หลังจบบทสนทนาทิพากรก็รีบบอกคุณลุงคนขับแท็กซี่ทันทีว่าขอเปลี่ยนจุดหมายปลายทางใหม่ แม้ว่าคุณลุงจะพยายามหาเส้นทางซอกแซกเพื่อให้ไปถึงจุดหมายปลายทางเร็วขึ้นตามที่ทิพากรบอกไว้ แต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางเท่าไหร่นัก
สุดท้ายกว่าที่ทิพากรจะมาถึงบริษัทของอติกานต์ก็ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง ความจริงแล้วนี่คือวันหยุดของเขา และวันเริ่มทำงานที่ถูกระบุไว้ในสัญญาคือวันจันทร์ที่จะถึงนี้ การที่เขาเข้ามาดูระบบให้วันนี้อาจนับว่าเป็นน้ำใจมากกว่าหน้าที่
ปกติแล้วถ้าเป็นลูกค้ารายอื่นของบริษัทที่เขาเคยเข้าไปช่วยทำระบบหลังบ้านให้ เขาคงปฏิเสธการเข้ามา หากผู้ติดต่อไม่ได้ติดต่อผ่านบริษัทต้นสังกัดของเขา การรับงานโดยตรงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก ยิ่งตำแหน่งลูกจ้างสัญญารายปีแบบเขายิ่งไม่สมควรเท่าไหร่
แต่อาจจะเพราะครั้งนี้อีกฝ่ายเป็น...อติกานต์
ผู้ที่เขาไม่ควรหวังแม้แต่การขอโอกาส แต่ใจมันกลับตอบสนองรวดเร็วเสมอหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเจ้าของชื่อนั้น
เนื่องจากเป็นวันหยุดซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ที่อยู่ในอาคารนี้ต่างก็หยุดเหมือนกันทำให้อาคารสูงที่เคยคับคั่งไปด้วยพนักงานออฟฟิศดูเงียบจนผิดหูผิดตา ทิพากรกดลิฟต์ไปยังชั้นที่ 33 ตามที่อติกานต์บอกไว้ ชั้นนี้ไม่ต่างจากชั้น 32 ที่ทิพากรเคยเข้ามาฟังรายละเอียดงานเมื่อหลายวันก่อน เพียงแต่โต๊ะทำงานน้อยกว่าชั้นล่างมาก
ยืนงงอยู่หน้าลิฟต์ได้ไม่นาน เจ้าของสายเรียกเข้าก็เดินออกมาจากห้องกระจกติดฟิล์มทึบห้องหนึ่งก่อนจะเดินเข้ามาใกล้เขาขึ้นเรื่อย ๆ
“ขอโทษที่รบกวนวันหยุด ว่าแต่คุณทิว่างจริง ๆ ใช่ไหม”
“ครับ?”
“ไม่มีอะไร ผมแค่เห็นว่าคุณใส่ชุด...ค่อนข้างทางการ เลยคิดว่าคุณอาจจะติดธุระอะไรอยู่หรือเปล่า”
“เอ่อ...พอดีธุระผมเสร็จแล้วครับ” ทิพากรยิ้มเจื่อน เขาไม่รู้ว่าจะตอบคำถามนั้นไปอย่างไรดี จึงเลือกที่จะตอบตามความจริงออกไปบางส่วน ทิพากรก้มมองตัวเองตามสายตาของอติกานต์ที่ค่อย ๆ มองสำรวจตัวของเขา
นั่นสินะ วันหยุดแบบนี้ใครเขาจะใส่สูทเต็มยศแบบเขาบ้าง แถมยังเป็นแบรนด์เนมทั้งตัวเสียด้วย
จะว่าไปแล้ว...ก็คงจะมีคนหนึ่งที่เขานึกออก
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็ใส่ชุดทางการเหมือนกันไม่ใช่หรือไง
ทิพากรมองสำรวจคนตัวสูงตรงหน้ากลับเช่นกัน แม้จะไม่มีเสื้อสูทสวมทับแบบเขา แต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าคุณกานต์คงถอดแขวนไว้ในห้องทำงานหรือไม่ก็พาดไว้บนพนักเก้าอี้ตัวไหนสักตัว
ว่าแต่...การที่สีกางเกง และเสื้อเชิ้ตที่ถอดแบบมาเหมือนกันเป๊ะ ๆ แบบนี้คงเป็นเรื่องบังเอิญใช่ไหมนะ
“ดีใจที่ได้ยินคำว่า เสร็จ ธุระจากคุณนะ ผมโชคดีจริง ๆ ที่โทรไปถูกจังหวะ”
“ค...ครับ”
“มาเถอะครับ ผมไม่อยากกวนวันหยุดคุณทินานนัก”
ทิพากรเดินตามเจ้าของบริษัทและพนักงานเพียงคนเดียวของชั้น 33 ที่เขาเห็นตอนนี้เข้าไปยังห้องที่อติกานต์เพิ่งออกมา กลางห้องทำงานมีโต๊ะตัวใหญ่หนึ่งตัวซึ่งบนนั้นมีจอคอมพิวเตอร์โค้งสามจอต่อกันอย่างสวยงามเป็นระเบียบ ริมผนังด้านหนึ่งเต็มไปด้วยตู้เก็บกล่องสัญญาณมากมายที่มีสายระโยงระยางไปมาจนอาจจะทำให้คนมองเวียนหัว หากแต่ไม่ใช่กับโปรแกรมเมอร์ที่จบมาด้วยคะแนนสูงสุดอย่างทิพากร
“อย่างที่คุณทิรู้ ว่าผมจ้างบริษัทของคุณทิมาดูแลเรื่องโปรเจกต์ที่จะปรับที่นี่ให้ไป Hybrid Working (รูปแบบการทำงานที่พนักงานสามารถเลือกทำงานได้จากที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น ออฟฟิศ บ้าน หรือที่อื่นๆ) ตอนนี้ที่ยังไม่ได้เริ่มรันโปรเจกต์ทางผมมีทีมที่เริ่มทดลองทำงานจากที่อื่นบ้างแล้ว ชั้นนี้เลยเห็นโต๊ะทำงานโล่งหน่อย”
ทิพากรเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งแสดงตัวเลขและโคดรหัสยุ่งเหยิงเต็มไปหมด ข้างกันมีอติกานต์ที่อธิบายเรื่องต่าง ๆ ให้เขาฟังด้วยน้ำเสียงนิ่ง
“ความจริงวันนี้ทีมนั้นต้องดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลที่ออฟฟิศไปใช้ทำงานสำคัญต่อ แต่ไม่รู้เกิดปัญหาอะไรระบบถึงดึงข้อมูลไปใช้ไม่ได้ ผมอยู่ใกล้ที่สุดเลยแวะเข้ามาดูให้ก่อน แต่ก็...อย่างที่คุณเห็น ผมไปต่อไม่ได้แล้ว และผมก็นึกถึงคุณขึ้นมา”
“เดี๋ยวทิดูให้ครับ”
ทิพากรรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย ซึ่งพานให้ทำตัวไม่ถูกจึงได้เผลอหลุดแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นออกไป ราวกับว่าเขาและอติกานต์ย้อนเวลากลับไปยังตอนที่เขาทั้งคู่ยังออกเดตกันอยู่
“ขอบคุณครับ”
เสียงทุ้มพร้อมลมปากแผ่วผิวเฉียดอยู่ที่ใกล้ใบหู ทิพากรจึงรีบเลื่อนเก้าอี้บุนวมออกมาและนั่งลงจัดการตัวเลขและตัวอักษรยุ่งเหยิงบนหน้าจอทันทีโดยไม่หันกลับไปมองคนตัวสูงข้างกายอีก
หลังจากนั้นทิพากรก็ไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว เขาหูดับไปตั้งแต่อติกานต์เท้าแขนลงบนโต๊ะข้างตัวเขา ใบหน้าหล่อเนี้ยบโน้มลงมามองหน้าจอที่เขากำลังแก้ไขปัญหาอย่างสนใจ แต่ระยะห่างเพียงน้อยนิดหลังจากห่างหายกันไปหลายเดือนนั้น ทำให้สมาธิของโปรแกรมเมอร์หนุ่มแทบรวบรวมเอาไว้เป็นกลุ่มก้อนไม่ได้ จนพิมพ์โคดผิดไปหลายครั้ง
ไม่นานอติกานต์ก็ถอยออกไปนั่งอ่านเอกสารรอเขาอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวเล็กอีกตัวในห้อง ทิพากรพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก แม้จะรู้ดีว่าอติกานต์พอจะมีความรู้ความเข้าใจเรื่องโปรแกรมและโคดรหัสอยู่บ้าง แต่คงดีกว่าที่อีกฝ่ายแยกออกไปทำเรื่องที่มีความชำนาญ มากกว่าจะมาสนใจหน้าจอเดียวกับเขา
ไม่อย่างนั้น...ให้นั่งแก้ทั้งวันก็คงไม่เสร็จแน่
หนุ่มไอทีหลุดหายเข้าไปยังโลกของโคดรหัส เสียงรอบตัวเงียบหายไปจากโสตประสาทของเขาเสมอยามที่เขาตั้งใจทำอะไรสักอย่าง จนเมื่อมีฝ่ามือหนึ่งวางลงบนบ่าบีบเบา ๆ ทิพากรถึงได้หลุดออกมายังเวลาปัจจุบันอีกครั้ง
“ไม่เสร็จก็พอเถอะ เย็นมากแล้ว”
“แต่พี่กานต์ต้องใช้ด่วนไม่ใช่เหรอครับ” ทิพากรกะพริบตาถี่หลังจากนั่งมองหน้าจอมานาน เขาเพิ่งรู้สึกแสบ ๆ เคือง ๆ ตาก็ตอนที่ละสายตาออกจากหน้าจอนี่เอง
“อย่าขยี้ตาแบบนั้น”
เสียงของอติกานต์เอ่ยขึ้นก่อนที่มือของทิพากรจะถูกดึงออกจากดวงตาคู่กลม ปลายคางของทิพากรถูกเชยขึ้นมองคนที่ยืนเหนือกว่า ราวกับถูกสะกดอีกครั้งคนบนเก้าอี้นวมนั่งนิ่งไม่ขัดขืนหรือเอ่ยถามอะไร ทิพากรสบมองนัยน์ตาคมดำสนิทก่อนที่การมองเห็นจะพร่าเลือนไปจากน้ำตาเทียมที่ถูกหยดลงมาให้อย่างเบามือ
เมื่อดวงตาแห้งแสบได้รับการปลอบประโลมเรียบร้อยแล้วทิพากรถึงได้ยอมละมือออกจากงานด่วนนอกวันทำการตามที่นายจ้างของเขาในตอนนี้บอก
“ช่วยไม่ได้นี่ พนักงานไอทีของผมเขาไปต่างจังหวัดพอดี อันที่จริงแค่คุณทิเข้ามาดูให้ในวันหยุดแบบนี้ ก็นับว่าผมเสียมารยาทและรบกวนมากพอแล้ว แต่ไม่ต้องห่วงนะ ผมไม่ใช้งานใครฟรี ค่าแรงของคุณทิในวันนี้ผมจะบวกเข้าไปด้วยในตอนจบโปรเจกต์”
“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่...เอ่อ คุณกานต์ อันที่จริงถ้านับเวลาแล้ว ผมเข้ามาดูให้แค่ครึ่งวันเท่านั้น อีกอย่างผมว่ามันก็นับเป็นบริการอย่างหนึ่งตามในสัญญาที่คุณกานต์จ้างทีมไอทีของบริษัทผมด้วย”
“ถ้าคุณทิคิดแบบนั้น ผมขอเลี้ยงข้าวสักมื้อแล้วกันนะครับ กินเสร็จผมจะไปส่ง”
อติกานต์ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเดินนำทิพากรออกไปจากห้องเซิร์ฟเวอร์ ทิพากรเดินตามไปเงียบ ๆ จนกระทั่งเขาและอติกานต์มาถึงร้านอาหารร้านหนึ่งซึ่งทิพากรจำได้ว่าอติกานต์เคยพาเขามากินที่นี่แล้วอย่างน้อยก็หนึ่งครั้งในตอนที่รู้จักกันใหม่ ๆ
อาหารถูกสั่งด้วยเจ้ามือของมื้อนี้ ทิพากรไม่ต้องทำอะไรเลย เขาเพียงนั่งรอเฉย ๆ ไม่นานอาหารสามสี่อย่างก็ถูกนำมาวางไว้ตรงหน้า หากไม่เข้าข้างตัวเองมากไป ทิพากรคิดว่าคนที่ปั้นหน้านิ่งอยู่ตรงข้ามเขาอาจจะยังจำเมนูโปรดของเขาได้ เมื่อพิจารณาจากอาหารบนโต๊ะตอนนี้
ไม่มีหัวข้อสนทนามากมายนัก เขาต่างคนต่างกินอาหารกันไปเงียบ ๆ พอกินเสร็จทิพากรก็เอ่ยปฏิเสธความหวังดีของอติกานต์ไป เมื่ออีกฝ่ายอาสาจะขับรถไปส่ง เขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองนักว่าทำไมถึงยังอยากปิดที่อยู่ของตัวเองไว้ไม่ให้อติกานต์รู้ แต่ถึงจะปัดความหวังดีไปอติกานต์ก็ไม่มีท่าทีไม่พอใจอะไรเขา อีกฝ่ายเพียงยืนเป็นเพื่อนจนพนักงานร้านเรียกแท็กซี่มาให้เขาได้คันหนึ่ง
ทิพากรเข้าไปนั่งที่เบาะหลังโดยมีอติกานต์ปิดประตูรถให้ ก่อนที่รถจะเคลื่อนออกไป อีกฝ่ายก็ทิ้งระเบิดลงใส่ใจของเขาอีกครั้งด้วยประโยคธรรมดาประโยคหนึ่งเท่านั้น
“คุณใส่ชุดนี้แล้วดูดีนะ ดูเหมือนว่า...รสนิยมเราจะคล้ายกันนะครับ”
หลังจบบทสนทนาทิพากรก็รีบบอกคุณลุงคนขับแท็กซี่ทันทีว่าขอเปลี่ยนจุดหมายปลายทางใหม่ แม้ว่าคุณลุงจะพยายามหาเส้นทางซอกแซกเพื่อให้ไปถึงจุดหมายปลายทางเร็วขึ้นตามที่ทิพากรบอกไว้ แต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางเท่าไหร่นักสุดท้ายกว่าที่ทิพากรจะมาถึงบริษัทของอติกานต์ก็ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง ความจริงแล้วนี่คือวันหยุดของเขา และวันเริ่มทำงานที่ถูกระบุไว้ในสัญญาคือวันจันทร์ที่จะถึงนี้ การที่เขาเข้ามาดูระบบให้วันนี้อาจนับว่าเป็นน้ำใจมากกว่าหน้าที่ปกติแล้วถ้าเป็นลูกค้ารายอื่นของบริษัทที่เขาเคยเข้าไปช่วยทำระบบหลังบ้านให้ เขาคงปฏิเสธการเข้ามา หากผู้ติดต่อไม่ได้ติดต่อผ่านบริษัทต้นสังกัดของเขา การรับงานโดยตรงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก ยิ่งตำแหน่งลูกจ้างสัญญารายปีแบบเขายิ่งไม่สมควรเท่าไหร่แต่อาจจะเพราะครั้งนี้อีกฝ่ายเป็น...อติกานต์ผู้ที่เขาไม่ควรหวังแม้แต่การขอโอกาส แต่ใจมันกลับตอบสนองรวดเร็วเสมอหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเจ้าของชื่อนั้นเนื่องจากเป็นวันหยุดซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ที่อยู่ในอาคารนี้ต่างก็หยุดเหมือนกันทำให้อาคารสูงที่เคยคับคั่งไปด้วยพนักงานออฟฟิศด
ทิพากรตื่นขึ้นมากลางเตียงนุ่มหลังใหญ่ แสงแดดยามเช้าลอดผ่านรอยแยกของผ้าม่านสูงตั้งแต่พื้นจรดเพดาน ความสว่างพาดทาบทับเปลือกตาของทิพากรพอดีจนต้องยกมือขึ้นมาปิดไว้ หลังจากปรับสายตาได้แล้ว ทิพากรก็รับรู้ถึงความปวดร้าวไปทั่วทั้งร่าง และอาการเมาค้างที่ยังหลงเหลืออยู่นิดหน่อยเมื่อมองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าตัวเองนอนอยู่กลางเตียงหลังใหญ่ซึ่งมีผ้าห่มนุ่มคลุมร่างกึ่งเปลือยไว้ให้อย่างดี ฟูกและผ้าปูสะอาดเรียบร้อยราวกับเหตุการณ์เมื่อคืนไม่เคยเกิดขึ้น แต่ทิพากรไม่คิดว่าตัวเองเมาจนเพ้อฝันคิดไปเอง เพราะความรู้สึกปวดร้าวที่ช่วงล่างเป็นหลักฐานยืนยันได้ดีว่า...เรื่องเมื่อคืนเป็นเรื่องจริงเพดานสูงสีเทาล้อมรอบด้วยผนังสีเดียวกัน เหนือศีรษะเขามีไฟหลายดวงที่เพดานซึ่งถูกปรับองศามายังกลางเตียงตรงจุดที่เขานอนอยู่ นั่นคงเป็นต้นกำเนิดแสงสว่างจ้าที่แยงตาเขาเมื่อคืนนี้ ทิพากรมองสำรวจไปโดยรอบก่อนจะยกมือขึ้นนวดขมับสองสามครั้ง แล้วค่อย ๆ ประคองตัวลุกขึ้นจากเตียงนอนนุ่มบนตัวเขาสวมชุดนอนซาตินสายเดี่ยวสีแชมเปญแต่งระบายด้วยลูกไม้สีดำซึ่งมีความยาวเพียงแค่ปกปิดส่วนสงวนของเขาที่ไร้ชั้นในปกป้องเท่านั
“อ้า ขา ออก”เสียงเอ่ยสั่งดังขึ้นอีกครั้งเมื่อทิพากรยังไม่ยอมขยับขาทั้งสองข้างออกจากกัน แต่เดิมแล้วอติกานต์ไม่ใช่คนอ่อนโยนนัก แต่ไม่ใช่ว่าเขาอ่อนโยนไม่เป็น หากแต่เขายังไม่อยากหยิบเอาความอ่อนโยนนั้นมาใช้กับคนเดิมเป็นครั้งที่สอง หลังจากมันถูกปัดตกไปอย่างง่ายดายเสียงเข้มที่เอ่ยสั่งเมื่อสักครู่ก็เพียงพอแล้วที่ทิพากรจะละทิ้งความอายของตัวเองเพื่อทำตามคำบอก ยังไม่ทันได้ขยับขาทิพากรก็ต้องสะดุ้งตกใจอีกครั้ง เมื่อฝ่ามือใหญ่สอดเข้ามาระหว่างหัวเข่าทั้งสองข้างเพราะตกใจจึงเผลอขัดขืนตามสัญชาตญาณ อีกฝ่ายไม่ได้ทำรุนแรงกับเขาเพียงแค่ไล้ฝ่ามือไปตามช่องว่างระหว่างหัวเข่า นิ้วหัวแม่มือกดน้ำหนักลูบวนที่ขอบระบายของปลายถุงน่องซึ่งอยู่เหนือเข่าขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นจึงค่อย ๆ เลื่อนฝ่ามือขึ้นสูงไปที่หว่างขาของคนใต้ร่างอย่างเชื่องช้าและใจเย็นเปี๊ยะสายรัดยางยืดแต่งลายลูกไม้สีขาวเข้ากับลายของถุงน่องถูกนิ้วยาวของชายแปลกหน้าเกี่ยวขึ้นสูง ก่อนที่จะปล่อยสายรัดนั้นดีดลงที่ผิวเนื้ออ่อนที่ต้นขาของทิพากรมันไม่ได้ทำให้เจ็บปวดเลยสักนิด ตรงกันข้าม
ไฝหลังต้นคอไฝใต้สะบักขวาและ...ปานเล็ก ๆ ที่ข้างสะโพกซ้ายอติกานต์ไล่ตรวจข้อสงสัยทีละข้อ เขาไม่ต้องหยิบรูปของ your sun มาดูเพื่อความแน่ใจ เพราะเขาจำรายละเอียดของคนในรูปนั้นได้ทั้งหมด และทุกข้อก็ปรากฏเป็นหลักฐานบนผิวขาวเนียนมัดตัวผู้ต้องสงสัยอย่าง ทิพากร จนไม่อาจหาทางใดมาโต้แย้งกับเขาได้อีกความจริงอติกานต์มั่นใจตั้งแต่เห็นไฝที่ใต้สะบักขวาแล้ว แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะขยันสร้างเรื่องประหลาดใจให้เขาด้วยการสวมถุงน่องสีขาวสะอาดประดับลวดลายลูกไม้ ซึ่งเข้าเซตกับสายรัดต้นขาสีเดียวกันไว้ภายใต้กางเกงสแล็กสีเข้มทรงกระบอกที่แสนธรรมดาติดจะเชยไปเสียหน่อยด้วยซ้ำหึ…เด็กน้องซ่อนรูปอติกานต์หัวเราะในลำคอ อย่างน้อยก็นับเป็นเรื่องดีที่ความจืดชืดของทิพากรปกปิดความเย้ายวนจากสายตาคนทั่วไป เพราะนั่นเท่ากับว่า...เขาตาถึงมากทีเดียว“ใคร?”ทิพากรพยายามรวบรวมสติที่เหลือเพียงน้อยนิดควานหาช่องเสียงของตัวเองจนเจอแล้วเอ่ยถามออกมา“แล้วคุณนัดใครไว้ล่ะ” ประโยคคำถามถูกถามกลับมาแทนคำตอบ&l
เรื่องบังเอิญมักเกิดขึ้นได้เสมอ เพียงแต่อติกานต์ไม่คิดมาก่อนว่าเรื่องบังเอิญจะมาเกิดขึ้นกับเขาบ่อยเหลือเกินในช่วงนี้ โดยเฉพาะเรื่องบังเอิญที่เกี่ยวข้องกับทิพากรหลังจากเด็กของไดจิบอกแบบนั้น อติกานต์ก็เดินไปที่ผนังกระจกของห้องรับรอง สอดส่องสายตาลงไปที่บาร์น้ำมองหาใครสักคนที่เมาพับตามคำบอกเล่า เพียงไม่นานสายตาคมของอติกานต์ก็เห็นชายหนุ่มร่างเล็กคนหนึ่งที่นั่งฟุบไปกับเคาน์เตอร์บาร์ตรงหน้าบาร์เทนเดอร์ที่กำลังเขย่าผสมเครื่องดื่มให้ลูกค้าคนอื่น ๆความคุ้นตาบางอย่างทำให้ใจของอติกานต์กระตุกวูบไปชั่วครู่ ก่อนที่จะเอ่ยบอกเพื่อนสนิทว่าไม่ต้องให้คนลงไปดูให้แล้ว เพราะเขาจะเป็นคนลงไปดูชายหนุ่มคนนั้นด้วยตัวเขาเอง“มีไฝหลังคอเหมือนกันจริงด้วยวะ แล้วนายจะเอาไงต่อ” ไดจิถามขึ้นเมื่อลงมาดูคนเมาพับกับอติกานต์ไม่อยากจะเชื่อว่าโลกมันแคบและเล็กขนาดนี้ ไดจิอยากจะขำออกมาให้กับโชคชะตาของเพื่อนสนิท ทันทีที่อติกานต์โอบไหล่เล็กพลิกตัวคนเมาขึ้นมาจากเคาน์เตอร์ ใบหน้าที่ไดจินิยายว่าเป็นหนุ่มจืดชืดก็ปรากฏต่อหน้าสายตาของเขาทั้งสองหากไม่ติดที่เห็นว่าอติกานต
ห้องรับรองแขกบนชั้นลอยของบาร์หรูแห่งหนึ่ง เป็นพื้นที่ซึ่งถูกสงวนไว้สำหรับแขกระดับสูงของร้านเท่านั้น ภายในถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่เพียงแค่มองก็สามารถรับรู้ได้ทันทีถึงความหรูหราของเฟอร์นิเจอร์และสิ่งของต่าง ๆ ที่ใช้ตกแต่งอยู่ภายในบรรยากาศห้องดูสลัวไม่ชัดเจน มีเพียงแสงสว่างจากโคมไฟทองเหลืองทรงสูงตั้งพื้นที่มุมทั้งสองด้านหน้าห้องกับแสงสว่างจากบาร์ชั้นล่างที่ลอดผ่านผนังกระจกบานใหญ่ติดฟิล์มหนาซึ่งเป็นฟิล์มที่คนด้านนอกห้องรับรองไม่สามารถมองเข้ามาเห็นคนด้านในได้ชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งยังอยู่ในชุดสูทราคาแพงตามปกติที่ผู้คนมักพบเห็นเขาได้ตามนิตยสารหรือสื่อออนไลน์เชิงธุรกิจราวกับเป็นเครื่องแบบประจำตัว มือข้างหนึ่งยกแก้วไวน์ขึ้นจิบไปอึกใหญ่ องุ่นหมักอย่างดีการันตีด้วยราคาที่สูงลิบถูกกลืนลงลำคอใหญ่อย่างรวดเร็วโดยที่คนดื่มไม่คิดจะดื่มด่ำรสชาติชั้นเลิศของมันเลยสักนิดดวงตาคมหลุบต่ำมองลงไปยังชั้นล่างของบาร์หรูร้านประจำที่เขามาแทบทุกอาทิตย์ อติกานต์สูดลมหายใจเข้าลึกมองตามชายหนุ่มผมสีทองสว่างโดดเด่น ชายคนนั้นมีรูปร่างเพรียวบาง ใบหน้าหวานหยด หากแต่มีความสูงเกือบ 190 เตี้ยกว่าเขา