ในเช้าตรู่ของวันหนึ่ง หลังจากหอหว่านหรงสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคง ถึงเวลาที่หญิงสาวต้องกลับบ้านเสียที รถม้าสีเทาเรียบหรูคันหนึ่งแล่นออกจากตัวเมืองหลิงหนาน มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบใต้เงาภูเขาเขียว
ภายในรถม้า เซี่ยชิงหลีนั่งเงียบๆ มือถือกล่องไม้เล็กใส่ของฝากจากในเมือง ข้างกายนางคือมู่หรงหนานเฟิงผู้เงียบไม่แพ้กัน ทว่าแววตากลับอ่อนลงกว่าเมื่อเดือนก่อน
“เจ้าแน่ใจหรือว่าเขายังอยากพบข้า”
ชายหนุ่มถามเสียงเบา ขณะทอดสายตามองออกไปยังทิวทุ่งข้าวเขียวขจีที่ทอดยาว เซี่ยชิงหลีเหลือบมองเขาดวงตานิ่งสงบ แต่แฝงแววล้อเลียนเล็กน้อย
“พี่ชายข้า...อาจไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ท่านเองก็ควรรู้ว่าเขาเฝ้ามองข่าวจากหอหว่านหรงทุกคืน”
หลังจากได้ร่วมงานกัน หญิงสาวจึงได้รู้ว่ามู่หรงหนานเฟิงใส่ใจพี่ชายของนางไม่น้อย ทว่าสิ่งที่ทั้งสองรู้สึกไม่อาจเอ่ยปากได้โดยง่าย เพียงเพราะเพศเดียวกันจึงไม่สามารถครองคู่
หญิงสาวยกยิ้มบางเบาเมื่อยามนึกถึงสิ่งที่พี่ชายของตนกระทำ
“ข้าเคยเห็นเขาอ่านแผนการที่ข้าเขียนในกระดาษซ้ำหลายครั้งในทุกคืน เพียงเพราะบนกระดาษแผ่นนั้นมีชื่อของท่านอยู่”
มู่หรงหนานเฟิงยิ้มบางๆ ลมหายใจในอกพลันอบอุ่น มือที่เคยว่างเปล่า บัดนี้ถือกล่องไม้ใบหนึ่ง ภายในคือแชมพูสมุนไพรชุดพิเศษ ที่เขาเองตั้งใจจะนำไปฝากเซี่ยจื่ออี้
รถม้าสะเทือนเบาๆ ขณะแล่นเข้าใกล้หมู่บ้านสือโถว ใบไม้ปลิวว่อนตามแรงลมอ่อนจากภูเขา และแสงแดดยามสายก็เริ่มส่องลอดพุ่มไม้ลงมาบนหลังคารถม้า
วันนี้… ชายหนุ่มผู้เคยถูกกีดกันออกจากตระกูล กำลังจะได้พบครอบครัวใหม่ที่ยอมรับเขาโดยไม่สนชาติกำเนิด และหญิงสาวที่เคยมีเพียงสองมือเปล่า...ก็ได้สร้างอาณาจักรหนึ่งขึ้นด้วยมือตนเอง
เมื่อทุกคนรู้ข่าวว่าเซี่ยชิงหลีกลับมาแล้ว คนบ้านหลี่ต่างรีบวางมือจากสิ่งที่กำลังทำอยู่ทันที คนในครอบครัวต่างพากันลุกขึ้นรีบมารวมตัวกันที่ลานหน้าประตูเรือน
“หลีเอ๋อ ลูกกลับมาแล้ว!”
การต้อนรับอย่างอบอุ่นพวยพุ่งออกมาราวกับแสงตะวันอันสดใส เซี่ยชิงหลีเพียงยืนอยู่ตรงบันไดรถม้า แต่ดวงตาของนางกลับแฝงรอยอ่อนโยนเกินจะกล่าว
“ไม่ว่าเมื่อใดที่หันหลังกลับมา...ที่นี่มักจะมีครอบครัวที่รอข้าอยู่เสมอ”
ใบหน้าเปื้อนยิ้มเอ่ยเสียงสดใส
“ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
ด้านหลังของนางคือ มู่หรงหนานเฟิง ที่ติดตามมาด้วย
เขากำลังก้าวลงจากรถม้าอย่างเชื่องช้าในแบบฉบับคุณชายจากเมืองหลวง ในมือยังมีของฝากที่ต้องการมอบแด่คนสำคัญ
ทั้งหีบใบเล็กใบใหญ่ ชาหอมหมื่นลี้แห้งและขนมหวานที่สั่งตรงจากเมืองหลวง คนขับรถม้ารีบยกลงมาวางให้ทุกคนได้ชื่นชม
ขณะที่บรรยากาศยังอบอวลด้วยความยินดี เซี่ยจื่ออี้ที่ได้พบมู่หรงหนานเฟิงอีกครั้งก็มีแววตาวูบไหวเล็กน้อย เขายืนอยู่ห่างๆ มองชายหนุ่มเบื้องหลังน้องสาวด้วยสายตาแน่นิ่ง แววตานั้น...ทั้งซับซ้อน ทั้งลังเลและเจ็บลึกอย่างที่เจ้าตัวไม่อาจพูดออกมาได้
ยังไม่มีใครได้ทันสังเกตเห็นความรู้สึกของคนทั้งสอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างกระตือรือร้น
“ภรรยาาาาา~!!”
อาเหิงวิ่งพรวดออกมาจากในเรือน ใบหน้ายังเปื้อนเศษแป้งกับกลิ่นสมุนไพรจางๆ ท่าทางเหมือนเด็กที่เห็นขนมโปรดของตนเมื่อได้พบเซี่ยชิงหลี ชายหนุ่มพุ่งเข้ากอดหญิงสาวเต็มแรงจนร่างบางเอนไปเล็กน้อย
เซี่ยชิงหลีกลอกตาให้กับการกระทำของชายหนุ่ม โชคดีที่นางฝึกฝนร่างกายจนแข็งแรง ไม่อย่างนั้นคงรับแรงกระแทกเหล่านี้ไม่ไหว
“ภรรยาทิ้งอาเหิงไปตั้งหลายวัน ต้องทำสบู่คนเดียวเลยนะ~ อาเหิงโกรธภรรยาแล้ว!”
เสียงออดอ้อนปนน้อยใจทำให้ทุกคนพากันหัวเราะครืน ส่วนเซี่ยชิงหลีที่แม้จะโดนกอดจนตัวเซทว่าริมฝีปากกลับยกยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่
“อาเหิง ภรรยากลับมาแล้ว”
ในยามปกติ เซี่ยชิงหลีไม่ค่อยแทนตนเองว่าภรรยาเมื่อยามที่พูดคุยกับชายหนุ่ม ทว่าครั้งนี้เพื่อเอาใจเขานางยอมทนอับอาย ร่างสูงซุกหน้าลงกับไหล่บางของนางเหมือนลูกแมวขี้อ้อน ความอบอุ่นรอบตัวทำให้นางรู้สึกถึงคำว่า “บ้าน” อย่างแท้จริง
ภายหลังเมื่อทุกคนเข้าไปพูดคุยในเรือนและช่วยกันขนของฝาก พลางหัวเราะเฮฮา เซี่ยชิงหลีเงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่างพลันเห็นภาพบางอย่างข้างๆ ที่ดินของตระกูลหลี่ที่เคยว่างเปล่า บัดนี้กำลังมีเรือนหลังใหญ่ถูกก่อสร้างขึ้น ไม้เสาท่อนโตตั้งตระหง่าน หลังคากำลังจะขึ้นโครง มีคนงานอยู่หลายคนและพวกเขากำลังวัดพื้นที่อย่างตั้งใจ
หญิงสาวขมวดคิ้วทันที
“เรือนใครกันหรือเจ้าคะ เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินว่าจะมีคนมาอยู่ใกล้กับบ้านเรา”
ผู้เฒ่าหลี่ที่นั่งจิบชาเงียบๆ เป็นผู้ไขข้อข้องใจให้กับหญิงสาว
“อ้อ นั่นหรือ...เรือนของผู้เฒ่าเมิ่งน่ะสิ คนที่หลานเคยช่วยชีวิต ก่อนหน้านี้ เขาเคยมาที่นี่ไม่ใช่หรือ เห็นหมู่บ้านของเราบรรยากาศดีจึงต้องการสร้างบ้านพักเอาไว้”
“ผู้เฒ่าเมิ่ง...จะมาอยู่ที่นี่”
เซี่ยชิงหลีเบิกตากว้างแสดงสีหน้าฉงน คนที่ดูมีอำนาจและร่ำรวยเหตุใดต้องการมาอยู่หมู่บ้านในหุบเขาอันห่างไกล หรือว่าชายชราผู้นั้นมีแผนการอันใดที่นางยังมองไม่ออก
แสงแดดบ่ายคล้อยส่องผ่านใบไม้บนต้นหลิวใหญ่ สายลมเย็นๆ จากภูเขาหลังหมู่บ้านพัดเอื่อยเฉื่อย ชายหนุ่มสองคนเดินเคียงกันไปยังศาลาไม้หลังเล็กกลางลานเงียบสงบ
มู่หรงหนานเฟิงแม้สวมชุดเรียบง่าย ทว่ากลับไม่ทิ้งกลิ่นอายของคุณชายจากตระกูลใหญ่ เขาก้าวช้าๆ ไม่ได้เร่งเร้าทว่าแววตาที่ทอดมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยบางสิ่งที่ลึกซึ้งแต่มิอาจเปิดเผย
เซี่ยจื่ออี้เดินนำโดยไม่เอ่ยคำใด ท่าทีสงบเยือกเย็นดั่งเคย ทว่าในใจเขากลับปั่นป่วน
เมื่อทั้งสองนั่งลงในศาลา พลันความเงียบงันเข้าปกคลุมชั่วขณะ ก่อนที่มู่หรงหนานเฟิงจะเปิดปากขึ้นก่อน
“เจ้าสบายดีหรือไม่ หลังจากได้รับบาดเจ็บเมื่อสองปีก่อน...เหตุใดจึงไม่ยอมติดต่อข้าบ้างเลย”
เสียงของเขาแผ่วเบาทว่าเปี่ยมไปด้วยความหนักแน่น
คำถามธรรมดา...แต่กลับปักลึกเข้ากลางอกของเซี่ยจื่ออี้ในทันที
นิ้วมือของชายหนุ่มกำขยุ้มชายเสื้อแน่น ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่งแต่แววตา...กลับกำลังสั่นไหวอย่างควบคุมไม่อยู่ในเช้าตรู่ของวันหนึ่ง หลังจากหอหว่านหรงสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคง ถึงเวลาที่หญิงสาวต้องกลับบ้านเสียที รถม้าสีเทาเรียบหรูคันหนึ่งแล่นออกจากตัวเมืองหลิงหนาน มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเล็กๆ ที่เงียบสงบใต้เงาภูเขาเขียวภายในรถม้า เซี่ยชิงหลีนั่งเงียบๆ มือถือกล่องไม้เล็กใส่ของฝากจากในเมือง ข้างกายนางคือมู่หรงหนานเฟิงผู้เงียบไม่แพ้กัน ทว่าแววตากลับอ่อนลงกว่าเมื่อเดือนก่อน“เจ้าแน่ใจหรือว่าเขายังอยากพบข้า”ชายหนุ่มถามเสียงเบา ขณะทอดสายตามองออกไปยังทิวทุ่งข้าวเขียวขจีที่ทอดยาว เซี่ยชิงหลีเหลือบมองเขาดวงตานิ่งสงบ แต่แฝงแววล้อเลียนเล็กน้อย“พี่ชายข้า...อาจไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ท่านเองก็ควรรู้ว่าเขาเฝ้ามองข่าวจากหอหว่านหรงทุกคืน”หลังจากได้ร่วมงานกัน หญิงสาวจึงได้รู้ว่ามู่หรงหนานเฟิงใส่ใจพี่ชายของนางไม่น้อย ทว่าสิ่งที่ทั้งสองรู้สึกไม่อาจเอ่ยปากได้โดยง่าย เพียงเพราะเพศเดียวกันจึงไม่สามารถครองคู่หญิงสาวยกยิ้มบางเบาเมื่อยามนึกถึงสิ่งที่พี่ชายของตนกระทำ“ข้าเคยเห็นเขาอ่านแผนการที่ข้าเขียนในกระดาษซ้ำหลายครั้งในทุกคืน เพียงเพราะบนกระดาษแผ่นนั้นมีชื่อของท่านอยู่”มู่หรงหนานเฟิงยิ้มบางๆ ลมหายใจในอกพลันอบอุ่น
เซี่ยชิงหลีนั่งลงบนม้านั่งไม้ริมหน้าต่าง แขนขวาของนางมีรอยแดงช้ำตรงปลายข้อศอกถลอกเล็กน้อยจากแรงปะทะ มู่หรงหนานเฟิงนั่งตรงข้าม มือของเขาถือผ้าผืนเล็กกับน้ำสะอาดเตรียมล้างแผลให้ตนเองแววตาของเขาในตอนนี้…ว่างเปล่าเสียจนชวนให้นางรู้สึกหนักอึ้งในอก เขากำลังคิดอะไรอยู่…ไม่ต้องเดาก็รู้ดวงตาคู่นั้นไม่มีเป้าหมาย ไม่มีไฟ ไม่มีแม้แต่ความเคียดแค้น มันคือแววตาของคนที่หมดแรงเดินต่อแม้จะยังยืนอยู่ เซี่ยชิงหลีมองเขาเงียบๆ ปล่อยให้เสียงเช็ดแผลเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ดังอยู่ในห้องนั้นภาพชายหนุ่มตรงหน้าแตกต่างจากตอนที่นางพบเขาครั้งแรกโดยสิ้นเชิง ตอนนั้นเขาคือเจ้าของหอสุราที่สง่างาม สุขุม และแฝงแรงใจเข้มแข็งในแววตา ทว่าวันนี้…เขาไม่ต่างจากคนที่ถูกบีบจนไม่เหลือทางเดิน“มีบ้านก็กลับไม่ได้ มีตระกูลแต่ไร้ที่ยืน”หากเขายังจมอยู่กับความสิ้นหวังเช่นนี้...เขาอาจจะไม่ใช่คู่ค้าที่นางพึ่งพาได้ในวันหน้า“คุณชายมู่หรง”เซี่ยชิงหลีเอ่ยเสียงเบา“ข้าไม่ใช่คนดีมากพอจะให้คำปลอบใจอันเลิศหรู แต่ในโลกแห่งการค้า หากเจ้าหยุดเดินเพียงเพราะเส้นทางข้างหน้ามีคนขวาง…เจ้าจะไม่มีวันไปถึงจุดที่เขาไม่กล้าตามไปเหยียบ”มู่หรงหนานเฟิงเงยหน
อาเหิงเอ่ยอย่างเคืองๆ เซี่ยชิงหลีมองคนต่างวัยทั้งสองที่ไม่ต่างจากเพื่อนในวัยเดียวกันแล้วอดหัวเราะไม่ได้เมื่อถึงร้านเครื่องปั้นดินเผาต้าเหอยิ่น ร้านเก่าแก่ที่มีโรงเผาอยู่ด้านหลัง เซี่ยชิงหลีก็ยื่นกระดาษแบบร่างให้กับเถ้าแก่ผู้เป็นเจ้าของกิจการชายวัยกลางคนผู้มีหนวดเคราสีดำน้ำตาล คิ้วเข้มท่าทางค่อนข้างดุร้าย แต่พอเห็นกระดาษที่หญิงสาวยื่นให้ สีหน้ากลับแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังในทันทีแบบที่นางส่งให้ไม่ใช่ไหดินเผาทั่วไป หากแต่เป็นบรรจุภัณฑ์รูปทรงกลมเตี้ย ฝาปิดแน่น ขนาดพอเหมาะสำหรับบรรจุสบู่ แชมพู หรือแป้งสมุนไพร ผิวภายนอกขอให้เผาแบบไม่เคลือบเพื่อให้มีผิวสัมผัสธรรมชาติ แต่ขอฝังตราประทับรูปดอกเหมย ที่มุมหนึ่งของฝาเพื่อเป็นเอกลักษณ์“แบบนี้...ไม่เคยมีใครสั่งมาก่อน แต่ข้าชอบความคิดเจ้านะ ดูเรียบง่ายแต่มีจุดเด่น”เซี่ยชิงหลีประสานมือคำนับ“ข้าขอสั่งทำชุดแรก หนึ่งพันใบก่อนเจ้าค่ะ เพื่อดูทิศทางตลาดหากผลตอบรับออกมาดีข้าอยากร่วมมือกับร้านท่านเป็นคู่ค้าถาวร รับรองข้าจะไม่หันไปหาที่อื่นแน่นอน”เถ้าแก่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้าช้า ๆ“หนึ่งพันใบข้าจัดให้ได้ ภายในสิบห้าวัน แต่ขอให้เจ้ามารับด้วยต
ณ ตอนนี้ เซี่ยชิงหลีกำลังยืนอยู่หน้าหม้อต้มสมุนไพรใบใหญ่ กลิ่นใบมะกรูดแห้งผสมกับกลิ่นหอมอ่อนของกลีบดอกบัวที่กำลังเคี่ยวเข้ากันลอยคลุ้งอบอวลไปทั่วลานด้านหลังเรือนมือเรียวของหญิงสาวคนไปอย่างต่อเนื่องด้วยไม้พาย ในขณะที่เหงื่อผุดซึมบนหน้าผากอย่างไม่อาจเลี่ยงผ่านไปแล้วหลายวัน...ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ นางทดลองผสมอัตราส่วนใหม่ ลองอุณหภูมิที่ต่างกัน ทดลองการตาก การกวน การแยกชั้นของน้ำมันกับสมุนไพรทุกครั้งที่ล้มเหลว สบู่จับตัวไม่ขึ้นหรือแชมพูกลายเป็นน้ำเหนียวข้นกลิ่นเหม็นเปรี้ยวนางก็ต้องเริ่มใหม่...ตั้งแต่ต้นยามตะวันบ่ายคล้อย สายลมเอื่อยพัดชายแขนเสื้อที่เลอะเปื้อนของนางอย่างแผ่วเบา เซี่ยชิงหลีค่อยๆ วางไม้พายลงพลางถอนหายใจเงียบๆ และทรุดตัวนั่งพิงข้างถังน้ำอย่างเหนื่อยล้าสายตาของนางทอดมองสบู่ก้อนเล็กๆ ที่พอใช้การได้ก้อนแรกในรอบหลายวัน กลิ่นหอมของมันยังอ่อนนัก รูปทรงไม่สวย เนื้อไม่เนียนแต่มัน...สามารถชำระล้างได้จริง“ทำไมกันนะ…”ร่างบางพึมพำกับตนเองเบาๆ เสียงนั้นแฝงไว้ทั้งความเหนื่อยล้าและเศร้าสร้อย“คนอื่นพอเกิดใหม่ก็มีกระบี่เทพติดมือ มีพลังปราณฟ้าฟาด ฝึกแค่ไม่กี่วันก็กวาดล้างทั้งตระกูลศัตรู…
คำพูดนั้นทำให้หลายคนเบิกตากว้าง จินละห้าร้อยเหวิน ไม่ใช่จำนวนเล็กๆ สำหรับชาวบ้านเลย“หลีเอ๋อ...แล้วพวกเราล่ะ”“เวลาว่างของทุกคน…ข้าอยากให้มาเรียนรู้วิธีบดสมุนไพรเตรียมวัตถุดิบไว้สำหรับการทำยาสีฟันชุดใหญ่ เราจะเริ่มขายที่อำเภอหลิงหนานก่อน”ทุกคนเริ่มมองหน้ากันด้วยความตื่นเต้น ต่างมองเห็นแววความหวังที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันกำลังเริ่มเปล่งประกายในดวงตาของพวกเขา หญิงสาวหันไปมองฟ้ากว้างพลางวางหมากต่อในใจ“และแน่นอน...หากจะส่งขายในเมืองหลิงหนาน ข้าคงต้องขอความร่วมมือจากคนผู้นั้น มู่หรงหนานเฟิง เจ้าของหอหว่านหรงที่ตระกูลหลี่ของเราเคยร่วมมือทำการค้า”เมื่อได้ยินชื่อของมู่หรงหนานเฟิง เซี่ยจื่ออี้ก็นิ่งไปทันที“หลีเอ๋อ น้องทำการค้ากับคุณชายมู่หรงหรือ”เซี่ยชิงหลีหัวเราะน้อยๆ นางลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้มู่หรงหนานเฟิงเคยบอกว่ารู้จักกับพี่ชายของนาง ตัวนางเองหลังจากกลับมาจากอำเภอหลิงหนานก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท“พี่ใหญ่ข้ายังไม่ได้บอกท่านใช่หรือไม่ มู่หรงหนานเฟิงบอกว่าจะมาเยี่ยมท่านที่นี่ คิดว่าหลังจากกลับมาที่เรือนจะบอกท่านแต่ข้ากลับลืมไปเสียได้”เมื่อได้ยินน้องสาวบอกว่ามู่หรงหนานเฟิงเอ่ยถึงตนทั้งยัง
บัดนี้เซี่ยชิงหลีมองชายชราในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมเพียงเพราะเขาเอ่ยปากชมสามีของนาง“ท่านจะเข้ามาดื่มชาในเรือนก่อนหรือไม่”“ไม่เป็นไรข้ายังมีธุระต่อ ที่มาวันนี้เพียงต้องการมาขอบคุณเจ้าอย่างจริงใจสักครั้งเท่านั้น อีกอย่างข้าอยากให้เจ้ารับสิ่งของเหล่านี้จากข้า ถือเสียว่าเป็นของขวัญสำหรับงานแต่งของเจ้าสองคน”คำพูดนั้นราวกับมีระเบิดถูกปามาที่นาง เสียงบึ้มดังขึ้นในหัวพลันใบหน้าของหญิงสาวเห่อร้อนและแดงก่ำอย่างห้ามไม่อยู่ ชายชรามองหลานสะใภ้ตัวน้อยด้วยสีหน้าชอบใจ นานแล้วที่ตนไม่ได้เอ่ยเล่นหัวกับลูกหลานหากวันหน้าหลานชายผู้นี้ไม่มีทางหายดี แต่เขาได้แต่งงานกับหญิงสาวที่ดีเช่นนั้นตนก็วางใจ เซี่ยชิงหลีมองหีบไม้มากมายตรงหน้า นางตัดสินใจเพียงชั่วอึดใจก่อนพยักหน้ารับ“เช่นนั้นข้าจะขอรับเอาไว้ ขอบคุณท่านเจ้าค่ะ”“ท่านอันใดกัน ต่อไปเจ้าเรียกข้าว่าท่านปู่เมิ่งก็พอ”ชายชรากลับขึ้นรถม้าไปด้วยสีหน้าอิ่มเอม ในที่สุดภาระที่เคยหนักอึ้งในหลายเดือนนี้ก็ได้ถูกวางลงแล้วต่อไปก็จัดการตัวต้นเรื่องที่ทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ขึ้น ชายชราตัดสินใจกลับเมืองหลวงเพื่อจัดการกับคนที่เป็นสาเหตุให้หลานชายของตนต้องกลายเป็นค