Mag-log inยามบ่ายหลังออกจากวังหลวง มู่เทียนหลางตั้งใจจะกลับจวน แต่เมื่อเดินผ่านสวนหลวงก็ได้ยินเสียงนกกระจอกส่งเสียงจ้อกแจ้กกับเสียงหัวเราะเบา ๆ ของหญิงสาวแว่วมา เสียงนั้นช่างคุ้นหูอย่างประหลาด เมื่อเดินเข้าไปใกล้เขาพบหญิงสาวในอาภรณ์สีเขียวอ่อนปักดิ้นแดง กำลังย่อตัวเก็บกลีบดอกเหมยใส่มือเล่นอย่างเพลิดเพลิน ใบหน้าของนางสดใสเสียจนยากจะเชื่อว่าเป็นองค์หญิงหลิงเซียงผู้เคยเย็นชาในสายตาของผู้คน
“องค์หญิง…ทรงกำลังเก็บดอกเหมยไปทำยา หรือจะทำขนมอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลาง
เสียงของมู่เทียนหลางดังขึ้นอย่างเรียบแต่แฝงรอยยิ้ม องค์หญิงเงยหน้าขึ้นดวงตาเป็นประกาย
“ข้าจะเอาไปทำน้ำหอมต่างหาก เจ้าอยากได้สักขวดไหมล่ะคุณชายมู่ กลิ่นจะได้หอมเสียจนขุนนางฝ่ายบุ๋นทั้งวังจำหน้าเจ้าได้ขึ้นใจ” หลิงเซียง
มู่เทียนหลางยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“หอมเกินไปอาจดึงดูดผึ้งและมดพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงคงไม่อยากให้ข้ารับสั่งให้คนตามไล่มดในวังหรอกกระมัง” เทียนหลาง
องค์หญิงหัวเราะพรืดพระโอษฐ์ยกยิ้มอย่างคนไม่ยอมแพ้
“ขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างเจ้าก็พูดเหมือนคนมีอารมณ์ขันได้ด้วยหรือนี่ ข้าเริ่มสงสัยแล้วว่าที่เจ้าทำหน้านิ่งตลอดนั้นเพราะตั้งใจหรือหน้าแข็ง” หลิงเซียง
เขาสูดลมหายใจเบา ๆ พยายามกลั้นรอยยิ้ม
“กระหม่อมเพียงรักษามารยาทตามตำราว่าด้วยการวางตนของขุนนางฝ่ายบุ๋น มิกล้าแสดงอารมณ์เกินควรพ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลาง
องค์หญิงหลิงเซียงแสร้งถอนพระทัย
“น่าเบื่อเสียจริง ขุนนางที่ดีควรรู้จักหัวเราะบ้าง เจ้าไม่เคยหัวเราะออกมาจริง ๆ เลยหรือ” หลิงเซียง
มู่เทียนหลางประสานมือไว้หลัง เอียงศีรษะเล็กน้อย
“หากมีผู้ทำให้กระหม่อมอยากหัวเราะได้…ก็คงจะหัวเราะเองโดยไม่รู้ตัวพ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลาง
คำพูดนั้นทำให้หลิงเซียงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะส่งเสียง ฮึ แล้วหันไปอีกทาง
“เจ้าช่างพูดเก่งขึ้นกว่าคราวก่อนมาก ข้าเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมคนทั้งราชสำนักถึงบอกว่าเจ้าคมกริบยิ่งกว่ามีดแกะหิน” หลิงเซียง
มู่เทียนหลางโค้งศีรษะอย่างนอบน้อม
“กระหม่อมไม่กล้าเทียบกับองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ มีดแกะหินคมเพียงใดก็ยังไม่เท่าพระวาจาที่ฟันตรงเข้าหัวใจคน” เทียนหลาง
องค์หญิงชะงักไป แล้วกลั้นหัวเราะแทบไม่อยู่
“เจ้ามู่เทียนหลาง! ข้าจะถือว่าเจ้ากำลังล้อข้าอยู่!” หลิงเซียง
“กระหม่อมเพียงพูดตามความจริงพ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลาง
เขาตอบเรียบ ๆ แต่แววตาแพรวพราวจนแม้แต่พระอาทิตย์ยังอาจอาย องค์หญิงหลิงเซียงกลอกตา พลางปัดกลีบดอกเหมยใส่เขาเบา ๆ
“ถ้าเจ้ากวนอีก ข้าจะให้เจ้าไปอยู่กับนางกำนัลในตำหนักข้าเสียเลย จะได้รู้ว่าการถูกคนพูดจาเหน็บแนมทั้งวันเป็นเช่นไร” หลิงเซียง
มู่เทียนหลางยิ้มมุมปาก
“หากได้อยู่ใกล้องค์หญิงทุกวัน กระหม่อมคงไม่กล้าเอ่ยปากว่าเป็นการลงโทษพ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลาง
ครานั้น… พระพักตร์ขององค์หญิงแดงระเรื่อขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว พระหัตถ์ที่ถือกลีบดอกเหมยพลันกำแน่น ก่อนทรงแกล้งเบือนหน้าไปทางสระน้ำ
“เจ้าช่าง…ปากไวเสียจริงมู่เทียนหลาง!” หลิงเซียง
หลิงเซียงคิดในใจผู้ชายอะไรปากร้ายเหลือเกิน ปากจัดเสียจนไม่อยากเสวนาด้วยแล้ว
“กระหม่อมเพียงรับสั่งตามสัตย์พ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลาง
เสียงหัวเราะเบา ๆ ขององค์หญิงดังแทรกไปกับเสียงลม กลีบดอกเหมยปลิวระหว่างคนทั้งคู่ และไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า ระหว่างถ้อยคำกวนประสาทนั้น มีสิ่งใดแฝงอยู่ลึกกว่านั้นหรือไม่
ลมเย็นจากสวนหลวงพัดผ่านม่านแพบางเบา เสียงระฆังลั่นเบา ๆ จากปลายยอดเจดีย์คล้ายเตือนให้โลกสงบ แต่ในใจของมู่เทียนหลางกลับไม่อาจสงบตามได้เลย หลังการสนทนาเมื่อครู่เขามองตามแผ่นหลังขององค์หลิงเซียง ที่เดินห่างออกไป พลางขมวดคิ้วแน่นความรู้สึกบางอย่างในดวงตาของนาง ไม่ใช่หลิงเซียงคนเดิมที่เขาเคยรู้จัก
องค์หญิงเคยเป็นคนที่เคยมีแววตานิ่งเรียบ ราวกับผืนน้ำที่ถูกแช่แข็ง แต่วันนี้กลับอ่อนโยน ร่าเริง พูดจาเหมือนสายน้ำ ไม่มีความรู้สึกอารมณ์ความเย็นชากลับมาเลยแม้แต่น้อย แต่คำพูดที่เอ่ยออกจากริมฝีปากงดงามนั้นก็ดูมีระยะห่าง เหมือนมีม่านบาง ๆ คั่นระหว่างโลกของเขากับโลกของนาง
“องค์หญิง... เปลี่ยนไปหลังจากยาดื่มยาพิษ” เทียนหลาง
เมื่อกลับถึงจวนนั่งอยู่คนเดียวใต้แสงตะเกียงที่ส่องสว่างเพียงครึ่งห้อง ความทรงจำเก่า ๆ ย้อนคืนครั้งที่องค์หญิงเคยหัวเราะเมื่อได้ฟังเสียงพิณของเขา ครั้งที่นางยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ยามเขาบาดเจ็บจากการฝึก แต่ยามนี้... ความอบอุ่นเหล่านั้นกลับกลายเป็นเพียงเงาเลือนในสายลม มู่เทียนหลางกำมือแน่น พลันสายตาแข็งกร้าวขึ้น
“ไม่ใช่แค่เปลี่ยนไป... แต่นางเหมือนเป็นคนละคน” เทียนหลาง
เสียงลมพัดผ่านหน้าต่างอีกครั้ง เสียงเหมือนคำกระซิบที่ไม่มีต้นตอ หรือบางทีสิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าวันนี้ อาจไม่ใช่องค์หลิงเซียงที่แท้จริงเลยก็ได้
ค่ำคืนนั้นเมืองหลวงคลุมด้วยหมอกจาง แสงโคมไฟจากถนนหลวงทอดเงาสั่นไหวบนพื้นหินเหมือนลมหายใจของผู้คนที่ซ่อนความลับไว้ในอก มู่เทียนหลางเดินอยู่ลำพังในตรอกเงียบ ชุดคลุมสีดำของเขาแนบไปกับความมืด ดวงตาคมจับทุกความเคลื่อนไหว
เขากำลังสืบหาความจริงเหตุใด องค์หลิงเซียงจึงเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน และทำไมถึงได้คิดสั่นดื่มยาพิษปลิดชีพตนเอง จากหญิงสาวผู้เย็นชาและเงียบงัน กลับกลายเป็นคนที่ร่าเริง อ่อนหวาน และเต็มไปด้วยแววตาอันแปลกประหลาด
ราวกับวิญญาณอีกดวงถูกปลุกให้มาอยู่ในร่างเดียวกัน เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นจากด้านหลัง เทียนหลางหันขวับ มือแตะดาบที่ข้างเอว“ออกมา” เทียนหลาง
เสียงของเขาเย็นเยียบชายชุดเทาโผล่ออกมาจากเงา ก้มศีรษะนอบน้อม
“ขอรับ นายท่าน ข้าได้เบาะแสเรื่ององค์หญิงแล้ว”
เทียนหลางขมวดคิ้ว
“พูดมา” เทียนหลาง
“มีข่าวว่าพระองค์ทรงเสด็จไปที่ หอวิญญาณเมฆา เมื่อสองเดือนก่อนที่นั่นเป็นสถานที่ของสำนักเวทลึกลับ ว่ากันว่าใช้วิชาเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนพลังชีวิตหรือจิตวิญญาณ...”
คำว่าแลกเปลี่ยนจิตวิญญาณทำให้หัวใจของเทียนหลางเต้นแรงขึ้นทันที เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ
“หอวิญญาณเมฆา... ที่อยู่บนเขาเสวียนซานสินะ” เทียนหลาง
“ใช่ขอรับ และหลังจากกลับจากที่นั่น ไม่มีท่าอะไรเปลี่ยนแปลงนะขอรับ แต่จะมีแต่ทางพระสนมกุ้ยเฟย มาตักเตือนลงโทษองค์หญิงและคนในตำหนักไฉ่หงที่ออกไปนอกวังโดยไม่ขออนุญาต จนมีปากเสียงทะเลาะกันใหญ่โตขอรับ”
ลมหนาวพัดผ่าน เสียงผ้าโบกสะบัดดังเบา ๆ มู่เทียนหลางเงยหน้ามองฟ้า ดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวลอยเด่นกลางหมอกบาง เหมือนรอยยิ้มที่ซ่อนความลับไว้เบื้องหลัง
“ไปสืบมาให้ได้ว่าวันที่องค์หญิงปลิดชีพตนเอง มีใครน่าสงสัยบาง” เทียนหลาง
“ขอรับ”
มู่เทียนหลางเริ่มสงสัยแล้วว่าการที่องค์หญิงดื่มยาพิษ แล้วไปเจอตัวอีกทีที่ตำหนักเย็นมันต้องมีเงื่อนงำบางอย่างแน่นอน
ข่าวว่ามู่เทียนหลางขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทโดยตรง สร้างความตกตะลึงให้กับคนในวังไม่น้อย เพราะผู้ใดต่างรู้ดีว่านี่มิใช่การเข้าเฝ้าเพื่อทักทาย หากเป็นการเผชิญหน้าที่ไม่มีผู้ใดถอยง่าย ๆ ตำหนักบูรพาอากาศในท้องพระโรงเงียบงัน มู่เทียนหลางคุกเข่าลงอย่างสง่างามแผ่นหลังตรง“กระหม่อมมู่เทียนหลาง ขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลางจิ้งไฉประทับอยู่บนบัลลังก์ต่ำ พระเนตรทอดมองลงมาอย่างเย็นชา“ลุกขึ้น เจ้ามาด้วยเรื่ององค์หญิง…ใช่หรือไม่” จิ้งไฉมู่เทียนหลางลุกขึ้นช้า ๆ“พ่ะย่ะค่ะ” เทียนหลาง“เช่นนั้นข้าไม่อ้อมค้อเลยแล้วกัน ข้าไม่ยินยอมให้พาน้องสาวข้าไปไหนทั้งนั้น” จิ้งไฉคำตอบนั้นชัดเจนราบเรียบแต่หนักหน่วง มู่เทียนหลางประสานมือค้อมศีรษะเล็กน้อย“กระหม่อมมาที่นี่ มิใช่เพื่อขออนุญาตจากองค์รัชทายาท หากแต่มาเพื่อขอให้ทรงถอนการคัดค้าน” เทียนหลางบรรยากาศรอบกายแข็งค้างขันทีและองครักษ์ต่างกลั้นลมหายใจ จิ้งไฉหัวเราะเบา ๆ“มู่เทียนหลาง…เจ้ากำลังท้าทายข้าหรือ” จิ้งไฉ“กระหม่อมไม่กล้า แต่กระหม่อมจะไม่ถอย” เทียนหลางพระเนตรขององค์รัชทายาทหรี่ลง มู่เทียนหลางเงยหน้าขึ้น สายตานิ่งมั่นคง“องค์หญิงหลิงเซียงไม่ใ
หลังจากพาองค์หญิงหลิงเซียงกลับจากจวนตระกูลมู่ มู่เทียนหลางยังคงเห็นภาพรอยยิ้มอบอุ่นของคนในบ้านลอยวนอยู่ในความคิดตั้งแต่บิดามารดา พี่ชาย พี่สะใภ้ ไปจนถึงหลาน ๆ ทุกคนล้วนต้อนรับองค์หญิงด้วยความเคารพจริงใจ มิใช่เพราะฐานะ หากเป็นเพราะรักและเอ็นดูในตัวนางอย่างแท้จริง มู่เทียนหลางหลังจากที่พาองค์หญิงไปจวนตระกูลมู่ ได้เห็นครอบครัวตัวเองต้อนรับองค์หญิงเป็นอย่างอบอุ่น จึงอยากลองขอฮ่องเต้จิ้งอู่พาองค์หญิงย้ายไปอยู่ที่จวนตระกูลมู่คืนนั้น มู่เทียนหลางนั่งอยู่ในตำหนักไฉ่หง มององค์หญิงที่กำลังอ่านตำราด้วยสีหน้าสงบหัวใจเขากลับไม่อาจสงบตามไปได้“หลิงเซียง” เทียนหลางเขาเอ่ยเสียงแผ่ว องค์หญิงเงยหน้าขึ้นมอง “มีอะไรหรือเจ้าค่ะท่านพี่” หลิงเซียงมู่เทียนหลางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง“วันนี้ที่จวนตระกูลมู่…เจ้าดูมีความสุขมาก” เทียนหลางองค์หญิงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนยิ้มบาง“เพราะทุกคนอบอุ่นมากเพคะ ทำให้หม่อมฉันคิดถึงครอบครัวเดิมโดยไม่รู้ตัว” หลิงเซียงคำพูดนั้นทำให้มู่เทียนหลางแน่นอก เขาตระหนักดีว่าแม้ตำหนักไฉ่หงจะหรูหรา มีอำนาจ มีคนรับใช้รายล้อม แต่กลับขาดความอบอุ่นของคนในครอบครัว ห
ในที่สุดเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็เวียนมาถึง ค่ำคืนต้นฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าโปร่งใส ดวงจันทร์กลมโตเริ่มทอแสงนวลเหนือหลังคาวังตั้งแต่เช้าตรู่ ตำหนักไฉ่หงก็เต็มไปด้วยความคึกคักนางกำนัลช่วยกันแขวนโคมไฟสีแดงและสีทองเรียงรายตามระเบียง ผืนผ้าลายเมฆและกระต่ายหยกถูกนำมาตกแต่งโต๊ะบูชาอย่างประณีต“แขวนโคมตรงนั้นอีกนิดเจ้าค่ะ!”“โต๊ะขนมไหว้ต้องหันรับแสงจันทร์นะ!”เสียงพูดคุยหัวเราะดังไม่ขาดสาย บนโต๊ะยาวกลางตำหนัก ขนมไหว้พระจันทร์ถูกจัดเรียงอย่างงดงาม ทั้งไส้ถั่วแดง ไส้งาดำ ไส้พุทรา ผลไม้ตามฤดูกาลถูกวางคู่กับชาอุ่นหอมกรุ่น องค์หญิงหลิงเซียงยืนดูความเรียบร้อยด้วยรอยยิ้มอ่อน“อย่าลืมวางขนมรูปกระต่ายหยกไว้ตรงกลางนะ” หลิงเซียงนางกำนัลรับคำอย่างขะมักเขม้น“เพค่ะองค์หญิง!”บรรยากาศก่อนค่ำเมื่อแสงอาทิตย์คล้อยต่ำ ลมเย็นพัดผ่านตำหนักไฉ่หงอย่างอ่อนโยน กลิ่นธูปหอมอ่อน ๆ ลอยคลุ้งเสียงพิณเบา ๆ ดังคลอจากด้านใน ทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีอ่อนงดงามนางกำนัลหลายคนแอบกระซิบด้วยดวงตาเป็นประกาย“คืนนี้องค์หญิงต้องงดงามมากแน่ ๆ”“ได้ยินว่าคุณชายมู่จะมาร่วมงานด้วยนะ หลังจากนั้นก็จะพาองค์หญิงไปที่จวนตระกูลมู่ด้วยนะ!”เมื่อถึงยามโหย
ตอนนี้ชีวิตใหม่ที่แสนจะมีวุ่นวายของหมิวที่อยู่ในร่างขององค์หญิงหลิงเซียงเริ่มมีความสุขมากขึ้น มากจนคิดว่าถ้าหากถึงวันที่เกิดเหตุร้ายตามที่เขาศึกษามา เขาคงต้องเสียใจมากแน่เพราะมู่เทียนหลาง เท่าที่รู้มาเขาจะกลายเป็นคุณชายตาบอดไปตลอดชีวิต เพราะเข้าไปช่วยฮ่องเต้ที่ติดอยู่ในกองเพลิง เขาตั้งในแล้วว่าจะไม่มีทางให้มันเกิดขึ้นแน่นอน อีกอย่างตั้งแต่มาอยู่ที่นี้แล้วมีเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนมาจากฝีมือของสำนักเงารัตติกาล หากวิเคราะห์โดยที่ไม่อิงประวัติศาสตร์ที่ศึกษาตัดออกไปไม่เอามาร่วม ก็จะเห็นได้ว่าเหตุการณ์ร้ายที่จะเชื่อมไปถึงในปีที่ 7 ของการของครองราชย์ของฮ่องจิ้งอู่ สำนักรัตติกาลนี้แหละคือตัวร้ายและน่าจะร่วมมือกับคนในราชวงศ์คนใดคนหนึ่งที่ทำให้ ทั้งฮ่องเต้และองค์รัชทายาทแตกหักกันมานานหลายปี วิเคราะห์ดูแล้วเอาเข้าจึง ๆ ไม่เป็นที่ประวัติศาสตร์ในตำราบันทึกไว้เลย ดูท่าเขากับมู่เทียนหลางคงต้องสืบหาคนอยู่เบื้อหลังอีกนานเลยวันนี้องค์หญิงหลิงเซียงอยากฉลองให้ตัวเองที่อยู่รอดปลอดภัยมาถึงปีที่สองจึงอยากทำอาหารฉลองสักหน่อย เมนูก็มีอะไรง่าย ๆ ที่ทำจากหมู หมูผัดกิมจิ ข้าวผัดหมู หมูทอดกระเทียม และหม
เช้าวันรุ่งขึ้นอากาศสดชื่น ลมทะเลจากเมืองไฮ่หยางพัดเอื่อย ๆ มู่เทียนหลางยืนรออยู่หน้าเรือนเช่าด้วยท่าทีเรียบสงบแต่ดวงตาดูสดใสผิดปกติ เมื่อเห็นองค์หญิงหลิงเซียงก้าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม เขาก็เอ่ยขึ้นทันที“วันนี้ ข้าจะพาทุกท่านออกเที่ยวทั่วเมืองไฮ่หยาง” หลิงเซียงทหารทั้งหลายตาเป็นประกายทันที“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ”มู่เทียนหลางพยักหน้าเบา ๆ“ถือเสียว่ามาเปลี่ยนบรรยากาศ… และเพื่อให้ฮูหยินได้พักผ่อน” เทียนหลางคำว่า ฮูหยิน ทำเอาองค์หญิงหลิงเซียงหน้าแดงตั้งแต่เช้าก่อนจะเบือนสายตาหนีอย่างเขิน ๆตลาดเช้าคึกคักเสียงผู้คนเรียกขายของ กลิ่นของทะเลสดใหม่ลอยโอบอวล มู่เทียนหลางก้าวเดินข้างองค์หญิงราวกับคุ้มกันนางด้วยความเคยชิน ทหารแต่ละคนแยกตัวไปดูของกินกันอย่างตื่นเต้น“นายท่าน นี่ปลาหมึกตากแห้งสดมากเจ้าค่ะ” ซินเหมย“นี้ๆ ข้าซื้อขนมพื้นเมืองมาให้ลอง!” เสี่ยงถังจื่อองค์หญิงหัวเราะเบา ๆ พลางรับของกินมาแบ่ง มู่เทียนหลางมองภาพนั้นด้วยสายตาอบอุ่นที่ใครเห็นก็รู้ว่าไม่ใช่สายตาแบบนายท่านปกติ เขายื่นผ้าซับมือให้นาง“ระวังเปื้อนนะ ฮูหยิน” เทียนหลาง“ท่านเรียกข้าเช่นนั้นอีกแล้ว…” หลิงเซียงมู่เทียนหลางเพียงยิ้ม ไ
มู่เทียนหลางที่นั่งเงียบมาตลอด ขณะองค์หญิงหลิงเซียงยื่นถ้วยต้มโคล้งปลาใบมะขามอ่อนให้ เขายกตะเกียบขึ้นตักคำหนึ่งอย่างไม่รีบร้อน แต่ทันทีที่รสเผ็ดเปรี้ยวหอมเครื่องต้มยำรวมมิตรทะเลแตะลิ้น ดวงตาคมที่มักนิ่งสงบก็พลันเบิกกว้างเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ทัน“อืม… อร่อยมาก” เทียนหลางน้ำเสียงต่ำทุ้มของเขาเอ่ยออกมาอย่างจริงใจจนคนทั้งโต๊ะชะงัก องค์หญิงหลิงเซียงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้ม ยิ้มแบบที่ตัวเองไม่ค่อยรู้ตัวว่าเผลอทำ“จริงหรือเจ้าคะ ข้าทำแบบง่าย ๆ เท่านั้นเอง”หลิงเซียงมู่เทียนหลางมองหน้าองค์หญิง แล้วตักคำต่อไปทันทีราวกับกลัวว่าคำแรกจะเป็นเพียงภาพลวง“ไม่ใช่แค่อร่อยธรรมดา ฮูหยิน… ฝีมือทำอาหารของเจ้าดีเกินกว่าจะเรียกว่า ง่าย ๆ ได้ย่างไรกัน” เทียนหลางทหารที่นั่งข้าง ๆ ถึงกับเหลียวมองกันเองอย่างประหลาดใจ เมื่อไรนายท่านของพวกเขาจะยอมชมอะไรออกมาตรง ๆ เช่นนี้กัน องค์หญิงหลิงเซียงยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย แก้มขึ้นสีบาง ๆ“หากท่านพี่ชอบ เช่นนั้นวันหลังข้าจะทำให้ท่านทานอีก” หลิงเซียงคำพูดนั้นทำเอามู่เทียนหลางชะงักตะเกียบกลางอากาศ ก่อนจะยิ้มมุมปากจาง ๆ“ข้ายินดีรอ” เทียนหลางบรรยากาศบนโต๊ะอาหารจึงอบอวลไ







