Share

บทที่ 9 เมืองไฮ่โจว

last update Huling Na-update: 2025-11-04 08:50:44

ตอนที่เข้าสัปดาห์ที่สี่แล้วที่ใช้ชีวิตเป้นองค์หญิงหลิงเซียงโดยที่ยังมีชีวิตรอดปลอดภัย แต่หลิงเซียงพึ่งได้รับรู้ว่าก่อนที่จะถูกจับตัวไปนั้น ตัวของเขาคนเดิมนั้นได้มีเรื่องบาดหมางกับพระสมกุ้ยเฟยแห่งตระกูลซู จนฮองเฮาสั่งลงโทษพระสมกุ้ยเฟยที่ทำหน้าเกินความจำเป็น ไม่แน่คนร้ายที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดอาจเป็นนางก็ได้ เพราะนางเองก็ไม่เป็นที่โปรดปราณของฮ่องเต้จิ้งอู่เท่าไหร่ อาจอยากจะมาลงที่องค์หญิงแทนแต่ดันผิดคาดกลับโดนลงโทษเสียเอง จึงอาจแค้นองค์หญิงหลิงเซียงมากเพราะความโกรธความแค้นมันสามารถฆ่าคนได้โดยง่าย คนที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยมากที่สุดก็พระสนมกุ้ยเฟยนี้แหละ

พระสนมกุ้ยเฟยแห่งตระกูลซู ชื่อเสียงของนางดังก้องไปทั่ววังหลัง ทั้งในแง่ของความงามและความร้ายกาจ นางเป็นบุตรสาวคนโตของ ซูเหวินอี้มหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย ผู้มีอำนาจครอบคลุมราชสำนักกว่าครึ่ง ด้วยอำนาจของบิดาเพียงเอื้อมมือเดียวก็สามารถส่งบุตรีเข้าวังให้เป็นสนมของฮ่องเต้จิ้งอู่ได้โดยง่าย แต่ที่จริงแล้วตระกูลซูนั้นเป็นฝ่ายสนับสนุนทางฝั่งขององค์รัชทายาทจิ้งไฉ เพราะพระมารดาของรัชทายาทจิ้งไฉเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของซูเหวินอี้

แต่แม้จะได้ตำแหน่งเป็นถึงกุ้ยเฟยหนึ่งในลำดับสูงสุดของวังหลัง ฮ่องเต้กลับไม่เคยทรงโปรดนางเลยแม้แต่น้อย กุ้ยเฟยเป็นหญิงที่เฉียบคมและทะเยอทะยาน นางมีความงามอันเย้ายวนแต่เย็นเยียบ ดวงตาของนางเหมือนหยกดำงดงามแต่ไม่มีแววอบอุ่นเบื้องหน้าผู้อื่น นางอ่อนหวาน พูดจาเรียบร้อย ดุจดอกเหมยบานกลางหิมะ แต่เบื้องหลังกลับเป็นคนที่วางแผนได้ลึกและเด็ดขาดอย่างน่ากลัว ข้ารับใช้ในตำหนักพูดกันเบา ๆ ว่า ยามพระสนมยิ้ม แปลว่าใครบางคนในวังต้องตกต่ำแน่

นางมักใช้วิธีอ่อนโยนแฝงพิษ เช่น การปล่อยข่าวลือเล็ก ๆ หรือวางแผนให้คู่แข่งลื่นล้มในสายตาฮ่องเต้โดยไม่ต้องลงมือเอง ทุกคำพูดของนางมีน้ำหนัก และทุกการเงียบของนางมีความหมาย ถึงแม้ฮ่องเต้จิ้งอู่จะไม่ทรงรัก แต่ก็ไม่อาจปลดนางได้ เพราะเบื้องหลังของนางคืออำนาจของตระกูลซูเสาหลักที่ค้ำอาณาจักรอยู่ครึ่งหนึ่ง ดังนั้นกุ้ยเฟยจึงดำรงอยู่ในวังเหมือนเงาแห่งอำนาจที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง

แต่สิ่งที่นางไม่รู้คือการเย็นชาของฮ่องเต้ไม่ได้มีเพียงความเบื่อหน่าย หากแต่มีความระแวงที่ค่อย ๆ กัดกินไปทุกวันเพราะทุกครั้งที่พระสนมซูยิ้ม ดวงตาของนางเหมือนจะรู้ความลับทั้งหมดของราชสำนักอยู่แล้ว

นอกจากนี้เรื่องที่สงสัยว่าทำไมองค์หญิงหลิงเซียงถึงต้องไปหอวิญญาณเมฆา และแอบออกไปพระองค์เดียวด้วยมีธุระสำคัญอะไรที่นั้น คงต้องค่อย ๆ เค้นเอาความทรงจำออกมาแล้วล่ะ แต่ก่อนอื่นใดได้ข่างว่าที่เมืองไฮ่โจวเป็นเมืองท่าแห่งศูนย์การกับต่างแคว้นของแคว้นเว่ยรวมถึงชาวหัวแดงจากแดนไกล ต่างก็หลั่งไหลมาค้าขายกับแคว้นเว่ย องค์หลิงเซียงคนใหม่จึงมีความคิดว่าถ้าหากจะออกไปตั้งร้าน และง่ายต่อการหาวัตถุดิบพร้อมกับห่างไกลจากวังหลวงคงต้องเป็นเมืองไฮ่โจวนี้แหละเหมาะที่สุดแล้ว ที่สำคัญของที่มากจากชาวตะวันตกรับประกันได้ว่าคุณภาพดีแน่นอน อาจมีวัตถุดิบที่เขาคุ้นเคยสามารถมาทำขนมทำอาหารขายได้แน่นอน

เมืองไฮ่โจวอัญมณีแห่งชายฝั่งตะวันออกของแคว้นเว่ย เป็นเมืองท่าที่ตั้งอยู่ริมทะเลกว้างสุดสายตา เม็ดทรายขาวสะท้อนแสงอาทิตย์เหมือนเกล็ดเงิน ส่วนคลื่นทะเลสีครามเข้มซัดสาดเข้าหาฝั่งด้วยเสียงที่ไม่เคยหลับใหล ท่าเรือของเมืองนี้ไม่เคยว่าง เรือสำเภาขนาดใหญ่จากต่างแคว้นลอยเรียงรายเต็มอ่าว บางลำมาจากแคว้นเหนือ นำขนสัตว์และหินล้ำค่า บางลำมาจากแดนใต้ บรรทุกเครื่องเทศหอมฉุนและผลไม้แปลกตา ส่วนเรือจากดินแดนตะวันตกผู้คนผมทองหรือพวกหัวแดง ตาสีอำพันชนำเข้ากระจกใส เครื่องเงิน และน้ำหอมหายากที่ทำให้ตลาดทั้งเมืองคลาคล่ำด้วยกลิ่นผสมระหว่างทะเลและเครื่องหอมต่างถิ่น

ถนนหลักของไฮ่โจวกว้างพอให้เกวียนสินค้าสวนกันได้หลายคัน ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าผ้าไหมจากต่างแดน ผ้ากำมะหยี่จากตะวันตก ชุดเกราะเหล็กจากสำนักช่างหลวง และเครื่องประดับจากพ่อค้าเร่ เสียงต่อรองราคาดังระงม เสียงหัวเราะของพ่อค้าสลับกับเสียงเด็กวิ่งเล่นเป็นจังหวะชีวิตประจำเมือง

ยามค่ำเมืองไม่หลับไหลแสงโคมไฟนับพันจากย่านท่าตะวันตกสะท้อนผิวน้ำระยิบระยับเหมือนหมู่ดาวตกลงสู่ทะเล

นักดนตรีจากต่างแคว้นบรรเลงเพลงผสมทำนองจีนโบราณกับเสียงพิณตะวันตก เกิดเป็นเสียงประหลาดหูแต่ไพเราะ ชาวเมืองเรียกย่านนั้นว่าตรอกคลื่นทองที่ซึ่งข้าราชการ พ่อค้า และนักเดินทางมาพบกันโดยไม่มีชนชั้น

กลางเมืองตั้งตระหง่านด้วยหอคอยไห่กวง หอสูงที่ใช้ส่องแสงไฟให้เรือเข้าท่าในยามราตรีตำนานเล่าว่า ใต้ฐานหอคอยนั้นมีห้องเก็บสมุดบันทึกการค้าของราชสำนัก ซึ่งบางเล่มบันทึกชื่อผู้ซื้อขายระหว่างเว่ยกับดินแดนที่อยู่ไกลจนเกินแผนที่ใดจะระบุได้ ไฮ่โจวจึงมิใช่เพียงเมืองท่า หากแต่เป็นหัวใจของการค้าทั้งแคว้น เมืองที่มีกลิ่นอายของเกลือทะเลและทองคำ เมืองที่ผู้คนเรียกด้วยทั้งความเคารพและระวังใจคนเมืองไฮ่โจว เมืองที่คลื่นพัดพาโชคลาภ และความลับมืดมนมาพร้อมกัน

ส่วนในรุ่งอรุณของเมืองไฮ่โจว มาพร้อมกับเสียงคลื่นกระทบฝั่งและเสียงนกทะเลที่ร้องรับแสงแรกของวัน หมอกบางลอยเหนือผืนน้ำ ขณะดวงอาทิตย์สีทองค่อย ๆ โผล่ขึ้นจากเส้นขอบฟ้าเหนือทะเล กวาดแสงอบอุ่นไปทั่วท่าเรือที่เริ่มตื่ ตลาดท่าเรือยามเช้าเป็นหัวใจของเมือง เสียงชีวิตเริ่มขยับตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดี เสียงคนตะโกนขายปลา ปะปนกับเสียงไม้กระทบถังเกลือและเสียงโซ่เหล็กของเรือสำเภาที่กำลังเทียบท่า

แผงขายปลาสดเรียงรายยาวเหยียด ปลาทูเงินสะท้อนแสงอาทิตย์ หอยตัวใหญ่กว่าฝ่ามือ วางอยู่บนชั้นน้ำแข็งละลายกลิ่นเค็ม ๆ ของทะเล แม่ค้าผมรวบสูง ตะโกนเรียกลูกค้าด้วยเสียงสดใส ส่วนย่านเครื่องเทศ กลิ่นอบเชย พริกไทยดำ และผงกานพลูจากแดนตะวันตกผสมกันจนคลุ้ง พ่อค้าผิวเข้มจากต่างแคว้นพูดจาภาษาผสมระหว่างเว่ยกับสำเนียงแปลกหู แต่รอยยิ้มเป็นสากล รอยยิ้มของคนที่ค้าขายเพื่อชีวิต

เด็ก ๆ วิ่งส่งของให้แม่ค้ามือเปื้อนน้ำปลาแต่หัวเราะกันเสียงดัง ข้างท่าน้ำมีชายแก่กำลังซ่อมอวน ดวงตาเหี่ยวย่นมองทะเลเหมือนอ่านโชคชะตาในเกลียวคลื่น เสียงเรือสำเภาอีกลำเทียบท่า นำเข้าถังไม้บรรจุน้ำตาลและผ้าเนื้อดีจากแดนใต้

ขบวนเกวียนรอรับสินค้าต่อไปยังเมืองหลวง

แสงแดดยามสายเริ่มแตะยอดหลังคากระเบื้อง สีทองสะท้อนบนผิวน้ำที่ระยิบระยับในยามนั้นทั้งตลาดเหมือนเต้นไปพร้อมกัน เสียงคลื่น เสียงผู้คน และเสียงหัวใจของเมืองที่ไม่เคยหลับใหล

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 76 เผชิญหน้ากับองค์รัชทายาท

    ข่าวว่ามู่เทียนหลางขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทโดยตรง สร้างความตกตะลึงให้กับคนในวังไม่น้อย เพราะผู้ใดต่างรู้ดีว่านี่มิใช่การเข้าเฝ้าเพื่อทักทาย หากเป็นการเผชิญหน้าที่ไม่มีผู้ใดถอยง่าย ๆ ตำหนักบูรพาอากาศในท้องพระโรงเงียบงัน มู่เทียนหลางคุกเข่าลงอย่างสง่างามแผ่นหลังตรง“กระหม่อมมู่เทียนหลาง ขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลางจิ้งไฉประทับอยู่บนบัลลังก์ต่ำ พระเนตรทอดมองลงมาอย่างเย็นชา“ลุกขึ้น เจ้ามาด้วยเรื่ององค์หญิง…ใช่หรือไม่” จิ้งไฉมู่เทียนหลางลุกขึ้นช้า ๆ“พ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลาง“เช่นนั้นข้าไม่อ้อมค้อเลยแล้วกัน ข้าไม่ยินยอมให้พาน้องสาวข้าไปไหนทั้งนั้น” จิ้งไฉคำตอบนั้นชัดเจนราบเรียบแต่หนักหน่วง มู่เทียนหลางประสานมือค้อมศีรษะเล็กน้อย“กระหม่อมมาที่นี่ มิใช่เพื่อขออนุญาตจากองค์รัชทายาท หากแต่มาเพื่อขอให้ทรงถอนการคัดค้าน” เทียนหลางบรรยากาศรอบกายแข็งค้างขันทีและองครักษ์ต่างกลั้นลมหายใจ จิ้งไฉหัวเราะเบา ๆ“มู่เทียนหลาง…เจ้ากำลังท้าทายข้าหรือ” จิ้งไฉ“กระหม่อมไม่กล้า แต่กระหม่อมจะไม่ถอย” เทียนหลางพระเนตรขององค์รัชทายาทหรี่ลง มู่เทียนหลางเงยหน้าขึ้น สายตานิ่งมั่นคง“องค์หญิงหลิงเซียงไม่ใ

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 75 ขอย้ายเข้าจวนตระกูลมู่

    หลังจากพาองค์หญิงหลิงเซียงกลับจากจวนตระกูลมู่ มู่เทียนหลางยังคงเห็นภาพรอยยิ้มอบอุ่นของคนในบ้านลอยวนอยู่ในความคิดตั้งแต่บิดามารดา พี่ชาย พี่สะใภ้ ไปจนถึงหลาน ๆ ทุกคนล้วนต้อนรับองค์หญิงด้วยความเคารพจริงใจ มิใช่เพราะฐานะ หากเป็นเพราะรักและเอ็นดูในตัวนางอย่างแท้จริง มู่เทียนหลางหลังจากที่พาองค์หญิงไปจวนตระกูลมู่ ได้เห็นครอบครัวตัวเองต้อนรับองค์หญิงเป็นอย่างอบอุ่น จึงอยากลองขอฮ่องเต้จิ้งอู่พาองค์หญิงย้ายไปอยู่ที่จวนตระกูลมู่คืนนั้น มู่เทียนหลางนั่งอยู่ในตำหนักไฉ่หง มององค์หญิงที่กำลังอ่านตำราด้วยสีหน้าสงบหัวใจเขากลับไม่อาจสงบตามไปได้“หลิงเซียง” เทียนหลางเขาเอ่ยเสียงแผ่ว องค์หญิงเงยหน้าขึ้นมอง “มีอะไรหรือเจ้าค่ะท่านพี่” หลิงเซียงมู่เทียนหลางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง“วันนี้ที่จวนตระกูลมู่…เจ้าดูมีความสุขมาก” เทียนหลางองค์หญิงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนยิ้มบาง“เพราะทุกคนอบอุ่นมากเพคะ ทำให้หม่อมฉันคิดถึงครอบครัวเดิมโดยไม่รู้ตัว” หลิงเซียงคำพูดนั้นทำให้มู่เทียนหลางแน่นอก เขาตระหนักดีว่าแม้ตำหนักไฉ่หงจะหรูหรา มีอำนาจ มีคนรับใช้รายล้อม แต่กลับขาดความอบอุ่นของคนในครอบครัว ห

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 74 เทศกาลไหว้พระจันทร์

    ในที่สุดเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็เวียนมาถึง ค่ำคืนต้นฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าโปร่งใส ดวงจันทร์กลมโตเริ่มทอแสงนวลเหนือหลังคาวังตั้งแต่เช้าตรู่ ตำหนักไฉ่หงก็เต็มไปด้วยความคึกคักนางกำนัลช่วยกันแขวนโคมไฟสีแดงและสีทองเรียงรายตามระเบียง ผืนผ้าลายเมฆและกระต่ายหยกถูกนำมาตกแต่งโต๊ะบูชาอย่างประณีต“แขวนโคมตรงนั้นอีกนิดเจ้าค่ะ!”“โต๊ะขนมไหว้ต้องหันรับแสงจันทร์นะ!”เสียงพูดคุยหัวเราะดังไม่ขาดสาย บนโต๊ะยาวกลางตำหนัก ขนมไหว้พระจันทร์ถูกจัดเรียงอย่างงดงาม ทั้งไส้ถั่วแดง ไส้งาดำ ไส้พุทรา ผลไม้ตามฤดูกาลถูกวางคู่กับชาอุ่นหอมกรุ่น องค์หญิงหลิงเซียงยืนดูความเรียบร้อยด้วยรอยยิ้มอ่อน“อย่าลืมวางขนมรูปกระต่ายหยกไว้ตรงกลางนะ” หลิงเซียงนางกำนัลรับคำอย่างขะมักเขม้น“เพค่ะองค์หญิง!”บรรยากาศก่อนค่ำเมื่อแสงอาทิตย์คล้อยต่ำ ลมเย็นพัดผ่านตำหนักไฉ่หงอย่างอ่อนโยน กลิ่นธูปหอมอ่อน ๆ ลอยคลุ้งเสียงพิณเบา ๆ ดังคลอจากด้านใน ทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีอ่อนงดงามนางกำนัลหลายคนแอบกระซิบด้วยดวงตาเป็นประกาย“คืนนี้องค์หญิงต้องงดงามมากแน่ ๆ”“ได้ยินว่าคุณชายมู่จะมาร่วมงานด้วยนะ หลังจากนั้นก็จะพาองค์หญิงไปที่จวนตระกูลมู่ด้วยนะ!”เมื่อถึงยามโหย

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 73 เข้าปีที่ 2

    ตอนนี้ชีวิตใหม่ที่แสนจะมีวุ่นวายของหมิวที่อยู่ในร่างขององค์หญิงหลิงเซียงเริ่มมีความสุขมากขึ้น มากจนคิดว่าถ้าหากถึงวันที่เกิดเหตุร้ายตามที่เขาศึกษามา เขาคงต้องเสียใจมากแน่เพราะมู่เทียนหลาง เท่าที่รู้มาเขาจะกลายเป็นคุณชายตาบอดไปตลอดชีวิต เพราะเข้าไปช่วยฮ่องเต้ที่ติดอยู่ในกองเพลิง เขาตั้งในแล้วว่าจะไม่มีทางให้มันเกิดขึ้นแน่นอน อีกอย่างตั้งแต่มาอยู่ที่นี้แล้วมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนมาจากฝีมือของสำนักเงารัตติกาล หากวิเคราะห์โดยที่ไม่อิงประวัติศาสตร์ที่ศึกษาตัดออกไปไม่เอามาร่วม ก็จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ร้ายที่จะเชื่อมไปถึงในปีที่ 7 ของการของครองราชย์ของฮ่องจิ้งอู่ สำนักรัตติกาลนี้แหละคือตัวร้ายและน่าจะร่วมมือกับคนในราชวงศ์คนใดคนหนึ่งที่ทำให้ ทั้งฮ่องเต้และองค์รัชทายาทแตกหักกันมานานหลายปี วิเคราะห์ดูแล้วเอาเข้าจึง ๆ ไม่เป็นที่ประวัติศาสตร์ในตำราบันทึกไว้เลย ดูท่าเขากับมู่เทียนหลางคงต้องสืบหาคนอยู่เบื้อหลังอีกนานเลยวันนี้องค์หญิงหลิงเซียงอยากฉลองให้ตัวเองที่อยู่รอดปลอดภัยมาถึงปีที่สองจึงอยากทำอาหารฉลองสักหน่อย เมนูก็มีอะไรง่าย ๆ ที่ทำจากหมู หมูผัดกิมจิ ข้าวผัดหมู หมูทอดกระเทียม และหม

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 72 กลับเมืองหลวง

    เช้าวันรุ่งขึ้นอากาศสดชื่น ลมทะเลจากเมืองไฮ่หยางพัดเอื่อย ๆ มู่เทียนหลางยืนรออยู่หน้าเรือนเช่าด้วยท่าทีเรียบสงบแต่ดวงตาดูสดใสผิดปกติ เมื่อเห็นองค์หญิงหลิงเซียงก้าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม เขาก็เอ่ยขึ้นทันที“วันนี้ ข้าจะพาทุกท่านออกเที่ยวทั่วเมืองไฮ่หยาง” หลิงเซียงทหารทั้งหลายตาเป็นประกายทันที“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”มู่เทียนหลางพยักหน้าเบา ๆ“ถือเสียว่ามาเปลี่ยนบรรยากาศ… และเพื่อให้ฮูหยินได้พักผ่อน” เทียนหลางคำว่า ฮูหยิน ทำเอาองค์หญิงหลิงเซียงหน้าแดงตั้งแต่เช้าก่อนจะเบือนสายตาหนีอย่างเขิน ๆตลาดเช้าคึกคักเสียงผู้คนเรียกขายของ กลิ่นของทะเลสดใหม่ลอยโอบอวล มู่เทียนหลางก้าวเดินข้างองค์หญิงราวกับคุ้มกันนางด้วยความเคยชิน ทหารแต่ละคนแยกตัวไปดูของกินกันอย่างตื่นเต้น“นายท่าน นี่ปลาหมึกตากแห้งสดมากเจ้าค่ะ” ซินเหมย“นี้ๆ ข้าซื้อขนมพื้นเมืองมาให้ลอง!” เสี่ยงถังจื่อองค์หญิงหัวเราะเบา ๆ พลางรับของกินมาแบ่ง มู่เทียนหลางมองภาพนั้นด้วยสายตาอบอุ่นที่ใครเห็นก็รู้ว่าไม่ใช่สายตาแบบนายท่านปกติ เขายื่นผ้าซับมือให้นาง“ระวังเปื้อนนะ ฮูหยิน” เทียนหลาง“ท่านเรียกข้าเช่นนั้นอีกแล้ว…” หลิงเซียงมู่เทียนหลางเพียงยิ้ม ไ

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 71 ฮูหยินข้าสุดยอดมาก

    มู่เทียนหลางที่นั่งเงียบมาตลอด ขณะองค์หญิงหลิงเซียงยื่นถ้วยต้มโคล้งปลาใบมะขามอ่อนให้ เขายกตะเกียบขึ้นตักคำหนึ่งอย่างไม่รีบร้อน แต่ทันทีที่รสเผ็ดเปรี้ยวหอมเครื่องต้มยำรวมมิตรทะเลแตะลิ้น ดวงตาคมที่มักนิ่งสงบก็พลันเบิกกว้างเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ทัน“อืม… อร่อยมาก” เทียนหลางน้ำเสียงต่ำทุ้มของเขาเอ่ยออกมาอย่างจริงใจจนคนทั้งโต๊ะชะงัก องค์หญิงหลิงเซียงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้ม ยิ้มแบบที่ตัวเองไม่ค่อยรู้ตัวว่าเผลอทำ“จริงหรือเจ้าคะ ข้าทำแบบง่าย ๆ เท่านั้นเอง”หลิงเซียงมู่เทียนหลางมองหน้าองค์หญิง แล้วตักคำต่อไปทันทีราวกับกลัวว่าคำแรกจะเป็นเพียงภาพลวง“ไม่ใช่แค่อร่อยธรรมดา ฮูหยิน… ฝีมือทำอาหารของเจ้าดีเกินกว่าจะเรียกว่า ง่าย ๆ ได้ย่างไรกัน” เทียนหลางทหารที่นั่งข้าง ๆ ถึงกับเหลียวมองกันเองอย่างประหลาดใจ เมื่อไรนายท่านของพวกเขาจะยอมชมอะไรออกมาตรง ๆ เช่นนี้กัน องค์หญิงหลิงเซียงยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย แก้มขึ้นสีบาง ๆ“หากท่านพี่ชอบ เช่นนั้นวันหลังข้าจะทำให้ท่านทานอีก” หลิงเซียงคำพูดนั้นทำเอามู่เทียนหลางชะงักตะเกียบกลางอากาศ ก่อนจะยิ้มมุมปากจาง ๆ“ข้ายินดีรอ” เทียนหลางบรรยากาศบนโต๊ะอาหารจึงอบอวลไ

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status