตำลึงทองส่วนหลัวฟางก็ได้เงินจากการค้าสมุนไพรมาช่วยภรรยาอีกแรง เพราะก่อนที่โรงหมอจะสร้างเสร็จแล้วเปิดทำการ หลัวฟางได้มีกิจการการค้าสมุนไพรขายโดยที่หลัวฟางเป็นคนปลูกสมุนไพรเอง เอาไว้รักษาคนไข้ในโรงหมอกังอันและเอาไว้ขายให้กับโรงหมอเจ้าอื่น ๆ และส่งขายให้กับร้านยาตระกูลเผิงอีกด้วย แต่ตั้งได้ฝึกพลังลมปราณคลื่นบูรพาหลัวฟางรู้สึกว่ามีพละกำลังมากขึ้น บวกกับการทานอาหารเพื่อสุขภาพที่ภรรยาทำให้ทานทุกเ

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status