Home / แฟนตาซี / เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส / บทที่ 10 อยากไปเมืองไฮ่โจว

Share

บทที่ 10 อยากไปเมืองไฮ่โจว

last update Last Updated: 2025-11-04 08:51:43

เมื่อได้ฟังไป๋กงกงกับหม่ากูกูเล่าเรื่องเมืองไฮ่โจวให้ฟังองค์หญิงหลิงเซียงก็ยิ่งมีความอยากที่จะไปเมืองไฮ่โจวมากขึ้นไปอีก

ลมยามบ่ายพัดกลิ่นดอกเหมยแผ่วผ่านระเบียงตำหนัก เหล่านกกระจิบเกาะอยู่ตามขื่อไม้ร้องจิบจิบเบา ๆ เป็นเสียงที่ขับให้บรรยากาศยามบ่ายอบอุ่นและชวนฝัน

องค์หญิงหลิงเซียงนั่งอยู่ใต้ศาลาไม้ไผ่ในสวนหลังตำหนัก มือเรียวถือพัดโปร่งแกว่งเบา ๆ ดวงตาคู่สวยทอดมองไป๋กงกงและหม่ากูกูที่ยืนค้อมตัวอยู่ตรงหน้า ทั้งสองกำลังเล่าเรื่องเมืองชายทะเลที่พวกเขาเคยไปเมื่อครั้งตามเสด็จอดีตฮองเฮาไปตรวจภาษีทางใต้แทนอดีตฮ่องเต้ เสียงของหม่ากูกูนุ่มนวลแต่แฝงความตื่นเต้น

“เมืองไฮ่โจวน่ะเพคะ องค์หญิง ทะเลกว้างใหญ่จนสุดสายตาเลยเจ้าค่ะ! ตอนยามเช้า ฟ้ากับน้ำสีเดียวกันหมด เหมือนโลกทั้งใบกลายเป็นผืนผ้าไหมสีฟ้า” หม่ากูกู

ไป๋กงกงหัวเราะเสียงแหบอย่างนอบน้อม เสริมต่อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ท่าเรือนั้นใหญ่ยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ เรือสำเภาจากแคว้นใต้และตะวันตกเทียบท่าไม่เว้นวัน คนจากต่างแดนมากหน้าหลายตา มีทั้งผมทอง ตาสีเทา เครื่องแต่งกายประหลาด แต่ใจดีและชอบแลกของแปลก ๆ กับพวกเรา” ไป๋กงกง

หลิงเซียงฟังแล้วดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที แววอยากรู้อยากเห็นส่องอยู่ในนั้นราวแสงดาวสะท้อนน้ำ

“เมืองที่มีทั้งเสียงคลื่น กลิ่นเครื่องเทศ และแสงตะวันสะท้อนทะเล... ช่างฟังดูต่างจากเมืองหลวงเหลือเกิน” หลิงเซียง

หม่ากูกูหัวเราะเบา ๆ พลางยื่นถ้วยชาให้

“เพคะ องค์หญิง เมืองนั้นไม่เหมือนที่ใดในแคว้น ท่านจะได้เห็นทั้งพ่อค้าต่างถิ่น ทั้งโรงน้ำชาริมทะเลที่มองเห็นเรือสำเภาแล่นผ่านเป็นแถว ๆ ... ใครได้ไปก็ว่าหลงเสน่ห์ทั้งนั้นเพคะ” หม่ากูกู

องค์หญิงพยักหน้าช้า ๆ ดวงหน้ามีรอยยิ้มอ่อน แต่แววตากลับลึกซึ้งกว่าปกติ

“ข้าอยากเห็นด้วยตาของตัวเอง อยากรู้ว่าโลกนอกกำแพงวัง นอกกำงแพงตำหนักไฉ่หงและเมืองที่ห่างไกลเมืองหลวงนั้นงดงามเพียงใด...” หลิงเซียง

แสงแดดลอดผ่านกิ่งไม้กระทบผิวแก้มของนาง สีทองอ่อนจับปลายผมดำขลับจนดูราวกับประกายคลื่นในยามเย็น

หัวใจขององค์หญิงเริ่มเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ความปรารถนาที่จะเห็น อิสระ และ ขอบฟ้าใหม่ ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในใจ ข้าจะออกไปแตะขอบฟ้าเมืองไฮ่โจว

“บางที... หากข้ามีโอกาส ข้าอยากไปไฮ่โจวสักครั้ง” หลิงเซียง

เสียงนางเบา แต่แน่วแน่ ราวกับคลื่นลูกแรกที่เริ่มกระทบฝั่งแห่งโชคชะตา

กลางคืนในตำหนักไฉ่หงที่อยู่นอกกำแพงวังหลวงนั้นสงัดนัก แสงจันทร์สีเงินร่วงผ่านหน้าต่างบานงาม มันส่องกระทบกระดาษแผนที่ผืนใหญ่ที่กางอยู่บนโต๊ะไม้หอม ภายในห้องเงียบงัน มีเพียงเสียงปลายพู่กันที่ขีดลงบนกระดาษอย่างระมัดระวัง

องค์หญิงหลิงเซียงนั่งอยู่ใต้แสงตะเกียงอ่อน แววตานิ่งสงบแต่เต็มไปด้วยประกายของความตั้งใจ นางค่อย ๆ วาดเส้นทางจากเมืองหลวงเว่ยจิง ลงไปทางใต้ ผ่านเมืองหนานโจว เมืองหลิงโจว จนถึงเมืองท่าไฮ่โจว ที่ตั้งอยู่สุดชายฝั่งทะเล

“ถ้าข้าออกจากวังในคืนที่ขบวนเครื่องเทศของกรมคลังออกเดินทางพอดี... พวกองครักษ์ที่ประตูทิศใต้คงไม่ทันสังเกต” หลิงเซียง

เสียงนางแผ่วเบา แต่ชัดเจนในความมุ่งมั่น หม่ากูกูที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ถึงกับเบิกตากว้าง

“องค์หญิงเพคะ! จะเสด็จออกนอกวังโดยมิได้ขอพระบรมราชานุญาตเช่นนั้นมิได้เพคะ หากทรงถูกจับได้” หม่ากูกู

หลิงเซียงวางพู่กันลงแล้วหันมามองนางด้วยรอยยิ้มบาง

“ข้ารู้ แต่บางครั้งชีวิตคนเราก็ต้องก้าวพ้นประตูวังออกห่างไปให้ไกลสักครั้ง ถึงจะรู้ว่าฟ้ากว้างเพียงใด” หลิงเซียง

ไป๋กงกงที่ยืนอยู่ด้านหลังเงียบมานาน ในที่สุดก็ถอนหายใจเบา ๆ

“หม่ากูกู เอาเถิด พระองค์ทรงตัดสินพระทัยแล้ว พวกเราก็มีแต่ต้องช่วยให้ปลอดภัยที่สุด...” ไป๋กงกง

องค์หญิงหลิงเซียงลุกขึ้น เดินไปที่ตู้ทรงไม้จันทน์ หยิบผ้าคลุมยาวสีเทาและหมวกกว้างที่ใช้สำหรับหญิงชาวบ้าน

“ข้าจะออกในนามของ สาวพเนจรจากหุบเขาเมฆา ไม่มีใครจำได้แน่” หลิงเซีย

นางหันกลับมาหาทั้งสอง

“ช่วยเตรียมเงินทองเท่าที่จำเป็น และม้าสำหรับข้าเพียงตัวเดียวไว้ที่นอกเมืองด้วยนะ เมื่อสลัดตัวออกจากขบวนเครื่องเทศได้ขึ้นจะเดินทางต่อด้วยม้า” หลิงเซีย

แสงจันทร์ส่องผ่านหน้าต่างกระทบแก้มขาวของนาง ดวงตานั้นสะท้อนประกายคลื่น คลื่นแห่งความกล้าและความฝันที่รอจะออกเดินทาง ในค่ำคืนนั้น เสียงลมพัดผ้าม่านให้กระเพื่อมเบา ๆ เหมือนจะพยักหน้ารับรู้ถึงความลับที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้น ความลับขององค์หญิงผู้กำลังจะก้าวออกจากกรงทอง มุ่งหน้าไปยังเมืองที่อยู่สุดขอบฟ้าเมืองไฮ่โจว เมืองแห่งคลื่นและโชคชะตา

ค่ำคืนนั้นเงียบจนได้ยินเสียงหัวใจตนเองเต้น ใต้แสงจันทร์ขาวนวลเหนือยอดหลังคาในวังหลวง องค์หญิงหลิงเซียง สวมผ้าคลุมสีเทาและหมวกปีกกว้าง ซ่อนเรือนผมยาวและความงามอันลือเลื่องไว้จนหมดสิ้น นางก้าวเท้าเบาเช่นแมว ผ่านสวนหลวงที่มีหมอกบางลอยคลออยู่เหนือบึงบัว ไฟจากคบเพลิงขององครักษ์ตามแนวกำแพงยังคงส่องสว่างอยู่ห่าง ๆ แต่หัวใจของนางกลับเต้นแรงขึ้นทุกย่างก้าว

“อีกเพียงไม่กี่ก้าว… ประตูทิศใต้ก็อยู่ตรงหน้า”

นางกระซิบกับตนเอง พลางเดินขนาบข้างขบวนรถขนเครื่องเทศ เสียงลมพัดผ่านยอดไม้ ทว่าในเงามืดของระเบียงศิลานั้น มีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องอย่างเยือกเย็น ขณะนางกำลังจะข้ามประตูชั้นใน ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากความมืด เงารัชทายาทจิ้งไฉ ยืนขวางไว้ใบหน้าคมสง่าแต่แฝงความเย็นเฉียบ

“เจ้าจะไปไหน…ยามดึกเช่นนี้” จิ้งไฉ

เสียงนั้นต่ำแต่ทรงอำนาจพอให้เลือดในกายขององค์หญิงเย็นเฉียบทันที นางหยุดนิ่งก้มหน้าซ่อนสายตาไม่กล้าสบ ความทรงจำแวบหนึ่งเข้ามาในหัวบอกว่าชายตรงหน้านี้คือพี่รองของเขา องค์รัชทายาทจิ้งไฉ

“พะ…พี่รอง ข้าเพียงจะไปชมจันทร์นอกกำแพงวังเท่านั้นเพคะ” หลิงเซียง

มุมปากของจิ้งไฉยกขึ้นเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่มีทั้งความขบขันและไม่พอใจ

“ชมจันทร์...พร้อมสัมภาระเดินทางและไป๋กงกงแอบเตรียมม้าไว้อยู่ข้างนอกเมืองอย่างนั้นหรือ” จิ้งไฉ

หลิงเซียงเม้มปากแน่น สีหน้าของนางเผยความลังเล ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว

“เพคะ ข้าจะไปไฮ่โจว ข้าอยากเห็นโลกภายนอก อยากรู้ว่าผู้คนอยู่อย่างไร มิใช่เพียงอ่านจากรายงานในห้องหนังสือของวัง” หลิงเซียง

จิ้งไฉจ้องน้องสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง แววตานั้นมีทั้งความโกรธ ความห่วง และความอ่อนล้าในคราวเดียว

“หลิงเซียง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าทำสิ่งใดอยู่ การออกนอกวังโดยมิได้กราบทูลคือความผิดร้ายแรง หากมีใครรู้เข้ามิใช่แค่เจ้าที่เดือดร้อน แต่ทั้งคนในตำหนักไฉ่หงของเจ้าจะต้องถูกสอบสวน!” จิ้งไฉ

เสียงของพระองค์ขึงขังจนแม้ลมยามค่ำยังเหมือนหยุดพัด หลิงเซียงก้มหน้าน้ำเสียงสั่น

“ข้าขอโทษเพคะพี่รอง แต่ข้าทนอยู่ในกรงทองนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว... ข้าเพียงอยากเป็นตัวของข้าเอง แม้เพียงสักครู่เดียว” หลิงเซียง

คำพูดนั้นทำให้ความโกรธในใจรัชทายาทอ่อนลง เขามองน้องสาวที่เติบโตขึ้นแต่ยังคงมีหัวใจบริสุทธิ์ดั่งเมื่อเยาว์วัย

“เจ้าช่างดื้อดึงนัก หลิงเซียง...” จิ้งไฉ

พระองค์ถอนหายใจหนัก ก่อนคว้าแขนของนางไว้

“กลับตำหนักเดี๋ยวนี้ ก่อนที่ทหารเวรยามจะตรวจรอบค่ำ หากข้าไม่เจอเจ้าก่อน คนอื่นอาจไม่พูดดีอย่างข้า” จิ้งไฉ

หลิงเซียงกัดริมฝีปาก น้ำตาคลอในตา

“พี่รอง...สักวันหนึ่งข้าจะต้องออกไปแน่ ข้าอยากเห็นทะเลของไฮ่โจวด้วยตาตนเอง” หลิงเซียง

รัชทายาทนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบเสียงเรียบ

“สักวัน...แต่ไม่ใช่คืนนี้” จิ้งไฉ

พระองค์ปล่อยมือจากแขนนาง พลางพาน้องสาวกลับไปทางตำหนักไฉ่หงโดยไม่หันกลับ ใต้แสงจันทร์เงียบงัน เหลือเพียงเสียงฝีเท้าสองคู่ที่สะท้อนบนพื้นหินอ่อน หนึ่งหนักแน่น เยือกเย็น อีกหนึ่งเบาแต่เต็มไปด้วยความฝันที่ยังไม่ดับ

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 78 หนีรอดแต่ก็ไม่รอด

    รุ่งสางหมอกบางคลุมลานหินนอกกำแพงวัง ทหารหลวงและหน่วยองครักษ์พิเศษล้อมพื้นที่แน่นหนา ร่างนักฆ่าเงารัตติกาลสามคนถูกจับกดไว้กับพื้นแขนถูกมัด เลือดเปื้อนเสื้อผ้า ดวงตาทุกคู่ยังคงว่างเปล่าไร้ความหวาดกลัวมู่เทียนหลางยืนอยู่เบื้องหน้า เสื้อเกราะยังมีรอยคมมีด สายตาเย็นเยียบ“ใครเป็นคนสั่ง” เทียนหลางเสียงของเขาเรียบ แต่กดดันหนึ่งในนักฆ่าเงยหน้าขึ้น มุมปากยกยิ้มประหลาด“สายไปแล้ว…คุณชายมู่”มู่เทียนหลางขมวดคิ้ว“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” เทียนหลางนักฆ่าคนนั้นกัดฟันแน่นก่อนที่ใครจะทันขยับกร๊อบ!เขากัดแคปซูลเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ใต้ลิ้น เลือดสีดำไหลออกจากปากทันที“หยุดเขาไว้ ห้ามให้ตายเด็ดขาด!” เทียนหลางแต่ไม่ทันแล้วอีกสองคนทำเช่นเดียวกัน ร่างกระตุกเพียงครู่ก่อนแน่นิ่ง ความเงียบปกคลุมพื้นที่ กลิ่นโลหิตและยาพิษลอยคลุ้ง หมอหลวงรีบเข้าตรวจ ก่อนส่ายหน้าอย่างเคร่งเครียด“พิษปลิดชีพขอรับออกฤทธิ์เร็วมาก ไม่มีทางช่วย”มู่เทียนหลางกำมือแน่นเส้นเลือดที่ขมับปูดขึ้น“แม้ตาย…ก็ยังซื่อสัตย์ต่อสำนัก” เทียนหลางหัวหน้าทหารหลวงคุกเข่าลง“ขออภัยคุณชายมู่พวกมันไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ เลย”มู่เทียนหลางหลับตาชั่วขณะในใจหนั

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 77 แผนลอบปองร้ายองค์หญิงในวัง

    คืนนั้นวังหลวงเงียบงันเกินปกติแม้แสงโคมจะส่องสว่างตามระเบียง แต่กลับให้ความรู้สึกเย็นเยียบอย่างประหลาด ในเงามืดของเรือนร้างใกล้กำแพงชั้นใน ชายผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้ชายคา หน้ากากสีดำปิดครึ่งใบหน้า ดวงตาคมกริบไร้ความรู้สึก“แผนเริ่มได้แล้ว”หัวหน้านำเงารัตติกาลกล่าวเสียงของเขาเบาแต่เด็ดขาด ร่างเงาหลายร่างคุกเข่าลงพร้อมกัน“เป้าหมายอยู่ในตำหนัก”หนึ่งในนั้นถามหัวหน้านำยกมือขึ้น ในมือคือผ้าไหมปักลายหงส์เครื่องหมายตำหนักไฉ่หง“วันนี้องค์หญิงหลิงเซียงต้องตายและวังหลวงจะลุกเป็นไฟ ตระกูลเกาจะหมดความอดทนกับราชสำนักแน่”คำสั่งนั้นทำให้เงาทั้งหมดนิ่งงันไปชั่วขณะ แม้แต่นักฆ่าก็รู้ดีว่า เป้าหมายนี้ไม่ธรรมดา“อย่าให้ใครสงสัยถึงเรา อย่าให้มีร่องรอยว่าเป็นการลอบสังหาร ต้องดูเหมือน…อุบัติเหตุในวัง”ดวงตาของหัวหน้านำฉายแววเย็นเยียบ“และคืนนี้ต้องเป็นคืนที่องค์หญิงจะมีชีวิตอยู่”ภายในตำหนักไฉ่หงองค์หญิงหลิงเซียงกำลังเตรียมบรรทม หัวใจของนางไม่สงบตั้งแต่รู้ว่าการย้ายจวนล้มเหลว“ไปพักผ่อนเถอะเพค่ะ”นางกำนัลเอ่ยเสียงเบา หญิงพยักหน้า แต่ในวินาทีนั้นเอง มีเสียงดังปึกเสียงเบา ๆ ดังจากหลังคา องครักษ์หน้าตำหนักชะงัก

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 76 เผชิญหน้ากับองค์รัชทายาท

    ข่าวว่ามู่เทียนหลางขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทโดยตรง สร้างความตกตะลึงให้กับคนในวังไม่น้อย เพราะผู้ใดต่างรู้ดีว่านี่มิใช่การเข้าเฝ้าเพื่อทักทาย หากเป็นการเผชิญหน้าที่ไม่มีผู้ใดถอยง่าย ๆ ตำหนักบูรพาอากาศในท้องพระโรงเงียบงัน มู่เทียนหลางคุกเข่าลงอย่างสง่างามแผ่นหลังตรง“กระหม่อมมู่เทียนหลาง ขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลางจิ้งไฉประทับอยู่บนบัลลังก์ต่ำ พระเนตรทอดมองลงมาอย่างเย็นชา“ลุกขึ้น เจ้ามาด้วยเรื่ององค์หญิง…ใช่หรือไม่” จิ้งไฉมู่เทียนหลางลุกขึ้นช้า ๆ“พ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลาง“เช่นนั้นข้าไม่อ้อมค้อเลยแล้วกัน ข้าไม่ยินยอมให้พาน้องสาวข้าไปไหนทั้งนั้น” จิ้งไฉคำตอบนั้นชัดเจนราบเรียบแต่หนักหน่วง มู่เทียนหลางประสานมือค้อมศีรษะเล็กน้อย“กระหม่อมมาที่นี่ มิใช่เพื่อขออนุญาตจากองค์รัชทายาท หากแต่มาเพื่อขอให้ทรงถอนการคัดค้าน” เทียนหลางบรรยากาศรอบกายแข็งค้างขันทีและองครักษ์ต่างกลั้นลมหายใจ จิ้งไฉหัวเราะเบา ๆ“มู่เทียนหลาง…เจ้ากำลังท้าทายข้าหรือ” จิ้งไฉ“กระหม่อมไม่กล้า แต่กระหม่อมจะไม่ถอย” เทียนหลางพระเนตรขององค์รัชทายาทหรี่ลง มู่เทียนหลางเงยหน้าขึ้น สายตานิ่งมั่นคง“องค์หญิงหลิงเซียงไม่ใ

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 75 ขอย้ายเข้าจวนตระกูลมู่

    หลังจากพาองค์หญิงหลิงเซียงกลับจากจวนตระกูลมู่ มู่เทียนหลางยังคงเห็นภาพรอยยิ้มอบอุ่นของคนในบ้านลอยวนอยู่ในความคิดตั้งแต่บิดามารดา พี่ชาย พี่สะใภ้ ไปจนถึงหลาน ๆ ทุกคนล้วนต้อนรับองค์หญิงด้วยความเคารพจริงใจ มิใช่เพราะฐานะ หากเป็นเพราะรักและเอ็นดูในตัวนางอย่างแท้จริง มู่เทียนหลางหลังจากที่พาองค์หญิงไปจวนตระกูลมู่ ได้เห็นครอบครัวตัวเองต้อนรับองค์หญิงเป็นอย่างอบอุ่น จึงอยากลองขอฮ่องเต้จิ้งอู่พาองค์หญิงย้ายไปอยู่ที่จวนตระกูลมู่คืนนั้น มู่เทียนหลางนั่งอยู่ในตำหนักไฉ่หง มององค์หญิงที่กำลังอ่านตำราด้วยสีหน้าสงบหัวใจเขากลับไม่อาจสงบตามไปได้“หลิงเซียง” เทียนหลางเขาเอ่ยเสียงแผ่ว องค์หญิงเงยหน้าขึ้นมอง “มีอะไรหรือเจ้าค่ะท่านพี่” หลิงเซียงมู่เทียนหลางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง“วันนี้ที่จวนตระกูลมู่…เจ้าดูมีความสุขมาก” เทียนหลางองค์หญิงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนยิ้มบาง“เพราะทุกคนอบอุ่นมากเพคะ ทำให้หม่อมฉันคิดถึงครอบครัวเดิมโดยไม่รู้ตัว” หลิงเซียงคำพูดนั้นทำให้มู่เทียนหลางแน่นอก เขาตระหนักดีว่าแม้ตำหนักไฉ่หงจะหรูหรา มีอำนาจ มีคนรับใช้รายล้อม แต่กลับขาดความอบอุ่นของคนในครอบครัว ห

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 74 เทศกาลไหว้พระจันทร์

    ในที่สุดเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็เวียนมาถึง ค่ำคืนต้นฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าโปร่งใส ดวงจันทร์กลมโตเริ่มทอแสงนวลเหนือหลังคาวังตั้งแต่เช้าตรู่ ตำหนักไฉ่หงก็เต็มไปด้วยความคึกคักนางกำนัลช่วยกันแขวนโคมไฟสีแดงและสีทองเรียงรายตามระเบียง ผืนผ้าลายเมฆและกระต่ายหยกถูกนำมาตกแต่งโต๊ะบูชาอย่างประณีต“แขวนโคมตรงนั้นอีกนิดเจ้าค่ะ!”“โต๊ะขนมไหว้ต้องหันรับแสงจันทร์นะ!”เสียงพูดคุยหัวเราะดังไม่ขาดสาย บนโต๊ะยาวกลางตำหนัก ขนมไหว้พระจันทร์ถูกจัดเรียงอย่างงดงาม ทั้งไส้ถั่วแดง ไส้งาดำ ไส้พุทรา ผลไม้ตามฤดูกาลถูกวางคู่กับชาอุ่นหอมกรุ่น องค์หญิงหลิงเซียงยืนดูความเรียบร้อยด้วยรอยยิ้มอ่อน“อย่าลืมวางขนมรูปกระต่ายหยกไว้ตรงกลางนะ” หลิงเซียงนางกำนัลรับคำอย่างขะมักเขม้น“เพค่ะองค์หญิง!”บรรยากาศก่อนค่ำเมื่อแสงอาทิตย์คล้อยต่ำ ลมเย็นพัดผ่านตำหนักไฉ่หงอย่างอ่อนโยน กลิ่นธูปหอมอ่อน ๆ ลอยคลุ้งเสียงพิณเบา ๆ ดังคลอจากด้านใน ทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีอ่อนงดงามนางกำนัลหลายคนแอบกระซิบด้วยดวงตาเป็นประกาย“คืนนี้องค์หญิงต้องงดงามมากแน่ ๆ”“ได้ยินว่าคุณชายมู่จะมาร่วมงานด้วยนะ หลังจากนั้นก็จะพาองค์หญิงไปที่จวนตระกูลมู่ด้วยนะ!”เมื่อถึงยามโหย

  • เกิดใหม่เป็นองค์หญิงวิปลาส   บทที่ 73 เข้าปีที่ 2

    ตอนนี้ชีวิตใหม่ที่แสนจะมีวุ่นวายของหมิวที่อยู่ในร่างขององค์หญิงหลิงเซียงเริ่มมีความสุขมากขึ้น มากจนคิดว่าถ้าหากถึงวันที่เกิดเหตุร้ายตามที่เขาศึกษามา เขาคงต้องเสียใจมากแน่เพราะมู่เทียนหลาง เท่าที่รู้มาเขาจะกลายเป็นคุณชายตาบอดไปตลอดชีวิต เพราะเข้าไปช่วยฮ่องเต้ที่ติดอยู่ในกองเพลิง เขาตั้งในแล้วว่าจะไม่มีทางให้มันเกิดขึ้นแน่นอน อีกอย่างตั้งแต่มาอยู่ที่นี้แล้วมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนมาจากฝีมือของสำนักเงารัตติกาล หากวิเคราะห์โดยที่ไม่อิงประวัติศาสตร์ที่ศึกษาตัดออกไปไม่เอามาร่วม ก็จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ร้ายที่จะเชื่อมไปถึงในปีที่ 7 ของการของครองราชย์ของฮ่องจิ้งอู่ สำนักรัตติกาลนี้แหละคือตัวร้ายและน่าจะร่วมมือกับคนในราชวงศ์คนใดคนหนึ่งที่ทำให้ ทั้งฮ่องเต้และองค์รัชทายาทแตกหักกันมานานหลายปี วิเคราะห์ดูแล้วเอาเข้าจึง ๆ ไม่เป็นที่ประวัติศาสตร์ในตำราบันทึกไว้เลย ดูท่าเขากับมู่เทียนหลางคงต้องสืบหาคนอยู่เบื้อหลังอีกนานเลยวันนี้องค์หญิงหลิงเซียงอยากฉลองให้ตัวเองที่อยู่รอดปลอดภัยมาถึงปีที่สองจึงอยากทำอาหารฉลองสักหน่อย เมนูก็มีอะไรง่าย ๆ ที่ทำจากหมู หมูผัดกิมจิ ข้าวผัดหมู หมูทอดกระเทียม และหม

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status