แชร์

บทที่ 2

ผู้เขียน: ต้าซ้อ
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-08-03 12:59:59

กลิ่นหอมจางของกลีบเหมยที่โปรยไว้เมื่อคืนยังหลงเหลือเจือจาง ปะปนกับกลิ่นอุ่นของบุรุษผู้หนึ่งที่นอนทอดกายอยู่บนเตียงไม้หอม

เสียงนกกระจอกส่งเสียงเจื้อยแจ้วริมระเบียง ขณะที่หญิงสาวร่างบางใต้ผ้าห่มแพรเนื้อดีขยับกายเล็กน้อย เปลือกตาสั่นระริกอย่างอ่อนแรง ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

สิ่งแรกที่เหยียนเมิ่งซีเห็น...คือเพดานไม้ประณีต และผ้าม่านลวดลายวิจิตรตระการตา

สิ่งที่สองคือ...หน้าอกเปลือยเปล่าของตนเอง

"อะ...อา...?"

นางรีบยกมือขึ้นปิดอกอิ่มแล้วก้มหน้ามองสภาพตนเอง ใบหน้าแดงก่ำ มือไม้สั่นเทา หัวใจเต้นระส่ำ

และแล้วนางก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งนอนอยู่ไม่ห่าง...

ชายหนุ่มร่างสูงในชุดคลุมเปิดเผยช่วงอกแน่นเปลือยเปล่า กล้ามเนื้อแน่นดั่งลูกรักของเทพเจ้าที่สวรรค์สรรค์สร้าง ไหล่กว้างและแขนที่ยังกอดตัวนางไว้หลวม ๆ ลมหายใจของเขาสม่ำเสมอ ใบหน้านิ่งงันหากแต่ดุดัน แลดูไม่ต่างจากรูปสลักเทพสงครามที่มีชีวิต

"ตายแล้ว!...นี่มัน...นี่ฉันฝันอยู่ใช่ไหม?"

เมิ่งซีครางเสียงเบา สีหน้าซีดเผือด ยังไม่ทันได้ขยับตัวจากเตียง ชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้น

สายตาคมกริบดั่งมีดเหล็กฉายแววเย็นเฉียบ ริมฝีปากยกยิ้มบางด้วยความเย้ยหยันในวินาทีที่มองสบตาสตรีเบื้องหน้า

"แสร้งทำเป็นตกใจงั้นหรือ?"

เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ แฝงความเย็นชาจนแทบบาดลึกเข้าในกระดูก

"ฉะ..ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่ที่ไหน แล้วคุณเป็นใคร..." เมิ่งซีพยายามตั้งสติ มือคว้าผ้าห่มขึ้นห่อตัวแน่น

"ตกใจจนวิปลาสไปแล้วรึอย่างไร คำพูดพิกลยิ่งนัก!"

อ๋องหนุ่มคิ้วขมวดเป็นปมแล้วลุกขึ้นจากเตียง แสงเทียนส่องใบหน้าหล่อเหลาแต่เย็นเยียบ เขาหยิบเสื้อคลุมมาสวมไว้หลวม ๆ ก่อนหันกลับมา

"หากเจ้าใคร่ปีนเตียงข้า ก็ควรจะยอมรับเสียดี ๆ มิใช่แสร้งตีหน้าใสซื่อเยี่ยงนี้"

"ฉันเปล่านะ!"

"เช่นนั้นหรือ? แล้วเหตุใดเจ้าจึงเปลือยกายอยู่บนเตียงข้าเล่า?" เขาก้าวเข้ามาใกล้เพียงคืบ จ้องนางราวจะล้วงเข้าไปถึงหัวใจ

"ฉะ..ฉัน ให้ตายเถอะนี่มันเรื่องอะไรกัน!" เมิ่งซีพึมพำเบา ๆ

"น่าขันนัก...สตรีในยุคนี้ล้วนมีแต่ย้อมแมวขายทั้งสิ้น" คำพูดของเขา...ทำให้เมิ่งซีชาวาบไปทั้งตัว

"คุณพูดจาแบบนี้กับฉันได้ยังไง? นอกจากจะไม่รับผิดชอบแล้วยังมาดูถูกฉันอีก!"

"หึ! เจ้าหวังให้ข้าเชื่อหรือ ว่าเจ้าบังเอิญมาตกอยู่ในอ้อมอกข้าทั้งที่มิได้เจตนา? สตรีเจ้าเล่ห์เช่นเจ้าข้าพบมาแล้วนับไม่ถ้วน"

เมิ่งซีเม้มริมฝีปากแน่น พยายามกลั้นน้ำตา ไม่เพียงเจ็บใจ...แต่ยังรู้สึกผิดในสิ่งที่ตนมิได้ทำด้วยซ้ำ

ทันใดนั้น...

[ระบบเถาเป่า] เสียงในหัวดังกังวานขึ้นอย่างประหลาด

[ยินดีต้อนรับผู้ใช้งาน เหยียนเมิ่งซี ท่านได้ย้อนเวลาจากยุคปัจจุบันมายังอดีตเมื่อ 3,000 ปีก่อน ท่านควรปรับคำพูดให้เข้ากับกาลเวลา เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกกล่าวหาว่าเป็นคนเสียสติ คนตรงหน้าท่านคือ ท่านอ๋องหย่งอันแห่งแคว้นต้าเซิ่ง ผู้ที่เป็นเจ้าของฉายา มัจจุราชชายแดน โปรดอย่าตกใจ ระบบจะทำงานเป็นผู้ช่วยคอยสนับสนุนท่านเอง ไม่มีผู้ใดได้ยินเสียงนี้นอกจากท่าน]

"ฮะ...หา?" เมิ่งซีอุทานเสียงหลง มองรอบห้องราวคนเสียสติ แต่ไม่มีใครได้ยินเสียงนั้น

[ระบบร้านค้าเถาเป่าเปิดใช้งานแล้ว ท่านสามารถแลกเปลี่ยนสิ่งของข้ามยุคได้ตามระดับของร้านเถาเป่า ระบบขอเตือนว่าไม่ควรทำตัวให้น่าสงสัยมากไปกว่านี้]

จังหวะเดียวกันนั้น จ้าวอวี้ที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็กระตุกคิ้ว มองนางอย่างไม่พอใจ

"เจ้าคิดจะเมินข้ารึ?"

"ข้า...ข้าเปล่า!"

เมิ่งซีหันกลับมา สีหน้าตื่นตระหนก สิ่งที่นางทำได้ในตอนนี้คือการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งตรงหน้า ก่อนที่ผู้ชายหน้าโหดคนนี้จะฆ่านางทิ้งเสียก่อน

"หน้าเจ้าดูไม่เหมือนคนโง่...แต่การกระทำของเจ้าช่างไม่สมราคาเลยสักนิด" จ้าวอวี้หรี่ตามองนางเพื่อประเมินคร่าว ๆ

"ทะ..ท่านอ๋อง ข้าจะไม่อยู่ขัดหูขัดตาท่านอีก" เมิ่งซีกลั้นใจพูดขึ้นพร้อมกับยื่นมือไปหยิบเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่ปลายเตียง

"หึ...จะกลับเรือนงั้นหรือ? เช่นนั้นเจ้าจงกลับไปเสียเถิด..เฮยเจิน!" เขาหันไปด้านข้าง ตวัดเสียงเย็นเรียกข้ารับใช้

"ขอรับท่านอ๋อง!"

ชั่วพริบตาประตูตำหนักเปิดออกอย่างรวดเร็ว องครักษ์ใก้าวเข้ามาคุกเข่าอย่างขึงขัง

"ส่งนางกลับไป ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องแสดงความนอบน้อม หากนางหาทางปีนเตียงอีก...ตัดขาทิ้งเสีย!"

คำสั่งนั้น...หนักแน่น เย็นชา และเฉียบขาด

เมิ่งซีตกใจจนตัวสั่น นางไม่รู้ว่าโชคชะตาเล่นตลกอะไรกับนาง แต่ที่แน่ ๆ นับจากนี้ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป...

จวนสกุลเหยียน

ม่านฟ้าสีเทาหม่นปกคลุมทั่วท้องนภา เมฆลอยอ้อยอิ่งประหนึ่งจะร้องไห้ตามความรู้สึกของหญิงสาวผู้หนึ่ง ที่ถูกขับไล่ออกจากจวนอย่างไม่ปรานี

เมิ่งซีถูกนำตัวกลับมาที่จวนสกุลเหยียนก่อนฟ้าสางเรือนหนึ่ง นางยังไม่ทันได้เปลี่ยนเสื้อผ้าก็ถูกจับโยนลงบนพื้นลานหน้าเรือนหลัก ขาทั้งสองอ่อนแรงจนลุกแทบไม่ขึ้น ร่างกายระบมเต็มไปด้วยรอยแดงช้ำจากคืนที่ถูกเหยียบย่ำ

เสียงฝีเท้าดังกราวจากปลายทางของระเบียงไม้ เหยียนซูหนิงในชุดผ้าแพรสีชมพูอ่อนเดินตรงเข้ามา ท่าทางร้อนรนแต่ในแววตามีรอยยิ้มแฝงไว้

"ท่านพ่อเจ้าคะ!"

นางโผเข้าไปคุกเข่าเบื้องหน้าบิดา ใต้เท้าเหยียนอวี้เจิ้งเดินออกมาจากเรือนด้วยสีหน้าขรึมจัด มือหนึ่งถือพัด อีกมือไขว้หลัง

"เกิดอันใดขึ้น เหตุใดจึงลากเมิ่งซีมาตรงนี้?"

"ลูกเพียงทนไม่ได้เจ้าค่ะ เมิ่งซี...เมิ่งซีล่วงเกินท่านอ๋องหย่งอัน! ผู้คนต่างเรียกท่านว่าอ๋องปีศาจ! หากเขาโกรธขึ้นมาเราจะต้องเดือดร้อนกันทั้งตระกูล!" นางแสร้งพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

เสียงฮือฮาจากบ่าวไพร่ดังแว่วขึ้นในลาน ตาใต้เท้าเหยียนเบิกกว้าง ดวงหน้าเครียดขึ้งแทบระเบิด

"เจ้าว่าอะไรนะ? ล่วงเกินอ๋องหย่งอัน?"

"ขะ..ข้า ฟังข้าก่อน ข้าไม่รู้ไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง" เมิ่งซีพยายามพูด น้ำเสียงแหบแห้งจนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรง

"เจ้าไม่รู้! เจ้าทำให้ข้าขายหน้า! บุตรสาวไร้ยางอาย! ข้าควรฆ่าเจ้าให้ตายเสียตรงนี้!"

ใต้เท้าผู้เป็นบิดาก้าวเร็วเข้ามา ฟาดพัดไม้ในมือใส่บ่าของนางอย่างแรง เขาหันไปตวาดใส่บ่าวรับใช้ให้รีบไปหยิบของมา

"นำแส้มา!"

เมิ่งซีลอบกัดฟัน เงยหน้าขึ้นมองตาบิดาแม้ดวงตาจะพร่ามัว ต่อให้นางพยายามหยัดกายสู้ แต่ร่างกายของนางก็อ่อนแรงจนไม่อาจต้านทานแรงบ่าวชายที่จับตัวนางไว้

"ข้าไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร..."

"เจ้าคือมลทินของตระกูล! เดิมทีก็ไร้ประโยชน์ เป็นลูกของอนุที่ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่มีวันเจริญ! หากไม่เพราะเจ้า...ข้าคงไม่ถูกชาวบ้านครหา!"

เซี่ยะ! เซี่ยะ! เซี่ยะ!

แส้หนังเส้นใหญ่ฟาดลงบนแผ่นหลังของหญิงสาว ผิวหนังปริแตกเป็นทางยาว เลือดซึมออกมาช้า ๆ นางกัดริมฝีปากแน่น ไม่ยอมเปล่งเสียงร้องแม้แต่น้อย

"ข้า...ไม่ผิด..." เมิ่งซีเอ่ยแผ่วเบา ดวงตาสั่นระริก

"เจ้าจะเถียงข้ารึ!?" เสียงตวาดก้อง

เซี่ยะ! เซี่ยะ! เซี่ยะ!

ขณะนั้นเอง อนุฉินและบ่าวรับใช้ของนางก็รีบวิ่งออกมาดูลูกสาวด้วยความเป็นห่วง

"นายท่าน ได้โปรดเถอะเจ้าค่ะ! อย่าทำร้ายซีเอ๋อร์เลย"

อนุฉินคุกเข่าต่อหน้าสามีทั้งน้ำตานองหน้า

"เจ้ามาก็ดี มาดูสิ่งที่ลูกสาวของเจ้าทำ ช่างอัปยศยิ่งนัก รีบลากนางออกไปจากจวนของข้า แล้วตัดนางออกจากสกุลเสียแต่วันนี้ อย่าให้เสนียดจากตัวนางมาแปดเปื้อนจวนของข้า!"

คำสั่งเด็ดขาดของผู้เป็นใหญ่ในจวน ทำให้สตรีในจวนต่างก็ยกยิ้มมุมปากด้วยความพอใจ

"นายท่าน อย่างน้อยก็ให้นางได้พักสักคืนก่อนจะออกจากเรือน! ข้าน้อยไม่เคยเอ่ยขออะไรจากนายท่านเลย ครั้งนี้ได้โปรดฟังคำขอของข้าน้อยด้วยเถิดเจ้าค่ะ" อนุฉินกล่าวอย่างอ้อนวอน

"พัก? พักเพื่อให้นางสร้างเรื่องอีกหรืออย่างไร! ข้าจะไม่ให้นางนำของสกุลเหยียนไปแม้แต่เส้นด้ายเส้นเดียว!"

"เมิ่งซีเจ้าไม่มีความละอาย คิดว่าตัวเองปีนขึ้นเตียงท่านอ๋องแล้วจะเป็นหญิงผู้สูงศักดิ์ได้อย่างนั้นรึ?! ช่างน่าขันยิ่งนัก" เสียงพี่ชายต่างมารดากล่าวเสริมจากอีกมุม

"พ่อบ้านเหอ! พ่อบ้านเหออยู่ไหน"

"บ่าวมาแล้วขอรับนายท่าน" เพียงครู่เดียวบ่าวชายสูงวัยก็รีบวิ่งมาโค้งกายต่อหน้าเสนาบดีคลังผู้เป็นนาย

"เจ้าไปดำเนินการตัดสตรีชั่วช้านางนี้ออกจากตระกูล! ต่อจากนี้ชื่อของนางไม่เกี่ยวข้องกับสกุลเหยียนอีกต่อไป!"

พ่อบ้านที่ดูจะเอ็นดูนางเอกถอนใจเบา ๆ

"ขอรับนายท่าน ขอให้นายท่านเมตตาให้คุณหนูสามพักที่เรือนอนุฉินอีกคืนก่อน ขืนไล่นางออกไปยามนี้เกรงว่าชาวบ้านจะซุบซิบนินทาได้ สุดท้ายคงไม่เป็นผลดีต่อชื่อเสียงสกุลเหยียนที่สั่งสมมานาน"

พ่อบ้านรู้ดีว่านายท่านผู้นี้รักหน้าตายิ่งกว่าสิ่งใด เขาเองก็คงช่วยคุณหนูน้อยได้เพียงเท่านี้

"หึ...เอาเถอะ เพียงหนึ่งคืน แล้วอย่าให้ข้าเห็นหน้าอีก!" ใต้เท้าเหยียนหันไปชีหน้าเมิ่งซีด้วยความไม่พอใจ

"ซีเออร์...ต่อไปนี้ลูกก็เปลี่ยนไปใช้แซ่ฉินเถอะ"

อนุฉินหันมาพูดกับลูกสาว เมิ่งซียังไม่ทันได้ตอบอะไรเสียงของใต้เท้าเหยียนก็ดังแทรกขึ้นมาก่อน

"จะเปลี่ยนเป็นอะไรข้าก็ไม่สน! แต่อย่าใช้แซ่เหยียนอีก!" ใต้เท้าเหยียนสะบัดชายแขนเสื้อแล้วเดินกลับเข้าเรือนไป

ท่ามกลางฝนที่โปรยลงมา สายตาทุกคู่มองร่างบอบบางที่เปื้อนเลือดและโคลนอย่างเย้ยหยัน…

ไม่มีใครรู้เลยว่า...เด็กสาวที่ถูกผลักไสออกจากตระกูลในวันนี้ จะกลายเป็นคนที่พวกเขาต้องคุกเข่าขอร้องในวันหน้า...

อนุฉินผู้เป็นมารดา ยังคงประคองลูกสาวอย่างเงียบงัน นางกล้ำกลืนหยาดน้ำตาไว้ในอก มือที่สั่นระริกยังพยายามซับเลือดบนแผ่นหลังของบุตรสาวเบา ๆ ด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนบาง ข้างกายมีหยวนอีและเสี่ยวซือคอยช่วยเหลือด้วยดวงตาแดงก่ำ

เมื่อรอจนทุกคนลับสายตา อนุฉินก็เงยหน้าขึ้นมองพ่อบ้านเหอที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ด้วยสายตาอ้อนวอน

"พ่อบ้านเหอ…คิดว่าท่านคงรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือใคร ข้าขอร้องท่าน ช่วยจัดการเอกสารการย้ายถิ่นฐานของซีเอ๋อร์ด้วยเถอะเจ้าค่ะ นางไม่มีที่ไปอีกแล้ว"

พ่อบ้านเหอแม้จะเป็นข้ารับใช้แต่ก็อยู่กับสกุลเหยียนมายาวนาน ผ่านร้อนผ่านหนาวกับท่านผู้เฒ่า พอเห็นอนุฉินเอ่ยเช่นนั้นก็เงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะถอนหายใจยาว

"คุณหนูสามเดิมทีเป็นเด็กดี เพียงแต่สวรรค์ไร้เมตตา"

เขาพึมพำเบา ๆ แล้วหันไปมองรอยแผลบนแผ่นหลังของเมิ่งซีที่ถูกนายท่านเหยียนใช้แส้ฟาดลงเต็มแรง สีหน้าเคร่งขรึมของเขาสะท้อนความรู้สึกที่ไม่อาจกล่าวออก

"..."

"ข้าจะจัดการให้ แม้จะไม่อาจเอ่ยปากค้านนายท่านได้ แต่ข้าก็ยังมีสิทธิ์จัดการสำมะโนครัว เรื่องเอกสารการย้ายถิ่นฐานท่านก็ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะจัดการให้ทั้งหมด"

"ขอบคุณพ่อบ้านเหอ"

"แต่อย่าได้บอกผู้ใดว่าเป็นข้าเป็นคนจัดการ ข้าแก่แล้ว ไม่อยากตายโดยไร้หลุมฝังศพ"

"เจ้าค่ะ ข้ารับปาก"

ความหมายของคำว่า ก่อนฟ้าสางเรือนหนึ่ง

🔹 "เรือนหนึ่ง"

“เรือน” ในที่นี้คือ หน่วยเวลาแบบจีนโบราณ

1 วันมี 12 ยาม → 1 ยาม = 2 ชั่วโมง

ดังนั้น “เรือนหนึ่ง” ก็คือ ช่วงเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง

เมื่อใช้ว่า “ก่อนฟ้าสางเรือนหนึ่ง” แปลว่า:

❝ก่อนถึงเวลาฟ้าสางประมาณ 1 ยาม หรือ 2 ชั่วโมง❞

→ อาจเท่ากับช่วง ตี 3 - ตี 5

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • เคียงพยัคฆ์บุพเพรักข้ามภพ   บทที่ 167

    ยามเซิน (15.00-17.00 น.) แสงแดดสีทองอ่อน ๆ สาดส่องไปยังลานฝึกซ้อมในพระราชวังที่ถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงามและโอ่อ่า เมิ่งซีในชุดฝึกรัดกุมกำลังประมือกับสามีอย่างจริงจัง ร่างกายของนางสูงเพียงไหล่ของเขาเท่านั้น ทำให้นางต้องใช้ความรวดเร็วและความคล่องแคล่วในการเคลื่อนไหวเข้าสู้ ด้วยท่วงท่าที่คล้ายกับศิลปะก

  • เคียงพยัคฆ์บุพเพรักข้ามภพ   บทที่ 166

    ห้องทรงงานที่อบอุ่นแสงอาทิตย์ยามบ่ายสาดส่องเข้ามาภายในห้องทรงงานอันกว้างขวางขององค์ฮ่องเต้ จ้าวอวี้กำลังนั่งอยู่บนแท่นบรรทมที่ถูกดัดแปลงให้เป็นโต๊ะทรงงานขนาดใหญ่ ภายในห้องเต็มไปด้วยกองฎีกาและตำราโบราณมากมาย แต่บรรยากาศกลับไม่ได้ดูตึงเครียดเลยแม้แต่น้อยจ้าวอวี้หันไปมองลูกชายคนโต องค์รัชทายาทอวิ๋นเจ

  • เคียงพยัคฆ์บุพเพรักข้ามภพ   บทที่ 165

    5 ปีต่อมาตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา แคว้นเว่ยได้ฟื้นคืนจากเถ้าธุลีและผงาดขึ้นใหม่อีกครั้ง ภายใต้การปกครองของราชวงศ์จ้าว การขึ้นครองราชย์ของจ้าวอวี้และเมิ่งซีในฐานะฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ใหม่ ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากราษฎรทุกหมู่เหล่า พวกเขาทั้งสองไม่ได้เป็นเพียงผู้ปกครอง แต่ยังเป็นผู้ที่นำพาคว

  • เคียงพยัคฆ์บุพเพรักข้ามภพ   บทที่ 164

    เมิ่งซีหันไปมองสามีของนางด้วยสายตาแห่งความพึงพอใจ"ยังเป็นท่านพี่ที่รู้ใจข้าที่สุด... เอาเป็นว่าข้าจะไม่ทำให้ท่านพี่ผิดหวังเจ้าค่ะ"ในใจของเมิ่งซีรู้สึกดีใจจนอยากจะโห่ร้องออกมา เพราะคนเหล่านั้นที่ถูกจัดการไป ย่อมมีทรัพย์สินมากมายที่ได้จากการโกงกินแอบซ่อนไว้ที่จวน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะฉลาดมากน้อยแค่ไหน

  • เคียงพยัคฆ์บุพเพรักข้ามภพ   บทที่ 163

    แสงแดดยามบ่ายคล้อยเริ่มอ่อนแรงลง ทอดเงาต้นไม้ให้ยาวขึ้นไปตามพื้นดิน ไท่ซ่างหวงโฮ่วในชุดผ้าฝ้ายธรรมดาเดินเก็บผักอยู่ในสวนอย่างสบายใจ มือของนางค่อย ๆ เด็ดใบผักใส่ตะกร้าอย่างเบามือ สายตาก็ทอดมองไปยังธรรมชาติรอบ ๆ ที่เต็มไปด้วยความสงบเงียบและอุดมสมบูรณ์ นางรู้สึกเหมือนได้กลับคืนสู่รากเหง้าของตนเองอีกครั

  • เคียงพยัคฆ์บุพเพรักข้ามภพ   บทที่ 162

    หลายวันต่อมารถม้าของเหวินลั่วและเสี่ยวซือเคลื่อนตัวเข้ามาในหมู่บ้านเถียนสุ่ย อนุฉินกับทุกคนที่อยู่ในรถม้าต่างก็ชะเง้อคอมองออกไปรอบ ๆ ด้วยความตื่นตาตื่นใจ ภาพเบื้องหน้าคือหมู่บ้านที่ดูสงบและอุดมสมบูรณ์อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มีบ้านเรือนและอาคารพักคนงานตั้งเรียงรายอยู่หลายแห่ง พื้นที่ในแปลงนาเต็มไป

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status