อาเป้ยกำลังสำรวจรอบที่พักอาศัยของเทพหลงเหนียน โดยไม่รบกวนท่านตามคำสั่ง นางทึกทักเอาว่านางแค่ออกมาเชยชมเรือนของท่านนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ได้ทำเรื่องเสียหาย
รองเท้าถักสานสีดำปักด้วยลวดลายบุปผางามเยื้องย่างไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบและระมัดระวัง ไม่ให้เกิดเสียงแม้สักน้อย นางก้าวข้ามสะพานไม้เล็ก ๆ ชะโงกหน้าลงมองหมู่มัจฉานานาชนิดใต้พื้นไม้ที่มีแหล่งน้ำสีมรกตไหลเวียนไปทั่ว
คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นเรือนสี่ประสาน[1] ที่พักอาศัยของนักพรตซึ่งนางขึ้นไปส่งข้าวปลาอาหาร แต่ด้วยความที่ด้านหน้าเรือนเปิดโล่งเป็นลานกว้างไว้ฝึกวิทยายุทธ์ หรืออาจจะไว้รับรองแขก มีประตูบานใหญ่กั้นพื้นที่แห่งนี้ไว้จากป่าทึบและเทือกเขา จึงไม่เชิงว่าใช่เสียทีเดียว เรือนสี่ประสานจะมีลานฝึกอยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยเรือนพักอาศัยโดยรอบเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า
“เรือนท่านอยู่ท่ามกลางป่าเขา ทิวทัศน์งดงามถึงเพียงนี้ สบายข้าจริง ๆ”
อาเป้ยส่ายคอมองไปรอบ ๆ อย่างสดชื่นแจ่มใส เพียงได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกเสียบ้างหลังอุดอู้อยู่แต่ในห้อง นางเงยหน้าขึ้นมองต้นโบตั๋น ต้นท้อ ต้นหอมหมื่นลี้ ออกดอกบานสะพรั่งแข่งกัน ก็ส่งยิ้มให้พวกมัน
บุปผชาติเหล่านี้ได้งอกเงยบนโลกของทวยเทพ ช่างสุขเกษม เฉกเช่นตัวนางผู้ไม่เคยมีโอกาสใช้เวลาโดยเปล่าประโยชน์ นางเป็นข้ารับใช้มาก่อน จะมีแต่วันยุ่ง ๆ หัวหมุนวุ่นวาย หัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย
บัดนี้อาภรณ์สีดำสนิทชายกระโปรงยาวเท่ากับรองเท้าพอดีของนาง ดูสง่างามมีราคาเยี่ยงคุณหนูผู้สูงศักดิ์ นางรวบถักเปียเล็ก ๆ วางพักไว้บนบ่า ปักปิ่นผมลวดลายดอกเหมยเอาไว้กลางศีรษะ
นอกเสียจากเส้นผมยาวสลวยอย่างสตรีพึงเป็น จากผมสั้นยุ่งเหยิงต้องมัดรวบไว้ตลอดเวลา เส้นผมดำขลับยาวสลวยของนางปลิวไปตามลมจนนางต้องคอยลูบจับอยู่เป็นระยะ นางยังมีผิวพรรณผุดผ่อง ทั้งเส้นผมและผิวกายของนางส่งกลิ่นหอมอบอวลแข่งกับมวลบุปผา หน้าผากเกลี้ยงเกลามีตราประทับเป็นกลีบดอกไม้สีแดงอย่างสวยงาม แม้กระทั่งมือหยาบกร้านของนางยังได้รับการรักษา
นางตื่นขึ้นมาในร่างใหม่หน้าเดิม! หลังได้รับพลังเวทจากโลกของทวยเทพ
อาเป้ยได้รับเครื่องประดับต่างหูไข่มุกสีดำจากเทพหลงเหนียนฝากบ่าวมาให้นางด้วย
ถึงแม้ว่าท่านเทพจะไม่ได้นำสิ่งของมาให้ด้วยตัวท่านเอง นางไม่เคยได้พบหน้าท่านเลยด้วยซ้ำ แต่เท่านี้นางก็ซาบซึ้งในน้ำใจของเทพหลงเหนียนเป็นอย่างมาก
‘เรือนเทพแห่งเทือกเขาอุดร’ นางบังเอิญได้ยินบ่าวรับใช้ของท่านเทพหลงเหนียนพูดคุยกัน
เรือนของเทพหลงเหนียน เป็นเรือนไม้สีแดงเข้มสลับอิฐ กระเบื้องหลังคาขนาดใหญ่เป็นวัสดุทำมาจากดินเผา ทำให้นางมองเห็นบรรดาวิหคในบางโอกาส เรือนของบุรุษเทพผู้นี้ยิ่งใหญ่อลังการไม่ต่างจากเรือนของขุนนางระดับสูง นางคาดว่าทั้งหมดถูกเนรมิตขึ้นด้วยเวทแห่งสวรรค์
เทวโลกแบ่งแยกย่อยเป็นชั้นฟ้า ชั้นดิน ชั้นน้ำ นางก็จำไม่ค่อยได้ว่ามีกี่ชั้นกันแน่
ภพภูมิบาดาลเป็นหนึ่งในเทวโลกชั้นน้ำ อยู่ใกล้กับโลกมนุษย์มากที่สุด มีทั้งพื้นดินและผืนน้ำ ท้องฟ้าแจ่มใส มีช่วงราตรียาวนานกว่า แสงจันทร์สีเหลืองนวลหรือแม้แต่แสงตะวันก็ทอประกายอร่ามงามราวสีของทองคำ
เทวโลกสำหรับนางราวกับว่าเป็นภาพลวงตา เป็นสถานที่แห่งการอุปโลกน์ลวงหลอกนางผู้อาภัพ ทว่ากลับน่าพักอาศัยไปตลอดกาล
เว้นเพียง...
ค่อนข้างเอิกเกริกไปเสียหน่อย
“ว่าแต่ข้าโกหก ท่านก็โกหกข้า ไหนว่าไม่ชอบที่จะต้อนรับแขก เห็นอยู่ว่ามากันทุกวันไม่ซ้ำหน้า ข้าว่าท่านเทพหลงเหนียนนี่แหละ ชื่นชอบงานต้อนรับแขกยิ่งเสียกว่าผู้ใดบนเทวโลก”
โคร้งเคร้ง!
เสียงดาบกระทบกันดังเป็นระยะ บนพื้นไม่มีแห้งเหือดคาวเลือดสักวัน เมื่อค่ำวานนี้มีอสูรปักษามาเยือน บุรุษอีกหนึ่งกลุ่มไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นเทพหรือปีศาจ มีร่างกายเป็นม้า ศีรษะเป็นมนุษย์ ใช้อาวุธเป็นธนูแสง
เข้าช่วงยามซื่อ[2]มีชายร่างสูงใหญ่เท่ากำแพง ถือค้อนอัสนีทุบลงบนพื้นหินจนแตกเป็นเสี่ยง เทพหลงเหนียนกระโดดขึ้นอากาศอย่างว่องไว โจมตีกลับด้วยการสะบัดดาบเพียงครั้ง ถอยไปยืนสมทบกับบ่าวชายของท่านทั้งสามตน
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายไม่จบสิ้น ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย ตราบจนบัดนี้
อาเป้ยเดินมาเกือบจะถึงลานกว้างแล้วนางจึงรีบก้าวไปซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ แอบดูพวกเขาด้วยท่าทีอยากรู้อยากเห็นประสานาง
ก็แน่ล่ะ...
น้อยคนนักจะมีโอกาสได้มาเยือนเทวโลก ในโลกของนางนั้น หากพูดถึงเหล่าจอมยุทธไม่ใช่เทพเซียนซึ่งนาน ๆ จะพบสักครั้ง เก่งฉกาจเพียงใดยังทำได้เพียงเหาะเหินเดินอากาศ ออกท่องยุทธภพ ตามหาวิทยายุทธ์เข้าตัวตามสถานที่ลึกลับเช่นในหุบเขาสูง หมู่บ้าน สำนักลับต่าง ๆ
สำนักเทียนหลงเองก็มีตำรายุทธยอดวิชามากมาย แต่ส่วนใหญ่แล้วใครมาขอวิชาจากอาจารย์ฮุ่ยหมิง ท่านไม่ได้หวงอะไร มีแค่บางเล่มจริง ๆ ที่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้
นางเคยพบปีศาจตัวเป็น ๆ บนโลกมนุษย์เพียงครั้งเดียว ตอนอาจารย์ฮุ่ยหมิงกางเขตอาคมปกป้องคัมภีร์สกัดจุดเล่มหนึ่งจากนางพญางูขาว
ที่เห็นตอนนี้คงจะเป็นปีศาจ...
นางพบข้อเท็จจริงอีกหลายข้อ ข้อแรกคือภพภูมิบาดาลน่าจะเป็นเทวโลกชั้นที่มีปีศาจปะปนอยู่ด้วย อีกข้อนั้น บ่าวชายที่นำสิ่งของมาให้นางแท้จริงแล้วเป็นงูลูกสมุน จากการต่อสู้ของชายร่างอ้อนแอ้นใช้ง้าวงูสีขาวเป็นอาวุธในการต่อสู้ ชายร่างสูงใหญ่กำยำอีกคนหนึ่งปล่อยงูสีเขียวออกมาจากปลายนิ้วได้ หวังใช้พิษทำร้ายอีกฝ่าย แต่ผู้มาเยือนฝีมือร้ายกาจไม่เบา หลบการต่อสู้ได้อย่างฉิวเฉียด ทว่ากลับได้รับบาดเจ็บพอสมควร
อาเป้ยไม่ทันระวังตัว ชะโงกคอออกไปไกลสักหน่อย
กระบี่คมกริบอยู่บนคอนาง!
บุรุษร่างกำยำมีห่วงขนาดใหญ่บนใบหู ท่าทางเหมือนนักเลงคุมซ่องนางโลมมากกว่าจะเป็นปีศาจในสายตาของนาง หันมาบีบบังคับเหล่าเทพด้วยการรวบคอเล็ก ๆ ไว้ในกำมืออีกข้างหนึ่ง ส่งเสียงหัวเราะลั่น
“ฮ่า ๆ ข้าไม่ได้พบสตรีบนเทวโลกมานาน จะว่าไป ก็เคยได้พบเซียนหญิงบนโลกมนุษย์... ปีศาจสาว... และแม่นางนี้...” สายตาหื่นกระหายไม่ต่างจากเห็นนางเป็นเหยื่อ ก้มลงมองใบหน้าสะสวย
“นี่ ๆ ท่านเป็นใคร ข้าไม่เกี่ยวนะ”
“นางไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ปล่อยนางเสีย!”
“หากว่าข้าไม่ปล่อย ใครจะทำไม”
“ข้าบอกให้ปล่อยนาง!”
[1] ซื่อเหอย่วน (四合院 sìhéyuàn) ที่พักอาศัยในลักษณะตั้งอยู่บนพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้า รอบ ๆ บริเวณเป็นที่ตั้งเรือนพักอาศัย ล้อมรอบทิศทั้งสี่ของพื้นที่เอาไว้เรียกเรือนสี่ประสาน
[2] ยามซื่อ (巳:sì) เวลาสากลคือ 09.00 - 10.59 น.
ปัญหาใหญ่ทว่าหากชักช้าไปจะไม่ทันกาล พยัคฆ์อัคคียอมปล่อยลูกของตนออกจากหน้าท้อง สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังเจ้าพยัคฆ์ตัวน้อยกายพยัคฆ์ที่ห่อหุ้มด้วยเปลวอัคคีครึ่งหนึ่งถูกพิษสีเขียว หนอนพิษชอนไชจนเห็นกระดูก นัยน์ตาใสซื่อบริสุทธิ์ของมันเอ่อคลอหยดน้ำใส มันไม่แม้จะส่งเสียงร้องออกมาเหล่าเทพถึงจะไม่ชอบสัตว์อสูรสักเท่าไร อดไม่ได้ที่จะสงสารเวทนาเจ้าพยัคฆ์ตัวกระจ้อยร่อย“ตำราเล่มหนึ่งกล่าวว่าสัตว์อสูรจำพวกพยัคฆาไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้ผู้ใดเห็นเป็นอันขาด นิสัยของท่านช่างคล้ายคลึงกับตัวข้านัก...”“ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้า”เทพอู่เฉินเอ่ยขึ้น ชิงลงมือนำหน้า วาดวงเวทสีดำเสกสายน้ำเป็นระลอกคลื่น ดึงแผ่นน้ำขึ้นสูงเพื่อจัดการกับมัจฉาก้าวร้าวให้ขาดอากาศหายใจไปเสีย ไม่ปล่อยให้เสียเวลาแม้สักน้อย ใต้เท้าจีกงรีบปราม “ระวังด้วยเทพอู่เฉิน ดอกบัวสีทองจะขาดน้ำหล่อเลี้ยงรากไม่ได้เป็นอันขาด จะแห้งตายในทันที”“ข้าว่าไม่ง่าย... ต้องร่วมใจเป็นหนึ่ง”อาเป้ยสะบัดปลายเท้า กระโดดข้ามอากาศไปยืนถัดจากเทพอู่เฉินในระยะห่างพอสมควร เพื่อมองทิศทางน้ำในอีกด้านหนึ่ง เทพแห่งสายน้ำทั้งสองเห็นพ้องต้องกัน รีบไปยืนคนละทิศ ทั้งสี่มุมสร
“ข้าเชื่อก็คือเชื่อ... ท่านเคยได้ยินไหมว่าเปลี่ยนความเชื่อมนุษย์นี้ยากกว่ายกภูเขาทั้งลูกเสียอีก”“ข้าเพิ่งจะเอ็ดเจ้า”“ข้าขอนับเป็นความหวังดี ใช่ว่าท่านอยากจะเอ็ดจะว่าข้าเสียเมื่อไร ท่านใจดีกับข้า” นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลง “และที่ท่านยอมช่วยเหลือพยัคฆาน้อยวันนี้ นับเป็นบุญกุศลของท่าน ข้าเชื่อเรื่องบุญกรรมวาสนา การทำความดี สิ่งดี ๆ จะย้อนกลับมา”อาเป้ยยิ้ม เงยหน้ามองเทพอู่เฉินในร่างสีดำทะมึนด้วยแววตาใสซื่อบริสุทธิ์ ถึงแม้ว่าเทพอู่เฉินคงไม่สบอารมณ์นางนัก ไม่หลงกลคารมนาง“เจ้าพูดจาได้ดี... ทั้งที่เพิ่งจะขังเทพผู้ยิ่งใหญ่ของมนุษย์เอาไว้ใต้ที่นอนในห้องใต้ดิน ห่อร่างข้าด้วยผ้าห่มเหม็นเน่าของเจ้า ทำให้ข้าในร่างครึ่งงูครึ่งบุรุษต้องติดอยู่ใต้เตียงถึงสองคืน”อาเป้ยเพิ่งนึกออกว่าลืมท่านเทพเอาไว้ หลังร่ายเวทอำพรางตาเปลี่ยนประตูให้กลายเป็นกำแพง ส่วนตัวนางนั่งน่ะหรือ เล่นหมากเซี่ยงฉี หัวเราะร่าเริงบันเทิงใจ ไปเที่ยวชมพรรณพฤกษาในป่ากับสองบุรุษเทพแห่งสายน้ำ!阿贝 อาเป้ย...宝贝 bǎobèi (เป่าเป้ย)ลูกรัก ที่รัก...ชื่อของนางคงมีรากฐานมาจากคำในความหมายว่านางคือผู้เป็นที่รักต่อทุกสรรพสิ่งเทพอู่เฉินมองเ
พยัคฆ์อัคคียอมบอกความจริงต่อเทพว่าต้องการหยกพันปีไปฟื้นฟูพลังกายของบุตรชายตัวน้อย ซึ่งเล่นซนไปสักหน่อยจึงถูกพิษของป๋ายเซี่ยสัตว์อสูรจำพวกปูยักษ์มีวิถีนักล่าที่แปลกประหลาด ไม่กลืนเหยื่อเข้าไปทว่าจะฝังคมเขี้ยวไว้ รอให้แผลเน่าและถูกพิษกัดกินเสียก่อน ให้เหยื่อทุรนทุราย ร่างกายขยับไม่ได้เมื่อไรค่อยกลับมาจัดการอีกครั้งหนึ่งทั้งปีศาจและอสูรไม่ใช่ทุกเผ่าจะเป็นมิตรที่ดีต่อกัน อสูรหลายตนนี้เป็นพวกเดียวกับพยัคฆ์อัคคี ซึ่งเป็นสัตว์อสูรในตำนาน จัดอยู่ในระดับที่มีพละกำลังใกล้เคียงกับปีศาจส่วนอสูรปักษาซึ่งมาก่อกวนคราวก่อนนั้นต้องการหยกพันปีไปทำอะไรไม่รู้ได้ ถึงคราวนี้ไม่มาปรากฏตัวแต่คราวหน้าไม่รู้ว่าจะมาหรือไม่อาเป้ยเห็นสัจธรรมอีกข้อหนึ่งว่ามนุษย์มีการแบ่งแยกเป็นหลายชนเผ่า เหล่าปีศาจและอสูรก็เช่นกัน ถึงบนเทวโลกไม่วุ่นวายเท่าโลกมนุษย์ แสนจะวุ่นวายนัก ต่างฝ่ายสู้รบกันเพื่อสนองกิเลส ยกตัวอย่างเช่นท่านเจ้าเมืองหลงอี้จินผู้ส่งเครื่องสังเวยให้แด่เทพด้วยความเชื่อของท่าน ก็ปรารถนาต้องการอำนาจจากเทพ หวังให้ผู้คนเคารพสยบต่อท่านณ สถานที่แห่งนี้ปีศาจยังอาจกลืนกินปีศาจด้วยกันเองเพื่อสูบพลังเวท ในขณะที่เทพ
ผ่านไปสามราตรีกาลไม่มีอะไรคืบหน้าปีศาจนับสิบตนยังพยายามตามหาเทพอู่เฉินในเรือนแต่ไม่พบท่านตามที่นางว่าทางด้านฝั่งเทพเลิกต่อต้านอสูรปีศาจ ปล่อยให้เดินไปเดินมาตามใจ ระหว่างรอก็ชักชวนกันฆ่าเวลา นั่งฝึกปัญญาด้วยหมากเซี่ยงฉี เหล่าเทพผู้น้อยช่วยกันซ่อมแซมพื้นเรือนด้านหน้าให้กลับมาสวยสะอาดเรียบร้อยดังเดิมแล้ว บ่าวงูทั้งสองยังกลับมาเอาความกับนางเรื่องเทพอู่เฉินไปอยู่ที่ใด“หวังว่าเจ้าจะไม่โป้ปดพวกข้า มิฉะนั้นเจ้าจะถูกลงโทษสถานหนักทีเดียว”“ท่านรอถามเทพอู่เฉินด้วยตัวท่านเองก็แล้วกัน ท่านซื่อหยูอี้ ท่านเซียวอี้หรู ข้าหน่ายจะอธิบายความให้ท่านฟัง เพราะว่าท่านไม่เคยจะฟัง”อาเป้ยกำลังวัดฝีมือกับเทพแห่งสายน้ำ บนโต๊ะหินใต้ต้นไม้สูงใหญ่ ลมพัดเย็นสบาย นางคีบหมากเฉียมุ่งไปดักโจมตีถึงในบ้านของอีกฝ่าย ทว่านางคงไม่ชำนาญงาน จึงไม่ได้ดูเลยว่ามีองครักษ์คอยป้องกันอยู่"เก็บพลังเวทไว้ใช้ยามจำเป็น กำชัยชนะโดยไม่ต้องออกรบ เจ้าเฉลียวฉลาดนัก อาเป้ย” เทพแห่งสายน้ำเอ่ยคำชื่นชมนาง จากเคยว่านางเป็นสตรีควรนิ่งเงียบเสียก็เปลี่ยนความคิดใหม่บนโลกของทวยเทพ เทพสตรีออกเรือนแล้วยังต้องเชื่อฟังและอยู่ในโอวาทสามีเช่นเดียวกับมน
นางยิ้มแล้วจึงพูด “ข้าขออภัย แต่อาจารย์ข้าพร่ำสอนเรื่องการมีมารยาท หากผู้ใดถามคำถามข้า ข้าควรต้องตอบให้ชัดเจนเท่าที่ข้าทราบ แถมตัวข้ายังมิใช่สตรี มิใช่ภรรยาของผู้ใด ข้าอยู่เยี่ยงบุรุษมาทั้งชีวิต บนโลกมนุษย์ข้ามีป้ายชื่อเด็กชาย เป็นข้ารับใช้นักพรต ตัวข้าไม่เคยมีแม้โอกาสจะได้ปักปิ่นผมเยี่ยงสตรีด้วยซ้ำ”นางยังอวดป้ายชื่อบุรุษของนางว่าอาเป้ย ซึ่งมีสีแตกต่างไปตามแคว้นที่อาศัยให้เทพดูเสียด้วย ทว่าเหล่าเทพคงไม่ได้สนใจ ถือโอกาสพักเอาแรงระหว่างทุกคนหันมองนางเป็นตาเดียวในเมื่อนางเป็นผู้ไม่เกี่ยวข้อง จึงไม่มีผู้ใดชิงชังนาง อย่างมากคงแค่รำคาญใจเท่านั้น อาเป้ยถีบขาทะยานขึ้นอากาศ เหยียบลงบนพื้นหินหน้าพยัคฆา นางเกิดมีความคิดว่าสัตว์อสูรตนนี้เฉลียวฉลาดกว่าตนอื่น น่าจะพูดจารู้เรื่อง“ข้าว่าท่านเอาเวลาไปตามหาหยกพันปีเสียดีกว่า ในเมื่อท่านอู่เฉินให้คำอนุญาตแล้ว ท่านบอกด้วยตัวท่านเองว่ามันอยู่บนเกาะเทพอุดรแห่งนี้ ยังฝากข้าเป็นธุระมา ทั้งเทพและปีศาจ เชิญตามอัธยาศัย” นางก้มศีรษะทำความเคารพทั้งสองฝั่งอย่างนักปราชญ์ ผู้มีปัญญาเป็นที่ตั้ง ต่างฝ่ายจึงสงบสติอารมณ์ลงเพราะคารมของนาง“ข้าเอง... อยู่เฉย ๆ ไม่มีอ
เทพอู่เฉินในร่างปีศาจมีช่วงเวลาจำศีลหลายราตรี สักห้าสิบถึงหนึ่งร้อยปีจะลอกคราบเก่าของตนสักครั้งเช่นเดียวกับนางเฟยอี๋ ใช้เวลามากหรือน้อยขึ้นอยู่กับพลังเวทในกาย ซึ่งหลังจากลงไปรับเครื่องบรรณาการบนโลกมนุษย์ เดินทางข้ามภพภูมิกลับมายังเทวโลกทำให้สูญเสียพลังไปมาก คงซ่อมแซมตนได้ไม่ดีนักเทพและปีศาจต่อสู้กันมาสองราตรีแล้ว...อาเป้ยเดินไปเดินมาอย่างระวังไม่ให้เป็นภาระผู้ใด นางหลบเข้าไปนอนบ้าง เอามือปิดหูปิดประตูห้องเงียบเชียบ เสียงกระบี่ดังกระทบกัน พื้นดินแตกหักเป็นเศษเป็นชิ้น เสียงตะโกนบริภาษอย่างเกรี้ยวกราด แสงสีเสียงทอดดังมาเป็นระยะ ต่างฝ่ายตะโกนโหวกเหวกโวยวายทะเลาะวิวาทกันไม่จบสิ้น ไม่มีวี่แววว่าฝ่ายใดจะยอมเลิกราท้ายที่สุดนางก็ทนไม่ไหว จึงลองเดินหาห้องพักจำศีลของเทพอู่เฉินดูว่าอยู่ที่ใดห้องพักของเทพอู่เฉินหาไม่ยากนัก อยู่ถัดจากลานกว้างที่พวกเขากำลังต่อสู้กัน นางคิดว่าท่านเทพคงไม่กลัวเกรงในสิ่งใดเลยจำศีลอย่างโจ่งแจ้ง นางยังเห็นว่ามีบุรุษเทพรูปงามร่างสูงใหญ่แต่งการด้วยอาภรณ์งดงามดูมีภูมิฐาน และอีกสี่คงเป็นลูกสมุนของฝั่งเทพแห่งสายน้ำตามมาสมทบนางเคาะประตูห้องอย่างมีมารยาท ทว่าไม่ได้ยินเสีย