Mag-log inบรรยากาศระหว่างทางเข้าสู่เมืองไฮ่หยาง หลังจากเหตุลอบโจมตีขบวนทั้งหมดกลับเงียบลงอย่างเห็นได้ชัดเสียงล้อรถม้ากลับมาบดพื้นดินเป็นจังหวะเนิบช้า แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าความรู้สึกไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ลมทะเลเริ่มแรงขึ้นเรื่อย ๆ กลิ่นเค็มอ่อน ๆ ลอยมาตามกระแสลมท้องฟ้ากลายเป็นสีน้ำเงินสดกว่าก่อนหน้า เป็นสัญญาณว่าพวกเขาเข้าใกล้ไฮ่หยางเต็มทีภายในรถม้าองค์หญิงหลิงเซียงนั่งประคองเสี่ยวถังจือที่ยังคงหน้าซีด“ไม่ต้องกลัวแล้วนะ เมื่อกี้เจ้าทำดีมากเลย” หลิงเซียงเสี่ยวผิงจื่อยกมือขึ้น“ข้า… ข้าคิดว่าจะไม่รอดแล้วขอรับ แต่นายท่านมู่กับพี่เฟิงหวงเท่มากเลย!” เสี่ยวผิงจื่อซินเหมยรีบปรามเบา ๆ“เบาเสียงหน่อยสิ เดี๋ยวพี่เฟิงหวงจะยิ่งกังวล” ซินเหมยหลิงเซียงยิ้มบาง ๆ“อย่ากังวล แต่ก็ภูมิใจในทุกคน ขอบใจนะที่ช่วยกัน” หลิงเซียงไป๋กงกงกับหม่ากูกูลอบมององค์หญิงด้วยสายตาเอ็นดูปนห่วง พวกเขาเห็นชัดว่าองค์หญิงเติบโตขึ้นมากจากวันแรกที่มาถึงตำหนักไฉ่หงมู่เทียนหลางควบม้าอยู่ข้างรถม้าท่าทางนิ่งขรึม แต่แฝงความตึงเครียดไม่ปล่อยวาง เฟิงหวงขี่ม้าควบเทียบเข้ามา“นายท่าน… ขบวนมือสังหารที่มาก่อนหน้านี้ เป็นแค่พวกฝึกหัด หากมีผู้ส
ขบวนของมู่เทียนหลางและองค์หญิงหลิงเซียงออกเดินทางสู่เมืองไฮ่หยาง ในยามเช้าตรู่แสงอาทิตย์แรกคล้ายผ้าฝ้ายบางวางทับลงบนลานกว้างหน้าตำหนักไฉ่หง รถม้าสีดำลายทองถูกจัดเตรียมอย่างประณีต ทหารคุ้มกันยืนเรียงรายอย่างเป็นระเบียบมู่เทียนหลางตรวจสอบความเรียบร้อยครั้งสุดท้าย ก่อนเงยหน้ามององค์หญิงหลิงเซียงที่ก้าวออกมาจากตำหนักด้วยชุดเดินทางสีฟ้าอ่อน แววตาสดใสเหมือนกำลังรอคอยการผจญภัยมู่เทียนหลางเอ่ยถามฮูหยินด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข“พร้อมเดินทางหรือไม่ ฮูหยิน” เทียนหลางหลิงเซียงยิ้มบาง ๆ“พร้อมมากเจ้าค่ะ ไม่ได้ออกเดินทางไกลแบบนี้มานานแล้ว ข้าตื่นเต้นมากเลย” หลิงเซียงไป๋กงกงกับหม่ากูกูต่างเร่งให้เด็กทั้งสี่ เสี่ยวถังจือ เสี่ยวผิงจื่อ ซินเหมย และจูซิง ขึ้นรถม้าอย่างเป็นระเบียบ เฟิงหวงยืนรออยู่ข้างมู่เทียนหลาง ส่วนห่าวเฉิงตรวจดูเส้นทางเป็นรอบสุดท้าย“นายท่าน เส้นทางสู่เมืองไฮ่หยางปลอดภัยดี ไม่มีรายงานการเคลื่อนไหวของโจรป่า” ห่าวเฉิงห่าวเฉิงกล่าวเสียงหนักแน่น มู่เทียนหลางพยักหน้า ก่อนผายมือให้องค์หญิงก้าวขึ้นรถม้า“เราจะไปถึงไฮ่หยางก่อนพลบค่ำ หากไม่มีเหตุไม่คาดฝัน” เทียนหลางเมื่อทุกคนขึ้น
ตอนนี้กำลังอวิ๋นโซ่วเริ่มสืบหาที่ซ่อนของสำนักเงารัตติกาล กลางดึกของคืนที่ลมหนาวพัดแรง ท้องฟ้าปิดทึบไร้แสงดาว อวิ๋นโซ่วยืนอยู่บนยอดกำแพงเมืองด้านทิศเหนือ เงาร่างสูงโปร่งแผ่วเบาราวภูตผี ข้างกายมีเพียงกระบี่คู่ใจและความคิดที่เริ่มหนักขึ้นทุกคืน เขาตัดสินใจแล้วถ้าต้องการจะครอบครององค์หญิงหลิงเซียงอย่างแท้จริง เขาต้องรู้ให้ได้ว่าสำนักเงารัตติกาลยังเหลือรอดผู้ใดและซ่อนตัวอยู่ที่ไหน เพราะแผนการของเขาต้องสำเร็จและต้องใช้คนพวกนี้ช่วยอีกแรงอวิ๋นโซ่วเริ่มจากรายชื่อผู้ถูกประกาศว่าตายไปแล้ว เมื่อสิบปีก่อนในเหตุการณ์ล้างบางของสำนักเงารัตติกาลแต่ในบันทึกลับขององครักษ์ประจำวังกลับมีข้อสังเกตว่า ศพของหลายคนไม่เคยถูกพบ เขาไปสืบโรงเตี๊ยมเก่า ๆ ทางประตูทิศตะวันตก เถ้าแก่ชราที่มองผ่านโลกมานับไม่ถ้วน เมื่อเห็นเขาเพียงแวบเดียว สีหน้ากลับเคร่งเครียดขึ้นชั่วพริบตา“ท่านลูกค้าคงมาผิดที่...” เถ้าแก่พูดช้า ๆ อวิ๋นโซ่ววางถุงเงินลงเบา ๆ สูงกว่าปกติถึงสามเท่า เสียงเหรียญกระทบท่อนไม้ทำให้อีกฝ่ายสะดุ้ง“ข้าต้องการรายชื่อคนที่เคยขอให้ท่านส่งข่าวลับไปทางเมืองเว่ยในช่วงสิบปีที่แล้ว” อวิ๋นโซ่วเสียงของเขานุ่ม แต่เย็นล
ภายในตำหนักไฉ่หงยามค่ำ แสงตะเกียงส่องอุ่นนุ่มตัดกับความเงียบรอบด้าน มู่เทียนหลางนั่งอยู่ตรงข้ามองค์หญิงหลิงเซียงบนโต๊ะทรงเตี้ย รอบตัวเต็มไปด้วยกระดาษแผ่นเล็กแผ่นน้อยที่นางใช้ร่างความคิดไว้ลวก ๆ เขามองกระดาษเหล่านั้นด้วยคิ้วที่เลิกขึ้นเล็กน้อย“นี่เจ้าร่างแผนไว้เองทั้งหมดเลยหรือ” เทียนหลางหลิงเซียงพยักหน้า“เจ้าค่ะ ข้าคิดไว้หลายอย่าง… แต่ก็ยังไม่มั่นใจนักว่าทำได้จริงหรือไม่” หลิงเซียงมู่เทียนหลางไม่ตอบ เขากลับรวบกระดาษเหล่านั้นทีละแผ่น แล้วเริ่มจัดเรียงใหม่ทั้งหมดอย่างเป็นระเบียบตามนิสัยแม่ทัพ นางมองตามตาโตขึ้นเรื่อย ๆ“ท่านพี่เจ้าค่ะ…” หลิงเซียงเขาไม่เงยหน้า แต่เอ่ยเสียงทุ้ม“การจะเปิดเหลาอาหาร ไม่ใช่เพียงแค่ทำอาหารอร่อย ต้องมีแผนเหมือนวางกลยุทธ์ศึกหนึ่ง” เทียนหลางเขาวาดลายเส้นลงบนกระดาษแผ่นหนึ่ง“เราต้องเริ่มจากสามอย่าง” เทียนหลางเขาเงยหน้าขึ้นสบตานาง นิ้วมือใหญ่เคาะโต๊ะเบา ๆ ตามจังหวะคำพูด“สถานที่ กำลังคนและเงินทุน” เทียนหลางหลิงเซียงเผลอยิ้มออกมา“ท่านพูดเหมือนกำลังวางแผนตีเมืองเลยเจ้าค่ะ” หลิงเซียงมู่เทียนหลางตอบจริงจัง“ใช้หลักเดียวกันได้” เทียนหลางเขาวาดวงกลมใหญ่แล้วเขี
หลังจากความเจ็บปวดในอกเริ่มคลี่คลายเพราะอ้อมกอดของมู่เทียนหลาง องค์หญิงหลิงเซียงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ ขยับตัวออกจากอ้อมแขนเขาอย่างลังเล เขามองนางทันที สายตาเข้มลึก แต่อ่อนโยน“เจ้ามีเรื่องอะไรจะพูดกับข้าอีกหรือ” เทียนหลางหลิงเซียงหลุบตาลงนิ้วเล็กกำชายอาภรณ์แน่นเหมือนลังเลจะพูดดีหรือไม่ เรื่องที่จะคูยก็คือองค์หญิงหลิงเซียงเผยแผนการอยากออกไปเริ่มต้นชีวิตใหม่“ท่านพี่… ความจริงแล้ หม่อมฉันมีเรื่องหนึ่งที่ปิดบังท่านและทุกคนในวังมานาน” หลิงเซียงเสียงนางเบามากแต่มีความเด็ดเดี่ยวข้างใน มู่เทียนหลางขมวดคิ้วเล็กน้อย“เรื่องอะไร” เทียนหลางองค์หญิงหลิงเซียงสูดลมหายใจลึก เหมือนต้องรวบรวมทุกความกล้าทั้งหมดที่มี“ข้า… และทุกคนในตำหนักไฉ่หง ต่างวางแผนกันไว้ว่าจะออกจากวังค่ะ จะไปใช้ชีวิตใหม่ที่นอกกำแพงวังหลวง เจ้าค่ะ” หลิงเซียงห้องทั้งห้องเงียบลงทันทีเงียบจนได้ยินเพียงเสียงลมลอดกรอบหน้าต่าง มู่เทียนหลางนิ่งไปครู่ใหญ่ดวงตาคมวาวขึ้น ทั้งตกใจ ทั้งไม่คาดคิด แต่ไม่มีความโกรธเลยแม้แต่น้อย“ออกจากวังหรือ” เทียนหลางเสียงเขาทุ้มต่ำ ราวกับต้องทวนเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ฟังผิด“เจ้าต้องการจะไป
ยามสนธยาตกลงเหนือเรือนบัญชาการของกองทัพใหญ่ในเมืองหลวง มู่เทียนหลางกำลังจัดการเอกสารรายงาน อีกหน้าหที่หนึ่งของมู่เทียนหลางคือช่วยดูแลงานในกองทัพอีกด้วย เมื่อทหารคนสนิทคุกเข่าเข้ามาอย่างเร่งร้อน“คุณชายมู่! มีข่าวด่วนมารายงานขอรับ”มู่เทียนหลางเงยหน้า“ว่ามา” เทียนหลางทหารลังเลครู่หนึ่งก่อนตอบ“เป็นเรื่องงานอภิเษกขององค์หญิงหลิงเซียงขอรับ”เทียนหลางฟังโดยไม่แสดงสีหน้า จนกระทั่งได้ยินประโยคถัดไป“ตระกูลเกาญาติฝ่ายฮูหยินของท่าน ถูกกันไม่ให้เข้าร่วมงานขอรับ แม้จะเดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว แต่กลับถูกสั่งให้อยู่ด้านนอก ไม่ให้เข้าใกล้พระราชพิธี”เสียงในห้องเงียบลงทันทีแม้แสงอาทิตย์ยามเย็นจะอุ่น แต่น้ำเสียงของมู่เทียนหลางกลับเย็นลงอย่างเห็นได้ชัด“ว่าอย่างไรนะ” เทียนหลางทหารกลืนน้ำลาย“ขอรับ พวกเขามาไกลหลายวัน แต่ถูกขุนนางฝ่ายพิธีการกันไว้ เหมือนไม่ต้องการให้ปรากฏตัวเลยขอรับ”มือของมู่เทียนหลางกำกระบี่จนแน่นเส้นเลือดบนหลังมือปูดขึ้นอย่างชัดเจน แม้เขาจะยังสงบนิ่งภายนอก ดวงตาคมลึกของเขาฉายแววเกรี้ยวกราดที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็น“พวกเขาคิดว่าเป็นตระกูลเกาเป็นภัยร้าย หรือคิดว่าเป็นเพราะฮูหยินของข้า




![[Unlimited Money] ระบบเงินทุนไร้ขีดจำกัด](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


