Mag-log inเอวังวันทา อาระหังมังสา วิทาเทมิ อุทะทามา เวระมะสิ กุฑะมะกะ สองมือกูถือง้าว สองเท้าเหยียบอาทิตย์ พิชิตทำลาย พยัคฆ์สาอาสัญจงบรรลัยสิ้นพัน ขอถอดถอนมนต์ตราสิ้นคณาฤทธิ์มนตราตลอดไปเอ๋ย
พรู
แรม 15 ค่ำ เดือน 12 มันคือวันพระเดือนดับ อาคมถูกเป่าออกไปโดยปูเสือขาวในร่างของฉันที่อยู่ในชุดขาวนุ่งโจงกระเบน ฉันนั่งขัดสมาธิหยดเทียนลงขันเงิน หรือสลุงเงิน ดอกเทียนที่หยดลงน้ำไม่มีแตกแสดงถึงการสัมฤทธิ์ในมนต์ตราถอดถอนอาคมสมิงพรายแดงผู้ซึ่งเคยเป็นศิษย์สำนักเดียวกับพ่อของฉัน
สองมือฉันจับมีดหมอถอดออกจากด้าม ก่อนทำพิธีตัดรูปปั้นเสือดินเหนียวตากแห้งที่พี่ทอนลูกสาวผู้เป็นอาจารย์ของพ่อฉันปั้นให้ตามคำสั่งของปูเสือขาวที่ผ่านร่างฉันบอกกล่าวเขา มีดเจ็ดป่าช้าลงอาคมตัดหัวเสือ ร่ายมนต์ตราถลกหนัง พอวางมีดจับเทียนส่องจึงรับรู้ได้ว่า เสือสมิงสิ้นฤทธิ์แล้วเหลือเพียงความเป็นคนธรรมดาทีไม่มีวิธีอาคม
“อีหนูมึงให้กูใช้ร่างเพื่อช่วยลูกหลานเนรคุณหน่อยเถอะ ร่างมึงสะอาด จิตใจเมตตาเป็นแรงอำนาจแห่งการไว้ชีวิตผู้ที่คิดใช้ไสยเวชทำร้ายพ่อมึง แต่การแทรกกรรมก็ส่งผลกระทบต่อชะตามึงเหมือนกัน พ่อมึงดวงตกใกล้หมดอายุขัยจึงโดนคุณไสยเล่นงานง่าย แต่กูก็ไม่เข้าข้างคนผิด แม้เป็นลูกหลานสายตรงถ้าผิดครูก็ต้องลงโทษถอดถอนอาคมออกให้หมด หากกูใช้ร่างพ่อมึงต่อสู้จะกลายเป็นฟาดฟันอาจถึงชีวิตทั้งสองฝ่าย แต่มึงเป็นหญิงอำนาจจะเบาบางพอเพียงไว้ชีวิตได้ทั้งสองฝ่าย กูไม่หมายเอาถึงชีวิตแต่ต้องหยุดยั้งการกลืนกินวิชา”
เสียงถอนหายใจยาวทำให้ฉันรู้ว่า วิญญาณก็มีความเหนื่อยหน่ายอาคมสายขาวคือการรับแก้ไม่รับทำ อาคมสายดำรับทำ พ่อฉันเป็นศิษย์สายนอกไม่ใช้สายเลือดที่สืบต่อกันมาในตาคล้ายครูผู้สอนวิชาอาคมให้พ่อฉันหรือพ่อพี่ทอน ส่วนฉันเป็นผู้มีลักษณะพิเศษสามารถสื่อสารวิญญาณ และมีจิตอันเป็นดวงแก้วบริสุทธิ์สามารถรองรับอาคมสะท้อนกลับได้ แม้สะท้อนกลับได้ก็ได้รับผลกระทบคือการเจ็บป่วยบ่อยๆ ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เรื่องราวการแก้คุณไสยด้วยฉันต้องเข้ามาแทรกเพราะผู้มีอาคมสายเลือดที่แท้จริงพากันเข่นฆ่าเอาวิชาของแต่ละฝ่ายมาเป็นของตน แต่วิชาคงกระพันกลับมาอยู่ที่พ่อฉัน เสือสมิงที่ชื่อลุงแดงจึงหมายหัวพ่อฉันไว้ กะจะเก็บเป็นคนสุดท้าย แต่เขาคิดไม่ถึงว่าจะมีฉัน ปูเสือขาววิญญาณบรมครูจะใช้ร่างกายฉันโต้กลับด้วยตนเองโดยที่ฉันไม่ต้องร่ำเรียนวิชาอาคม
นับตั้งแต่ฉันรายงานตัวกับหน่อยงานมาประจำที่จังหวัดลำปาง ในแผนกนักตรวจบัญชีของฝ่ายไม่ถึงเจ็ดวัน ฉันได้รับสารจากครูพ่อหรือที่เรียกว่าปูเสือขาวให้เตรียมพร้อม พี่ทอนมาถึงบ้านของฉัน บ้านสองชั้น หน้าบ้านปลูกต้นมะยงชิด ลานหน้าบ้านโต๊ะรับแขกไม้สัก พี่ทอนกับพี่สมนำมีดเจ็ดป่าช้ามามอบให้ฉันขณะที่พ่อฉันนอนป่วยอยู่ การป่วยไม่ได้เกิดจากโรคแต่เกิดจากคุณไสย
“สุจะทำยังไงต่อ ทางโน้นเล่นตั้งแท่นพิธีใหญ่”
ฉันเงยหน้าประสานสายตากกัเพ็ญประภาที่ยืนอยู่ข้างขวามือ ส่วนข้างซ้ายเป็นปู่เสือขาว
“บอกมันว่า กูจะจัดการเองให้มันปั้นดินเหนียวรูปเสือสมิง ลงชื่อไอ้แดง พร้อมวันเดือนปีเกิดของมันลง”
ฉันบอกพี่ทอนตามนั้น พี่ทอนสีหน้ากังวลใจ
“บอกพวกมันกูไม่เอาถึงตาย แค่ถอดถอนวิธีอาคมมันออกไป มันจะใช้วิชาอาคมต่อไปไม่ได้ นังหนูเจ้าเตรียมตัวถือศีล ข้าจะทำพิธี”
“ชิฉะ ตาเฒ่าจะใช้ร่างนายข้าไม่ถามข้าสักคำเหรอว่าอนุญาตไม๊”
“นังเทพ แม้เจ้าสูงศักดิ์ แต่ข้าก็เป็นถึงบรมครูฤาษีเพชรฉลูกัณฑ์”
ถูกต้อง ปูเสือขาวคือปู่ฤาษีเพชรฉลูกัณฑ์ เป็นครูแห่งเวทมนต์ คาถาต่าง ๆ ทรงถือเพศเป็นโยคีมีตบะแรงกล้า เชี่ยวชาญพระเวทย์มนต์คาถา เลขยันต์ ต่าง ๆ ได้รับการยกย่องว่า เป็นครูของการเรียนคาถาอาคมต่างๆ
“บรมครูก็จริง แต่ข้าเป็นเทพอารักขาของเขา”
“ข้าจำเป็น ต้องใช้ร่างนังหนูฟาดฟัน หากใช้ร่างไอ้เสียมพ่อมัน อายุขัยจะขาดทันที”
ได้ยินอย่างนั้นฉันเงยหน้าประสานสายตาของพ่อปู่ทันที พ่อปู่พยักหน้า ฉันหลับตาสงบใจ เวลานี้ฉันยังไม่พร้อมให้พ่อฉันเป็นอะไรไปต่อหน้า ขอเวลาให้ฉันได้อยู่ให้พ่อได้เห็นฉันเติบโตในอาชีพข้าราชการอีกสักระยะหนึ่งให้ฉันรู้สึกว่าได้ทำให้พ่อภูมิใจ
“พี่ทอนกลับบ้านไปทำตามที่พ่อปู่บอกเถอะ พอถึงวันโกนค่อยเอาของมาให้สุ สุจะแก้ไขปัญหานี้เอง”
พอพี่ทอนกลับ ฉันหันมาถามพ่อปู่เรื่องพ่อ
“พ่อปู่รู้วิธีต่ออายุพ่อไหมค่ะ”
“รู้ แต่รอเจ้าทำงานสำเร็จก่อนข้าจะบอกเอ็งนังหนู”
นี้คือเหตุการณ์ที่เกิดก่อนพิธีจะดำเนินการเสร็จสิ้น ตอนแรกก็นึกว่าจะร่ายมนต์ตรา เกิดพายุฟ้าฝนคะนอง ไม่ใช่เลย เดือนดับก็จริง เงียบกริบทุกอย่าง หมาสักตัวก็ไม่หอน พ่อปู่หัวเราะหึๆ พลันออกจากร่างฉัน
“สำเร็จแล้ว ไม่มีการสูญเสีย”
ฉันเปลี่ยนท่านั่งเป็นพับเพียบมองท่านผู้เฒ่าที่อายุยาวนาน ท่านเหมือนรู้ว่าฉันรอคำพูดอะไร เอ่ยวาจาออกมาว่า
“ทุกอย่างบนโลกล้วนแต่แลก เจ้าจะเอาอะไรมาแลกกับอายุขัยของพ่อเจ้า”
ฉันนิ่งไปชั่วครู่
“อายุขัย”
“อย่านะนาย มันไม่คุ้ม เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นเรื่องธรรมชาติเราเลี่ยงไม่ได้”
“ถูกต้องนังเทพ แต่เจ้าอย่าลืมกรรมนังหนูนี้มีกรรมต้องชำระ ชะตาก็ไม่อาจเลี่ยงได้เช่นเดียวกัน”
“ตกลงจะช่วยหรือทำลายกันแน่”
“ข้าพูดความจริง นังหนูแม้เจ้ามีสิ่งแลก แต่จะไปขอกับผู้ใด”
“หนูไม่รู้ พ่อปู่เมตตาเถอะ”
“ท่านเทพก็รู้เหมือนข้าใยใจดำไม่บอกกล่าวนังหนูมันล่ะ”
ฉันหันขวับมองไปยังเพ็ญประภาที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะยอมเอ่ยบางอย่างออกมาเมื่อฉันเล่นจ้องเขม็ง
“ข้าไม่เอ่ย ตาเฒ่า ท่านเอ่ยเถอะ ยังไงเสียข้าก็คือเทพอารักขา”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เทพอารักขาที่พานังหนูหลบเวรกรรมมันไม่ถูกนะ ท่านเทพเพ็ญประภา พญานา....”
“อย่าเชียวนะ!”
“ฟังข้านะนังหนู จะแลกอายุขัยต้องไปขอกับพระพุทธรูปที่ทรงเครื่อง แต่ผู้ขอต้องเป็นผู้มีลักษณะพิเศษก็คือเจ้า แต่เจ้าต้องยอมรับชะตากรรม เจ้านอกจากจะอายุสั้นลงแล้วยังต้องเจอกับเคราะห์กรรมต่างๆ เร็วขึ้น มันอาจไม่ทันให้บุญบารมีเจ้าสะสมได้ทันเพื่อตั้งรับ ใช้สติ เมตตานะนังหนู”
กล่าวจบก็หายแวบไป เพ็ญประภาทำหน้า ฉันยิ้มร่าๆ บอกว่า
“ทุกคนล้วนต้องตาย ช้าเร็วเท่านั้น แต่ที่ฉันต้องการคือความสุขของพ่อที่จะได้รับ จะขอ 10 ปีให้พ่อได้ทันเห็นฉันได้เป็นใหญ่เป็นโต ฉันเชื่อว่าอายุขัยฉันยาวแบ่งไปนิดเดียวคงไม่เป็นไร ถ้า 80 ปี ฉันก็จะไปตอน 70ปี พอดีเลย ไม่ต้องหงำเหงือก"
“ความลับสวรรค์ เพ็ญประภาบอกนายไม่ได้หมด ความตายจะมาเยือนเมื่อไหร่มิอาจให้ผู้ใดล่วงรู้ได้ แต่ข้ารับรองว่านายจะมีผู้รอรับเจ้าค่ะ”
“งั้นก็ดี จะได้ไม่เหงา”
หลังจากคืนเดือนดับ รุ่งเช้าพ่อก็ลุกขึ้นได้ ท่านซักถามฉันเพราะสัมผัสได้กับพ่อปู่ ฉันเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แต่ไม่บอกเรื่องต่ออายุ จนถึงวันเสาร์ฉันแต่งชุดไทยสีขาว มายังวัดพระธาตุลำปางหลวง เพ็ญประภาไม่อาจเข้ามายังสถานที่เก็บพระแก้วดอนเต้าหรือที่เจ้าบ้านเรียกติดปากว่าพระเจ้าแก้วมรกตเหมือนคนกรุงเทพ ฉันต้องกราบท่องบทไหว้ที่ตั้งตรงหน้า ตั้งจิตอธิษฐาน
“ลูกขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ฟังคำขอของลูก โปรดดลบันดาลให้พ่อลูกมีอายุยืนยาวไปอีก 10 ปี ด้วยอายุขัยของลูก โปรดเมตตาให้พ่อของลูกได้หายป่วย มีชีวิตได้เห็นลูกประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานในราชการ ขอเพียงความภูมิใจที่ท่านอยากเห็นในตัวลูก ลูกยอมแลกค่ะ”
พอฉันก้มกราบ ฉันสัมผัสการสั่นสะเทือนของแผ่นดิน ผู้คนที่กำลังกราบไว้กันพากันบอกให้อยู่นิ่ง ๆ แผ่นดินไหว ฉันหันรีหันขวาง งงๆ ทำไม ทำไม ตอนทำพิธีไสยเวทไม่มีปรากฏการณ์อัศจรรย์ใดๆ พอมาขอแลกอายุขัยใยแผ่นดินไหวได้ง่ะ
“ตายแล้ว ตายแล้ว สุริยะกาศได้เหยียบอกข้าเป็นแน่ ตอนนี้เจ้านั้นหลุดออกมาแล้ว”
ณ ถ้ำมืดโขงเจียง พื้นแผ่นดินสนั่นหวั่นไหว ในเมืองลับแลชายฉกรรจ์สองร่างแต่งกายเปลือยท่อนอก นุ่งผ้าเตี่ยว(ผ้าเตี่ยวหรือผ้าเตี่ยวแบบกางเกง เป็นเครื่องแต่งกายพื้นฐานที่มักสวมใส่เป็นเครื่องแต่งกายเพียงอย่างเดียว)
“อนาคิน...ตื่นแล้ว”
ร้องเอะอะโวยวายดังเป็นท่อนๆ ยาวต่อๆ กันไป เมื่อชายฉกรรจ์ ร้องต่อกันไปยังเบื้องหน้าที่เป็นทางคดเคี้ยว เขาทั้งสองยืนอยู่หน้าประตู สัมผัสได้ถึงสัตว์ที่มีร่างกายกำยำบึกบึน มีขนาดใหญ่ เกล็ดกายสีดำนิลเลื้อยคลานขยับกายคดเคี้ยวไปมา ก่อนค่อยๆ ลืมตา
“อนาคิน เจ้าตื่นแล้วรึ”
ไม่มีเสียงตอบ มีแต่กายเกร็ดสีนำนิลกลายร่างเป็นชายหนุ่มผิวทองแดง ผมยาวปะบ่า หนวดเครารุงรัง นัตย์ตาดำขลับคมเข้มดูงดงามยิ่งกว่าส่วนใดของร่างกาย จมูกโด่งเป็นสัน ยืนจ้องมองพวกพ้องสองตนด้วยสายตาดุดันก่อนจะเงยหน้ามองเบื้องฟ้า
“พี่สัมผัสเจ้าได้แล้ว แม้เพียงเสี้ยวพี่ก็จดจำไม่ลืมเลือน ต่อแต่นี้พี่จะภาวนาสัมผัสดวงจิตของเจ้าว่าอยู่แห่งหนใดให้ได้ กุสุมา”
ท่ามกลางตึกอำนวยการในศาลากลางจังหวัดลำปาง ผู้คนมากมายต่างเดินไปมา เสียงรอบข้างดังไปตามจังหวะชีวิตประจำวันของคนทำงานราชการ วันนี้วันจันทร์ต้องใส่เครื่องแบบราชการสีกากี พอฉันสแกนนิ้วแล้ว เสียงสวัสดีกับไม่มีออกจากปากของคนในห้องงานบริหาร ฉันเงยหน้ามองทุกคนในห้องกวาดสายตาไปรอบๆ มีแต่คนหลบสายตาฉัน “ยุ้ย เกิดเรื่องอะไร” ฉันยิงคำถามไปยังหัวหน้าฝ่ายบริหาร คนตัวเล็กกว่าฉัน ผอมบาง ยุ้ยไม่ตอบส่งสายตาแบบสังเวทให้ฉัน ก่อนจะเดินไปไปหยิบแฟ้มที่มีเอกสารอยู่ด้านใน “พี่เอาไปอ่านเองเถอะ” ฉันถือแฟ้มเดินเข้าห้องงานบัญชี แผนกฉัน คนรูปร่างสันทัด อวบอิ่ม ผมยาวประบ่าคือพี่ติ้มมองแฟ้มในมือฉัน “อะไร” ฉันไม่ตอบแต่เปิดแฟ้มหยิบเอกสารมาอ่าน ทุกบรรทัดทุกตัวอักษรทำให้ฉันเคร่งเครียดระคนความโกรธ จนเผลอขยำกระดาษ พี่ติ๋มจับมือฉันแกะเอากระดาษออกมาอ่าน “หนังสือคำสั่งนิ ให้นางสาวจารุวรรณ วงศ์วาน ลงในหน่อยงานเรา แล้วสุล่ะ” ใช่หนังสือโยกย้ายไม่มีชื่อฉัน สัญญาบ้าๆ ที่ผู้ใหญ่บอกฉันให้มาช่วยราชการการ 6 เดือน แล้วจะให้ลงตำแหน่งจริง ตอน
เอวังวันทา อาระหังมังสา วิทาเทมิ อุทะทามา เวระมะสิ กุฑะมะกะ สองมือกูถือง้าว สองเท้าเหยียบอาทิตย์ พิชิตทำลาย พยัคฆ์สาอาสัญจงบรรลัยสิ้นพัน ขอถอดถอนมนต์ตราสิ้นคณาฤทธิ์มนตราตลอดไปเอ๋ย พรู แรม 15 ค่ำ เดือน 12 มันคือวันพระเดือนดับ อาคมถูกเป่าออกไปโดยปูเสือขาวในร่างของฉันที่อยู่ในชุดขาวนุ่งโจงกระเบน ฉันนั่งขัดสมาธิหยดเทียนลงขันเงิน หรือสลุงเงิน ดอกเทียนที่หยดลงน้ำไม่มีแตกแสดงถึงการสัมฤทธิ์ในมนต์ตราถอดถอนอาคมสมิงพรายแดงผู้ซึ่งเคยเป็นศิษย์สำนักเดียวกับพ่อของฉัน สองมือฉันจับมีดหมอถอดออกจากด้าม ก่อนทำพิธีตัดรูปปั้นเสือดินเหนียวตากแห้งที่พี่ทอนลูกสาวผู้เป็นอาจารย์ของพ่อฉันปั้นให้ตามคำสั่งของปูเสือขาวที่ผ่านร่างฉันบอกกล่าวเขา มีดเจ็ดป่าช้าลงอาคมตัดหัวเสือ ร่ายมนต์ตราถลกหนัง พอวางมีดจับเทียนส่องจึงรับรู้ได้ว่า เสือสมิงสิ้นฤทธิ์แล้วเหลือเพียงความเป็นคนธรรมดาทีไม่มีวิธีอาคม “อีหนูมึงให้กูใช้ร่างเพื่อช่วยลูกหลานเนรคุณหน่อยเถอะ ร่างมึงสะอาด จิตใจเมตตาเป็นแรงอำนาจแห่งการไว้ชีวิตผู้ที่คิดใช้ไสยเวชทำร้ายพ่อมึง
ลานพญานาค เช้าของการเดินทางกลับบ้านฉันหยิบธูป 16 ดอก บอกกล่าวปู่ศรีสัตตนาคราช ทำไมต้อง 16 ดอก ไม่ใช่ไหว้ 16 ชั้นฟ้า แต่คนที่นี้เชื่อว่าใครที่เกิดวันพฤหัสบดีต้องจุดธูป 16 ดอกเพราะนี้คือพญานาคประจำวันเกิดวันพฤหัสบดี คือ พญาศรีสัตตนาคราช เป็นพญานาคที่มี 7 เศียร และเป็นพญานาคราชประจำลุ่มแม่น้ำโขง ความเชื่อคือผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีมีพญานาคองค์นี้คอยปกป้องคุ้มครอง และการบูชาจะช่วยเสริมดวงชะตา ตอนมาพ่อของฉันกราบไหว้ท่านฝากฝั่งฉันให้อยู่ที่นี้ ตอนนี้จะกลับก็ต้องบอกกล่าวเขาเรียกว่าไปลามาไหว้ ควันธูปลวยลิ้วปากฉันสวดบทไหว้ที่เจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ตรงหน้า ก่อนจะปักธูปลงกระถางใหญ่ ก้มกราบ พอเงยหน้าขึ้นปรากฎร่างชายชราในชุดขาว ผอม ม้วยผมอย่างกับพราหมณ์ ยิ้มให้ฉัน ก่อนหันไปทางรถพี่สันที่บรรทุกข้าวของฉันอยู่ สายตาจดจ้องไปยังเพ็ญประภาที่ไม่ยอมลงรถมาด้วยทั้งสองประสานสายตาก่อนปู่จะกล่าวออกมาด้วยถ้อยคำอันน่าฉงนว่า “นี้คือแดนดินถิ่นนาคา หากแม้นไม่ไหว้สาข้าก็ขออย่าขัดขวางผู้ผูกกรรมร่วมชาติกับสายเลือดแห่งพญานาคานาคี” “วิถีแห่งกรรมหมุนเวียน ข้ามิอาจขัดได้แต่หน้าที่คุ้มกันภัยไม่อาจวาง
ผมยาวพลิ้วไหวตามสายลมที่พัดผ่านยามสองเท้าของฉันเหยียบอยู่ริ่มฝั่งแม่น้ำโขงฝั่งไทยบริเวณที่เรียกว่าลานพญานาค ไม่ไกลจากฉันมีรูปจำลองพญาศรีสัตตนาคราช" รูปลักษณะเป็นองค์พญานาค 7 เศียร ประทับพักอิริยาบทสงบนิ่งขดลำตัว 3 ชั้น ตอนนี้ฉันอยู่สุดดินแดนไทยอย่างนครพนม สายตาฉันมองไปฝั่งลาว แม่น้ำโขงดูกว้างใหญ่เหมือนทะเล “นายเจ้าขา ขยับเท้าออกห่างมาหน่อย พลาดพลั้งตกน้ำไปเดี๋ยวได้ไปเป็นเมียนาคนาคาพอดี” เสียงหวานนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน คือแม่เทพพรายตานีที่เก็บมาได้เมื่อสองปีก่อนที่บ้านเจ้าโจ้ ฉันเหลียวหลังไปมองเธอก่อนหันสายตามองฝั่งตรงข้าม “ดื้อด้านอะไรเยี่ยงนี้ เตือนแล้วยังไม่ว่าที รีบขวนขวายถอยออกมาเร็ว” “จริงจังไปได้ ถึงเป็นเมืองพญานาคใช่ว่าจะโผล่ออกมาคว้าใครต่อใครไปเป็นเมีย เขาก็เลือกเหมือนกัน” หญิงสาวผู้สวมเครื่องทรงสีทอง สวมรัดเกล้าประดับพลอยนพเก้า ใบหน้าเต็มด้วยออร่าสว่างมองไปยังน้ำโขง เบ้ปากกล่าวอย่างมีเลศนัยออกมาว่า “ใช่เจ้าค่ะ เขาเลือกเหมือนกัน ถ้าไม่เคยเกี่ยวพันเขาไม่มาราวี หากแม้นหนีได้ก็หนีให้พ้นเทอญเจอะเจอเมื่อไหร่ไม่แคล
แสงไฟสีขาวบนเพดานเลื่อนผ่านตามทางเดินที่เตียงเข็นคนไข้ผ่าตัดอย่างฉันไปสู่ห้องผ่าตัดขนาดเล็ก ความหนาวเย็นยะเยือกเข้าสู่ผิวกายแทรกซึมสู่กระดูกข้างใน ฉันได้แต่มองไปรอบๆ เมื่อเตียงเข็นมาหยุดที่ห้องผ่าตัดห้องหนึ่งในโรงพยาบาล พร้อมเสียงพยาบาลบอกว่า “หยุดรอต้องนี้ก่อน เดี๋ยวไปเตรียมเครื่องมือให้คุณหมอก่อนคะ” ใช่ ฉันกำลังจะเข้าสู่การผ่าตัดมดลูกแบบส่องกล้อง มดลูกที่ไม่เคยผ่านการใช้งานใดๆ มาก่อน ตัดทิ้งเหลือแต่รังไข่สองข้างเอาไว้ เพราะมดลูกโตและหมอสูติวินิจฉัยว่าเกินเยียวยาต้องตัดทิ้ง ทำให้ฉันเป็นสาวพรหมจรรย์ตลอดชีพ 37 ปีมานี้สูญสิ้นทุกอย่างไม่แม้แต่คำว่าแม่ ฉันก็ไม่อาจได้รับโอกาสเป็นได้ ตลกสิ้นดีรู้งี้ฉันน่าจะหัดอ่อยเหยื่อกินตับผู้ชายเล่นตั้งแต่แตกเนื้อสาว ไม่ปล่อยให้ตัวเองเฉ่ามาถึงตอนนี้ เฮ้ย...ได้แต่คิดทำไม่ได้เพราะฉันเกิดมาไม่เหมือนชาวบ้าน เพราะอะไรเหรอ ก็เพราะฉันเป็นคนที่เกิดมามีดวงตาที่สามตั้งแต่เกิด ไอ้ที่ชาวบ้านมองไม่เห็นกันหรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า ผี นั้นแหละ ฉันสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ไม่ใช่แค่ผี พระภูมิเจ้าที่ นางไม้ นางตะเคียน นางตานี เห็น







