ฮ่องเต้ไท่เสียนใช้เวลากับองค์หญิงใหญ่อีกเล็กน้อยและออกจากตำหนักไปเมื่อถึงเวลาประชุมเช้า พระองค์ยังต้องไปจัดการกับฎีกาอีกหลายฉบับ ไหนจะขุนนางพูดมากนั่นอีก เกิดเป็นโอรสสวรรค์นี่ช่างยากเย็นยิ่ง จะใช้เวลากับบุตรสาวทั้งวันก็มิได้
“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี” เสียงฉะฉานทว่ายังมิเข็มแข็งหนักแน่นอย่างบุรุษโตเต็มวัยดังขึ้นหลังจากที่โอรสสวรรค์ออกมานอกตำหนักขององค์หญิงได้ไม่ไกล สายตาคู่คมกริบทอดมองเจ้าหนูน้อยที่สูงกว่าเจ้าก้อนแป้งของตนไม่มากที่คุกเข่าทำความเคารพก่อนจะส่งสัญญาณให้ลุกขึ้น
“มาหาเจ้าก้อนแป้งสินะ”
“พะย่ะค่ะ” เด็กชายวัยแปดหนาวตอบรับอย่างไม่หลบตา โอรสสวรรค์จ้องมองท่าทีนั้นพลางพยักหน้าอย่างพอพระทัย แม้จะเป็นเพียงเด็กแต่กลับมิได้มีท่าทีเกรงกลัวต่อสิ่งใด ซ้ำท่าทียังองอาจและฉายแววเก่งกล้ามิใช่น้อย บิดาเป็นเช่นไรบุตรก็เป็นเช่นนั้น…ไม่เสียแรงที่เขาให้มาเป็นเพื่อนเล่นอยู่ข้างกายเจ้าก้อนแป้ง
“เจ้าก้อนแป้งเพิ่งหายไข้ ระวังอย่าให้นางต้องลมนาน ๆ ด้วยเล่า”
“กระหม่อมจะระวังพะย่ะค่ะ” ฟู่จื่อเหยียน บุตรชายของฟู่เสวียนหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรผู้ได้รับหน้าที่คอยเป็นเพื่อนเล่นและดูแลองค์หญิงใหญ่ตอบรับเพียงสั้น ๆ ก่อนจะถวายพระพรลาเมื่อบุรุษสูงศักดิ์ในแผ่นดินก้าวจากไป บุรุษใบหน้านิ่งสงบในชุดเครื่องแบบหัวหน้าองครักษ์ก้าวตามไปติด ๆ แต่ก็ไม่ลืมที่จะยื่นมือไปตบไล่ฟู่จื่อเหยียนผู้เป็นบุตรชาย
“อย่าขัดใจองค์หญิงอีกเล่า หากองค์หญิงโกรธจนไม่เล่นกับเจ้าขึ้นมา บิดาก็ช่วยเจ้ามิได้นะ”
“ท่านพ่อวางใจเถิดขอรับ ลูกจะไม่ขัดใจองค์หญิงอย่างแน่นอน”
“เข้าไปเถิด องค์หญิงเองก็คงรอพี่เหยียนอยู่”
“ขอรับ” ทั้งที่บิดาเป็นผู้เอ่ยปากให้เข้าไป ทว่าฟู่จื่อเหยียนก็ยังคงเป็นฝ่ายโค้งหัวส่งผู้เป็นพ่อก่อนจึงเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาขันทีประจำตำหนักเพื่อให้รายงานการมาถึง ดั่งที่เคยทำเป็นประจำ
เพราะบิดาคือองครักษ์คนสนิทตั้งแต่ยังดำรงตำแหน่งรัชทายาท ฮ่องเต้ไท่เสียนจึงให้ความเชื่อใจให้เขามาเล่นกับองค์หญิงพระองค์แรกที่ทรงรักมากกว่าผู้ใดตั้งแต่เล็ก ฟู่จื่อเหยียนจึงคุ้นชินกับตำหนักองค์หญิงเป็นอย่างดี ทันทีที่จวิ้นกงกงขันทีประจำตำหนักได้เห็นคุณชายตระกูลฟู่ก็รีบเข้าไปรายงานด้านในตำหนักในทันทีโดยไม่ต้องสอบถามกันให้มากความ
องค์หญิงของพวกเขาสูญเสียพระมารดาไปไว ผู้ที่นางไว้ใจจึงมีเพียงไม่กี่คน และ ‘พี่เหยียน’ หรือก็คือฟู่จื่อเหยียนก็คือผู้หนึ่งที่นางไว้ใจมากถึงมากที่สุด
องค์หญิงค่อนข้างติดคุณชายจวนหัวหน้าองครักษ์ผู้นี้เป็นอย่างมาก หากองค์หญิงได้ทราบว่า ‘พี่เหยียน’ มาแล้ว จะต้องดีพระทัยจนทุเลาไข้เป็นแน่
ด้านผู้ที่จวิ้นกงกงคิดว่าจะดีพระทัยกลับนั่งร้อยเรียงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นด้วยความเคร่งเครียด มิใช่เพราะจดจำมิได้ แต่เป็นเพราะเหตุที่จะเกิดขึ้นนั้นนางมิรู้ว่าจะต้องเริ่มจากเรื่องใดก่อนดี...มันมีหลากหลายเรื่องเสียเหลือเกิน
“กราบทูลองค์หญิง คุณชายฟู่มาเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”
“คุณชายฟู่...พี่เหยียน?” ราวกับคำรายงานของขันทีประจำตำหนักเป็นดั่งคำตอบฟ้าประทาน เฉินอันหนิงคิดได้ในทันทีว่าเรื่องใดเป็นสิ่งที่นางควรจะคิดอ่านและแก้ไขเป็นเรื่องแรก...เรื่องของผู้มาเข้าเฝ้านี่อย่างไรเล่า
“อยู่ที่ใด พี่เหยียนอยู่ที่ใด ข้าจะไปหาพี่เหยียน”
“เอ่อ ด้านนอกพะ...องค์หญิง ยังมิได้เปลี่ยนฉลองพระองค์เลยนะพะย่ะค่ะ องค์หญิง”
จวิ้นกงกงร้องตามอย่างร้อนใจทว่าองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเฉินมิได้นำพากับเสียงของขันทีผู้ดูแลตำหนัก นางออกแรงวิ่งเต็มแรงมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเด็กชายในอาภรณ์หรูหราทว่าคล่องตัว เพียงได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยน้ำตาก็พาลจะไหลออกมาด้วยความรู้สึกคะนึงหา ฟู่จื่อเหยียนที่เป็นสามีในชาติที่แล้วคือคนสารเลวมาสวมรอย หากแต่ฟู่จื่อเหยียนที่อยู่ตรงหน้านางนี้คือฟู่จื่อเหยียนตัวจริง
คนผู้นี้คือพี่เหยียนของนาง...
องค์หญิงน้อยพุ่งเข้าไปกอดฟู่จื่อเหยียนในทันทีด้วยความดีพระทัย ราวกับตอนนี้นางเป็นเด็กเล็กไปแล้วจริง ๆ ที่ยินดีกับการพบเจอกับเพื่อนเล่น
พี่เหยียนคือผู้ที่นางอยากปกป้องไว้ไม่แพ้เสด็จพ่อและพี่น้อง ในชาตินี้นางก็ปรารถนาให้เขาปลอดภัย
“พี่เหยียน หนิงเอ๋อร์คิดถึงท่านเหลือเกิน”
“องค์หญิง...กระหม่อมมิได้มาเข้าเฝ้าเพียงสามวันเท่านั้น ใยคล้ายกระหม่อมมิได้มาเฝ้าเป็นแรมปีเช่นนี้เล่า”
“เพราะ...” อยากจะบอกไปเหลือเกินว่าเพราะมิได้พบกันนานจริง ๆ ทว่าคิดได้เสียก่อนว่าคำพูดไม่น่าเชื่อถือเช่นนั้นคนตรงหน้าก็คงคิดว่านางเพ้อเพราะพิษไข้ไปเท่านั้น องค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเฉินนิ่งไปเพียงครู่ก่อนจะตอบออกไปด้วยคำตอบที่สมเหตุสมผลมากที่สุด “เพราะป่วยไข้ครั้งนี้ หนิงเอ๋อร์คล้ายได้ไปยืนตรงหน้ายายเมิ่ง หนิงเอ๋อร์จึงดีใจที่ได้พบท่านอีกครั้ง พี่เหยียนไม่ยินดีหรือที่หนิงเอ๋อร์ ไม่เป็นอันใดแล้ว”
“ยินดีสิพะย่ะค่ะ กระหม่อมย่อมยินดีที่องค์หญิงหายประชวรและทรงปลอดภัยดี”
“หนิงเอ๋อร์ก็ยินดีที่พี่เหยียนปลอดภัย” คำพูดนั้นมิใช่นางประจบ แต่นางยินดีจริง ๆ ที่ได้เจอพี่เหยียนของนางอีกครั้ง และยินดีที่เขายังปลอดภัยดี และปรารถนาให้ปลอดภัยตลอดไป
ฟู่จื่อเหยียนมิได้เข้าใจในทิศทางเดียวกัน เขาเข้าใจเพียงว่านางเลียนแบบคำพูดของเขาเท่านั้น นายน้อยสกุลฟู่ที่โตกว่าองค์หญิงเจ้าของตำหนักเพียงไม่เท่าไหร่ส่งยิ้มอ่อนโยนให้พร้อมกับกล่าวในสิ่งที่เขาควรจะกล่าว “เช่นนั้น...องค์หญิงต้องรีบไปสวมใส่ฉลองพระองค์หนา ๆ แล้วพะย่ะค่ะ จะได้มิป่วยไข้อีก เราจะได้พบเจอกันทุกวันได้อย่างไรเล่า”
“อื้อ หนิงเอ๋อร์จะไปใส่เดี๋ยวนี้” องค์หญิงตัวน้อยตอบรับก่อนจะกลับเข้าไปในตำหนัก ทว่าไม่ลืมที่จะจูงมือของคุณชายใหญ่ตระกูลฟู่เข้าไปด้วย นางพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะเสแสร้งไร้เดียงสาต่อหน้าเขา มิอยากแสดงท่าทีเศร้าใจให้ได้เห็น
พบเจอทุกวัน...หากเป็นเช่นนั้นได้ก็ย่อมดีน่ะสิ
หากว่านางสามารถมองเห็นทุกการเติบโตไปเป็นบุรุษผู้องอาจของพี่เหยียนได้ก็คงเป็นสิ่งที่ดียิ่ง
แต่โชคชะตาในชาติก่อนช่างเลวร้าย ตระกูลฟู่ใกล้ชิดโอรสสวรรค์มากเกินไป และมีน้ำหนักในพระทัยฮ่องเต้เกินหน้าเกินตาผู้คน ในวังวนการแย่งชิงจึงมีผู้คนไม่น้อยชิงชังและปรารถนาให้ตระกูลฟู่ล่มสลายไป
ชะตากรรมของฟู่จื่อเหยียนจึงต้องบ้านแตกสาแหรกขาด บิดาถูกกล่าวหาเป็นกบฏ มารดาและน้องในครรภ์รวมถึงบ่าวรับใช้ก็ถูกกวาดล้างมิเหลือซาก ตัวเขาเองก็ต้องระหกระเหินออกจากแคว้นไปโดยมิมีผู้ใดรับรู้ว่าเป็นตายร้ายดี ตั้งแต่อายุไม่กี่หนาว...และชะตากรรมนั้นก็ใกล้เข้ามาแล้ว
เวลานี้นางจะมีกำลังใดไปหยุดยั้งเรื่องเหล่านั้นเล่า
หกเดือนต่อมา...ในที่สุดงานมงคลของกู้หลุนอันหนิงกงจู่อันเป็นที่รักของผู้คนและราชวงศ์ก็เกิดขึ้น ฟู่จื่อเหยียนในชุดสีแดงปักเย็บอย่างดีขี่ม้าคู่ใจนำหน้าแห่ขบวนเจ้าสาวอันยาวเหยียดด้วยสีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มกว่าจะมีวันนี้ มิใช่ง่าย ๆ เลย แม้ว่าบิดาของเขาจะใช้หลายคำพูดทำให้ฮ่องเต้ไท่เสียนยินยอมให้เขาและบุตรสาวอันเป็นที่รักออกเรือนได้แต่เหล่าอ๋องมิใช่จะยินยอมง่าย ๆ แม้จะทำสิ่งใดเขาไม่ได้แต่ก็พยายามขัดขวางอย่างถึงที่สุดกว่าที่จะยินยอมให้พี่สาวได้ออกเรือน ก็ล่วงเลยมาถึงครึ่งปีทีเดียวฟู่จื่อเหยียนในตอนที่กลับมาต้าเฉินในฐานะบุตรชายคนโตของสกุลฟู่มิได้มีตำแหน่งใดนอกจากสถานะคุณชายฟู่ แต่ระยะเวลาหกเดือนจากคุณชายฟู่ก็ได้เปลี่ยนแปลงไป ผู้คนเรียกขานเขาว่าแม่ทัพฟู่ อันเนื่องมาจากแม้เหตุการณ์หลายอย่างจะเปลี่ยนไป แต่แคว้นฉีก็ยังดันทุรังจะตีต้าเฉิน เหล่าอ๋องต้องการยื้อเวลาไม่ให้พี่ใหญ่ของตนได้ออกเรือนเร็วเกินไป จึงเสนอให้เขาออกรบและกำราบแคว้นฉีเสียแม้การทำศึกกับฉีไม่ได้ยากเย็น แต่ก็กินเวลาไปหลายเดือน
เรื่องราวทุกสิ่งจบลงที่การแต่งตั้งหยางอ้ายฉิงเป็นหยางฮองเฮา ก่อนกำหนดพิธีอภิเษกสมรสในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าเรื่องงานอภิเษกเป็นเรื่องภายใน ฮ่องเต้ไท่เสียนแม้เอ็นดูไห่ซุนหลิงดั่งบุตรชายแต่ก็ไม่อาจรั้งอยู่ต่อรอถึงงานอภิเษกได้ ครั่นจะเดินทางกลับก่อนแล้วค่อยมาก็ไม่ทันอย่างแน่นอน จึงได้แต่ตัดใจ ไม่รั้งอยู่กำหนดเดินทางกลับต้าเฉินจึงเป็นเช้าวันรุ่งขึ้น หลังเสร็จการประชุมฮ่องเต้และฮองเฮาบอกลาคนเป็นดุจบุตรชายและขอตัวกลับตำหนักรับรองไปแล้ว เหลือเพียงเฉินอันหนิงและจิวหูที่ยังอยู่รับน้ำชากับฮ่องเต้ซุนหลิงและว่าที่ฮองเฮา วันนี้เองที่เฉินอันหนิงได้พูดคุยกับหยางอ้ายฉิงอีกครั้ง ทั้งคู่เข้ากันได้ดีเมื่อได้พูดคุยขอโทษขอโพยที่ต่างล่วงเกินกันในวันแรกที่เจอก่อนที่เฉินอันหนิงจะกล่าวขออภัยที่ไม่อาจอยู่ร่วมงานอภิเษกได้“ขออภัยพี่ใหญ่จิว และคุณหนูหยาง ที่มิอาจอยู่ร่วมงานอภิเษกได้”“อย่าได้คิดมาก ข้ามิใช่คนคิดเล็กคิดน้อย” จิวหลิงพูดแล้วก็ยกยิ้มและเอายคล้ายจะแกล้งเย้า “แต่งานของเจ้ากับเขา ช่วยเผื่อเวลาให้
“เห็นได้ชัดว่าท่านยังโง่งมอยู่ ท่านจะป้อนยาล้ำค่าที่มีเพียงหกเม็ดให้พี่ใหญ่ได้อย่างไรกัน นั่นคือของสำคัญของท่านนะ” เป็นเฉินไป๋เสวี่ยที่มาห้ามเอาไว้ ในขณะที่สถานการณ์รอบข้างคลี่คลายลงได้แล้วด้วยฝีมือของหานอ๋องและเหล่าองครักษ์ร่วมมือกับคนของพรรคเมฆาสุริยันต์เฉินไป๋เสวี่ยส่ายหน้าพร้อมกับกำข้อมือของผู้เป็นศิษย์สำนักเดียวกันเอาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยให้จิวหูได้ทำตามใจ เขาเป็นศิษย์หมอเทวดาย่อมรู้ว่ายาลูกกลอนในมือของอีกฝ่ายนั้นเป็นยาล้ำค่าที่สามารถรักษาคนที่อาการสาหัสให้ฟื้นคืนได้ ทว่าสิ่งนั้นมีเพียงน้อยนิด หลายปีก่อนเจ้าสำนักโอวหยางเหวินหลงปรุงยาขึ้นมาได้หกเม็ด เก็บเอาไว้เองหนึ่งเม็ดและมอบให้กับลูกศิษย์ทั้งห้าคนละเม็ดและไม่คิดจะปรุงเพิ่มอีก หวังให้ศิษย์ใช้ยานี้เมื่อถึงคราวคับขันแต่คราวคับขันนั้นมิใช่ให้ใช้กับผู้อื่น...คนผู้นี้ไม่รักชีวิตถึงขั้นจะแลกเพื่อพี่สาวของเขาเชียวหรือ หากวันหน้าเป็นอันใดไปจะทำอย่างไรเล่า“ยานี้ไม่สำคัญอันใด ถ้าไม่มีนาง ต่อให้ต้องแลกกับโลกใบนี้เพื่อนาง ข้าก็จะแลก” ไม่มีสิ่งใดม
รถม้าเคลื่อนไปแล้ว แต่ชายหนุ่มยังคงยืนนิ่งอยู่ ไม่ได้เข้าไปภายในตำหนักรับรอง และไม่ได้จากไปที่ใดมิใช่เพราะลังเลอันใดอีก แต่เพราะกำลังขบคิดกับคำของอาจารย์ สิ่งที่อาจารย์ตักเตือนเขาและเหล่าเศิษย์พี่น้องไม่เคยไม่เชื่อ ด้วยว่าอาจารย์ไม่เคยมองสิ่งใดผิดพออาจารย์เอ่ยเช่นนี้ เขาก็ชักสังหรณ์ใจไม่ดีเสียแล้ว“อะ พี่ใหญ่” ไม่ทันจะได้คิดสิ่งใดมากไปกว่านั้นเสียงเรียกจากด้านหลังก็ดังขึ้น“เหยาเหยา” จิวหูส่งเสียงให้น้องสาวที่ส่งเสียงเรียกก่อนจะได้เห็นว่าด้านหลังของฟู่จื่อเหยายังมีเฉินอันหนิง เฉินลี่หลิน และอ๋องทั้งสอง กับฟู่จื่อหมิงและฟู่จื่อหลิงอยู่ด้วย“จะออกไปที่ใดกัน”“หอเมฆาเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ก็ไปด้วยกันนะเจ้าคะเหยาเหยาอยากอยู่กับพี่ใหญ่” ฟู่จื่อเหยามิได้ชักชวนแต่ดึงแขนผู้เป็นพี่ให้เดินตามเหล่าเชื้อพระวงศ์ทั้งสี่ที่เดินนำไปก่อนแล้ว นั่นย่อมหมายถึงนางไม่เปิดโอกาสให้จิวหูได้ปฏิเสธ บุรุษผู้ไม่มีสิ่งใดให้ต้องลังเลอีกก้าวตามไปด้วยโดยไร้คำใดโต้แย้ง
เฉินอันหนิงเป็นฝ่ายก้าวนำบุรุษหน้ากากออกไปด้านนอกก่อนจะนำเขาไปยังสวนด้านหลังซึ่งเงียบสงบ แค่เพียงหยุดเดินบทสนทนาก็เริ่มต้นขึ้นจากฝ่ายของผู้หยั่งรู้ฟ้าดินในทันที“เขายังสบายดีได้ ย่อมเพราะชะตาของท่านยังปลอดภัย”“หมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?”“เจ้าสามจะอยู่รอดปลอดภัยหรือไม่ขึ้นอยู่ที่ชะตาของท่าน”คำบอกเล่าของคนตรงหน้ามิได้แตกต่างจากหนิงอันมากนัก ทว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องรองในใจของนาง เฉินอันอันหนิงมองสบตาคู่คมกริบก่อนจะสอบถามออกไปโดยตรง “ท่านพอจะบอกได้หรือไม่ ว่าเหตุใดข้าจึงได้รับโอกาส”“ต้าเฉินมีมังกรและหงส์เพลิงพิทักษ์อยู่ เรื่องนี้ข้าคงไม่ต้องบอกท่านกระมัง”ตำนานมังกรและหงส์พิทักษ์ต้าเฉิน ผู้คนทั้งต้าเฉินล้วนเคยได้ยิน ยิ่งมีตำนานว่าราชวงค์คือลูกหลานของมังกรและหงผู้พิทักษ์ นางย่อมได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ๆ ในชาติก่อนแล้ว เฉินอันหนิงไม่ได้มีคำถามใด ๆ นางพยักหน้าให้เท่านั้นอีกฝ่ายก็บอกเล่าต่อ “ยามใดที่ต้าเฉินลุกเป็นไ
“เมื่อก่อนข้าคิดว่าฮวาเอ๋อร์จะรักกับฟู่เสวียน แต่นางกลับเลือกหยวนจิ้ง ชะตาของคนเราช่างแปลกนัก” ฮ่องเต้ไท่เสียนที่ผายมือเชิญแขกผู้มาเยือนให้ไปนั่งเอ่ยก่อนจะหัวเราะอย่างขบขันขึ้นมาและพูดต่อถึงโชคชะตาที่เล่นตลก “ส่วนฟู่เสวียน ไปตกหลุมรักบุตรสาวเซียนทวนจนถึงขั้นขโทยบุตรสาวผู้อื่นกลับบ้าน”“ห๊า ท่านพ่อ...ท่านแม่เป็นถึงบุตรสาวเซียนทวนเชียวหรือเจ้าคะ” ฟู่จื่อเหยาแทรกขึ้นก่อนมองบิดาด้วยความสงสัย ทั้งยังหันไปสะกิดพี่สาวบุตรธรรมเพื่อบอกเล่า “พี่หญิง ท่านแม่เป็นบุตรสาวเซียนทวนล่ะ”“บิดาเจ้ายังไม่ได้ตอบเลย” เฉินลี่หลินแทรกขึ้นบ้างแต่สายตาก็บ่งบอกว่าสนใจเรื่องนี้เช่นกันด้วยอายุนาง ในยามเด็กนางย่อมทันฟู่ฮูหยินที่ผู้คนกล่าวว่างดงามเป็นที่ต้องตาของบุรุษ และรับรู้เพียงแค่นั้นมาโดยตลอด...เรื่องที่ว่าฟู่ฮูหยินเป็นบุตรสาวเซียนทวนแห่งสำนักเฟยผิง นั่นย่อมน่าสนใจไม่เพียงแค่เฉินลี่หลินที่สนใจ เฉินอันหนิงเองก็คิดไม่ต่างกันและนั่นทำให้สายตาแทบทุกคู่มองไปยังฟู่เสวี