Masukฮูหยินใหญ่จางไม่สามารถโต้แย้งใดๆกลับไปได้อีก เมื่อรู้ดีว่านางไม่มีทั้งหลักฐานและพยาน ทำได้เพียงรอให้จื่อเหยาฟื้นขึ้นมารวมทั้งนำกำไลหยกเลือดนกอันล้ำค่าคืนกลับมาเท่านั้น
“ฮูหยินเจ้าคะ คุณหนูดื่มยาลงไปแล้ว เช่นนี้คงไม่เป็นไรแล้วกระมังเจ้าคะ” ซูเจียวเอ่ยกับฮูหยินใหญ่จางขณะนั่งเฝ้าจื่อเหยาที่ยังคงไม่ได้สติอยู่ด้วยกัน
“ใช่ เหยาเอ๋อต้องไม่เป็นไร ลูกข้าต้องฟื้นขึ้นมาในไม่ช้านี้แหละ” ฮูหยินใหญ่ทั้งเอ่ยปลอบและให้กำลังใจตนเอง ก่อนจะนั่งเฝ้าจื่อเหยาต่อจนร่างกายเหนื่อยล้าเผลอฟุบหลับไปทั้งนายและบ่าว
ขณะเดียวกันจื่อเหยาที่หมดสติไปนานหลายชั่วยาม ตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว
‘โอย ปวดหัวปวดตัวไปหมดเลย’ จื่อเหยาโอดครวญในใจ ร่างกายรู้สึกหนักอึ้ง ก่อนที่นางจะพยายามลืมตาขึ้นมาช้าๆ
‘นี่ ที่ไหนกัน เราถูกรถชนไม่ใช่เหรอ’ จื่อเหยากวาดตามองไปโดยรอบซึ่งเป็นสถานที่ไม่คุ้นตา อีกทั้งยังดูแปลกแตกต่างออกไปจากที่ซึ่งเธอเคยอยู่มาก สิ่งสำคัญคือจากเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นกับตนเองนั้น หากเธอไม่ตายก็ควรจะฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ
‘ทำไมที่นี่เหมือนกับห้องหรือฉากในละครย้อนยุคเลยล่ะ ทั้งโต๊ะ เตียง หน้าต่าง ข้าวของเครื่องใช้ แล้วสองคนนี้คือใครกัน’ จื่อเหยาสำรวจไปรอบๆ ก่อนจะหันไปเห็นฮูหยินใหญ่จางกับซูเจียวที่นอนฟุบหลับอยู่ไม่ห่างออกไปนัก จากนั้นจู่ๆก็มีแสงสว่างวาบเข้ามาตรงหน้า ต่อมาจื่อเหยาก็ได้เห็นภาพเรื่องราวของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งรูปร่างหน้าตาอ้วนท้วมสมบูรณ์แต่เค้าโครงหน้ารวมทั้งชื่อสกุลเหมือนกันกับเธอไม่มีผิด หากแต่อายุของสตรีนางนั้นเพียงแค่ 17 ปี ต่างจากเธอที่อายุได้ 25 ปีแล้ว
สตรีนางนั้นไม่ได้อยู่ในยุคสมัยที่จื่อเหยาจากมาแต่ดูเหมือนว่าจะเป็นยุคจีนโบราณที่คงย้อนกลับไปจากโลกสมัยใหม่ของเธอหลายร้อยปีเลยทีเดียว จื่อเหยาผู้นี้ค่อนข้างเอาแต่ใจ อารมณ์ร้อนและค่อนข้างโง่เขลาเบาปัญญา มักใช้แต่กำลัง ถูกสองแม่ลูกเรือนรองสกุลจางกลั่นแกล้งปั่นหัวอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ผู้เป็นมารดาต้องทุกข์ใจ ส่วนผู้เป็นบิดาที่เดิมไม่ชอบใจในตัวนางอยู่แล้ว พอเกิดเรื่องขึ้นบ่อยๆก็รู้สึกเอือมระอาไม่พอใจในตัวนางมากขึ้นไปอีก
ที่สำคัญจื่อเหยาผู้นี้ยังมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่ก่อนแล้วนามว่าหานลี่หยางเป็นถึงบุตรชายขุนนางใหญ่ในเมืองหลวงที่บิดากำลังจะย้ายมารับตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเสียนโจวแห่งนี้ด้วย แต่เขาต้องเดินทางมาเตรียมพร้อมดูแลเรื่องกิจการร้านค้าของครอบครัวซึ่งเดิมทีเป็นบ้านเกิดของสกุลหาน ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องต่างๆก่อนที่บิดามารดาจะย้ายกลับมาจากเมืองหลวงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
จื่อเหยาร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์หลงรักลี่หยางมานานตั้งแต่เด็กก่อนที่เขาและครอบครัวจะย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวงยามนางอายุราว 10 ขวบ เมื่อลี่หยางกลับมาเมืองเสียนโจวอีกครั้งก็ดีใจจนเนื้อเต้น ไปคอยติดตามเฝ้าเขาแทบทุกวัน ในขณะที่ลี่หยางไม่ชอบการตอแยรบเร้าของนางเลยแม้นแต่น้อย ยิ่งจื่อเหยาไปเซ้าซี้ตามติดเขามากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรำคาญเบื่อหน่ายนางมากเท่านั้น
หลังจากลี่หยางกลับมายังเมืองเสียนโจวราวสามสี่เดือนก่อน ได้มารู้เห็นการกระทำที่เอาแต่ใจ เจ้าอารมณ์ของจื่อเหยาผนวกกับได้รับรู้รับฟังเรื่องที่รั่วเหรินกับมารดานางสร้างเรื่องปั่นหัวใส่สีตีไข่ให้จื่อเหยาจนนางกลายเป็นคนเย่อหยิ่ง เห็นแก่ตัว ใจแคบ ขี้อิจฉาริษยา ชอบรังแกผู้อื่น รวมทั้งทำเรื่องแย่ๆเอาไว้มากมายในสายตาผู้อื่น ทำให้ลี่หยางไม่พอใจในตัวนางมากขึ้นจนคิดอยากหาทางถอนหมั้นไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
‘จื่อเหยาผู้นี้กับมารดานางช่างน่าสงสารเห็นใจจริงๆ โดยเฉพาะฮูหยินใหญ่จางซึ่งแต่งงานมอบใจให้คนผิดโดยแท้’ จื่อเหยาคิดหลังได้เห็นเรื่องราวมากมายของจางจื่อเหยาเด็กสาวอายุ 17 ปีที่อ้วนถ้วนสมบูรณ์ผู้นั้น
“เหยาเอ๋อ รู้สึกตัวแล้วหรือลูก” เสียงฮูหยินใหญ่จางที่ตื่นขึ้นมาและเห็นว่าจื่อเหยาลืมตารู้สึกตัวขึ้นมาแล้วเอ่ยขึ้นด้วยความยินดี
“คุณหนู ดีจริง ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว” ซูเจียวเองก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยความดีใจเมื่อเห็นว่าคุณหนูของนางฟื้นคืนสติผ่านพ้นความตายมาได้ ในขณะที่จื่อเหยาที่เพิ่งเรียกสติตัวเองกลับมาได้ ตกตะลึงไปแล้วกับภาพและเสียงที่อยู่เบื้องหน้า เพราะมันไม่ใช่ภาพยนตร์สามมิติแต่มันดันเป็นเรื่องจริงเนี่ยสิ
‘นี่มันฮูหยินใหญ่จางกับซูเจียวสาวใช้คนสนิทของสาวน้อยคนนั้นนี่นา’ จื่อเหยาจ้องมองคนทั้งสองอย่างตกตะลึงและยังตั้งตัวไม่ทันกับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่
“เหยาเอ๋อ เป็นอะไรไปลูก รู้สึกเจ็บปวดที่ใดงั้นหรือ” ฮูหยินใหญ่จางถามบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง จื่อเหยาคิดเอะใจอะไรได้ ก่อนจะมองไปที่แขนขาและลำตัว ยกมือขึ้นมาจับใบหน้าตัวเอง ซึ่งพบว่ามีขนาดใหญ่กว่าเดิมเกือบสามเท่า
‘อย่าบอกนะว่าฉันมาเกิดใหม่ในร่างสาวน้อยจื่อเหยาที่อ้วนท้วนนั่นน่ะ โอ๊ยเห็นในความฝันก็น่ารักดีหรอกนะ แต่เฮ้ย..ถ้ามาเป็นตัวเองแล้วยังโดนสองแม่ลูกชั่วร้ายคอยปั่นหัวกลั่นแกล้ง มีพ่อจอมลำเอียงไร้ความเป็นธรรม แถมยังมีคู่หมั้นที่คิดรังเกียจอยากจะถอนหมั้นกับนางอยู่ทุกวันอีก แบบนี้ไม่ไหวนะ’ จื่อเหยาคิดอย่างตกตะลึง ไม่คิดว่าเรื่องเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับนางจริงๆ
‘นางคงตายไปจากโลกก่อนหน้านี้แล้วสินะ จากนั้นก็ดันได้ย้อนเวลามาเกิดใหม่ในสภาพนี้ อีกทั้งยังเป็นยุคสมัยโบราณเก่าแก่ด้วย’ จื่อเหยาคิด พยายามทำใจยอมรับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นให้ได้
“เหยาเอ๋อ ลูกไม่เป็นไรใช่ไหม เหยาเอ๋อ” ฮูหยินใหญ่จางเอ่ยถามบุตรสาวด้วยสีหน้าท่าทางห่วงกังวลเมื่อเห็นว่าจื่อเหยานิ่งเงียบเหม่อลอยไปนาน
‘จริงสิเรายังมีฮูหยินใหญ่ ไม่ใช่สิ..ท่านแม่ เรายังมีท่านแม่ที่รักและดีต่อเรามากในโลกใบนี้อยู่ จะทำให้นางกังวลใจไปมากกว่านี้ไม่ได้’ จื่อเหยาคิด กระแสความผูกพันสายหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาเกาะกุมใจนาง
“ท่านแม่ ข้าไม่เป็นอันใดแล้วเจ้าค่ะ ท่านสบายใจได้” จื่อเหยาตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ก่อนจะพยายามพยุงตัวเองขึ้นมานั่งโดยมีฮูหยินใหญ่จางช่วยประคับประคอง
“เหยาเอ๋อ เจ้าไม่เป็นอันใดก็ดีแล้ว เอาล่ะเจ้าหิวหรือไม่ แม่ให้ห้องครัวเคี่ยวซุปไก่ตุ๋นโสมเอาไว้ให้เดี๋ยวเจ้าทานเสียหน่อยเถอะนะ อาเจียวไปเอาซุปมาที”
“เจ้าค่ะฮูหยิน” ซูเจียวตอบรับอย่างกระตือรือร้นแล้วเดินออกจากห้องไป เหลือไว้เพียงสองแม่ลูกนั่งพูดคุยกันอยู่เพียงลำพัง
“เหยาเอ๋อ เจ้าบอกแม่ได้ไหมว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆเจ้าจึงล้มลงไปได้” ฮูหยินใหญ่จางถือโอกาสถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบุตรสาว ซึ่งจื่อเหยานึกรู้ได้ไม่ยากว่านางหมายถึงเรื่องใด
“ท่านแม่ ข้าถูกรั่วเหรินผลักจนล้มลงไปเจ้าค่ะ” จื่อเหยาตอบตามสิ่งที่นางได้เห็นจากภาพความจำก่อนหน้านี้
“แม่ว่าแล้วเชียวว่ารั่วเหรินต้องเป็นคนทำร้ายเจ้าแน่ๆ” ฮูหยินใหญ่จางเอ่ยอย่างคับแค้นใจ
“ท่านแม่อย่าโกรธไปเลยเจ้าค่ะ เสียสุขภาพเปล่าๆ” จื่อเหยาเอ่ยปลอบใจมารดาพร้อมยื่นมือไปลูบไหล่บอบบางของนางเบาๆ
“เหยาเอ๋อ แม่คับแค้นใจเหลือเกินที่ทำอะไรสองแม่ลูกคู่นั้นไม่ได้ ปล่อยให้ลูกได้รับความอยุติธรรมเช่นนี้” ฮูหยินใหญ่จางเอ่ยอย่างเศร้าเสียใจที่ปกป้องบุตรสาวไม่ได้ ที่สำคัญสามีนางหรือบิดาแท้ๆของจื่อเหยาก็ช่างใจร้ายลำเอียงอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านแม่อย่าคิดมากไปเลยเจ้าค่ะ คนเราล้างแค้นสิบปียังไม่สาย” จื่อเหยาเอ่ย คิดว่าถึงอย่างไรก็ต้องเอาคืนสองแม่ลูกผู้ชั่วร้าย รวมทั้งบิดาที่ลำเอียงไร้ความเป็นธรรมให้ได้
เมื่อฮูหยินใหญ่จางได้ยินคำกล่าวและท่าทีของบุตรสาวเช่นนั้นก็ถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย เพราะหลังจากบุตรสาวฟื้นขึ้นมาดูเหมือนว่านางจะมีท่าทาง รวมทั้งคำพูดผิดแปลกไปจากเดิม จากที่เคยใจร้อนไม่ยอมคน ถูกยั่วยุได้โดยง่าย กลายเป็นดูสุขุม สงบนิ่ง เป็นผู้ใหญ่มีความคิดความอ่านมากขึ้น
“เหยาเอ๋อ เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน”
“ลูกเพียงคิดว่าสองแม่ลูกนั่นคงไม่ปล่อยให้เราใช้ชีวิตอย่างอยู่สุขสบายไปวันๆนึงแน่ หากเป็นเช่นนั้นเราต้องไม่เป็นผู้ถูกกระทำเพียงฝ่ายเดียว แต่ต้องตั้งรับและหาทางเอาคืนกลับไปอย่างชาญฉลาด แบบที่พวกนางใช้เล่ห์เหลี่ยมกระทำกับเรามาโดยตลอดอย่างไรล่ะเจ้าค่ะ” จื่อเหยาเอ่ยด้วยสีหน้าท่าทางแววตาเจ้าเล่ห์
“เจ้ามีแผนอย่างไรงั้นหรือ” ฮูหยินใหญ่จางถามด้วยความสนใจ
“ให้ข้าลองคิดตรึกตรองและหาโอกาสเหมาะดูก่อนเถอะเจ้าค่ะ แล้วข้าจะแจ้งให้ท่านแม่ทราบอย่างแน่นอน”
“อืม..ถ้าเช่นนั้นก็ทำตามที่เจ้ากล่าวนั่นแหละ” ฮูหยินใหญ่จางตอบด้วยรอยยิ้มยินดี ที่บุตรสาวของตนดูท่าว่าจะเฉลียวฉลาดมากขึ้นแล้ว ทั้งยังดูใจเย็นสุขุมมากกว่าแต่ก่อนด้วย
จื่อเหยามองหน้าสองแม่ลูกรวมทั้งนายท่านจางด้วยท่าทางสะใจไม่น้อย ก่อนหน้านี้นางและแม่ของนางไม่เคยคิดใช้อำนาจของท่านตานางมาก่อน จื่อเหยาคนเดิมก็ไม่มีความคิดในเรื่องล้างแค้นเอาคืนเช่นนี้เลยด้วยซ้ำไป พอเกิดเรื่องนางก็มักจะระเบิดอารมณ์ลงไปในตอนนั้นเลย จนทำให้นางกลายเป็นคนไม่ดีในสายตาผู้อื่น ส่วนคนผิดจริงอย่างรั่วเหรินและฮูหยินรองก็ทำตัวเป็นเหยื่อดูน่าสงสารเห็นใจแทน ‘ในส่วนของจื่อเหยาคนเดิมนั้นมีเพียงแต่ใช้อารมณ์กับกำลังเข้าปะทะจนทำให้ตัวเองถูกใส่ร้ายกล่าวหามองดูเป็นคนไม่ดีคิดเรื่องที่ชาญฉลาดมีเหตุมีผลไม่ได้ ส่วนมารดานางนั้นคิดเพียงต้องการรักษาความสัมพันธ์ของครอบครัวเอาไว้ก็เพื่อบุตรีของนางเองจึงไม่ยอมใช้ไม้แข็งหรือต่อต้านอันใดมากนัก มาบัดนี้ถึงเวลาแล้วที่พวกนางจะลุกขึ้นมาจัดการกับสองแม่ลูกและบิดาที่ไม่เป็นธรรมเสียที’ จื่อเหยาคิดเอาคืนทุกอย่างแทนสาวน้อยร่างท้วมที่ตายไปอย่างไม่เป็นธรรม รวมทั้งเพื่อฮูหยินใหญ่จางซึ่งเป็นมารดาของนางนับจากนี้ไปด้วย “เอาเถอะเหรินเอ๋อจิงหยู&nb
จื่อเหยากับมารดานางนั่งพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จื่อเหยาจะวกกลับเข้ามาในเรื่องสำคัญเกี่ยวกับบิดานาง “ท่านแม่ ข้าว่าพวกเรารั้งอยู่ในเรือนสกุลจางนี้ต่อไปคงไม่เหมาะ คงต้องคิดหาทางขยับขยายแยกตัวออกมาเสียล่วงหน้านะเจ้าคะ” จื่อเหยาเอ่ยตามหลักความจริงที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าชีวิตคู่ระหว่างบิดามารดานางไม่ราบรื่นนับตั้งแต่มีสองแม่ลูกตัวร้ายเข้ามาแทรก หากรั้งอยู่ด้วยกันต่อไปก็ไม่เป็นผลดีแต่อย่างใด “เหยาเอ๋อ แม่ไม่นึกเลยนะว่าลูกจะคิดใส่ใจในเรื่องนี้ด้วย” ฮูหยินใหญ่จางเอ่ย คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินบุตรสาวที่ไม่ค่อยจะใส่ใจเรื่องราวความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ของคนในครอบครัวลึกซึ้งนักเอ่ยเป็นนัยออกมาเช่นนี้ จื่อเหยาชะงักไปเล็กน้อย ในเมื่อนางเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าจื่อเหยาคนเดิมไม่มีทางสนใจหรือเอ่ยอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แน่ “หลังลูกผ
ฮูหยินใหญ่จางไม่สามารถโต้แย้งใดๆกลับไปได้อีก เมื่อรู้ดีว่านางไม่มีทั้งหลักฐานและพยาน ทำได้เพียงรอให้จื่อเหยาฟื้นขึ้นมารวมทั้งนำกำไลหยกเลือดนกอันล้ำค่าคืนกลับมาเท่านั้น “ฮูหยินเจ้าคะ คุณหนูดื่มยาลงไปแล้ว เช่นนี้คงไม่เป็นไรแล้วกระมังเจ้าคะ” ซูเจียวเอ่ยกับฮูหยินใหญ่จางขณะนั่งเฝ้าจื่อเหยาที่ยังคงไม่ได้สติอยู่ด้วยกัน “ใช่ เหยาเอ๋อต้องไม่เป็นไร ลูกข้าต้องฟื้นขึ้นมาในไม่ช้านี้แหละ” ฮูหยินใหญ่ทั้งเอ่ยปลอบและให้กำลังใจตนเอง ก่อนจะนั่งเฝ้าจื่อเหยาต่อจนร่างกายเหนื่อยล้าเผลอฟุบหลับไปทั้งนายและบ่าว ขณะเดียวกันจื่อเหยาที่หมดสติไปนานหลายชั่วยาม ตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว ‘โอย ปวดหัวปวดตัวไปหมดเลย’ จื่อเหยาโอดครวญในใจ ร่างกายรู้สึกหนักอึ้ง ก่อนที่นางจะพยายามลืมตาขึ้นมาช้าๆ ‘นี่ ที่ไหนกัน เราถูกรถชนไม่ใช่เหรอ’ จื่อเหยากวาดตามองไปโดยรอบซึ่งเป็นสถานที่ไม่คุ้นตา อีกทั้งยังดูแปลกแตกต่างออกไปจากที่ซึ่งเธอเคยอยู่มาก สิ่งสำคัญคือจากเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นกับตนเองนั้น หากเธอไม่ตายก็ควรจะฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ ‘ทำไมที่นี่
จื่อเหยานอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่บนเตียงขนาดใหญ่พิเศษในห้องนอนของนาง โดยมีฮูหยินใหญ่จาง นายท่านจางหรือจางตงจื่อบิดานาง รวมทั้งรั่วเหรินและฮูหยินรองนามเสิ่นจิงหยูมารดารั่วเหรินคอยเฝ้ารอฟังผลการตรวจของหมอที่เรียกมารักษาอาการของจื่อเหยา “ท่านหมอบุตรสาวของข้าเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ฮูหยินใหญ่จางเอ่ยถามท่านหมอที่ตรวจอาการจื่อเหยาเสร็จก็หันกลับมาด้วยสีหน้าท่าทางไม่สู้ดีนัก “คุณหนูใหญ่จางอยู่ในสภาพร่างที่แทบจะสิ้นลมหายใจไปแล้ว ยามนี้ทำได้เพียงรอให้สวรรค์เมตตาแล้วล่ะ” ท่านหมอเอ่ยพร้อมส่ายศีรษะน้อยๆ “หมายความว่าอย่างไรกันเจ้าคะ” ฮูหยินใหญ่จางเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “ด้วยน้ำหนักและขนาดตัวของนางล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง แม้นภายนอกดูเหมือนบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ความจริงภายในได้รับผลกระทบเสียหายอีกทั้งศีรษะยังแตกด้วย ข้าคาดว่า..” ท่านหมอเอ่ยค้างเอาไว้ พร้อมทำสีหน้าท่าทางหนักใจ “คาดว่าอันใดกันเจ้าคะ” “เอาเป็นว่าข้าได้ทำแผลให้แล้ว และจะให้ยาช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต รักษาอาการบาดเจ็บภายในให้นางดื่ม หากนางผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไปได้ก็ถือว่านางรอดพ้
ในเมืองเซี่ยงไฮ้ที่ผู้คนพลุกพล่านวุ่นวาย จางจื่อเหยาหรือคุณหนูจางแห่งตระกูลเศรษฐีใหญ่อันดับต้นๆของเมืองกำลังเต้นไปมาอย่างสนุกสนานในคลับหรูใจกลางเมือง เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันเกิดอายุครบ 25 ปีของเธอ หลังจากฉลองกับครอบครัวเสร็จเธอก็นัดหมายร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดกับเหล่าบรรดาเพื่อนฝูงทั้งหลายที่ตั้งใจมาอวยพรและร่วมสนุกสนานครื้นเครงด้วยกันอย่างพร้อมหน้า “เหยาเหยา วันนี้ไม่เมาไม่กลับนะ” เฉินลี่หลินเพื่อสนิทของจื่อเหยาเอ่ยบอกกับเพื่อนสาว ขณะถือขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในมือพร้อมกับเต้นไปมาอยู่ท่ามกลางวงล้อมของผู้คนมากมายในคลับ “ได้เลย วันนี้เป็นวันเกิดของฉันเราต้องฉลองกันให้เต็มที่” จื่อเหยาตอบรับพร้อมกระดกเครื่องดื่มในมือขึ้นมาดื่มดับกระหาย จากนั้นก็เต้นไปมาอย่างสนุกสนานกับกลุ่มเพื่อนที่มาด้วยกัน เวลาผ่านไปนานนับชั่วโมง เข็มนาฬิกาบ่งบอกว่าใกล้จะล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเวลาของวันใหม่แล้ว ทันใดนั้นโทรศัพท์ที่เสียบอยู่ในกระเป๋ากางเกงหนังเข้ารูปของจื่อเหยาก็สั่นสะท้านขึ้นมาถี่ๆ “หลินหลิน สงสัยพี่ลี่จิ่นโทรมาตามฉันกลับบ้านแล้วแน่เลย” จื่อเหยาหันไปเอ่ยข้าง







