ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นภายในใจของคีรินทร์และอลิสาจากเหตุการณ์การประชันหน้าที่ผ่านมา ไม่ได้มีเวลาให้พวกเขาได้ไตร่ตรองนานนัก เพราะโปรเจกต์ใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมและมีความซับซ้อนมากขึ้นกำลังรออยู่ข้างหน้า โปรเจกต์นี้คือการสร้างสรรค์ คอลเลกชันพิเศษเพื่อการกุศล ร่วมกัน ซึ่งบริษัทของ คีรินทร์ จะเป็นผู้ลงทุนหลัก และ ALISA Design ของ อลิสา จะต้องรับผิดชอบด้านการออกแบบและภาพลักษณ์ทั้งหมด
การตัดสินใจเข้าร่วมโปรเจกต์นี้มาจากความต้องการของทั้งสองฝ่าย อลิสาต้องการสร้างผลงานที่มีความหมายและคืนกำไรให้สังคม ในขณะที่คีรินทร์มองเห็นโอกาสในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบริษัท และที่สำคัญที่สุดคือการได้ใช้เวลาอยู่กับอลิสามากขึ้นภายใต้สถานการณ์ที่จริงจังกว่าที่เคยเป็นมา
สิ่งนี้บังคับให้พวกเขาต้องใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น ไม่ใช่แค่ในห้องประชุมที่เต็มไปด้วยผู้บริหารคนอื่นๆ แต่ยังรวมถึงการลงพื้นที่สำรวจแรงบันดาลใจ การเข้าพบลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย การระดมสมองกับทีมงาน ไปจนถึงการทำงานจนดึกดื่นในออฟฟิศ เพื่อให้โปรเจกต์นี้บรรลุเป้าหมายตามที่วางไว้
เช้าวันหนึ่ง คีรินทร์และอลิสาต้องเดินทางไปยังสถานสงเคราะห์เด็กเล็กแห่งหนึ่งในชนบท เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการลงพื้นที่หาแรงบันดาลใจสำหรับคอลเลกชันการกุศลนี้ รถยนต์คันหรูของคีรินทร์แล่นฝ่าสายลมเย็นยามเช้าออกนอกเมืองไปเรื่อยๆ บรรยากาศภายในรถเงียบสงบ มีเพียงเสียงเพลงคลอเบาๆ
"คุณอลิสาคิดว่าการมาที่นี่จะช่วยให้เราได้ไอเดียอะไรใหม่ๆ บ้างครับ" คีรินทร์เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
อลิสาหันไปมองคีรินทร์ ใบหน้าของเธอดูผ่อนคลายกว่าปกติ "ลิซเชื่อว่าทุกสถานที่และทุกเรื่องราวล้วนมีแรงบันดาลใจซ่อนอยู่ค่ะคุณคีรินทร์ โดยเฉพาะที่นี่ ลิซเชื่อว่าเราจะได้เห็นรอยยิ้มและความหวังของเด็กๆ ซึ่งนั่นน่าจะเป็นแรงผลักดันที่ดีในการออกแบบคอลเลกชันนี้"
คีรินทร์พยักหน้าช้าๆ เขารู้สึกประทับใจในมุมมองของอลิสาที่ลึกซึ้งและมีความหมายมากกว่าที่เขาเคยคาดคิด
เมื่อไปถึงสถานสงเคราะห์เด็กเล็ก บรรยากาศภายในเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสดใสของเด็กๆ อลิสาเดินเข้าไปหาเด็กๆ อย่างเป็นธรรมชาติ เธอพูดคุย เล่น และอ่านนิทานให้เด็กๆ ฟังด้วยรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความอ่อนโยน คีรินทร์ยืนมองภาพนั้นอยู่ไม่ไกล เขาเห็นแววตาที่เปล่งประกายของอลิสาเมื่ออยู่กับเด็กๆ และรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเธอ
"คุณอลิสาดูมีความสุขมากเลยนะครับเวลาอยู่กับเด็กๆ" คีรินทร์เอ่ยขึ้นเมื่ออลิสาเดินกลับมาหาเขา
อลิสายิ้มตอบ "ค่ะ ลิซชอบเด็กๆ ค่ะ พวกเขามีความบริสุทธิ์และไร้เดียงสา ทำให้ลิซรู้สึกสบายใจเวลาอยู่กับพวกเขา"
คีรินทร์รู้สึกว่าเขาได้เห็นอลิสาในมุมที่แตกต่างออกไปจากดีไซเนอร์สาวสุดมั่นที่เขาเคยรู้จัก เธอมีมุมที่อ่อนโยนและเปี่ยมด้วยความเมตตา ซึ่งทำให้เขารู้สึกประทับใจในตัวเธอมากยิ่งขึ้น
หลังจากนั้น พวกเขาต้องเข้าประชุมกับทีมงานฝ่ายการตลาดและการออกแบบของบริษัทคีรินทร์ การประชุมดำเนินไปอย่างเข้มข้น มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อเสนอแนะมากมาย อลิสาแสดงวิสัยทัศน์ในการออกแบบที่เฉียบคมและเป็นมืออาชีพ เธอสามารถนำเสนอแนวคิดได้อย่างชัดเจน และตอบคำถามต่างๆ ได้อย่างมั่นใจ ทำให้คีรินทร์รู้สึกทึ่งในความสามารถของเธอ
"คุณอลิสานี่เก่งจริงๆ เลยนะครับ" คีรินทร์เอ่ยชมหลังจากประชุมเสร็จสิ้น
อลิสายิ้มตอบ "คุณคีรินทร์ก็เก่งไม่แพ้กันค่ะ ลิซไม่คิดเลยว่าคุณคีรินทร์จะมีความรู้เรื่องการตลาดและการสร้างแบรนด์มากขนาดนี้"
"ผมก็แค่พอมีความรู้บ้างน่ะครับ" คีรินทร์ถ่อมตัว "แต่ผมเชื่อว่าถ้าเราสองคนร่วมมือกัน โปรเจกต์นี้จะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน"
ในช่วงเวลาหลายสัปดาห์ถัดมา คีรินทร์และอลิสาต้องใช้เวลาอยู่ด้วยกันแทบทุกวัน บางครั้งพวกเขาก็ต้องเดินทางไปพบลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเพื่อทำความเข้าใจความต้องการของพวกเขา บางครั้งก็ต้องระดมสมองกับทีมงานจนดึกดื่นในออฟฟิศ เพื่อหาแนวคิดการออกแบบที่แปลกใหม่และน่าสนใจ
ในคืนหนึ่งที่พวกเขาทำงานจนดึกดื่นในออฟฟิศของ ALISA Design อลิสากำลังง่วนอยู่กับการปรับแก้แบบร่างชุด ส่วนคีรินทร์กำลังตรวจสอบงบประมาณและแผนการตลาด
"คุณอลิสาครับ คุณไม่เหนื่อยบ้างเหรอครับ ทำงานหนักขนาดนี้" คีรินทร์เอ่ยถาม เมื่อเห็นอลิสายังคงก้มหน้าก้มตาทำงานโดยไม่ปริปากบ่น
อลิสาเงยหน้าขึ้น ยิ้มบางๆ "ก็เหนื่อยบ้างค่ะ แต่ลิซชอบทำงานค่ะ ยิ่งเป็นงานที่เราตั้งใจทำเพื่อสิ่งที่ดี ลิซก็ยิ่งมีพลังค่ะ"
คีรินทร์มองอลิสาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม เขาเห็นความมุ่งมั่นและความตั้งใจในการทำงานของเธอ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเองก็มีเช่นกัน
"คุณคีรินทร์เองก็ทำงานหนักไม่แพ้กันนะคะ" อลิสาพูดต่อ "ลิซไม่เคยเห็นผู้บริหารคนไหนลงมาดูแลรายละเอียดงานด้วยตัวเองมากขนาดนี้เลยค่ะ"
คีรินทร์ยิ้ม "ผมเชื่อว่าถ้าเราอยากให้งานออกมาดี เราก็ต้องลงมือทำด้วยตัวเองครับ และผมก็อยากให้โปรเจกต์นี้ประสบความสำเร็จจริงๆ"
การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดนี้ทำให้พวกเขาได้เรียนรู้ สไตล์การทำงาน ของกันและกัน อลิสาเห็นว่าคีรินทร์เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีความเด็ดขาดในการตัดสินใจ และมีความเป็นผู้นำสูง ในขณะเดียวกัน เขาก็เป็นคนที่มีเหตุผลและพร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเสมอ
ส่วนคีรินทร์ก็ได้เห็นว่าอลิสาเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์สูง มีความมุ่งมั่นในการทำงาน และมีความรับผิดชอบในทุกรายละเอียด เธอเป็นคนละเอียดรอบคอบ และมีความสามารถในการจัดการปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม
นอกจากสไตล์การทำงานแล้ว พวกเขายังได้เรียนรู้ ข้อดีข้อเสีย และ นิสัยส่วนตัว ของกันและกันในสถานการณ์ที่จริงจังกว่าที่เคยเป็นมา คีรินทร์เริ่มเห็นว่าอลิสาไม่ใช่แค่ผู้หญิงที่ดูเย็นชาและเข้าถึงยาก แต่เธอยังมีมุมที่อ่อนโยน มีอารมณ์ขัน และมีความเป็นธรรมชาติ
ในวันหนึ่งที่พวกเขาต้องเดินทางไปพบลูกค้าที่ต่างจังหวัด คีรินทร์ขับรถยนต์ส่วนตัวของเขาไปเอง ระหว่างทาง รถของพวกเขาก็เสียกระทันหัน คีรินทร์พยายามที่จะแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง แต่ก็ทำไม่ได้ อลิสาจึงเสนอตัวที่จะช่วย
"ให้ลิซช่วยนะคะคุณคีรินทร์ ลิซพอจะมีความรู้เรื่องเครื่องยนต์อยู่บ้างค่ะ" อลิสาเอ่ยขึ้น
คีรินทร์มองอลิสาด้วยความประหลาดใจ "คุณอลิสารู้เรื่องเครื่องยนต์ด้วยเหรอครับ"
อลิสายิ้ม "ก็พอสมควรค่ะ พอดีตอนเด็กๆ ลิซชอบตามคุณพ่อไปอู่ซ่อมรถน่ะค่ะ"
อลิสาลงจากรถและเริ่มตรวจสอบเครื่องยนต์ของรถคีรินทร์ เธอทำงานอย่างคล่องแคล่วและจริงจัง คีรินทร์ยืนมองเธอด้วยความทึ่ง เขาไม่เคยคิดเลยว่าอลิสาจะมีมุมแบบนี้ด้วย ในที่สุด อลิสาก็สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้สำเร็จ ทำให้รถของพวกเขาสามารถเดินทางต่อไปได้
"คุณอลิสานี่เก่งจริงๆ เลยนะครับ" คีรินทร์เอ่ยชมด้วยความชื่นชมอย่างแท้จริง "ผมไม่คิดเลยว่าคุณอลิสาจะซ่อมรถได้ด้วย"
อลิสายิ้ม "ก็อย่างที่บอกนั่นแหละค่ะ บางทีสิ่งที่เห็นภายนอกก็อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดเสมอไปนะคะคุณคีรินทร์"
คำพูดของอลิสาทำให้คีรินทร์ชะงักไป เขาพยักหน้าช้าๆ เขารู้สึกเหมือนถูกตอกย้ำว่าสิ่งที่เขาเคยคิดเกี่ยวกับอลิสา อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดของเธอจริงๆ
การทำงานร่วมกันในโปรเจกต์สำคัญนี้ไม่ได้เป็นแค่การทำงานเพื่อเป้าหมายทางธุรกิจเท่านั้น แต่มันยังเป็นการเชื่อมโยงหัวใจของคีรินทร์และอลิสาเข้าหากันอย่างช้าๆ พวกเขาได้เรียนรู้และเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้นในทุกๆ วัน และความรู้สึกดีๆ ที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจของพวกเขาก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ทั้งคู่ยังคงรักษาฟอร์มของนักล่าไว้ พยายามไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามจับได้ว่าใครกันแน่ที่กำลังจะแพ้ในเกมแห่งหัวใจครั้งนี้
ตอนพิเศษ งานวิวาห์ของธาราและอิงดาวเสียงดนตรีไทยบรรเลงอย่างไพเราะเสนาะหู กลิ่นหอมของดอกมะลิและดอกกล้วยไม้ลอยคลุ้งไปทั่วบริเวณเรือนไทยโบราณที่ถูกประดับประดาอย่างงดงามด้วยผ้าไหมสีทองและดอกไม้นานาพันธุ์ แสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมากระทบกับเครื่องประดับทองคำที่เจ้าสาวสวมใส่ ส่องประกายเป็นประกายระยิบระยับวันนี้เป็นวันสำคัญ วันที่หัวใจสองดวงจะผูกพันกันชั่วนิรันดร์ วันวิวาห์ของธาราและอิงดาวหลังจากที่ทั้งคู่ตัดสินใจเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงที่มีต่อกัน เรื่องราวความรักของพวกเขาก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับความกังวลของครอบครัว ความไม่เข้าใจของคนรอบข้าง และแรงกดดันจากขนบธรรมเนียมประเพณีคีรินทร์และอลิสาพ่อแม่ของธารา รู้สึกประหลาดใจและกังวลใจอย่างมากเมื่อลูกชายสารภาพว่าเขารักอิงดาวเกินกว่าคำว่าน้องสาว“ธาราลูก ลูกแน่ใจหรือ” อลิสาถามด้วยน้ำเสียงกังวลใจในวันนั้น “อิงดาวเป็นลูกพี่ลูกน้องของเรานะลูก”คีรินทร์เองก็เสริม “เรื่องแบบนี้มันละเอียดอ่อนนะลูก มันอาจจะทำให้เกิดเรื่องไม่สบายใจกับครอบครัวเราได้”ทางด้านมิ้นท์และปกรณ์ พ่อแม่ของอิงดาว ก็รู้สึกไม่ต่างกันนัก โดยเฉพาะมิ้นท์ที่เป็น
ตอนที่ 131 ธาราสารภาพรักอิงดาว (ตอนจบ)สายลมยามค่ำคืนในกรุงเทพฯ พัดเอื่อยๆ เข้ามาในห้องนั่งเล่นที่เงียบสงบของธารา แสงไฟจากโคมไฟหัวเตียงสลัวๆ ส่องกระทบกับใบหน้าของธาราและอิงดาวที่นั่งอยู่บนโซฟาตรงข้ามกัน บรรยากาศเงียบงัน มีเพียงเสียงลมหายใจของทั้งคู่ที่ได้ยินหลังจากวิกฤตการณ์ทางธุรกิจเริ่มคลี่คลาย และอิงดาวได้ยุติความสัมพันธ์กับพฤกษ์ไปแล้ว ความใกล้ชิดระหว่างธาราและอิงดาวก็เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และใช้เวลาส่วนตัวร่วมกันบ่อยขึ้น สัญญาณจากใจที่ทั้งคู่ส่งออกมาเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แต่กำแพงที่มองไม่เห็นของความเป็นลูกพี่ลูกน้องก็ยังคงกั้นขวางอยู่วันนี้หลังจากที่พวกเขาเพิ่งกลับจากการทานอาหารค่ำด้วยกัน ธารารู้สึกว่านี่คือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะพูดความในใจออกไป เขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถเก็บงำความรู้สึกนี้ไว้ได้อีกต่อไปแล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เขาก็พร้อมที่จะเผชิญหน้าธาราสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่เขามี“อิงดาวครับ พี่มีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับอิงดาว” ธารากล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจังจนอิงดาวรู้สึกได้อิงดาวหันมามองธารา ใบหน้าข
ตอนที่ 130 สัญญาณจากใจหลังจากอิงดาวยุติความสัมพันธ์กับพฤกษ์ เธอกลับมาใช้ชีวิตปกติ แต่ก็ยังคงใช้เวลาอยู่กับธารามากขึ้น พวกเขาทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และใช้เวลาส่วนตัวร่วมกันบ่อยขึ้น ความรู้สึกระหว่างธาราและอิงดาวเริ่มเปลี่ยนไปอย่างละเอียดอ่อน มีสัญญาณบางอย่างที่บ่งบอกถึงความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ภายในใจของทั้งคู่ ไม่ว่าจะเป็นการมองตาที่ยาวนานกว่าปกติ การสัมผัสกันโดยบังเอิญที่ทำให้ใจเต้นแรง หรือบทสนทนาที่ลึกซึ้งเกินกว่าความเป็นพี่น้อง ธารายังคงไม่กล้าสารภาพความรู้สึกที่แท้จริงออกไป แต่อิงดาวเองก็เริ่มรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปในความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสอง บทสรุปของตอนนี้จะทิ้งท้ายไว้ให้ผู้อ่านลุ้นว่าความสัมพันธ์ของธาราและอิงดาวจะก้าวไปในทิศทางใดต่อไปในอนาคตสายลมยามเย็นพัดโชยอ่อนเข้ามาในระเบียงคอนโดมิเนียมของธารา แสงไฟจากตึกสูงระยิบระยับราวกับดวงดาวบนผืนฟ้า อิงดาวนั่งจิบชาอยู่บนเก้าอี้หวายตัวโปรดของธารา ส่วนธารากำลังง่วนอยู่กับการจัดเตรียมอาหารว่างเล็กๆ น้อยๆ หลังจากการทำงานร่วมกันอย่างหนักหน่วงเพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ทางธุรกิจของ ‘มั่งคั่งแลนด์’ บรรยากาศเงียบสงบและผ่อนคลาย
ตอนที่ 129 ความรักที่ต้องเลือกอิงดาวเริ่มทบทวนความสัมพันธ์กับพฤกษ์ เธอตระหนักว่าพฤกษ์อาจไม่ใช่คนที่เธอต้องการจริงๆ ในยามยาก และความรู้สึกที่เธอมีต่อพฤกษ์อาจเป็นเพียงความประทับใจชั่วคราว เธอตัดสินใจที่จะยุติความสัมพันธ์กับพฤกษ์ ทำให้ธารารู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก แต่เขาก็ยังคงเก็บงำความรู้สึกของตัวเองไว้ เพราะยังคงสับสนกับกำแพงของความเป็นพี่น้องที่คอยกั้นขวางพวกเขาอยู่ค่ำคืนหนึ่งที่ฝนตกหนัก เสียงฟ้าคำรามก้องสะท้อนความรู้สึกภายในใจของอิงดาวที่กำลังปั่นป่วน เธอทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวโปรดในห้องนั่งเล่นของเธอ ดวงตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่มืดมิด มือถือวางคว่ำหน้าอยู่ข้างๆ เธอไม่ได้แตะต้องมันเลยตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมา เพราะเธอกำลังจมดิ่งอยู่กับความคิดของตัวเองวิกฤตการณ์ทางธุรกิจที่ถาโถมเข้ามาได้กลายเป็นบททดสอบที่สำคัญสำหรับชีวิตของอิงดาว และรวมถึงความสัมพันธ์ของเธอกับพฤกษ์ด้วย ในช่วงที่เธอต้องเผชิญกับความยากลำบากที่สุด พฤกษ์ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอคาดหวังเธอจำได้ว่าเธอเคยรู้สึกประทับใจในตัวพฤกษ์มากแค่ไหน เขาเป็นคนฉลาด มีเสน่ห์ มีความมั่นใจ และดูเหมือนจะเข้าใจเธอในหลายๆ เรื่อง แต่เมื่อวิก
ตอนที่ 128 เมื่ออิงดาวต้องการที่พึ่งจากวิกฤตการณ์ทางธุรกิจ อิงดาวรู้สึกท้อแท้และเปราะบางมาก เธอเริ่มรู้สึกว่าพฤกษ์ไม่ได้ให้กำลังใจเธอเท่าที่ควร หรือไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังเผชิญหน้า อิงดาวหันมาพึ่งพาธารามากขึ้นเธอระบายความในใจและความกังวลให้กับธาราฟัง ธารารับฟังด้วยความเข้าใจและให้กำลังใจน้องสาวอย่างเต็มที่ เขากอดอิงดาวแน่นเพื่อปลอบประโลม เมื่ออิงดาวได้อยู่ในอ้อมกอดของธารา เธอกลับรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ธาราเองก็รู้สึกเจ็บปวดที่เห็นอิงดาวเสียใจ แต่ก็มีความสุขที่ได้อยู่เคียงข้างเธอเสียงฝนพรำนอกหน้าต่างห้องทำงานของอิงดาวในค่ำคืนที่เงียบสงัด สะท้อนกับหยาดน้ำตาที่คลออยู่เต็มดวงตาของเธอ รายงานตัวเลขผลประกอบการที่แสดงถึงการขาดทุนอย่างต่อเนื่องวางแผ่บนโต๊ะ เหมือนเป็นกระจกสะท้อนความรู้สึกท้อแท้และเปราะบางในใจของเธอ วิกฤตการณ์ทางธุรกิจที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ทำให้อิงดาวรู้สึกเหมือนกำลังจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของความสิ้นหวังเธอพยายามที่จะเข้มแข็ง พยายามที่จะยิ้มและให้กำลังใจทีมงาน แต่ลึกๆ แล้ว เธอกำลังรู้สึกโดดเดี่ยวและเหนื่อยล้าเกินกว่าจะรับไหว เธอพยายามโทรหาพฤกษ์
ตอนที่ 127 โอกาสที่ใกล้ชิดเกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ธุรกิจของอิงดาวได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ธาราในฐานะพี่ชายและผู้บริหารที่มีประสบการณ์ตัดสินใจเข้ามาช่วยเหลืออิงดาวอย่างเต็มที่ พวกเขาต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดเพื่อแก้ไขปัญหา วิกฤตการณ์นี้กลายเป็นโอกาสที่ทำให้ธาราและอิงดาวได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น และได้เห็นความสามารถและความมุ่งมั่นของกันและกันอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ธารารู้สึกดีใจที่ได้อยู่เคียงข้างอิงดาวในยามยาก แต่ก็เจ็บปวดที่ต้องเห็นอิงดาวเสียใจจากปัญหาที่เกิดขึ้นเช้าวันหนึ่ง ท้องฟ้ากรุงเทพฯ ดูจะมืดครึ้มกว่าปกติ คล้ายกับเมฆหมอกที่ปกคลุมบรรยากาศในวงการอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังเผชิญหน้ากับพายุลูกใหญ่ ข่าวใหญ่พาดหัวตามหน้าหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ข่าวธุรกิจ: “เศรษฐกิจโลกชะลอตัวหนัก ส่งผลกระทบตรงต่อภาคอสังหาริมทรัพย์” “ธนาคารเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ผู้ซื้อชะลอการตัดสินใจ”มาตรการที่เข้มงวดขึ้น รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยรวม และแน่นอนว่า ‘มั่งคั่งแลนด์’ ของอิงดาวก็ได้รับผลกระทบอย่างจัง โครงการที่กำลังพัฒนาหลายแห่