เผ่ามารนั้นตั้งอยู่ติดกับเมืองมนุษย์ แต่ทว่ากลิ่นอายขุ่นมัวที่นี่มีมากมายยิ่งนัก เทพจากบนสวรรค์หรือแม้แต่มนุษย์ที่เดินทางมาที่นี่จะต้องรีบออกไปจากเผ่ามารเมื่อครบกำหนดระยะเวลาสามปี จะต้องไปอยู่เมืองมนุษย์หนึ่งปี หรือไม่ก็กลับไปอยู่ที่สวรรค์ชั้นฟ้าหนึ่งปีถึงจะสามารถเข้ามาอยู่ในเผ่ามารใหม่ได้อีกครั้ง
ไม่อย่างนั้นจุดชีพจรจะถูกปิดกั้น หากเป็นมนุษย์จะหายใจไม่ออกจนสิ้นลมตายไป แต่หากว่าเป็นเทพ พลังปราณที่บำเพ็ญมาตลอดชีวิตจะจางหายไป สุดท้ายเมื่อเทพไม่มีพลังปราณเซียนก็จะไม่ต่างอะไรจากมนุษย์คนหนึ่ง ไอขุ่นมัวพวกนั้นจะรอคอยช่วงชิงลมหายใจจากทั้งมนุษย์และเทพบนสวรรค์ไปช้าๆ เรื่องนี้มิใช่ว่าหมิงหลันจะไม่ล่วงรู้ ท่านเทพม่อเกวียนย้ำกับนางนักหนาว่าจะมารับนางเมื่อครบกำหนดสองปี จะตั้งครรภ์หรือไม่ เรื่องนั้นไม่สำคัญเพราะว่าท่านเทพม่อเกวียนจะต้องมาพานางออกไปก่อนระยะเวลาสามปี เพราะมีเวลาอยู่ที่นี่ไม่มาก หมิงหลันจึงมิคิดรีรอเรื่องการเปิดเผยความในใจให้ท่านจอมมารได้ฟัง นางซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองและซื่อตรงต่อเขาด้วย ทว่าสีหน้าอึดอัดใจของท่านจอมมารในยามที่ท่านจอมมารคนก่อนกล่าวถึงพิธีแต่งงาน มันทำให้หมิงหลันรู้สึกว่านางบังคับและฝืนใจเขามากเกินไป จากที่จะได้ใกล้ชิดกลับต้องห่างกันเพราะว่าเขาอาจจะมองว่านางฉกฉวยโอกาสนี้เพื่อครอบครองเขา “เรื่องการแต่งงาน หมิงหลันคิดว่าไม่จำเป็นเจ้าค่ะ ข้ามาที่นี่เดิมทีก็เพื่อทำหน้าที่ของตัวเอง การแต่งงาน เมื่อคำนับฟ้าดินด้วยกันแล้วย่อมต้องใช้ฐานะของสามีภรรยาไม่แปรเปลี่ยนไปเป็นอื่น..ข้าไม่อยากกดดันท่านจอมมาร แต่หากว่าท่านจอมมารเอ่ยปากออกมาเองว่าอยากแต่งงานกับข้า หมิงหลันก็มิคิดปฏิเสธน้ำใจ..” “..ท่านพ่อและท่านแม่คงจะได้ยินที่นางกล่าวออกมาแล้วว่านางเองก็มาที่นี่เพื่อทำหน้าที่ พวกท่านโปรดวางใจเพราะเมื่อคืนวันพระจันทร์เต็มดวงแรกเดินทางมาถึง ข้าจะทำหน้าที่ของข้าเหมือนกัน พวกท่านจะได้องค์รัชทายาทเผ่ามารจากข้าอย่างแน่นอน” เทพซื่อมิ่งมองหน้าลูกชายที่กล่าวคำเช่นนั้นออกมาด้วยความมั่นอกมั่นใจ แผลในใจของหลี่เจ๋อเชี่ยนใช่ว่าจะหายได้ในเร็ววัน ขนาดร่างกายที่ได้รับแผลยังต้องใช้เวลาในการสมาน แต่ทว่าหัวใจของเจ๋อเชี่ยนนั้นใช้เวลาในการรักษาเยียวยาตัวนานนานเกินไปแล้ว สตรีใช่ว่าจะเปลี่ยนใจรวดเร็วดังสตรีนางนั้นทุกคนเมื่อไรกัน เจ๋อเชี่ยนนะเจ๋อเชี่ยน ยามนี้เจ้าถือดอกเหมยฮวาที่ทั้งงดงามและล้ำค่าอยู่ในมือและเหตุใดยังไม่ยอมปล่อยวางดอกเบญจมาศดอกเก่าทิ้งจากมือไปอีกเล่า ไม่ใช่ว่าวันข้างหน้าเจ้าจะมาร่ำไห้เสียใจที่วันนี้ไม่ยินยอมคว้าดอกเหมยฮวามาครอบครองอย่างนั้นหรือ “เขาโง่งมเหมือนข้าไม่มีผิด” ท่านจอมมารคนก่อนกล่าวเบาๆ พร้อมกับส่ายหน้าด้วยความเสียดาย “สักวันหนึ่งเขาจะตาสว่างเช่นเดียวกันกับท่าน เราแค่ต้องให้เวลาเขาสักหน่อย” “ข้าหวังว่าเวลาที่เจ้าว่ามาจะไม่สายเกินไปจนเทพบุปผาผู้นี้อดทนรอไม่ไหวหรอกใช่ไหม ซื่อมิ่งเจ้าควรจะขึ้นไปบนสวรรค์และเขียนวาสนาให้เจ๋อเชี่ยนเสียใหม่” เทพซื่อมิ่งหัวเราะเบาๆ “วาสนาเทพเซียนข้ายื่นมือเข้าไปยุ่งได้ที่ไหนกัน จากนี้ต่อไปก็สุดแล้วแต่เชี่ยนเชี่ยนเถอะ วาสนาของเขา เขาล้วนจะต้องลิขิตลงไปเอง” ........... ไป๋หมิงหลันนั่งลงที่ริมสระบัวอีกครั้ง หลังจากวันที่เข้าไปคาราวะท่านเทพซื่อมิ่งและท่านจอมมารคนก่อน นางก็มิได้พบเจอกับท่านจอมมารอีกเลย ราวกับว่าเขากำลังหลบหน้า..มิรู้ว่านี่คือการหลบหน้ากันหรือว่ามันคือการไม่อยากเห็นหน้านางกันแน่ ทั้งๆ ที่มีเวลาอยู่ที่นี่เพียงแค่สองปีเท่านั้น จะมาแกล้งๆ เดินผ่านให้เห็นหน้ากันหน่อยก็มิได้ ช่างใจร้ายยิ่งนัก หมิงหลันทอดสายตามองออกไปในสระบัว ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่นางมิได้พบเจอดอกไม้ชนิดอื่นเลย มีเพียงดอกบัวในสระเท่านั้นที่บานสะพรั่งอยู่ในสระน้ำ หมิงหลันลุกขึ้น นางแตะลงไปเบาๆ บนต้นไม้ที่อยู่ริมตำหนักที่พักของนาง สายลมเย็นพัดผ่านร่างกายของหมิงหลันไปพร้อมๆ กับ..ดอกไม้สีแดงที่ร่วงหล่นลงมาจากต้นไม้เมื่อครู่ ริมฝีปากบางพลันหยักยิ้มขึ้นมาด้วยความชอบใจ หมิงหลันวาดมือไปในอากาศอีกครั้ง ต้นไม้ทุกต้นในบริเวณนี้ที่มีแต่ใบกลับแปรเปลี่ยนเป็นต้นไม้ที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีสันสวยงามที่กำลังผลิบานส่งกลิ่นหอมที่ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย แบบนี้ค่อยสมกับเป็นที่พักของเทพบุปผาหน่อย “นี่ข้ามาผิดที่รึเปล่า? ให้ตายเถอะที่นี่ดูราวกับสวรรค์ชั้นฟ้ามากกว่าจะเป็นเผ่ามารอีกนะหมิงหลัน” หลี่เจ๋อฮั่นเดินเข้ามาพร้อมกับไหสุราในมือ เขาชูไหสุราขึ้นมาพร้อมๆ กับไก่ที่ผ่านการย่างแล้ว “อ่า..เห็นเจ้าทีไรข้าอดจะนึกถึงจอมเสเพลของสำนักจินซวนมิได้” จอมเสเพลผู้นั้นดื่มสุราแทนน้ำ มีคำกล่าวว่าแม้แต่ในยามที่เขากำลังจะตายยังร้องขอสุราแทนยารักษาโรค “ความลับของข้า..ถูกเปิดเผยแล้วสินะ จอมเสเพลผู้นั้นคงจะเป็นศิษย์น้องของข้าเพราะถึงแม้ว่าเขาจะเมามายไม่ได้สติมากแค่ไหน เขาก็เลือกที่จะนอนอยู่เฉยๆ ซึ่งมันคือการเมาที่ไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่ ดื่มสุราก็จะต้องเคล้านารีสิ..ยิ่งเป็นสตรีที่งดงามยากจะหาพบในโลกเบื้องล่างและเผ่ามารด้วยแล้ว ข้ายิ่งอยากจะดื่มสุราให้เมามายทุกวันเพื่อให้ได้พบใบหน้าของนาง..” นี่เป็น..ครั้งแรกรึเปล่า แววตาของหมิงหลันที่กำลังมองเขามันสั่นไหวเล็กๆ ราวกับระลอกคลื่นที่ซัดสาดเข้ามา มุมปากของหลี่เจ๋อฮั่นแสยะยิ้มออกมาด้วยความยินดี เหมือนกับว่าความพยายามของเขามันจะไม่สูญเปล่าเสียแล้ว เขาสามารถสั่นคลอนกำแพงสูงชันในหัวใจของนางได้บ้างแล้วสินะ ก่อนมาที่นี่เขาได้ข่าวว่าพี่ใหญ่ปฏิเสธที่จะแต่งงานกับนางเสียงแข็ง ก็ใช่นะสิคนเช่นนั้นไม่รู้จักรักหยอกถนอมบุพผางามหรอก พี่ใหญ่นั้นเป็นเหมือนท่อนไม้แข็งๆ ที่ไม่รู้จักรักใครหน้าไหนทั้งนั้น.. “แสดงว่าที่เมืองมนุษย์ยังมีสตรีงามอีกมากมายสินะเจ้าคะ ไม่อย่างนั้นการดื่มสุราของเจ้าคงไม่ก้าวหน้าถึงเพียงนี้ เพราะนารีสามารถทำให้รสขมของสุราแปรเปลี่ยนเป็นรสชาติที่หอมหวานได้..ท่านเจ๋อฮั่นถึงได้เมามายทุกวัน” ที่เขาพูดไปตั้งยืดยาว มันมิได้ซึมซาบเข้าไปในหัวใจของสตรีงามผู้นี้เลยอย่างนั้นหรือ เขามิได้หมายความถึงสตรีเมืองมนุษย์ แต่หมายถึงนางต่างหากเล่า “ข้าหมายถึงเจ้าต่างหาก..เทพบุปผาที่งดงามยิ่งกว่าหมู่มวลดอกไม้ใดๆ ในเผ่ามาร”วันเวลาที่หลี่เจ๋อเชี่ยนรอคอยในที่สุดก็เดินทางมาถึงเสียที เขารอคอยมาเนิ่นนานมากทีเดียวจนกว่าจะถึงวันที่เราได้แต่งงานกัน เขาจะได้ประกาศก้องออกไปให้ดังไกลไปทั่วสี่ทะเลแปดดินแดนว่าเทพบุปผาหมิงหลัน นางคือภรรยาของจอมมารผู้นี้“ข้ามิคิดว่าภรรยาจะสามารถงดงามได้มากยิ่งขึ้นไปอีก..”เมื่อกล่าวจบหลี่เจ๋อเชี่ยนก็หอมแก้มหมิงหลันแรงๆ ท่ามกลางพิธีแต่งงานที่พวกเขากำลังคำนับฟ้าดินท่านอดีตจอมมารถึงกับกระแอมออกมาเสียงดัง“เจ๋อเชี่ยน..ทำพิธีให้เสร็จก่อนสิเจ้าลูกคนนี้!!"เสียงหัวเราะดังขึ้นมาในทันที แขกในงานไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะได้เห็นภาพของท่านจอมมารที่ดูอ่อนโยนและทนุถนอมท่านเทพบุปผาเช่นนี้หมิงหลันร้องไห้อยู่สามวันสามคืนเลยทีเดียว ยิ่งใกล้ถึงกำหนดแต่งงานนางยิ่งรู้สึกตื้นตันใจ ทั้งๆ ที่เรามีเจ้าตัวน้อยซึ่งเป็นพยานรักตั้งสองคนแล้ว แต่หมิงหลันก็ยังอดรู้สึกตื้นตันไม่ได้ทุกที“อย่าร้องสิ ในวันแต่งานของเราเจ้าควรจะยิ้มเยอะๆ ให้ผู้คนที่มาร่วมงานลือให้ไกลเป็นพันลี้ว่าท่านจอมมารเป็นคนดียิ่งนัก เขาทำให้ภรรยาแย้มยิ้มได้ตลอดงาน..”เมื่อได้ฟังดังนั้นหมิงหลันก็หัวเราะออกมาเบาๆ“คำสาบานของข้านั้นเรียบง่ายยิ่งนัก ถึงแม
เวลาเป็นสิ่งเดียวที่เดินหน้าแล้วมักจะไม่มีวันย้อนกลับ และตัวเขา..ทำให้สตรีผู้หนึ่งเสียเวลาในชีวิตไปนานมากเลยทีเดียว“ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะคุณชาย..เชิญนั่งรอที่ชั้นบนได้เลยเจ้าค่ะ ข้าจะจัดการนำชาเลิศรสและขนมหวานที่เป็นเอกลักษณ์ของร้านน้ำชาเราไปส่งให้ท่านถึงที่โต๊ะเลย..”ท่านเทพดวงชะตาบอกกับเขาว่าเขาควรจะทำอะไรที่เป็นการไถ่โทษที่ครั้งหนึ่งเขาเคยทำให้ชีวิตของสตรีผู้หนึ่งพังลง และในยามนี้จงจิ้งโหวกำลังกระทำการไถ่โทษนางในแบบของเขาอยู่ครั้งหนึ่งเราทั้งสองคนคือสารเลว แต่ทว่าในครั้งนี้เขาจะสอนเสวียนม่านด้วยตัวเอง ว่าการทำความดีมันง่ายดายยิ่งกว่าการว่าร้ายผู้อื่น..“ข้ามาที่ร้านน้ำชาแห่งนี้บ่อยมากทีเดียว แต่กลับไม่เคยเห็นสามีของเถ้าแก่เนี้ยเลย..”เขาถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่านางคือหญิงหม้าย แต่ถึงอย่างนั้นจงจิ้งโหวคิดว่านี่คือจุดเริ่มต้นการสนทนาที่ค่อนข้างดีมากทีเดียวระหว่างเขาและนาง“ข้าไม่มีสามีเจ้าค่ะ จะเรียกว่ายังไม่มีสามีก็ยังไงอยู่ เพราะว่าข้าคือหญิงหม้ายที่พึ่งผ่านการหย่าร้างมา..คุณชายท่านนี้สนใจในตัวหญิงหม้ายผู้นี้อย่างนั้นหรือเจ้าคะ?”จงจิ้งโหวมองหน้าของเสวียนม่าน เขายกมุมปากขึ้นสูงเล็
หลี่เจ๋อเชี่ยนค่อยๆ ปรือตาขึ้นมา สิ่งแรกที่เขาสัมผัสได้คือกลิ่นหอมของหมู่มวลบุปผาพร้อมๆ กับกลิ่นไอของแสงแดดนี่เขากำลังฝันกลางวันอยู่หรืออย่างไร เผ่ามารถึงได้ดูแปลกตาเช่นนี้ เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ไร้ไอขุ่นมัว แสงของดวงตะวันสามารถส่องกระทบมาบนพื้นหญ้าได้อย่างชัดเจน และบนพื้นดินที่เคยเป็นสีดำสนิท ยามนี้มันกลับเขียวขจีไปทั่วทั้งดินแดนมวลบุปผาชูช่ออวดโฉมเบ่งบาน มุมปากของหลี่เจ๋อเชี่ยนหยักยิ้มขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดที่ฝังแน่นในใจ มิใช่ว่ายามนี้หมิงหลันอยู่ที่นี่แล้วอย่างนั้นหรือ ยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวเดินออกไปจากห้อง หมิงหลันก็เดินเข้ามาพร้อมๆ กับถาดน้ำชาในมือ สาวใช้ที่เดินตามนางเข้ามาสีหน้าไม่สู้ดีสักเท่าไหร่ อาจจะเพราะว่าพวกนางพยายามอย่างมากในการห้ามท่านเทพบุปผาไม่ให้นางทำงานแต่ด้วยนิสัยของหมิงหลันแล้ว นางไม่ถนัดเรื่องการมีคนรับใช้..เขาส่งยิ้มให้กับภรรยาผู้งดงามยิ่งกว่าผู้ใดในสี่ทะเลแปดดินแดน หลี่เจ๋อเชี่ยนเดินเข้าไปหาหมิงหลันโดนที่นางยังไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำเขาโอบกอดและฝังใบหน้าลงไปบนเรือนผมด้วยความคำนึงถึง“ภรรยา..ข้าหลับไปนานพอสมควรเลยอย่างนั้นหรือ?”หมิงหลันหลับตาลงช้าๆ นางยกมื
“ตามกฎแล้ว ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นเทพแห่งดวงชะตาแต่ทว่าข้าไม่สามารถเปิดเผยเรื่องราวของเหล่าเซียนได้เลย..”สีหน้าของท่านเทพดวงชะตานั้นเต็มไปด้วยสีหน้าขมขื่น จงจิ้งโหวปรายตามองไปยังสวนที่แสนกว้างใหญ่ของเขา“แต่ท่านก็แหกกฎนั้นเพื่อบอกท่านแม่ของข้านี่”เทพซื่อมิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่นางจะแย้มยิ้มขึ้นมาจางๆ“ข้าไม่เคยเข้าหาเจ้าเพียงเพราะว่าในอนาคตเจ้าจะได้เป็นองค์รัชทายาทหรือว่าองค์เง็กเซียนเลยแม้แต่นิดเดียว ที่ตำหนักดวงชะตาของข้านั้น ข้ามักจะชอบนั่งทำงานที่ริมหน้าต่างและเมื่อมองทอดสายตาออกมาด้านนอกหน้าต่างนั้น มันทำให้ข้าได้เห็นเด็กชายผู้หนึ่งที่นั่งอยู่เงียบๆ หน้าสระบัว..ในยามนั้นข้าเพียงคิดว่านั่นคือเรื่องราวที่แปลกพอสมควรเพราะว่าเด็กในวัยเดียวกันควรจะวิ่งเล่นหรือไม่ก็ท่องเที่ยวไปทั่วสวนของแดนบุปผาแล้ว แต่เด็กชายผู้นั้นกลับไม่กระทำการที่เด็กในวัยเด็กกันทำ ข้ามองเด็กคนนั้นมานานหลายสิบปี จนข้าตัดสินใจเข้าไปพูดคุยเพราะข้าอยากรู้ว่าอะไรกันแน่ที่ทำให้เด็กน้อยผู้นั้นดูเศร้าหมองได้ถึงเพียงนั้น การพูดคุยของข้านั้น เป็นการท้าทายความอดทนของข้ามากทีเดียวเพราะว่าเขามิได้ยินยอมพูดกับข้าในทันทีที่ข้าเอ
ท่านเทพซื่อมิ่งเดินเข้าไปหาองค์รัชทายาทจงจิ้งโหวที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้า ในมือของเด็กน้อยผู้นั้นถือถ้วยน้ำชาเอาไว้และมันยิ่งกำถ้วยในมือเอาไว้แน่นมากยิ่งขึ้นเมื่อนางเดินเข้าไปใกล้ครั้งหนึ่งเมื่อยามที่นางยังอยู่บนแดนสวรรค์ นางพบเห็นเด็กน้อยที่น่าสงสารมากกว่าใครๆ ทั้งๆ ที่เขาเป็นหนึ่งในโอรสของสวรรค์แต่ทว่ากลับมิได้รับความเคารพจากผู้ใดเลย จงจิ้งโหวเป็นเด็กที่เก็บตัวเงียบอยู่ในมุมมืดเพียงผู้เดียว ไม่ได้ออกมาวิ่งเล่นดังเช่นเด็กคนอื่น เนื่องจากหอดวงชะตาอยู่ไม่ไกลจากตำหนักชมจันทร์ที่จงจิ้งโหวอาศัย เมื่อมองเด็กน้อยผู้นี้นานๆ เข้า ท่านเทพซื่อมิ่งก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาเขา“เหตุใดถึงมีเพียงองค์ชายผู้เดียวที่มานั่งชมสระบัวอยู่ตรงนี้เพคะ”นางตามตื๊ออยู่นานทีเดียวกว่าจงจิ้งโหวจะยินยอมพูดด้วย“นี่คือบันทึก..เกี่ยวกับดวงชะตาอย่างนั้นหรือขอรับ”เขาใช้มือลูบไล้ลงไปบนแผ่นไม้ที่จารึกดวงชะตาของเหล่ามนุษย์เอาไว้ด้วยความประหลาดใจ รอยยิ้มน้อยๆ ของเด็กที่ไม่เคยพบเจอสิ่งใดนอกจากสระบัวและดวงจันทร์ข้างๆ ตำหนัก มันทำให้ท่านเทพซื่อมิ่งอดรู้สึกเวทนามิได้“พระองค์..อยากอ่านหรือไม่เพคะ”ในแววตาที่ไร้เดียงสาปรากฏร่องรอยค
“ครั้งหนึ่งยามเมื่อหมู่มวลวสันต์ผลิบาน แสงแรกของดวงตะวันฉายชัดลงมา บรรยากาศบนแดนสวรรค์นั้นทำให้ข้ารู้สึกอบอุ่น อ้อมกอดแรกของสตรีที่มิใช่มารดาโอบกอดลงมาบนร่างกายเล็กๆ ของข้า ในครั้งที่ข้าเป็นเด็ก เพราะว่าข้าคือโอรสที่เกิดจากพระสนมจึงมิมีใครคอยดูแล ยกเว้นเทพที่แสนใจดีผู้หนึ่ง นางสอนข้าเดินหมาก อ่านเขียน แต่งกลอน..”แววตาในยามที่จงจิ้งโหวกล่าวถึงสตรีผู้นั้นมันช่างดูเศร้าหมองจนหมิงหลันอดจะรู้สึกสงสารเขาไม่ได้เลย“ข้าที่ไม่มีใคร รู้สึกดีใจและขอบคุณมากๆ เมื่อท่านเทพผู้นั้นปฏิบัติกับข้าดีเหมือนกับว่าข้าคือบุตรชายของนาง..”คล้ายหัวใจของจงจิ้งโหวถูกทุบจนแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาหลับตาลงช้าๆ เพื่อข่มความเจ็บปวดเอาไว้“แล้ว..ยามนี้ท่านเทพผู้นั้นอยู่ที่ใดกันเล่าเพคะ”“...นางมิได้อยู่บนแดนสวรรค์ ข้าถูกช่วงชิงนางไปเพราะอดีตจอมมารหลงรักนางตั้งแต่แรกพบ หมิงหลันข้าน่ะไม่เคยมีใครเลยในชีวิต ข้ามีนางที่นับถือราวกับมารดาแท้ๆ เพียงผู้เดียวเท่านั้น ทว่าเรื่องน่าตลกมันเริ่มฉายชัดในยามที่ข้าเติบใหญ่ เมื่อพี่น้องทยอยล้มตายอย่างไร้สาเหตุและมีข้าเพียงผู้เดียวนั้นที่มีชีวิตรอด ข้าที่เป็นเพียงโอรสที่เกิด