Mag-log inลานพญานาค เช้าของการเดินทางกลับบ้านฉันหยิบธูป 16 ดอก บอกกล่าวปู่ศรีสัตตนาคราช ทำไมต้อง 16 ดอก ไม่ใช่ไหว้ 16 ชั้นฟ้า แต่คนที่นี้เชื่อว่าใครที่เกิดวันพฤหัสบดีต้องจุดธูป 16 ดอกเพราะนี้คือพญานาคประจำวันเกิดวันพฤหัสบดี คือ พญาศรีสัตตนาคราช เป็นพญานาคที่มี 7 เศียร และเป็นพญานาคราชประจำลุ่มแม่น้ำโขง ความเชื่อคือผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีมีพญานาคองค์นี้คอยปกป้องคุ้มครอง และการบูชาจะช่วยเสริมดวงชะตา ตอนมาพ่อของฉันกราบไหว้ท่านฝากฝั่งฉันให้อยู่ที่นี้ ตอนนี้จะกลับก็ต้องบอกกล่าวเขาเรียกว่าไปลามาไหว้ ควันธูปลวยลิ้วปากฉันสวดบทไหว้ที่เจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ตรงหน้า ก่อนจะปักธูปลงกระถางใหญ่ ก้มกราบ พอเงยหน้าขึ้นปรากฎร่างชายชราในชุดขาว ผอม ม้วยผมอย่างกับพราหมณ์ ยิ้มให้ฉัน ก่อนหันไปทางรถพี่สันที่บรรทุกข้าวของฉันอยู่ สายตาจดจ้องไปยังเพ็ญประภาที่ไม่ยอมลงรถมาด้วยทั้งสองประสานสายตาก่อนปู่จะกล่าวออกมาด้วยถ้อยคำอันน่าฉงนว่า
“นี้คือแดนดินถิ่นนาคา หากแม้นไม่ไหว้สาข้าก็ขออย่าขัดขวางผู้ผูกกรรมร่วมชาติกับสายเลือดแห่งพญานาคานาคี”
“วิถีแห่งกรรมหมุนเวียน ข้ามิอาจขัดได้แต่หน้าที่คุ้มกันภัยไม่อาจวางวายได้เช่นกัน”
เพ็ญประภาเอ่ยพลางปรากฏร่างข้างกายฉัน ปู่ศรีสัตตนาคราชส่ายหน้าไปมาพลางโบกมือสร้างม่านแก้วกั้นระหว่างฉันกับเพ็ญประภาเอาไว้
“เจ้าเป็นเทพอารักขาก็จริง แต่ข้าคือผู้เริ่มวิถีแห่งภพชาติของนางหากไม่เกี่ยวพันข้าไม่เข้ามาวุ่นวาย”
“ท่านต้องการอะไรจากนายข้า”
“ท่านเทพย่อมรู้อยู่แก่ใจใยถามข้าให้มากความ”
เพ็ญประภาเม้มปากก่อนสะบัดตัวเดินหนีไปยังรถที่จอดรอ แพรวที่นั่งไหว้อยู่ข้างๆ หันมาสบตาฉัน เธอไม่มีเซ็นท์แต่พอรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นจึงถามฉันขึ้นมาว่า
“มีเรื่องเหรอ”
“เปล่า แค่ผู้ใหญ่ต้องการคุยกับพี่ เธอไปรอที่รถก่อนนะ”
พยักหน้าว่าง่ายๆ เดินไปยังรถ ฉันยกมือไหว้ปู่สัตตาคีรี
“ตามข้ามาก่อน นังหนู”
ฉันลุกจากท่านั่งพับเพียบเดินตามปู่ที่เดินเลาะตามแนวรั้วกั้นตลิ่งตามแนวน้ำโขงที่ยกสูงจากฝั่ง
“ทุกอย่างมีเวลาของมัน เจ้าจะหลบหนีไปก็หาใช่ทางแก้”
“ไม่เข้าใจค่ะปู่ หนูก็ไม่ได้หนีอะไรนิค่ะ”
“ถูกเจ้าไม่ได้หนี แต่มีผู้นำเจ้าหลบหนี หลายภพหลายชาติแล้ว”
ยิ่งพูดยิ่ง งง ฉันยิ้มแห้งๆ ปูมองหน้าฉันก่อนเรียกชื่อฉันออกมา
“กุสุมา เจ้าไปช่วยพ่อเจ้าได้ด้วยบุญที่สะสมมา แต่ก็เป็นเหตุให้กรรมตามเจ้าทัน”
“กรรมอะไรที่หนูจะเจอ”
“ถึงเวลาเจ้าก็รู้เอง เพียงแต่ว่าอย่าหนีอีกเลย ผู้นั้นทรมาณเพราะเจ้ามาสองพันห้าร้อยปีแล้ว กึ่งพุทธกาล ให้เขาได้สงบโดยเจ้าเถอะ”
ยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจฉันนี้นะไปทำอะไรใครไว้ว่ะ โอ้ย....ปวดหัว ช่วงนี้เจอแต่เรื่องแปลกๆ ทั้งเทพทั้งพญานาคพูดจาไม่รู้เรื่อง
“พี่สุ จะแปดโมงแล้ว เดี๋ยวถึงดึกนะ”
ปู่หันสายตามองไปยังแพรว พูดพึมพำว่า
“หากไม่เคยผูกกรรมร่วมกันก็ไม่พบเจอ อภัยให้แพรวพรรณลูกหลานข้าด้วยนะ กุสุมา”
สายตาเวทนามองแพรวพรรณนั้นสื่อความหมายเชิงขอร้อง ภูมิหลังแพรวพรรณฉันรับรู้เพียงแค่ว่าแพรวเชื่อว่าตัวเองเป็นลูกหลานพญานาคมาเกิด เธอเคยเล่าให้ฉันฟังว่าตอนเธอเกิดมีงูเขียวมาเฝ้าเธอ อยู่กับเธอมาตลอดกระทั่งมีเหตุที่เธอจากบ้านไปโรงเรียนงูเขียวตัวนั้นเลื้อยมาขดตัวอยู่กับรูปถ่ายของเธอที่ตั้งบนหัวเตียง แม่ของเธอไล่ออกไป มันเลื้อยออกไปดีๆ เป็นแบบนี้ทุกวัน จนวันหนึ่งยายดีเพื่อนบ้านเห็นว่างูตัวนี้มาหลายครั้งพอเห็นมันเลื้อยลงบันไดบ้าน ยายดีก็จัดการทุบหัวฆ่าทิ้งแล้วเอาไปเผา แพรวกลับมาจากโรงเรียนพอรู้ก็ร้องไห้ แต่ยายดีอ้างว่ากลัวมาฉกคนในบ้านแพรว กับลูกหลานแกที่ชอบมาเที่ยวเล่นบ้านแพรว เรียกว่ากันไว้ดีกว่าแก้ แพรวผูกพันกับงูตัวนี้อย่างไม่มีเหตุผล บอกว่ามันไม่เคยทำอะไรแค่มาเฝ้าแพรวเท่านั้น นับแต่วันที่ยายดีตีงูจนตายแล้วเผา เป็นต้นมา ครอบครัวยายดีก็มีเรื่องจนไม่มีจะกิน ซ้ำพ่อแม่แพรวก็ยังมาแยกทางกันอีก แพรวมาใช้ชีวิตอยู่กับตาดิ้นรนจนสอบติดราชการแล้วมาบรรจุที่จังหวัดนครพรม แพรวเชื่อมากว่าตัวเองเป็นพญานาคสีขาว
ฉันเคยไปเปิดยูทูปดูคนเคยเกิดเป็นพญานาคจะมีลักษณะ รูปร่างเพรียวบาง ตาโต มีความผูกพันกับวัดวาอาราม เจ้าชู้ ซึ่งมันก็ตรงจริงๆ แพรวบ้าทำบุญเข้าวัดเข้าวา มีผู้ชายหลายคนมาชอบ ซ้ำเพ็ญประภาก็ชอบเรียกแพรวว่า นางนาคีน้อยด้วย
“หนูไม่รู้ว่าเคยทำอะไรไว้กับใคร แต่หากต้องเผชิญหน้าก็จะไม่หนีคะปู่ หนูไปก่อนนะค่ะปู่”
พูดจบฉันยกมือไหว้ลาปู่ เหมือนปู่จะรู้ว่าฉันไม่เชื่อพูดตามหลังฉันว่า
“เจ้าจะได้กลับมาที่นี้อีกครั้ง”
ฉันเดินจ้ำอ้าวขึ้นรถ ไม่สนใจในใจอยากกลับบ้านไปหาพ่ออย่างเดียว ทุกวันนี้มีเรื่องมากพอแล้ว ขี้เกียจคิดเรื่องที่ยังมาไม่ถึง
การเดินทางที่แสนยาวนานเป็นที่สิ้นสุดในเวลาเกือบห้าทุ่มถึงลำปาง กระทั่งรุ่งเช้าพี่สันกับสามีก็ขอตัวกลับไปนครพนมตั้งแต่เช้ามืด สายๆ ฉันวางแผนปฏิบัติพาแพรวท่องเที่ยวลำปางโดยมอเตอร์ไซท์อย่างกระทิงแดง ฉันมีเวลา 2 วันก่อนไปรายงานตัวที่หน่วยงานที่ศาลากลางจังหวัด
เริ่มการเดินทางโดยไปวัดพระธาตุลำปางหลวง แหล่งล้านนา แพรวสนุกกับการชมศิลปะโบราณสถานที่วัดนี้ใช้ถ่ายละครหลายเรื่อง สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสร็จ เริ่มเดินทางต่อไปที่วัดพระธาตุดอยพระฌาน อยู่ในอำเภอแม่ทะ วัดสวยบนยอดดอยพระฌาน ซึ่งนอกจากตัววัดจะมีความงดงามเแล้ว ที่นี่ยังเป็นจุดที่สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกยามเช้าได้อีกด้วย ส่วนไฮไลท์ของวัดนี้ก็คือ พระพุทธรูปไดบุตสึองค์ใหญ่โดดเด่นอยู่บนยอดเขา ราวกับอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว แต่แพรวกลับไปยืนเพ่งมองกับรูปปั้นผู้หญิงสีขาวในชุดไทยด้วยสายตาหม่นหมอง
“นี้ แม่หนู”
เป็นอีกแล้ว แพรวมักเข้าสู่ภวังค์ของความเชื่อในการเป็นพญานาคที่หนีมาเกิด จากเที่ยวสนุกๆ เกิดเป็นก๋อย จนต้องพากันลงจากวัดพากลับบ้านฉัน
“พี่สุ แพรวคิดถึงแม่นาคี แพรวฝันเห็นตลอดว่าแม่ร้องไห้ที่แพรวหนีมา”
ฉันเหล่ตามอง เอียงคอบอกแพรวไปว่า
“สงสัยแก่ต้องไปต้องกรรมฐานวิปัสสนาแล้วระลึกชาติว่าแกหนีเขามาทำไม? ถ้าหนีมาสร้างบุญกุศลมันน่าจะเป็นสิ่งดี ไม่ใช่หรือ”
“แพรวไม่รู้สงสัยกลับไปปฏิบัติธรรมอีกครั้งอธิษฐานจิตให้ได้คำตอบ”
“จะสองทุ่มครึ่งแล้วไปสถานีขนส่งกลับนครพนมได้แพรว”
“ไว้แพรวมาเที่ยวอีกนะ”
ฉันพยักหน้ายิ้มรับ แต่แม่เทพฉันส่ายหน้าพูดด้วยความกังวลใจว่า
“เพลาหน้ามาเยือน ประตูกรรมก็เคลื่อนเปิดวิถีแห่งโชคชะตาพอดี ถึงเวลานั้นข้าจะทำเช่นไรดี”
ฉันส่งกระแสจิตตอบเพ็ญประภาไปว่า
“อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดเถอะ ทุกอย่างจะได้สู่จุดสิ้นสุดสักที”
ท่ามกลางตึกอำนวยการในศาลากลางจังหวัดลำปาง ผู้คนมากมายต่างเดินไปมา เสียงรอบข้างดังไปตามจังหวะชีวิตประจำวันของคนทำงานราชการ วันนี้วันจันทร์ต้องใส่เครื่องแบบราชการสีกากี พอฉันสแกนนิ้วแล้ว เสียงสวัสดีกับไม่มีออกจากปากของคนในห้องงานบริหาร ฉันเงยหน้ามองทุกคนในห้องกวาดสายตาไปรอบๆ มีแต่คนหลบสายตาฉัน “ยุ้ย เกิดเรื่องอะไร” ฉันยิงคำถามไปยังหัวหน้าฝ่ายบริหาร คนตัวเล็กกว่าฉัน ผอมบาง ยุ้ยไม่ตอบส่งสายตาแบบสังเวทให้ฉัน ก่อนจะเดินไปไปหยิบแฟ้มที่มีเอกสารอยู่ด้านใน “พี่เอาไปอ่านเองเถอะ” ฉันถือแฟ้มเดินเข้าห้องงานบัญชี แผนกฉัน คนรูปร่างสันทัด อวบอิ่ม ผมยาวประบ่าคือพี่ติ้มมองแฟ้มในมือฉัน “อะไร” ฉันไม่ตอบแต่เปิดแฟ้มหยิบเอกสารมาอ่าน ทุกบรรทัดทุกตัวอักษรทำให้ฉันเคร่งเครียดระคนความโกรธ จนเผลอขยำกระดาษ พี่ติ๋มจับมือฉันแกะเอากระดาษออกมาอ่าน “หนังสือคำสั่งนิ ให้นางสาวจารุวรรณ วงศ์วาน ลงในหน่อยงานเรา แล้วสุล่ะ” ใช่หนังสือโยกย้ายไม่มีชื่อฉัน สัญญาบ้าๆ ที่ผู้ใหญ่บอกฉันให้มาช่วยราชการการ 6 เดือน แล้วจะให้ลงตำแหน่งจริง ตอน
เอวังวันทา อาระหังมังสา วิทาเทมิ อุทะทามา เวระมะสิ กุฑะมะกะ สองมือกูถือง้าว สองเท้าเหยียบอาทิตย์ พิชิตทำลาย พยัคฆ์สาอาสัญจงบรรลัยสิ้นพัน ขอถอดถอนมนต์ตราสิ้นคณาฤทธิ์มนตราตลอดไปเอ๋ย พรู แรม 15 ค่ำ เดือน 12 มันคือวันพระเดือนดับ อาคมถูกเป่าออกไปโดยปูเสือขาวในร่างของฉันที่อยู่ในชุดขาวนุ่งโจงกระเบน ฉันนั่งขัดสมาธิหยดเทียนลงขันเงิน หรือสลุงเงิน ดอกเทียนที่หยดลงน้ำไม่มีแตกแสดงถึงการสัมฤทธิ์ในมนต์ตราถอดถอนอาคมสมิงพรายแดงผู้ซึ่งเคยเป็นศิษย์สำนักเดียวกับพ่อของฉัน สองมือฉันจับมีดหมอถอดออกจากด้าม ก่อนทำพิธีตัดรูปปั้นเสือดินเหนียวตากแห้งที่พี่ทอนลูกสาวผู้เป็นอาจารย์ของพ่อฉันปั้นให้ตามคำสั่งของปูเสือขาวที่ผ่านร่างฉันบอกกล่าวเขา มีดเจ็ดป่าช้าลงอาคมตัดหัวเสือ ร่ายมนต์ตราถลกหนัง พอวางมีดจับเทียนส่องจึงรับรู้ได้ว่า เสือสมิงสิ้นฤทธิ์แล้วเหลือเพียงความเป็นคนธรรมดาทีไม่มีวิธีอาคม “อีหนูมึงให้กูใช้ร่างเพื่อช่วยลูกหลานเนรคุณหน่อยเถอะ ร่างมึงสะอาด จิตใจเมตตาเป็นแรงอำนาจแห่งการไว้ชีวิตผู้ที่คิดใช้ไสยเวชทำร้ายพ่อมึง
ลานพญานาค เช้าของการเดินทางกลับบ้านฉันหยิบธูป 16 ดอก บอกกล่าวปู่ศรีสัตตนาคราช ทำไมต้อง 16 ดอก ไม่ใช่ไหว้ 16 ชั้นฟ้า แต่คนที่นี้เชื่อว่าใครที่เกิดวันพฤหัสบดีต้องจุดธูป 16 ดอกเพราะนี้คือพญานาคประจำวันเกิดวันพฤหัสบดี คือ พญาศรีสัตตนาคราช เป็นพญานาคที่มี 7 เศียร และเป็นพญานาคราชประจำลุ่มแม่น้ำโขง ความเชื่อคือผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีมีพญานาคองค์นี้คอยปกป้องคุ้มครอง และการบูชาจะช่วยเสริมดวงชะตา ตอนมาพ่อของฉันกราบไหว้ท่านฝากฝั่งฉันให้อยู่ที่นี้ ตอนนี้จะกลับก็ต้องบอกกล่าวเขาเรียกว่าไปลามาไหว้ ควันธูปลวยลิ้วปากฉันสวดบทไหว้ที่เจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ตรงหน้า ก่อนจะปักธูปลงกระถางใหญ่ ก้มกราบ พอเงยหน้าขึ้นปรากฎร่างชายชราในชุดขาว ผอม ม้วยผมอย่างกับพราหมณ์ ยิ้มให้ฉัน ก่อนหันไปทางรถพี่สันที่บรรทุกข้าวของฉันอยู่ สายตาจดจ้องไปยังเพ็ญประภาที่ไม่ยอมลงรถมาด้วยทั้งสองประสานสายตาก่อนปู่จะกล่าวออกมาด้วยถ้อยคำอันน่าฉงนว่า “นี้คือแดนดินถิ่นนาคา หากแม้นไม่ไหว้สาข้าก็ขออย่าขัดขวางผู้ผูกกรรมร่วมชาติกับสายเลือดแห่งพญานาคานาคี” “วิถีแห่งกรรมหมุนเวียน ข้ามิอาจขัดได้แต่หน้าที่คุ้มกันภัยไม่อาจวาง
ผมยาวพลิ้วไหวตามสายลมที่พัดผ่านยามสองเท้าของฉันเหยียบอยู่ริ่มฝั่งแม่น้ำโขงฝั่งไทยบริเวณที่เรียกว่าลานพญานาค ไม่ไกลจากฉันมีรูปจำลองพญาศรีสัตตนาคราช" รูปลักษณะเป็นองค์พญานาค 7 เศียร ประทับพักอิริยาบทสงบนิ่งขดลำตัว 3 ชั้น ตอนนี้ฉันอยู่สุดดินแดนไทยอย่างนครพนม สายตาฉันมองไปฝั่งลาว แม่น้ำโขงดูกว้างใหญ่เหมือนทะเล “นายเจ้าขา ขยับเท้าออกห่างมาหน่อย พลาดพลั้งตกน้ำไปเดี๋ยวได้ไปเป็นเมียนาคนาคาพอดี” เสียงหวานนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน คือแม่เทพพรายตานีที่เก็บมาได้เมื่อสองปีก่อนที่บ้านเจ้าโจ้ ฉันเหลียวหลังไปมองเธอก่อนหันสายตามองฝั่งตรงข้าม “ดื้อด้านอะไรเยี่ยงนี้ เตือนแล้วยังไม่ว่าที รีบขวนขวายถอยออกมาเร็ว” “จริงจังไปได้ ถึงเป็นเมืองพญานาคใช่ว่าจะโผล่ออกมาคว้าใครต่อใครไปเป็นเมีย เขาก็เลือกเหมือนกัน” หญิงสาวผู้สวมเครื่องทรงสีทอง สวมรัดเกล้าประดับพลอยนพเก้า ใบหน้าเต็มด้วยออร่าสว่างมองไปยังน้ำโขง เบ้ปากกล่าวอย่างมีเลศนัยออกมาว่า “ใช่เจ้าค่ะ เขาเลือกเหมือนกัน ถ้าไม่เคยเกี่ยวพันเขาไม่มาราวี หากแม้นหนีได้ก็หนีให้พ้นเทอญเจอะเจอเมื่อไหร่ไม่แคล
แสงไฟสีขาวบนเพดานเลื่อนผ่านตามทางเดินที่เตียงเข็นคนไข้ผ่าตัดอย่างฉันไปสู่ห้องผ่าตัดขนาดเล็ก ความหนาวเย็นยะเยือกเข้าสู่ผิวกายแทรกซึมสู่กระดูกข้างใน ฉันได้แต่มองไปรอบๆ เมื่อเตียงเข็นมาหยุดที่ห้องผ่าตัดห้องหนึ่งในโรงพยาบาล พร้อมเสียงพยาบาลบอกว่า “หยุดรอต้องนี้ก่อน เดี๋ยวไปเตรียมเครื่องมือให้คุณหมอก่อนคะ” ใช่ ฉันกำลังจะเข้าสู่การผ่าตัดมดลูกแบบส่องกล้อง มดลูกที่ไม่เคยผ่านการใช้งานใดๆ มาก่อน ตัดทิ้งเหลือแต่รังไข่สองข้างเอาไว้ เพราะมดลูกโตและหมอสูติวินิจฉัยว่าเกินเยียวยาต้องตัดทิ้ง ทำให้ฉันเป็นสาวพรหมจรรย์ตลอดชีพ 37 ปีมานี้สูญสิ้นทุกอย่างไม่แม้แต่คำว่าแม่ ฉันก็ไม่อาจได้รับโอกาสเป็นได้ ตลกสิ้นดีรู้งี้ฉันน่าจะหัดอ่อยเหยื่อกินตับผู้ชายเล่นตั้งแต่แตกเนื้อสาว ไม่ปล่อยให้ตัวเองเฉ่ามาถึงตอนนี้ เฮ้ย...ได้แต่คิดทำไม่ได้เพราะฉันเกิดมาไม่เหมือนชาวบ้าน เพราะอะไรเหรอ ก็เพราะฉันเป็นคนที่เกิดมามีดวงตาที่สามตั้งแต่เกิด ไอ้ที่ชาวบ้านมองไม่เห็นกันหรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า ผี นั้นแหละ ฉันสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ไม่ใช่แค่ผี พระภูมิเจ้าที่ นางไม้ นางตะเคียน นางตานี เห็น







