LOGINฮ่องเต้ไท่เสียนใช้เวลากับองค์หญิงใหญ่อีกเล็กน้อยและออกจากตำหนักไปเมื่อถึงเวลาประชุมเช้า พระองค์ยังต้องไปจัดการกับฎีกาอีกหลายฉบับ ไหนจะขุนนางพูดมากนั่นอีก เกิดเป็นโอรสสวรรค์นี่ช่างยากเย็นยิ่ง จะใช้เวลากับบุตรสาวทั้งวันก็มิได้
“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี” เสียงฉะฉานทว่ายังมิเข็มแข็งหนักแน่นอย่างบุรุษโตเต็มวัยดังขึ้นหลังจากที่โอรสสวรรค์ออกมานอกตำหนักขององค์หญิงได้ไม่ไกล สายตาคู่คมกริบทอดมองเจ้าหนูน้อยที่สูงกว่าเจ้าก้อนแป้งของตนไม่มากที่คุกเข่าทำความเคารพก่อนจะส่งสัญญาณให้ลุกขึ้น
“มาหาเจ้าก้อนแป้งสินะ”
“พะย่ะค่ะ” เด็กชายวัยแปดหนาวตอบรับอย่างไม่หลบตา โอรสสวรรค์จ้องมองท่าทีนั้นพลางพยักหน้าอย่างพอพระทัย แม้จะเป็นเพียงเด็กแต่กลับมิได้มีท่าทีเกรงกลัวต่อสิ่งใด ซ้ำท่าทียังองอาจและฉายแววเก่งกล้ามิใช่น้อย บิดาเป็นเช่นไรบุตรก็เป็นเช่นนั้น…ไม่เสียแรงที่เขาให้มาเป็นเพื่อนเล่นอยู่ข้างกายเจ้าก้อนแป้ง
“เจ้าก้อนแป้งเพิ่งหายไข้ ระวังอย่าให้นางต้องลมนาน ๆ ด้วยเล่า”
“กระหม่อมจะระวังพะย่ะค่ะ” ฟู่จื่อเหยียน บุตรชายของฟู่เสวียนหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรผู้ได้รับหน้าที่คอยเป็นเพื่อนเล่นและดูแลองค์หญิงใหญ่ตอบรับเพียงสั้น ๆ ก่อนจะถวายพระพรลาเมื่อบุรุษสูงศักดิ์ในแผ่นดินก้าวจากไป บุรุษใบหน้านิ่งสงบในชุดเครื่องแบบหัวหน้าองครักษ์ก้าวตามไปติด ๆ แต่ก็ไม่ลืมที่จะยื่นมือไปตบไล่ฟู่จื่อเหยียนผู้เป็นบุตรชาย
“อย่าขัดใจองค์หญิงอีกเล่า หากองค์หญิงโกรธจนไม่เล่นกับเจ้าขึ้นมา บิดาก็ช่วยเจ้ามิได้นะ”
“ท่านพ่อวางใจเถิดขอรับ ลูกจะไม่ขัดใจองค์หญิงอย่างแน่นอน”
“เข้าไปเถิด องค์หญิงเองก็คงรอพี่เหยียนอยู่”
“ขอรับ” ทั้งที่บิดาเป็นผู้เอ่ยปากให้เข้าไป ทว่าฟู่จื่อเหยียนก็ยังคงเป็นฝ่ายโค้งหัวส่งผู้เป็นพ่อก่อนจึงเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาขันทีประจำตำหนักเพื่อให้รายงานการมาถึง ดั่งที่เคยทำเป็นประจำ
เพราะบิดาคือองครักษ์คนสนิทตั้งแต่ยังดำรงตำแหน่งรัชทายาท ฮ่องเต้ไท่เสียนจึงให้ความเชื่อใจให้เขามาเล่นกับองค์หญิงพระองค์แรกที่ทรงรักมากกว่าผู้ใดตั้งแต่เล็ก ฟู่จื่อเหยียนจึงคุ้นชินกับตำหนักองค์หญิงเป็นอย่างดี ทันทีที่จวิ้นกงกงขันทีประจำตำหนักได้เห็นคุณชายตระกูลฟู่ก็รีบเข้าไปรายงานด้านในตำหนักในทันทีโดยไม่ต้องสอบถามกันให้มากความ
องค์หญิงของพวกเขาสูญเสียพระมารดาไปไว ผู้ที่นางไว้ใจจึงมีเพียงไม่กี่คน และ ‘พี่เหยียน’ หรือก็คือฟู่จื่อเหยียนก็คือผู้หนึ่งที่นางไว้ใจมากถึงมากที่สุด
องค์หญิงค่อนข้างติดคุณชายจวนหัวหน้าองครักษ์ผู้นี้เป็นอย่างมาก หากองค์หญิงได้ทราบว่า ‘พี่เหยียน’ มาแล้ว จะต้องดีพระทัยจนทุเลาไข้เป็นแน่
ด้านผู้ที่จวิ้นกงกงคิดว่าจะดีพระทัยกลับนั่งร้อยเรียงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นด้วยความเคร่งเครียด มิใช่เพราะจดจำมิได้ แต่เป็นเพราะเหตุที่จะเกิดขึ้นนั้นนางมิรู้ว่าจะต้องเริ่มจากเรื่องใดก่อนดี...มันมีหลากหลายเรื่องเสียเหลือเกิน
“กราบทูลองค์หญิง คุณชายฟู่มาเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ”
“คุณชายฟู่...พี่เหยียน?” ราวกับคำรายงานของขันทีประจำตำหนักเป็นดั่งคำตอบฟ้าประทาน เฉินอันหนิงคิดได้ในทันทีว่าเรื่องใดเป็นสิ่งที่นางควรจะคิดอ่านและแก้ไขเป็นเรื่องแรก...เรื่องของผู้มาเข้าเฝ้านี่อย่างไรเล่า
“อยู่ที่ใด พี่เหยียนอยู่ที่ใด ข้าจะไปหาพี่เหยียน”
“เอ่อ ด้านนอกพะ...องค์หญิง ยังมิได้เปลี่ยนฉลองพระองค์เลยนะพะย่ะค่ะ องค์หญิง”
จวิ้นกงกงร้องตามอย่างร้อนใจทว่าองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเฉินมิได้นำพากับเสียงของขันทีผู้ดูแลตำหนัก นางออกแรงวิ่งเต็มแรงมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเด็กชายในอาภรณ์หรูหราทว่าคล่องตัว เพียงได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยน้ำตาก็พาลจะไหลออกมาด้วยความรู้สึกคะนึงหา ฟู่จื่อเหยียนที่เป็นสามีในชาติที่แล้วคือคนสารเลวมาสวมรอย หากแต่ฟู่จื่อเหยียนที่อยู่ตรงหน้านางนี้คือฟู่จื่อเหยียนตัวจริง
คนผู้นี้คือพี่เหยียนของนาง...
องค์หญิงน้อยพุ่งเข้าไปกอดฟู่จื่อเหยียนในทันทีด้วยความดีพระทัย ราวกับตอนนี้นางเป็นเด็กเล็กไปแล้วจริง ๆ ที่ยินดีกับการพบเจอกับเพื่อนเล่น
พี่เหยียนคือผู้ที่นางอยากปกป้องไว้ไม่แพ้เสด็จพ่อและพี่น้อง ในชาตินี้นางก็ปรารถนาให้เขาปลอดภัย
“พี่เหยียน หนิงเอ๋อร์คิดถึงท่านเหลือเกิน”
“องค์หญิง...กระหม่อมมิได้มาเข้าเฝ้าเพียงสามวันเท่านั้น ใยคล้ายกระหม่อมมิได้มาเฝ้าเป็นแรมปีเช่นนี้เล่า”
“เพราะ...” อยากจะบอกไปเหลือเกินว่าเพราะมิได้พบกันนานจริง ๆ ทว่าคิดได้เสียก่อนว่าคำพูดไม่น่าเชื่อถือเช่นนั้นคนตรงหน้าก็คงคิดว่านางเพ้อเพราะพิษไข้ไปเท่านั้น องค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเฉินนิ่งไปเพียงครู่ก่อนจะตอบออกไปด้วยคำตอบที่สมเหตุสมผลมากที่สุด “เพราะป่วยไข้ครั้งนี้ หนิงเอ๋อร์คล้ายได้ไปยืนตรงหน้ายายเมิ่ง หนิงเอ๋อร์จึงดีใจที่ได้พบท่านอีกครั้ง พี่เหยียนไม่ยินดีหรือที่หนิงเอ๋อร์ ไม่เป็นอันใดแล้ว”
“ยินดีสิพะย่ะค่ะ กระหม่อมย่อมยินดีที่องค์หญิงหายประชวรและทรงปลอดภัยดี”
“หนิงเอ๋อร์ก็ยินดีที่พี่เหยียนปลอดภัย” คำพูดนั้นมิใช่นางประจบ แต่นางยินดีจริง ๆ ที่ได้เจอพี่เหยียนของนางอีกครั้ง และยินดีที่เขายังปลอดภัยดี และปรารถนาให้ปลอดภัยตลอดไป
ฟู่จื่อเหยียนมิได้เข้าใจในทิศทางเดียวกัน เขาเข้าใจเพียงว่านางเลียนแบบคำพูดของเขาเท่านั้น นายน้อยสกุลฟู่ที่โตกว่าองค์หญิงเจ้าของตำหนักเพียงไม่เท่าไหร่ส่งยิ้มอ่อนโยนให้พร้อมกับกล่าวในสิ่งที่เขาควรจะกล่าว “เช่นนั้น...องค์หญิงต้องรีบไปสวมใส่ฉลองพระองค์หนา ๆ แล้วพะย่ะค่ะ จะได้มิป่วยไข้อีก เราจะได้พบเจอกันทุกวันได้อย่างไรเล่า”
“อื้อ หนิงเอ๋อร์จะไปใส่เดี๋ยวนี้” องค์หญิงตัวน้อยตอบรับก่อนจะกลับเข้าไปในตำหนัก ทว่าไม่ลืมที่จะจูงมือของคุณชายใหญ่ตระกูลฟู่เข้าไปด้วย นางพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะเสแสร้งไร้เดียงสาต่อหน้าเขา มิอยากแสดงท่าทีเศร้าใจให้ได้เห็น
พบเจอทุกวัน...หากเป็นเช่นนั้นได้ก็ย่อมดีน่ะสิ
หากว่านางสามารถมองเห็นทุกการเติบโตไปเป็นบุรุษผู้องอาจของพี่เหยียนได้ก็คงเป็นสิ่งที่ดียิ่ง
แต่โชคชะตาในชาติก่อนช่างเลวร้าย ตระกูลฟู่ใกล้ชิดโอรสสวรรค์มากเกินไป และมีน้ำหนักในพระทัยฮ่องเต้เกินหน้าเกินตาผู้คน ในวังวนการแย่งชิงจึงมีผู้คนไม่น้อยชิงชังและปรารถนาให้ตระกูลฟู่ล่มสลายไป
ชะตากรรมของฟู่จื่อเหยียนจึงต้องบ้านแตกสาแหรกขาด บิดาถูกกล่าวหาเป็นกบฏ มารดาและน้องในครรภ์รวมถึงบ่าวรับใช้ก็ถูกกวาดล้างมิเหลือซาก ตัวเขาเองก็ต้องระหกระเหินออกจากแคว้นไปโดยมิมีผู้ใดรับรู้ว่าเป็นตายร้ายดี ตั้งแต่อายุไม่กี่หนาว...และชะตากรรมนั้นก็ใกล้เข้ามาแล้ว
เวลานี้นางจะมีกำลังใดไปหยุดยั้งเรื่องเหล่านั้นเล่า
หลังจากที่นายหญิงไป๋เซียนกลับมาถึงตำหนักฮวาเซียนซึ่งเป็นที่พำนักที่เสด็จน้าฮ่องเต้ของนางประทานให้นางก็ได้พบกับบุตรชายที่ถอดหน้ากากออกดื่มด่ำชารสชาติกลมกล่อมและโอวหยางจิ้นหลงผู้เป็นพ่อซึ่งถูกฮ่องเต้ขอร้องให้เข้ามาอยู่ในเมืองหลวงหลังจากมอบตำแหน่งให้แก่บุตรชายอยู่ภายในสวนนายหญิงไป๋เซียนมองไปยังบุตรชายที่ดูคล้ายเทพเซียนก่อนจะคลี่ยิ้ม บุตรีขุนนางที่นางเคยไปทาบทามสู่ขอไร้วาสนานักจึงไม่รู้ว่าภายใต้หน้ากากของลูกนางนั้นคือเทพเซียนที่หล่อเหลายิ่งกว่าพานอิน“เจ้ามาแล้วรึอาหลง”“ขอรับท่านแม่” เหวินหลงตอบรับก่อนจะถามกลับ “ท่านไปที่ใดมาหรือท่านแม่”“แม่ไปหาอาจิ้งมา ข่าวว่าบุตรสาวของเขากับฮวาเอ๋อร์จะกลับมาเข้าพิธีปักปิ่นหลังจากหายไปหลายปีแม่จึงอยากเห็นหน้าคร่าตาสักครั้ง อ้อ เจ้ามาผู้เดียวรึ เจ้าลูกเจี๊ยบทั้งห้าของเจ้ามาด้วยหรือไม่ มิได้เจอะเจอกันถึงสองปี นังหนูเฟยเฟยออกจากถ้ำฝึกตนรึยัง”“แล้วท่านได้เห็นหน้าคุณหนูใหญ่สกุลหยวนหรือไม่” เหวินหลงไม่ตอบแต่กลับถามกลับ ใบหน้าหล่อเหลายามนี้เคร่งเครียดขึ้นอย่างมิอาจห้ามได้...เขาลืมบอกมารดาไปเรื่องนึงสิน“เฮ้อ น่าเสียดาย ตอนแม่ไปชินอ๋องเองก็ไปแถมยังนำราชโองกา
เมื่อจิวเฟยและทุกคนถูกนำไปยังที่พักหยวนจิ้งก็ต้องกลับมายังห้องโถงอีกครั้งเมื่อรับรู้ถึงการมาของสองบุคคลสำคัญ“หยวนจิ้งคารวะอาจารย์หญิง ถวายพระพรชินอ๋องพะย่ะค่ะ”บุคคลสำคัญที่ว่า หนึ่งคือลั่วหยางหยงฉี ชินอ๋องแห่งแคว้นลั่วหยาง บุรุษผู้เป็นรองเพียงฮ่องเต้และยังเป็นฐานอำนาจของลั่วหยางหยงจิ้น องค์ไท่จื่อแห่งแคว้นลั่วหยางส่วนอีกหนึ่งคือชุนไป๋เซียนหรือท่านหญิงไป๋เซียน ธิดาขององค์หญิงไป๋ซิงพระธิดาพระองค์เดียวของลั่วหยางหยงเจี้ยน อดีตฮ่องเต้พระองค์ก่อน กับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนั้นนางคือหลานสาวที่หย่งไท่ฮ่องเต้ให้ความเอ็นดูที่สุดและนอกจากจะเป็นท่านหญิงที่ฮ่องเต้รักใคร่แล้วนางยังมีอีกตำแหน่งที่ผู้คนทั่วไปรู้จักกัน....นายหญิงแห่งสกุลโอวหยาง มารดาของโอวหยางเหวินหลง“ลุกขึ้นเถิดท่านแม่ทัพ” ชินอ๋องเอ่ยพร้อมกับส่งยิ้มให้กับบุคคลอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ภายในห้องโถง ซือซิงมองชินอ๋องวัยยี่สิบสี่ด้วยท่าทีเขินอาย นางพึงใจในตัวชินอ๋องและมาดหมายจะเป็นชินหวางเฟย นางจะได้มีอำนาจมากกว่าจิวเฟยที่ไม่แม้แต่จะเอ่ยอันใดกับนาง และนางต้องได้“ข้ามาวันนี้ก็เพื่อนำราชโองการของเสด็จพ่อมามอบให้ท่าน” ชินอ๋องกล่าวในขณะที่คนมาพร้
เมื่อก้าวเข้าไปภายในห้องโถงของจวนจิวเฟยก็ได้เห็นร่างกายสูงตระหง่านของบิดานั่งอยู่โดยมีสตรีไม่คุ้นหน้านั่งอยู่เคียงข้างถัดไปจึงเป็นจินลั่วอวี้ฮูหยินรองที่นางเรียกติดปากตั้งแต่เล็กว่านางจิ้งจอกและเด็กหนุ่มสองคนกับเด็กสาวอีกสองคนที่คงจะเป็นน้อง ๆ ของนาง“ซือซือ” หยวนจิ้งเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นก้าวเข้ามาหาจิวเฟย เขาดูแก่ขึ้นมาก ผิดกับรูปร่างสง่างามเมื่อยามที่นางยังเด็ก เมื่อได้เห็นหน้าบิดาใกล้ ๆ จิวเฟยก็รู้สึกคิดถึงขึ้นมาดื้อ ๆ ทว่านางหาได้ก้าวเข้าไปกอดบิดาไม่จิวเฟยทำเพียงคารวะตามธรรมเนียมด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “จิวเฟยคารวะบิดา”“จิวเฟย?”“สิบปีก่อนท่านยอบรับกฎดังนั้นแล้วตัวข้าคือจิวเฟย หาใช่ซือซือไม่” นางตอบกลับ หยวนจิ้งหน้าเสียไปครู่ก่อนจะยิ้มอีกครั้ง“นั่นสินะ ข้าเลอะเลือนเสียจริง มาเถอะจิวเฟย พ่อจะแนะนำให้เจ้ารู้จักน้อง ๆ”นางเดินตามบิดามาหยุดตรงหน้าเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่านางราวปีกว่าด้วยความรู้สึกคิดถึงก่อนที่หยวนจิ้งจะเอ่ย “นี่ซือจิ้น เจ้าจำน้องได้หรือไม่?”“หยวนซือจิ้น ข้าจำได้ เจ้าเหมือนบิดามากกว่าท่านแม่เสียอีก” นางเอ่ยพร้อมกับยื่นมือไปจับมือของเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีด้วยความคะนึงหา หยวน
หลักจากพ้นโทษจิวเฟยก็ต้องเตรียมตัวลงเขาเพื่อที่จะกลับไปเข้าพิธีปักปิ่นอย่างคนจำใจ ตั้งแต่ถึงวัยปักปิ่นบิดาเพียรส่งจดหมายอ้างเหตุผลร้อยแปดให้นางลงเขาแต่นางก็ไม่ตอบรับมาโดยตลอด คราวนี้นางก็ไม่คิดที่จะตอบรับเช่นเคยแต่เพราะคราวนี้ผู้เป็นอาจารย์มีเหตุผลให้ต้องลงเขานางจึงเลี่ยงอีกไม่ได้...จำต้องลงไปเข้าพิธีปักปิ่นทั้งที่ไม่เคยคิดว่าจำเป็นเพื่อไม่ให้อาจารย์ขุ่นเคืองจนส่งนางไปช่วยผู้เฒ่าหมื่นพิษทดสอบพิษลงเขาดีกว่าไปหุบเขาพิษยิ่งนักเหตุผลที่โอวหยางเหวินหลงลงเขาในครั้งนี้เป็นเพราะมารดาของเขาที่อยู่เมืองหลวงส่งข่าวมาให้เขาลงไปหา และอีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะจดหมายของหยวนจิ้งที่ส่งมาให้เขา...ศิษย์พี่ขอร้องให้เขาช่วยพาบุตรสาวลงเขาไปหาสักครั้งแน่นอนว่าเรื่องจดหมายขอร้องเขามิได้บอกเล่าให้ศิษย์หญิงเพียงคนเดียวได้ฟัง สิ่งที่เขาบอกจึงมีเพียงว่าเขาจะไปพบบิดาและมารดาและมีเรื่องที่จำเป็นต้องให้ศิษย์ทั้งห้าติดตามไปช่วยจัดการ...ด้วยเหตุนี้จิวเฟย จึงไม่มีข้ออ้างให้บ่ายเบี่ยงจิวเฟยเคยลงเขามาแล้วหลายครั้งเพื่อคุ้มกันคนและสืบข่าวลับ บ้างก็ลงไปเพื่อสืบดูหน้าตาคุณสมบัติของคุณหนูจวนขุนนางที่มารดาของอาจารย์คิดจะทาบท
ดวงตางดงามแต่แฝงความนิ่งสงบมองจดหมายประทับตราสกุลหยวนที่อยู่ในมือของผู้เป็นอาจารย์แล้วก็พลางอ่อนอกอ่อนใจ จดหมายเช่นนี้ถูกส่งมาบ่อยนักอ้างโน่นอ้างนี่มาในจดหมายจุดประสงค์ก็เพื่อให้นางหวนกลับ...วันนี้ก็ส่งมาอีกแล้วคราวนี้เอาอันใดมาอ้างอีกเล่า“บิดาเจ้าส่งจดหมายมาให้เจ้ากลับไปเข้าพิธีปักปิ่นพร้อมน้องสาว” เหวินหลงเอ่ยพร้อมกับยื่นจดหมายให้แก่ศิษย์เอกหญิงเพียงคนเดียวที่ยามนี้เติบโตขึ้นมาเป็นหญิงงามล่มเมืองจนศิษย์สายอื่นเพียรส่งถังหูลู่มาให้เป็นการเกี้ยวอยู่บ่อยครั้งจิวเฟยที่รับจดหมายมาเปลี่ยนสีหน้าจากอ่อนอกอ่อนใจเป็นสีหน้างุนงงอย่างโง่งมในทันที “ปักปิ่น?”“อะไรกันน้องเล็ก เจ้าไม่รู้รึว่าสตรีต้องผ่านพิธีปักปิ่นน่ะ” เมื่อจิวเฟยมีสีหน้าที่งุนงงศิษย์พี่ใหญ่จึงถามไปอย่างล้อเลียน“ใช่ การปักปิ่นเป็นการบ่งบอกว่าเจ้าพร้อมจะเป็นเจ้าสาวแล้ว พอเจ้าปักปิ่นแล้วเจ้าก็จะมีเหย้ามีเรือนได้ เอ๋ เอ๋ เอ๋ หรือบิดาเจ้าจะคิดให้เจ้าแต่งงาน อ่า ข้าสงสารน้องเขยในอนาคตของข้ายิ่ง ที่จะได้เจ้าไปเป็นฮูหยิน” จิวหลินเสริมก่อนจะถูกน้องหญิงคนเดียวมองค้อน“ได้ข้าเป็นฮูหยินแล้วมันเป็นอย่างไรกัน!”“ก็เจ้ามันนางปีศาจอย่างไรเล่
‘โอวหยางเหวินหลง ข้าไม่อยากเป็นศิษย์ท่านแล้ว!!!’กว่าสิบสองปีที่จิวเฟยคิดว่าไม่อยากเป็นศิษย์ของปีศาจร้ายผู้นี้รวมถึงพูดให้คนเป็นอาจารย์ได้ยินก็หลายครั้งแต่ก็ไม่มีครั้งไหนเลยที่นางได้เลิกเป็นศิษย์ของอาจารย์ที่นางเรียกลับหลังว่าปีศาจร้าย นางยังคงเป็นศิษย์ของเหวินหลงมาจนกระทั่งล่วงเลยถึงวัยสิบแปดหนาวได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในห้าศิษย์เอกของเจ้าสำนักศึกษาเฟยผิง และเป็นศิษย์หญิงเพียงผู้เดียวของผู้เป็นอาจารย์ปัจจุบันนางและศิษย์พี่ทั้งสี่ต่างก็สำเร็จการศึกษาวิชาสูงสุดแล้ว อาจารย์มิได้รับศิษย์เพิ่มมา นางจึงเป็นศิษย์น้องเล็กของพี่ ๆ และสำเร็จวิชาทั้งศาสตร์แพทย์ ศาสตร์พิษ และศาสตร์การต่อสู้เป็นคนสุดท้ายในบรรดาศิษย์ทั้งห้า...เพิ่งออกจากถ้ำฝึกตนซึ่งเป็นสถานที่ต้องห้ามไว้ฝึกเคล็ดวิชาขั้นสูงมาสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนนี้เองเมื่อสำเร็จการศึกษาศิษย์ของสำนักมิมีสิ่งใดผูกมัดกับสำนักนอกเสียจากจะเข้าเป็นสมาชิกสำนักคุ้มภัยเหว่ยผิงหรือหอขายข่าวเหอผิงซึ่งเป็นสำนักคุ้มภัยและหอขายข่าวของสำนึกศึกษาเฟยผิง บางคนจึงไปเป็นแม่ทัพนายกอง หรือขุนนาง แต่สำหรับศิษย์ของเจ้าสำนักนั้นได้สิทธิ์พิเศษมากกว่านั้น หากอ







