หลังจากที่ทำอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่นานหลี่กุ้ยสามีของเยว่ซื่อก็กลับมาก่อน ชายวัยกลางคนรูปร่างไม่สูงมากนัก ผิดกับลูกชายทั้งสองคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่ หลี่กุ้ยเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นที่ทุกคนกำลังนั่งกันอยู่ เยว่ซื่อรีบลุกขึ้นไปหาสามีด้วยรอยยิ้ม
"ทำงานเหนื่อยไหมคะสามี" โจวลี่อินเห็นแล้วอยากจะหัวเราะลั่น ช่างทำตัวเป็นผู้หญิงมารยาซะจริงๆ เลือกปฏิบัติกับคนอย่างเห็นได้ชัด กับคนที่ไม่ชอบเยว่ซื่อเอาแต่ขึ้นเสียงใส่ด้วยใบหน้าบึ้งตึงราวกับนางมารร้าย แต่กลับสามีของตนเองนั้นแม่สามีของเธอก็แสดงท่าทางราวกับผู้หญิงนิสัยแสนดี ช่างเหมือนกับสะใภ้ใหญ่เสียจริงๆ เธอไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทั้งสองคนถึงเข้ากันได้ดี "วันนี้ก็เหนื่อยนิดหน่อย แล้วนี่อาหยวนกับหลานยังๆ ไม่กลับมากันหรือ" หลี่กุ้ยเอ่ยบอกก่อนจะถามหาลูกชายคนโตกับหลานทั้งสองคน "น่าจะใกล้กลับมาแล้ว สามีไปอาบน้ำเตรียมตัวมากินข้าวเถอะ" เยว่ซื่อเอ่ยขึ้น หลี่กุ้ยนั่นก็เหมือนกับเยว่ซื่อที่รักหลานลำเอียง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรทั้งสองคนถึงได้ไม่ชอบหลี่อิงอิง อาจจะเป็นเพราะไม่ชอบแม่ของเด็กก็เลยพาลให้เกลียดหลานคนเล็กไปด้วย บางวันหลี่กุ้ยจะมีขนมติดไม้ติดมือมาฝากหลานๆ แต่ก็ให้แค่หลี่หลินเด็กหญิงที่น่ารักขี้อ้อนกับหลานชายคนโตอย่างหลี่ชิง ทำให้หลี่อิงอิงทำได้แค่แอบมองอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองถึงไม่ได้ขนมจากคุณปู่ "กลับมาแล้วครับ" ไม่นานหลี่หยวนก็เปิดปะตูเข้ามาพร้อมกับลูกๆ เด็กสองคนใช้ชุดนักเรียนวิ่งเข้าไปในบ้านด้วยความร่าเริง เด็กน้อยทั้งสองคนเข้าไปสวมกอดเยว่ซื่อเป็นคนแรกอย่างเอาใจก่อนจะผละไปสวมกอดหลี่กุ้ย "หลินหลินคิดถึงคุณย่ากับคุณปู่มากเลยค่ะ" เด็กหญิงวัยสี่ขวบกว่าเอ่ยเอาใจเยว่ซื่อกับหลี่กุ้ยด้วยน้ำเสียงสดใส ทำเอาปู่กับย่าอดที่จะเกิดความเอ็นดูไม่ได้ หลี่หลินป็นเด็กฉลาดพูด ทำให้เป็นที่รักของคนในบ้าน "ย่าก็คิดถึงอาหลินกับอาชิงมากๆ เอาละ รีบไปเปลี่ยนชุดแล้วมากินข้าวเถอะ วันนี้ย่าต้มไข่เอาไว้ให้ด้วยนะ" "ค่ะ/ครับ" เด็กทั้งสองรับคำก่อนจะรีบวิ่งเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนกลี่กุ้ยก็เดิแยกไปอาบน้ำโดยไม่คิดจะปลายตาไปมองโจวลี่อินกับหลี่อิงอิงเลยสักนิดเดียว หนิงเหมยเห็นอย่างนั้นก็นึกสะใจที่คนในบ้านต่างไม่ชอบสะใภ้เล็กกับลูก อย่าว่าแต่แม่สามีพ่อสามีที่ไม่ชอบโจวลี่อินเลย ขนาดน้องสามีของเธอก็ยังไม่ชอบหญิงสาว ใครจะชอบผู้หญิงที่วางแผนจับตัวเองเป็นสามีกัน "โจวลี่อินมาช่วยฉันจัดโต๊ะอาหารหน่อย" เยว่ซื่อเอ่ยบอกลูกสะใภ้คนเล็กเสียงแข็งกระด้าง ถ้าหากว่าเป็นไปได้เธอก็ไม่อยากจะให้โจวลี่อินมาร่วมโต๊ะอาหารด้วยหรอก แค่เห็นใบหน้าของหญิงสาวก็ทำเอาเธอแทบจะกินข้าวไม่ลง แต่ก็ต้องทนเพราะอีกฝ่ายได้กลายเป็นภรรยาของอาเหว่ยลูกชายคนเล็กของเธอไปแล้ว "สะใภ้ใหญ่ว่างอยู่ ทำไมแม่ถึงไม่ให้สะใภ้ใหญ่ไปช่วยละคะ ก่อนหน้านี้ฉันก็เป็นคนทำกับข้าวแล้ว" โจวลี่อินเอ่ยออกมาเสียงแข็ง ทำไมเธอต้องยอมถูกเอาเปรียบด้วย อยู่บ้านเดียวกันก็ควรต้องช่วยกันสิ เท่าที่เธอเห็นสะใภ้ใหญ่แทบไม่ทำอะไรเลยสักอย่างเดียว เยว่ซื่อช่างลำเอียงเสียจริงๆ "ฉันให้แกมาช่วย ก็มาช่วยสิ ทำไมจะต้องเรื่องมากด้วย" เยว่ซื่อตะคอกเสียงดังออกมาด้วยความโมโหเมื่อโจวลี่อินขัดคำสั่งของตนเอง ในบ้านนี้เธอนี่แหละที่ใหญ่สุด คำพูดของเธอทุกคนจะต้องทำตาม ถ้าหากว่าขัดขืนก็ไม่สมควรที่จะอยู่บ้านหลังนี้ ถ้าหากว่าลูกชายคนเล็กที่เป็นทหารไม่ส่งเงินมาเธอก็อยากจะไล่โจวลี่อินกับนังเด็กอิงอิงออกไปจากบ้านให้รู้แล้วรู้รอด "ทำไมสะใภ้เล็กถึงได้พูดแบบนั้นกันคะแม่ เดี๋ยวฉันก็ต้องไปดูแลลูกกับสามีจะเอาเวลาที่ไหนมาจัดโต๊ะอาหารกัน" หนิงเหมยเอ่ยออกมาให้รู้ว่าเธอนั้นไม่มีเวลาว่างที่จะมาจัดโต๊ะอาหารหรอกนะ โจวลี่อินได้ฟังละอยากจะเดินเข้าไปตบคนตรงหน้าเสียจริง แล้วมีครั้งไหนบ้างที่หนิงเหมยจะว่างมาช่วยคนอื่นทำงาน "ถ้าหากว่ายังหาเวลาว่างมาช่วยคนอื่นทำงานไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นสะใภ้ใหญ่คงจะไม่มีเวลาว่างกินข้าวน่ะสิ" โจวลี่อินเอ่ยบอกด้วยใบหน้ายิ้มแต่ภายในใจต่อว่าคนตรงหน้ายาวเหยียด ถ้าหากไม่มีเวลานัก ก็ต้องไม่มีเวลาว่างมากินข้าวด้วย "นี่แก มีสิทธิ์อะไรมาห้ามไม่ให้ฉันกินข้าว" หนิงเหมยได้ยินที่โจวลี่อินบอกก็เอ่ยเสียงดังด้วยความโมโห เป็นแค่สะใภ้เล็กที่แต่งเข้ามาทีหลังเธอ ก็สมควรแล้วที่จะต้องทำงานทุกอย่างแทนเธอ คิดว่าผู้หญิงชั้นต่ำจะมีสิทธิ์เลือกมากอย่างนั้นเหรอ กล้าดีอย่างไงถึงเอ่ยปากบอกไม่ให้เธอกินข้าว "ฉันก็ยังไม่ได้ห้ามสะใภ้ใหญ่กินข้าวเลยนะ ฉันแค่พูดตามความจริงก็เท่านั้นเอง สะใภ้ใหญ่บอกไม่มีเวลาว่าง ฉันก็คิดว่าสะใภ้ใหญ่จะต้องไม่มีเวลามากินข้าวก็เท่านั้นเอง" "แม่ดูสะใภ้เล็กสิคะ ทำไมถึงได้ใจคอคับแคบเช่นนี้ ฉันก็แค่ก็จะไปดูแลลูกกับสามีก็เท่านั้นเอง แค่ให้สะใภ้เล็กไปจัดโต๊ะอาหารแค่นี้ ถึงกับทำเป็นเรื่องราวใหญ่โต" หนิงเหมยเอ่ยปากฟ้องแม่สามีด้วยน้ำเสียงน่าสงสารเพราะรู้ว่าเยว่ซื่อจะต้องเข้าข้างตนเองอย่างแน่นอน เพราะแม่สามีนั้นไม่ชอบโจวลี่อินเป็นอย่างมาก "หนิงเหมยมีหน้าที่มากมายจะต้องทำ จะเอาเวลาที่ไหนมาจัดโต๊ะอาหาร แกนั่นแหละที่ต้องทำ อย่าทำตัวขี้เกียจสันหลังยาวแบบนี้สิ ถ้าหากว่าอาเหว่ยรู้ว่าแกเป็นแบบนี้ คงได้กลับมาเขียนใบหย่าให้กับแกเป็นแน่" เยว่ซื่อปิดหูปิดตาเข้าข้างหนิงเหมยโดยการหันไปด่าว่าโจวลี่อินทันที "ฉันเองก็ต้องไปดูลูกเหมือนกัน ขอตัวก่อนนะ"โจวลี่อินไม่สนใจในสิ่งที่เยว่ซื่อพูด หญิงสาวเอ่ยบอกจบก็เดินเข้าห้องทันที ทำเอาเยว่ซื่อกับหนิงเหมยโกรธจนควันแทบออกหู ในเมื่อไม่มีโจวลี่อินแล้ว หนิงเหมยก็ต้องจำใจไปช่วยแม่สามียกอาหารมาวางที่โต๊ะด้วยใบหน้าบึ้งตึงพร้อมกับสาปแช่งโจวลี่อินในใจ ฝากกดเข้าชั้นคอมเม้นท์เป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยนะคะเวลาผ่านไปโจวลี่อินได้ทำการเช่าร้านหน้าโรงเรียนเพื่อเปิดขายบะหมี่ แรกๆ ยังไม่ค่อยมีลูกค้าสักเท่าไร แต่หญิงสาวก็ไม่ท้อจนปัจจุบันมีลูกค้ามากมายจนหญิงสาวทำไม่ทันจึงต้องจ้างคนงานมาช่วย ร้านบะหมี่ของโจวลี่อินเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นเรื่อยๆ วัตถุดิบที่ใช้ทำอาหารหญิงสาวก็เอาออกมาจากมิติ ทำให้มีรายได้เป็นกอบเป็นกำหญิงสาวจึงตัดสินใจให้สามีเป็นคนทำเรื่องซื้อบ้านก่อนจะย้ายออกจากบ้านเช่า หลี่อิงอิงดีใจมากที่ได้อยู่บ้านหลังใหญ่แล้วมีห้องนอนส่วนตัวตอนนี้ขาของหลี่เหว่ยหายดีแล้ว ชายหนุ่มช่วยงานหญิงสาวในร้าน ถึงแม้ทางกองทัพจะอยากให้ชายหนุ่มกลับไปทำงานให้ แต่หลี่เหว่ยก็ปฏิเสธเพราะอยากอยู่ใกล้ชิดกับภรรยาและลูกสาวมากกว่าเมื่อปิดร้านบะหมี่เรียบร้อยแล้วโจวลี่อินกับหลี่เหว่ยก็ไปรับลูกสาวที่โรงเรียน ตอนนี้หลี่อิงอิงโตขึ้นมากแล้ว เมื่อเห็นพ่อกับแม่มารอรับก็รีบวิ่งมาหาทันที ทั้งสามเดินไปรอรถประจำทาง ระหว่างรอหลี่อิงอิงก็เล่าเรื่องในโรงเรียนไม่หยุดจนกระทั่งรถมาจอดตรงหน้าหลี่อิงอิงถึงได้หยุดพูด ทั้งสามคนขึ้นไปหาที่นั่ง ก่อนที่โจวลี่อินจะเอ่ยบอกกับลูกสาวว่าวันนี้จะพาไปกินข้าวข้างนอกบ้าน หลี่อิงอิงได้ยินก็ดีใจเป็นอ
หลี่เหว่ยขึ้นไปบนเตียงแล้วจับเขาเรียวแยกออกจากกันเผยให้เห็นดอกไม้งามที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำหวาน มือหนาจับแก่นกายขนาดใหญ่ไปจ่อกลางร่องก่อนจะลากขึ้นลงทำเอาโจวลี่อินส่งเสียงครางออกมา ปลายหยักชุ่มไปด้วยน้ำหวานชายหนุ่มก็ไม่รอช้าที่จะดันแก่นกายเข้าไปในโพรงสวาท ด้วยความคับแน่นทำเอาโจวลี่อินรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกหลี่เหว่ยครางอยู่ในลำคอด้วยความทรมานเมื่อแก่นกายโดนตอดรัดอย่างหนัก ชายหนุ่มจึงตัดสินใจยกสะโพกขึ้นก่อนจะกระแทกกลับลงไปอย่างแรงทำให้แก่นกายจมหายเข้าไปในกายสาวจนมิดลำนิ้วร้อนสัมผัสกับเกสรดอกไม้ที่กำลังบวมเป่ง หลี่เหว่ยออกแรงเขี่ยไปมาเบาๆ ก่อนจะขยี้ ทำเอาโจวลี่อินดิ้นพล่านไปมาด้วยความเสียวซ่าน สะโพกสอบขยับขึ้นลงจากช้าเป็นเร็วขึ้นแก่นกายผลุบเข้าออกกลางกายสาวจนกลีบสวาทยับยู่ยี่ไปตามแรงกระแทกชายหนุ่มก้มใบหน้าลงไปแลบลิ้นออกมาไล้เลียที่ปลายถันก่อนจะอ้าปากดูดดึงเข้าไปในอุ้งปากส่วนสะโพกสอบก็ขยับขึ้นลงทำเอาหญิงสาวเสียวสะท้านไปทั้งตัวโจวลี่อินแอ่นสะโพกขึ้นสู้แรงกระแทกของชายหนุ่มด้วยความรัญจวน มันช่างดีเหลือเกิน แขนเรียวยื่นไปกอดรัดร่างหนาเอาไว้แน่น ยิ่งชายหนุ่มสร้างความเสียวให้มากเท่าไรเล็บคมก
ผ่านไปหลายเดือน เช้าวันนี้โจวลี่อินตื่นขึ้นมาแต่เช้าปลุกลูกสาวให้ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน วันนี้เป็นเปิดเรียนวันแรก หลี่อิงอิงที่ตื่นเต้นจะได้ไปโรงเรียนก็รีบลุกขึ้นอาบน้ำ โจวลี่อินช่วยลูกสาวแต่งตังเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไปทำอาหารเช้าหลังจากทำอาหารเสร็จก็ยกไปวางบนโต๊ะก่อนจะเรียกสามีกับลูกสาวมากินข้าว สองพ่อลูกพากันเดินมานั่งที่เก้าอี้ โจวลี่อินจึงตักข้าวใส่ถ้วยให้กับทั้งสองคนก่อนจะตักให้ตัวเองหลังจากกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้วหญิงสาวก็เก็บถ้วยบนโต๊ะไปล้างก่อนจะเปลี่ยนชุดเตรียมพาลูกสาวไปส่งโรงเรียนทั้งสามคนเดินออกจากบ้านไปรอรถประจำทาง ไม่นานรถก็มาจอดตรงหน้า ทั้งสามคนจึงเดินขึ้นรถก่อนจะหาที่นั่ง รถแล่นเข้าสู่ท้องถนน หลี่อิงอิงที่ตื่นเต้นเป็นพิเศษพูดกับพ่อแม่ด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วไม่นานก็มาถึงโรงเรียนที่ก่อนหน้านี้หลี่เหว่ยกับโจวลี่อินพาลูกสาวมาสมัครเรียน ลงจากรถเรียบร้อยแล้วโจวลี่อินก็จูงมือลูกสาวไปหน้าโรงเรียนที่มีครูผู้หญิงมายืนต้อนรับเด็กนักเรียนหลี่อิงอิงทำความเคารพคุณครูก่อนจะเดินเข้าโรงเรียนด้วยความตื่นเต้น โจวอินจึงฝากฝังให้ครูช่วยดูแลลูกสาว คุณครูก็รับปากว่าจะดูและหลี่อิงอ
หลังจากส่งของถึงมือของเพื่อนหลี่เหว่ย ฝ่ายนั้นก็พอใจกับสินค้ามาก จึงทำการส่งเงินมาจ่ายค่าของ ครั้งนี้โจวลี่อินได้เงินมาเยอะพอสมควรจึงชวนสามีกับลูกสาวไปกินข้าวข้างนอกบ้าน ทั้งสามคนกำลังเตรียมตัวก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากหน้าบ้านพร้อมกับเสียงเคาะประตูตอนแรกโจวลี่อินจะไปดู แต่หลี่เหว่ยอาสาจะไปดูแทน พอเปิดประตูออกไปก็เห็นเยว่ซื่อยืนร้องไห้ดวงตาแดงก่ำอยู่หน้าบ้าน"อาเหว่ย ต้องช่วยพี่ชายของลูกนะ" เยว่ซื่อเอ่ยบอกหลี่เหว่ยด้วยน้ำเสียงสะอื้น"คุณจะมาที่นี่อีกทำไม ผมบอกแล้วว่าห้ามมาข้องเกี่ยวกันอีก" หลี่เหว่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา เตรียมจะปิดประตูห้องแต่เยว่ซื่อก็รีบเอามือดันประตูไว้ไม่ยอมให้ชายหนุ่มปิด"อย่าใจร้ายกับแม่กับพี่ชายของลูกมากนักเลย ตอนนี้อาหยวนกำลังลำบาก โดนนังตัวดีอย่างหนิงเหมยแจ้งทางการว่าอาหยวนมีชู้ แถมนังนั่นยังจ้างนักสืบหาหลักฐานมาด้วย ทางการเลยให้อาหยวนหย่ากับนังนั่นพร้อมจ่ายค่าเลี้ยงดู แต่ตอนนี้อาหยวนไม่มีเงินเลย ลูกต้องมีเงินเก็บอยู่แล้วใช่ไหม เอามาให้อาหยวนจ่ายค่าเสียหายก่อนได้ไหม" เยว่ซื่อพูดเสียยืดยาว สรุปก็คืออยากจะได้เงินของหลี่เหว่ยเพื่อไปให้หลี่หยวน โจวลี่อินที
หลังจากกินข้าวเช้าเรียบร้อยแล้วโจวลี่อินก็ออกไปข้างนอก หญิงสาวไปในที่ลับตาคนก่อนจะหยิบของออกมาจากมิติมากมายตามรายการที่เพื่อนของหลี่เหว่ยสั่งเอาไว้ พอเอาออกมาเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็ว่าจ้างคนให้แบกของไปส่งที่สถานีรถไฟ รออีกฝ่ายได้รับของหลังจากนั้นก็จะส่งเงินมาจ่ายค่าของโจวลี่อินทำธุระเสร็จแล้วก็ขึ้นรถประจำทางกลับบ้าน ไม่นานรถก็มาถึง หญิงสาวเดินลงจากรถก็ต้องชะงักเมื่อเจอเข้ากลับหนิงเหมย โจวลี่อินทำเป็นมองไม่เห็น กำลังจะเดินผ่านหนิงเหมยไป แต่อีกฝ่ายก็ร้องเรียกพร้อมกับเข้าไปจับแขนเรียวเอาไว้"เธอมาที่นี่ทำไม" โจวลี่อินเอ่ยถามเสียงแข็งก่อนจะสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของหนิงเหมย"คือว่าฉันอยากจะมาขอยืมเงินน่ะ" หนิงเหมยเอ่ยบอกถึงความต้องการของตนเองออกไปทันที ความจริงแล้วเธอก็ไม่อยากจะทำแบบนี้ แต่เพราะไม่มีทางออกจริงๆ ก็เลยต้องบากหน้ามาขอยืมเงินจากโจวลี่อิน"ฉันไม่มีเงินมากถึงขนาดให้ใครยืมหรอก กลับไปซะเถอะ" โจวลี่อินบอกปัดอย่างไร้เยื่อใย เรื่องอะไรเธอจะต้องให้คนที่เกลียดเธอยืมเงินด้วย"แต่ว่าฉันจำเป็นจริงๆ นะ ถ้าหากว่าไม่ได้เงินกลับไปฉันต้องตายแน่ๆ" ก่อนหน้านี้เธอโดนไล่ออกจากงานเพราะทำงานผ
หลี่เหว่ยเห็นภรรยาต้องไปขายของที่ตลาดมืดทุกวันก็รู้สึกสงสาร วันนี้ชายหนุ่มจึงออกจากบ้านเพื่อไปใช้โทรศัพท์ที่ศูนย์บริการ ชายหนุ่มโทรหาเพื่อนสนิทที่กองทัพ ตอนแรกว่าจะขอความช่วยเหลือแต่พอได้ยินว่ากองทัพกำลังขาดแคลนอาหาร ชายหนุ่มจึงคิดว่าเป็นโอกาสดีที่เขาจะหาเงินได้จากเรื่องนี้ หลี่เหว่ยจึงลองเสนอความคิดของตนเองให้เพื่อนฟังว่าเขานั้นจะหาทางส่งเสบียงอาหารไปให้แต่ของที่หายากอาจจะมีราคาแพงนิดหน่อย เพื่อนชายหนุ่มได้ฟังก็ดีใจมากบอกเพียงว่าถ้ามีอาหารส่งมาให้เขาก็พร้อมที่จะจ่ายหลี่เหว่ยจึงบอกกับเพื่อนว่าจะโทรไปแจ้งความคืบหน้าอีกทีเมื่อหาเสบียงอาหารได้ หลังวางสายจากเพื่อนชายหนุ่มก็เดินไปรอรถประจำทาง ระหว่างยืนรอรถอยู่นั้นก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาหา"ใช่พี่เหว่ยไหมคะ" หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจว่าจะใช่คนที่ตนเองรู้จักหรือไม่ เพราะเธอก็ไม่ได้เจออีกฝ่ายมานานแล้วหลี่เหว่ยมองคนตรงหน้าก่อนจะพยายามนึกว่าเคยรู้จักหญิงสาวมาก่อนไหม แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ชายหนุ่มจึงตอบรับว่าตนเองนั้นคือหลี่เหว่ยก่อนจะเอ่ยถามกลับว่าหญิงสาวเป็นใคร"ฉันถิงถิงไงคะ เคยเป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนของพี่เหว่ย" หญิงสาวเอ่ยแนะ