Masukจื่อเหยากับมารดานางนั่งพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จื่อเหยาจะวกกลับเข้ามาในเรื่องสำคัญเกี่ยวกับบิดานาง
“ท่านแม่ ข้าว่าพวกเรารั้งอยู่ในเรือนสกุลจางนี้ต่อไปคงไม่เหมาะ คงต้องคิดหาทางขยับขยายแยกตัวออกมาเสียล่วงหน้านะเจ้าคะ” จื่อเหยาเอ่ยตามหลักความจริงที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าชีวิตคู่ระหว่างบิดามารดานางไม่ราบรื่นนับตั้งแต่มีสองแม่ลูกตัวร้ายเข้ามาแทรก หากรั้งอยู่ด้วยกันต่อไปก็ไม่เป็นผลดีแต่อย่างใด
“เหยาเอ๋อ แม่ไม่นึกเลยนะว่าลูกจะคิดใส่ใจในเรื่องนี้ด้วย” ฮูหยินใหญ่จางเอ่ย คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินบุตรสาวที่ไม่ค่อยจะใส่ใจเรื่องราวความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ของคนในครอบครัวลึกซึ้งนักเอ่ยเป็นนัยออกมาเช่นนี้ จื่อเหยาชะงักไปเล็กน้อย ในเมื่อนางเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าจื่อเหยาคนเดิมไม่มีทางสนใจหรือเอ่ยอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แน่
“หลังลูกผ่านพ้นจากความเป็นความตาย จึงย้อนกลับมาคิดทบทวนในเรื่องต่างๆได้หลายเรื่องเลยเจ้าค่ะ ความสัมพันธ์ในครอบครัวเราก็เป็นหนึ่งในนั้น” จื่อเหยาเอ่ยแก้ตัวออกไป
“อืม ดีแล้วแม่ดีใจเหลือเกินที่ลูกเติบโตขึ้น ความจริงแม่เองก็คิดเรื่องนี้มานาน เพียงแต่ก่อนหน้านี้เห็นแก่ลูกจึงไม่ได้คิดที่จะตัดความสัมพันธ์แยกย้ายกับพ่อของเจ้าให้เด็ดขาด แต่มาตอนนี้เกิดเรื่องที่ทำให้แม่เกือบต้องสูญเสียเจ้าไปโดยที่พ่อของเจ้าไม่คิดเข้าข้างหรือทบทวนถึงสิ่งที่สองแม่ลูกนั่นกระทำกับเจ้าเลยแม้นแต่น้อย แม่เองก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป จึงให้แม่นมหยางของเจ้าเดินทางไปเมืองหลวงบอกกล่าวท่านตาเรื่องความตั้งใจของแม่ที่จะหย่าขาดแยกทางกับพ่อเจ้าเพื่อขอความเห็นชอบแล้วล่ะ” ฮูหยินใหญ่จางส่งแม่นมหยาง หยางจิ้งถงคนสนิทเดินทางไปยังเมืองหลวงเมื่อไม่กี่วันก่อน โดยอ้างว่านางขอลากลับบ้านเกิดแต่ความจริงตั้งใจไปทำธุระสำคัญให้ฮูหยินของนางต่างหากล่ะ
“ท่านแม่..ท่านตัดสินใจถูกต้องแล้วเจ้าค่ะ ข้าเห็นด้วยพร้อมส่งเสริมท่านให้หย่ากับท่านพ่อ ตัดขาดจากสกุลจางไปซะ แต่สิ่งสำคัญคือ..เราต้องเอาทุกอย่างที่ควรเป็นของเรากลับคืนมา อย่าได้ยอมเสียเปรียบสองแม่ลูกนั่นหรือแม้นแต่ท่านพ่อเองเป็นอันขาดนะเจ้าคะ”
“เยี่ยมไปเลยเหยาเอ๋อ แม่รับรองว่าจะไม่ยอมเสียเปรียบผู้ใดแน่ การตัดสินใจนี้ไม่รีบร้อน แม่ต้องทำให้แน่ใจว่าเราจะไม่เสียเปรียบใครอีก” ฮูหยินใหญ่จางยืนยันพร้อมยื่นมือไปลูบศีรษะบุตรสาวแผ่วเบา จากนั้นสองแม่ลูกก็ยิ้มให้กันอย่างสบายใจผ่อนคลายมากขึ้น
“ไงจื่อเหยาเจ้าอาการดีขึ้นมากแล้วสินะ” นายท่านจางเอ่ยถามบุตรสาวที่ต้องพักรักษาตัวในห้องนานนับเดือน จนในที่สุดก็ออกมารับประทานอาหารร่วมกันกับคนอื่นๆได้ตามปกติ
“ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ แต่ยังเจ็บในใจอยู่ไม่น้อย” จื่อเหยาตอบกลับไป
“เหตุใดกัน เรียกหมอจิ่นมาตรวจดูหรือยัง” นายท่านจางเอ่ยถาม
“เรื่องนี้หมอจิ่นคงช่วยอันใดไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
“ทำไมเล่า”
“เพราะความเจ็บใจนี้เกิดจากการที่ข้าไม่ได้รับความเป็นธรรม ท่านพ่อเองก็ไม่แม้นแต่ถามด้วยซ้ำไปว่าเกิดเหตุกับข้าได้อย่างไร ทั้งที่รู้ว่าข้าฟื้นคืนสติมาได้นานแล้วแท้ๆ” จื่อเหยากล่าวขึ้นมาทำเอานายท่านจางหน้าเจื่อนไป ส่วนรั่วเหรินกับฮูหยินรองก็หน้าตาเลิ่กลั่กขึ้นมาทันที
“พี่จื่อเหยาท่านเอ่ยอะไรกัน ตอนนี้ตัวท่านเองก็สบายดีแล้วจะพูดเรื่องโชคร้ายขึ้นมาอีกเพื่ออะไรเจ้าคะ รีบทานข้าวเถอะเจ้าค่ะ นี่ขาหมูตุ๋นซีอิ๊วของโปรดท่านอย่างไรเล่าเจ้าคะ” รั่วเหรินเอ่ยขัด ทำทีเป็นใจดีคีบขาหมูตุ๋นใส่ชามให้จื่อเหยา
“นั่นสิจื่อเหยารีบทานอาหารเถอะกำลังร้อนๆเลย นี่ผัดหมูสามชั้นใส่ขิงของโปรดเจ้าเหมือนกัน รีบกินเสียสิ” ฮูหยินรองจางก็เอ่ยสนับสนุนบุตรสาวขึ้นอีกคน พร้อมคีบหมูสามชั้นชิ้นโตใส่ลงไปในชามจื่อเหยาอีกหลายชิ้น
“ฮึ ทำไม? กลัวอะไรกันงั้นเหรอเจ้าคะ รึว่าร้อนตัวเรื่องที่ความจริงแล้วข้าไม่ได้ลื่นล้มลงไปเอง แต่เป็นรั่วเหรินต่างหากที่จงใจผลักข้าให้ล้มลงไปเช่นนั้น”
“พี่จื่อเหยา ท่านพูดไร้สาระอะไรน่ะ ไม่จริงเลยสักนิด” รั่วเหรินรีบปฏิเสธทันที
“นั่นสิจื่อเหยาเจ้าใส่ร้ายเหรินเอ๋อทำไมกัน” ฮูหยินรองโต้ตอบกลับไป
“ท่านพ่อ หากท่านไม่เชื่อข้า..ตัวข้าเองก็ไม่อาจทำอะไรได้ แต่ขอบอกเอาไว้เลยว่าข้าไม่ได้โกหก รั่วเหรินให้คนไปหลอกซูเจียวว่าข้าอยากกินขนมกุ้ยฮวา จากนั้นก็ให้ไห่ถังสาวใช้คนสนิทเข้าไปขโมยกำไลหยกเลือดนกของข้าในห้องนอน ที่สำคัญนี่ไม่ใช่ครั้งแรกด้วย หลายครั้งที่นางทำตัวอุกอาจเป็นขโมยเช่นนี้ แต่ข้าก็แสร้งหลับตาข้างหนึ่งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเพราะคิดว่ายังไงเสียนางก็เป็นน้อง แต่กำไลหยกเลือดนกเป็นของเก่าแก่ที่ท่านตาส่งมอบมาให้ข้า ข้ายอมให้ผู้ใดเอาไปไม่ได้จริงๆ พอข้าไปทวงมันกลับคืนมารั่วเหรินก็ไม่พอใจหันกลับมาทำร้ายข้า หากท่านเป็นบิดาที่มีความเป็นธรรมหลงเหลืออยู่บ้างก็คงไม่เข้าข้างคนผิดอีกหรอกนะเจ้าคะ” จื่อเหยาร่ายยาว จนนายท่านจางถึงกับพูดไม่ออก
ทุกคนต่างตกตะลึงในท่าทีที่แปลกออกไปของจื่อเหยาซึ่งดูสงบนิ่งขึ้นทั้งยังพูดจามีเหตุมีผลดูเฉลียวฉลาด ทำให้ฮูหยินใหญ่จางวางใจในตัวนางมากขึ้นด้วย
“เหรินเอ๋อเป็นเช่นนั้นจริงงั้นหรือ” นายท่านจางหันไปถามบุตรสาวคนรองซึ่งตั้งตัวไม่ติด ทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่คิดว่าจื่อเหยาจะโต้ตอบกลับมาเช่นนี้ ทั้งที่โดยปกตินางมักจะอาละวาด เกรี้ยวกราดจนทำให้ท่านพ่อไม่พอใจเสียมากกว่า
“เหรินเอ๋อ พ่อถามว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆใช่ไหม” นายท่านจางเอ่ยคาดคั้นอีกรอบ
“ทะ..ท่านพ่อ ข้าไม่ได้ตั้งใจนะเจ้าคะ ข้าเพียงแค่หยิบยืมกำไลข้อมือหยกนั่นมาใส่เล่นเท่านั้น แต่พี่จื่อเหยาโมโหเข้ามายื้อแย่ง สุดท้ายยื้อกันไปมาพี่จื่อเหยาก็พลาดล้มลงไปเองเจ้าค่ะ” รั่วเหรินไม่ยอมรับความผิด
“เด็กๆแค่ล้อเล่นกันเท่านั้น เกิดเรื่องไม่คาดฝันบ้างก็เป็นธรรมดานะเจ้าคะ” ฮูหยินรองรีบกล่าวช่วยเหลือบุตรสาวทันที
“เล่นกันงั้นเหรอ เล่นจนเหยาเอ๋อเกือบตายเนี่ยนะ” ฮูหยินใหญ่สวนกลับไป
“นั่นสิฮูหยินรอง หากการที่ข้าเกือบตายเป็นการล้อเล่น เช่นนั้นนับจากนี้ไปข้าก็จะล้อ..เล่นกับรั่วเหรินให้นางเกือบตายบ้างดีไหมล่ะ” จื่อเหยาโต้กลับไปอีกคน สองแม่ลูกหน้าซีดขึ้นมาทันที
“ทะ..ท่านพี่..” ฮูหยินรองจางหันไปหาตัวช่วย
“เอาล่ะ พอทีเถอะเรื่องก็ผ่านไปแล้ว ตอนนี้จื่อเหยาก็สบายดีแล้ว ให้ทุกอย่างมันยุติอยู่เพียงแค่นี้แหละ” นายท่านจางเอ่ยด้วยความลำเอียงและเพื่อตัดรำคาญอีกครั้ง
“ฮึ ข้าก็คิดอยู่แล้วเชียว ว่าคงไม่ได้รับความเป็นธรรมใดแน่” จื่อเหยาเอ่ย นายท่านจางชะงักไป
“เหรินเอ๋อก็บอกแล้วนี่ว่าพวกเจ้ายื้อแย่งกันไปมาสุดท้ายเจ้าจึงล้มลงไปเอง” นายท่านจางตอบกลับบุตรสาว
“ท่านพ่อ ท่านยังคงฟังเพียงคำพูดฝ่ายเดียวของรั่วเหรินอยู่ดีสินะเจ้าคะ ฮึ..เอาเถอะ แต่ถึงอย่างไรเรื่องที่รั่วเหรินหยิบของของข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาตก็เรียกว่าเป็นขโมย เป็นผู้กระทำผิดอยู่ดีเรื่องนี้ท่านไม่คิดว่าควรจะเอ่ยอะไรบ้างงั้นหรือเจ้าคะ หากเรื่องแย่ๆที่ข้าถูกกระทำทราบไปถึงหูท่านตารับรองว่ารั่วเหรินบุตรสาวแสนรักของท่านคงไม่ได้อยู่ดีแน่” จื่อเหยาฉลาดเอ่ยอ้างถึงท่านตานางซึ่งเป็นถึงเสนาบดีกรมคลัง แม้นจะอยู่ห่างไกลออกไปยังเมืองหลวงแต่นายท่านจางก็ยังคงเคารพยำเกรงอยู่มาก
“นั่นย่อมเป็นความผิดจริงๆ เหรินเอ๋อต่อไปอย่าได้ไปแตะต้องสิ่งของของจื่อเหยาอีกเข้าใจไหม” นายท่านจางหันไปเอ่ยกับบุตรสาวคนรองอย่างเสียมิได้ รั่วเหรินทำท่าขัดใจครู่หนึ่ง แต่ฮูหยินรองแม่ของนางดึงรั้งแขนนางเอาไว้ ทำสัญญาณให้นางเออออไปกับบิดา
“เจ้าค่ะท่านพ่อ”
“เท่านี้เองหรือเจ้าคะ หากท่านตาทราบนางคงได้เข้าไปอยู่ในคุกจริงๆแล้วล่ะ” จื่อเหยาเอ่ยย้ำน้ำเสียงสีหน้าจริงจัง
“เหรินเอ๋อ รีบขอโทษพี่สาวเจ้าเสียสิ” นายท่านจางกล่าว
“ฮึ ขอโทษ!!!” รั่วเหรินเอ่ยขอโทษอย่างไม่เต็มใจนัก
“แค่ขอโทษไม่พอหรอกนะ”
“แล้วเจ้าจะเอาอะไรอีก” รั่วเหรินเริ่มเก็บอาการไม่อยู่
“ข้าจดรายการข้าวของที่เจ้าขโมยไปก่อนหน้านี้เอาไว้หมดแล้ว หากเจ้าไม่อยากติดคุก ก็นำของทุกอย่างคืนกลับมาให้ข้าเสีย ไม่งั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือนล่ะ นับจากนี้ไปหากตัวเจ้าและแม่ของเจ้าหยิบฉวยสิ่งใดไปจากข้ากับท่านแม่อีกก็เตรียมตัวเข้าคุกกันได้เลย ท่านพ่อ..หวังว่าท่านจะให้ความเป็นธรรมกับพวกข้าในเรื่องนี้ด้วยนะเจ้าคะ” จื่อเหยาพูดจาเด็ดขาดจริงจัง จนนายท่านจางและสองแม่ลูกตัวร้ายอึ้งไปเลย ขณะเดียวกันฮูหยินใหญ่จางกับซูเจียวต่างก็พากันยิ้มพอใจกับการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีของจื่อเหยาในครั้งนี้
“ทะ ท่านนพ่อ..” รั่วเหรินโอดครวญเนื่องจากของบางชิ้นนางได้นำไปมอบเป็นของกำนัลให้ผู้อื่นหรือไม่ก็นำออกไปขายแล้ว
“หากเจ้าไม่มีปัญญาเอากลับคืนมาให้ข้าในสภาพเดิมก็จงชดใช้มาเป็นจำนวนเงิน นับแล้วทั้งหมดก็ราว 1,000 ตำลึงทอง” จื่อเหยาคิดคำนวณทุกอย่างเอาไว้แล้ว ทำให้ทุกคนต่างพากันตกตะลึงไปอีกรอบกลับความละเอียดรอบคอบของนาง
จื่อเหยามองหน้าสองแม่ลูกรวมทั้งนายท่านจางด้วยท่าทางสะใจไม่น้อย ก่อนหน้านี้นางและแม่ของนางไม่เคยคิดใช้อำนาจของท่านตานางมาก่อน จื่อเหยาคนเดิมก็ไม่มีความคิดในเรื่องล้างแค้นเอาคืนเช่นนี้เลยด้วยซ้ำไป พอเกิดเรื่องนางก็มักจะระเบิดอารมณ์ลงไปในตอนนั้นเลย จนทำให้นางกลายเป็นคนไม่ดีในสายตาผู้อื่น ส่วนคนผิดจริงอย่างรั่วเหรินและฮูหยินรองก็ทำตัวเป็นเหยื่อดูน่าสงสารเห็นใจแทน ‘ในส่วนของจื่อเหยาคนเดิมนั้นมีเพียงแต่ใช้อารมณ์กับกำลังเข้าปะทะจนทำให้ตัวเองถูกใส่ร้ายกล่าวหามองดูเป็นคนไม่ดีคิดเรื่องที่ชาญฉลาดมีเหตุมีผลไม่ได้ ส่วนมารดานางนั้นคิดเพียงต้องการรักษาความสัมพันธ์ของครอบครัวเอาไว้ก็เพื่อบุตรีของนางเองจึงไม่ยอมใช้ไม้แข็งหรือต่อต้านอันใดมากนัก มาบัดนี้ถึงเวลาแล้วที่พวกนางจะลุกขึ้นมาจัดการกับสองแม่ลูกและบิดาที่ไม่เป็นธรรมเสียที’ จื่อเหยาคิดเอาคืนทุกอย่างแทนสาวน้อยร่างท้วมที่ตายไปอย่างไม่เป็นธรรม รวมทั้งเพื่อฮูหยินใหญ่จางซึ่งเป็นมารดาของนางนับจากนี้ไปด้วย “เอาเถอะเหรินเอ๋อจิงหยู&nb
จื่อเหยากับมารดานางนั่งพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จื่อเหยาจะวกกลับเข้ามาในเรื่องสำคัญเกี่ยวกับบิดานาง “ท่านแม่ ข้าว่าพวกเรารั้งอยู่ในเรือนสกุลจางนี้ต่อไปคงไม่เหมาะ คงต้องคิดหาทางขยับขยายแยกตัวออกมาเสียล่วงหน้านะเจ้าคะ” จื่อเหยาเอ่ยตามหลักความจริงที่เกิดขึ้นในตอนนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าชีวิตคู่ระหว่างบิดามารดานางไม่ราบรื่นนับตั้งแต่มีสองแม่ลูกตัวร้ายเข้ามาแทรก หากรั้งอยู่ด้วยกันต่อไปก็ไม่เป็นผลดีแต่อย่างใด “เหยาเอ๋อ แม่ไม่นึกเลยนะว่าลูกจะคิดใส่ใจในเรื่องนี้ด้วย” ฮูหยินใหญ่จางเอ่ย คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินบุตรสาวที่ไม่ค่อยจะใส่ใจเรื่องราวความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ของคนในครอบครัวลึกซึ้งนักเอ่ยเป็นนัยออกมาเช่นนี้ จื่อเหยาชะงักไปเล็กน้อย ในเมื่อนางเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าจื่อเหยาคนเดิมไม่มีทางสนใจหรือเอ่ยอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แน่ “หลังลูกผ
ฮูหยินใหญ่จางไม่สามารถโต้แย้งใดๆกลับไปได้อีก เมื่อรู้ดีว่านางไม่มีทั้งหลักฐานและพยาน ทำได้เพียงรอให้จื่อเหยาฟื้นขึ้นมารวมทั้งนำกำไลหยกเลือดนกอันล้ำค่าคืนกลับมาเท่านั้น “ฮูหยินเจ้าคะ คุณหนูดื่มยาลงไปแล้ว เช่นนี้คงไม่เป็นไรแล้วกระมังเจ้าคะ” ซูเจียวเอ่ยกับฮูหยินใหญ่จางขณะนั่งเฝ้าจื่อเหยาที่ยังคงไม่ได้สติอยู่ด้วยกัน “ใช่ เหยาเอ๋อต้องไม่เป็นไร ลูกข้าต้องฟื้นขึ้นมาในไม่ช้านี้แหละ” ฮูหยินใหญ่ทั้งเอ่ยปลอบและให้กำลังใจตนเอง ก่อนจะนั่งเฝ้าจื่อเหยาต่อจนร่างกายเหนื่อยล้าเผลอฟุบหลับไปทั้งนายและบ่าว ขณะเดียวกันจื่อเหยาที่หมดสติไปนานหลายชั่วยาม ตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว ‘โอย ปวดหัวปวดตัวไปหมดเลย’ จื่อเหยาโอดครวญในใจ ร่างกายรู้สึกหนักอึ้ง ก่อนที่นางจะพยายามลืมตาขึ้นมาช้าๆ ‘นี่ ที่ไหนกัน เราถูกรถชนไม่ใช่เหรอ’ จื่อเหยากวาดตามองไปโดยรอบซึ่งเป็นสถานที่ไม่คุ้นตา อีกทั้งยังดูแปลกแตกต่างออกไปจากที่ซึ่งเธอเคยอยู่มาก สิ่งสำคัญคือจากเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นกับตนเองนั้น หากเธอไม่ตายก็ควรจะฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ ‘ทำไมที่นี่
จื่อเหยานอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่บนเตียงขนาดใหญ่พิเศษในห้องนอนของนาง โดยมีฮูหยินใหญ่จาง นายท่านจางหรือจางตงจื่อบิดานาง รวมทั้งรั่วเหรินและฮูหยินรองนามเสิ่นจิงหยูมารดารั่วเหรินคอยเฝ้ารอฟังผลการตรวจของหมอที่เรียกมารักษาอาการของจื่อเหยา “ท่านหมอบุตรสาวของข้าเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ฮูหยินใหญ่จางเอ่ยถามท่านหมอที่ตรวจอาการจื่อเหยาเสร็จก็หันกลับมาด้วยสีหน้าท่าทางไม่สู้ดีนัก “คุณหนูใหญ่จางอยู่ในสภาพร่างที่แทบจะสิ้นลมหายใจไปแล้ว ยามนี้ทำได้เพียงรอให้สวรรค์เมตตาแล้วล่ะ” ท่านหมอเอ่ยพร้อมส่ายศีรษะน้อยๆ “หมายความว่าอย่างไรกันเจ้าคะ” ฮูหยินใหญ่จางเอ่ยถามอย่างร้อนใจ “ด้วยน้ำหนักและขนาดตัวของนางล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง แม้นภายนอกดูเหมือนบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ความจริงภายในได้รับผลกระทบเสียหายอีกทั้งศีรษะยังแตกด้วย ข้าคาดว่า..” ท่านหมอเอ่ยค้างเอาไว้ พร้อมทำสีหน้าท่าทางหนักใจ “คาดว่าอันใดกันเจ้าคะ” “เอาเป็นว่าข้าได้ทำแผลให้แล้ว และจะให้ยาช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต รักษาอาการบาดเจ็บภายในให้นางดื่ม หากนางผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไปได้ก็ถือว่านางรอดพ้
ในเมืองเซี่ยงไฮ้ที่ผู้คนพลุกพล่านวุ่นวาย จางจื่อเหยาหรือคุณหนูจางแห่งตระกูลเศรษฐีใหญ่อันดับต้นๆของเมืองกำลังเต้นไปมาอย่างสนุกสนานในคลับหรูใจกลางเมือง เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันเกิดอายุครบ 25 ปีของเธอ หลังจากฉลองกับครอบครัวเสร็จเธอก็นัดหมายร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดกับเหล่าบรรดาเพื่อนฝูงทั้งหลายที่ตั้งใจมาอวยพรและร่วมสนุกสนานครื้นเครงด้วยกันอย่างพร้อมหน้า “เหยาเหยา วันนี้ไม่เมาไม่กลับนะ” เฉินลี่หลินเพื่อสนิทของจื่อเหยาเอ่ยบอกกับเพื่อนสาว ขณะถือขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในมือพร้อมกับเต้นไปมาอยู่ท่ามกลางวงล้อมของผู้คนมากมายในคลับ “ได้เลย วันนี้เป็นวันเกิดของฉันเราต้องฉลองกันให้เต็มที่” จื่อเหยาตอบรับพร้อมกระดกเครื่องดื่มในมือขึ้นมาดื่มดับกระหาย จากนั้นก็เต้นไปมาอย่างสนุกสนานกับกลุ่มเพื่อนที่มาด้วยกัน เวลาผ่านไปนานนับชั่วโมง เข็มนาฬิกาบ่งบอกว่าใกล้จะล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเวลาของวันใหม่แล้ว ทันใดนั้นโทรศัพท์ที่เสียบอยู่ในกระเป๋ากางเกงหนังเข้ารูปของจื่อเหยาก็สั่นสะท้านขึ้นมาถี่ๆ “หลินหลิน สงสัยพี่ลี่จิ่นโทรมาตามฉันกลับบ้านแล้วแน่เลย” จื่อเหยาหันไปเอ่ยข้าง







