Home / แฟนตาซี / เทวา นาคา / ตอนที่ 1 เทวาพบเจอ

Share

เทวา นาคา
เทวา นาคา
Author: ฮันนาห์

ตอนที่ 1 เทวาพบเจอ

last update Huling Na-update: 2025-12-11 20:35:29

แสงไฟสีขาวบนเพดานเลื่อนผ่านตามทางเดินที่เตียงเข็นคนไข้ผ่าตัดอย่างฉันไปสู่ห้องผ่าตัดขนาดเล็ก ความหนาวเย็นยะเยือกเข้าสู่ผิวกายแทรกซึมสู่กระดูกข้างใน ฉันได้แต่มองไปรอบๆ เมื่อเตียงเข็นมาหยุดที่ห้องผ่าตัดห้องหนึ่งในโรงพยาบาล พร้อมเสียงพยาบาลบอกว่า

            “หยุดรอต้องนี้ก่อน เดี๋ยวไปเตรียมเครื่องมือให้คุณหมอก่อนคะ”

            ใช่ ฉันกำลังจะเข้าสู่การผ่าตัดมดลูกแบบส่องกล้อง มดลูกที่ไม่เคยผ่านการใช้งานใดๆ มาก่อน ตัดทิ้งเหลือแต่รังไข่สองข้างเอาไว้ เพราะมดลูกโตและหมอสูติวินิจฉัยว่าเกินเยียวยาต้องตัดทิ้ง ทำให้ฉันเป็นสาวพรหมจรรย์ตลอดชีพ 37 ปีมานี้สูญสิ้นทุกอย่างไม่แม้แต่คำว่าแม่ ฉันก็ไม่อาจได้รับโอกาสเป็นได้     ตลกสิ้นดีรู้งี้ฉันน่าจะหัดอ่อยเหยื่อกินตับผู้ชายเล่นตั้งแต่แตกเนื้อสาว ไม่ปล่อยให้ตัวเองเฉ่ามาถึงตอนนี้

            เฮ้ย...ได้แต่คิดทำไม่ได้เพราะฉันเกิดมาไม่เหมือนชาวบ้าน เพราะอะไรเหรอ ก็เพราะฉันเป็นคนที่เกิดมามีดวงตาที่สามตั้งแต่เกิด ไอ้ที่ชาวบ้านมองไม่เห็นกันหรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า ผี นั้นแหละ ฉันสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ไม่ใช่แค่ผี พระภูมิเจ้าที่ นางไม้ นางตะเคียน นางตานี เห็นเป็นว่าเล่นจนลืมคำว่ากลัวไปซะละเพราะชิน อ้อลืมแนะนำตัวไปฉันชื่อกุสุมา พรเพ็ญ เรียกสั้นๆ ว่าสุ เป็นหญิงสาวรูปร่างท้วมขาว น้ำหนักอยู่ราวๆ 62 กิโล ส่วนสูง 156 เซนติเมตร ผมยาวจนถึงสะโพก เมื่อก่อนแยกแย้มไม่ใช่อย่างนี้ฉันคือดรุณีสาวสวยงดงามมาก่อน แต่ด้วยวัยและโรคคุกคาม ฉันกลายสภาพเป็นยายหมูอ้วน สายตาสั้นยาวเอียงครบทุกอณู ใส่แว่นตา อาชีพฉันคือข้าราชการ

            “โอ๊ะ”

            จู่ ๆ เตียงก็ขยับนำพาร่างฉันขึ้นเขียง ตัวฉันสั่นพับๆ ไอ้ข้างนอกนี้ว่าหนาวแล้วเจอข้างในหนาวกว่าอีก หรือสั่นกลัวแฮะ

            “เดี๋ยวหมอจะฉีดยา คุณสุจะเข้าสู่การหลับลึกนะคะ”

            ไม่ใช่หลับคะหมอแต่นี้คือการวางยาสลบ เข้าสู่การผ่าตัดแบบไม่รู้สึกตัว ในใจฉันบอกกับตัวเองว่า

            “ฉันกลัว”

            แม้ภายนอกสงบนิ่ง แต่ภายในจะร้องไห้

            “อย่ากลัวเลยเจ้าแก้วกัลยา รัตนาวดีศรีสมร พรประภา อัปสรสรา วดีคีตศิลป์อมรมาน น้องพี่ พี่จะอยู่รอรับเจ้า กลับดาวดึงส์สู่เกตุแก้วมณีจุฬา สถิตสถานเคียงคู่กันอีกครา”

            เสียงแว่วใกล้ๆหู ก่อนค่อยๆ ไกลห่าง ในสภาวะเลือนราง ฉันเห็นผู้ชายรูปร่างงดงามประดับตัวให้เครื่องทรงสีเงิน ใบหน้าไร้ความชัดเจน ก่อนทุกอย่างจะดับวูบนำฉันสู่เรื่องราวในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา

            “ไอ้สุ บ้านฉันไม่มีอะไรใช่ไม๊”

            ไอ้ผู้ชายผมหยิก ผิวสองสี ที่กำลังเท้าสะเอว ดูฉันลาดตระเวนบ้านไม้สองชั้น ข้างๆ มันมีผู้หญิงตัวเล็กๆ สูงระดับหัวไหล่ไอ้โจ้ที่สูง 160 กว่ายืนถือเสียม สายตาสอดส่องตามทุกวิถีก้าวย่างของฉันชื่อว่าเพ็ญเป็นเมียไอ้โจ้

            “ข้างบนมีชายแก่นุ่งขาวห่มขาวถือไม้เท้าเดินไปมา ข้างล่างบ้านแกกุมารชัดๆ ครึกครื้นดีนิ”

            “น้องว่าแล้ว พี่สุ เสียงคนเดินตลอด แต่ข้างล่างบ้านน้องเลี้ยงไอ้แดงไว้ พี่สุเห็นกุมารน้องแต่งตัวยังไง”

            ฉันยิ้มแหะๆ บ้านนี้มันหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ อยู่ก็เอาตัวประหลาดเข้าบ้าน

            “ใส่สังวาลสีเงิน ไม่ใส่เสื้อ นุ่งโจงกระเบนสีทอง”

            แล้วข้างบนเป็นใครพี่สุ ฤาษีตาไฟใช่ไม๊ โจ้ไปยกมาสีเขียว

            “ไม่ใช่ จุดธูป 16 ดอกถามเอาเอง”

            ไม่อยากบอกเลยรูปปั้นชายชรานั่งสมาธิโดยมีนาคปรกนั้นใช่ฤาษีตาไฟที่ไหนกัน ชัวร์ๆ เกี่ยวกับพญานาคแน่นอน บอกมากไม่ได้เรื่องบางอย่างก็แล้วแต่บารมีใครบารมีมัน เขาอยากบอกอยากอยู่ด้วยรึเปล่าต้องถามเอาเอง ใช่ว่านึกอยากจะยกก็ยกมาบูชาเหมารวมว่าเป็นนั้นเป็นนี้

            แล้วไอ้ที่ฉันต้องมาสแกนบ้านไอ้โจ้ก็เพราะต้องการให้มันช่วยไปอยู่เวรเฝ้าสำนักงานแทน มันไม่เอาเงินแต่ต้องการให้ฉันมาดูบ้านมันว่ามีอะไรไม๊เพราะตั้งแต่มันไปยกรูปปั้นสีเขียวมรกตกลับมา บ้านก็แปลกๆ ไอ้โจ้มันมีอาชีพเสริมนอกจากการเป็นพนักงานราชแล้ว ยังเลี้ยงนกกรงหัวจุกเอาไว้แข่ง ข้างล่างบนมันเพาะหนอนขายโดยมีเพ็ญเป็นลูกมือ

            “เจ้าที่ ยังอยู่ไหมพี่สุ รู้สึกเงียบๆ”

            ไม่มีเซ็นท์แต่ดันแม่น ฉันหันไปมองศาลเสาเดียวพลางหันกลับมองเพ็ญกับไอ้โจ้ ถอนหายใจยาวค่อยเอ่ยออกมาว่า

            “พระภูมิเสาเดียว เจ้าที่สี่เสา ไอ้ที่ตั้งอยู่เสาเดียวนี้เป็นศาลพระภูมิ”

            “อ้าว งั้นก็ตั้งศาลผิดสิ ตกลงต้องเปลี่ยนใหม่”

            “ไม่จำเป็น เจ้าที่ไม่อยู่แล้ว ไปไหนไม่รู้ อยู่แต่พ่อปู่ข้างบน เขาช่วยดูแลบ้านให้ตอนนี้ หากจะเอาเจ้าที่ต้องทำพิธีเชิญกลับมาเล่นไม่จุดธูปกราบไหว้ ไม่ใส่อาหารถวาย เป็นคนก็ไม่อยู่ด้วยล่ะ ทิ้งขว้างแบบนี้”

            “แล้วมีอะไรอีกไม๊ ไอ้สุ”

            “แกจะใช้ฉันจนคุ้มเลยหรือไง”

            “555 ช่วยไม่ได้แกดันมีในสิ่งที่คนอื่นไม่มี แล้วดันแม่นอีกต่างหาก”

            “เอ่อ! ฉันมันไม่เหมือนชาวบ้านเอง ฉันผิดเอง”

            “เอาน่า ออกมาเดินรอบๆ บ้านให้หน่อยว่ามีอะไรอีกไม๊ หมู่นี้งูเข้าบ้านบ่อยมาก ไม่อยากฆ่า ได้แต่ไล่ ดีนะเลี้ยงหมาไว้เป็นสิบส่งเสียงเห่า ออกไปไล่ทันมั้งไม่ทันมั้ง ช่วยไม่ได้ตลอดทุกตัว”

            ยี้ ฉันไม่ชอบสัตว์เลื้อยคลาน ไม่รู้เป็นอะไรรังเกลียดมาตลอด งูเข้าบ้านบ่อยก็เพราะเอาพ่อปู่มาบูชาแต่บอกมันไม่ได้ พ่อปู่ข้างบนไม่อนุญาตให้บอก เขาจะทดสอบพวกเจ้าโจ้ว่าจะศรัทธาเขามากแค่ไหนหรือแค่ยกเขามาเล่นๆ งานนี้บอกไม่ได้

            สองเท้าฉันดินรอบ ๆบ้านสุดท้ายต้องมาหยุดที่ต้นกล้วยที่สูงเลยหลังคาบ้านเจ้าโจ้ กอหนึ่งลำต้นกล้อยต้นหนึ่งสวยมาก ฉันเพ่งมอง ก่อนจะเงยหน้ามองความสูงต้นไม้ ไอ้ต้นกล้วยต้นนี้มันแปลกๆ

            “มีอะไรรึเปล่า”

            “กล้วยมันแปลกๆ”

            “แปลกยังไง กล้อยตานีนี้”

            “ไม่รู้ มันแปลก แกว่ากล้อยตานีเหรอ” ว่าไปพลางลูบไป

            “ใช่ ใบตองกล้วยสวยฉันตัดไปขาย กล้วยก็เอาไว้ให้นกกินแต่มันแปลกตั้งแต่ปลูกมาก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ห้าเดือนผ่านมาอยู่ๆ กล้วยมันก็ไม่ค่อยออกผล แล้วก็ยืนต้นตาย ฉันได้แต่ตัดปลีมากินอย่างเดียว”

            สุดท้ายลูบลำกล้วยงามก็ไม่นำพาอะไรออกมาสุดท้าย ฉันก็เลยพูดกับต้นกล้วยไปว่า

            “ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก จะไปแล้วนะ”

            ฉันพูดกับต้นกล้วยก่อนจะขยับเท้าจะก้าวผ่านไป พลันปรากฏหญิงสาวสวย แต่หน้าตาหม่นหมองนุ่งห่มสไปสีเขียวใบตองอ่อน ผมยาวก้าวออกจากต้นกล้อยร้องไห้กระซิก ดูน่าสงสาร

            “เป็นอะไร”

            “คิดถึงบ้าน อยากกลับบ้าน”

            สลด ฉันดันสงสารอีกจนหลุดปากออกไปว่า

            “ไปด้วยกันไม๊?”

            นางหยุดร้องไห้เงยหน้าขึ้นสบตาฉัน พลางชี้นิ้วไปข้างบนบ้าน

“ไปบอกเจ้าเฒ่านั้นปล่อยข้าได้แล้ว ข้ามีเจ้าของแล้ว เจ้าช่วยขุดหน่อกล้วยพาข้ากลับไปด้วย ข้ารับปากหากเจ้าช่วยข้าพ้นมนต์สะกดเจ้าเฒ่า ข้าจะเป็นเทพอารักขาให้เจ้าเป็นการตอบแทน”

            ฉันตกใจจนยกมือทาบอก ดวงตาจ้องแม่นางตานี ส่ายหัวไปมาปฏิเสธด้วยพลันอย่างไม่ตั้งใจทั้ง ๆ ที่เอ่ยวาจาเชิญชวนไปแล้ว

            “มุสาวาจา ไม่รักษาคำพูดเลยหน้าเจ้า ลั่นวาจาจะช่วยข้าหลุดพ้นอาณัติตาเฒ่า ใยปากคืนคำเล่าใจร้าย ใจร้าย”

            ร้องไห้ระงมจนฉันต้องยกมือปิดหู เจ้าโจ้กับเจ้าเพ็ญต่างหันมาสบตากันพลางยื่นมือสะกิดไหล่ฉันพร้อมกัน พอหันหลังมองทั้งสองทำหน้าไม่น่าไว้ใจ

            “มีใช่ไม๊?”

            ฉันพยักหน้ารับ เจ้าโจ้ส่งสัญญาณมือ เพ็ญไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไรเดินดุ่มๆ ก่อนยกเสียมขุดต้นกล้วยขนาดย่อมทันที

            “ทำอะไรน่ะ!”

            “ขอไปอยู่ด้วยใช่ไม๊

            “รู้ได้ไง มองไม่เห็นไม่ใช่เหรอ”

            “เดาออก มันแปลกๆ ห้าเดือนก่อนฉันยกรูปปั้นมา กล้วยก่อนี้ก็ไม่ออกลูก ซ้ำอยู่ๆ ก็ยืนตายแห้งหลังออกปลีขนาดย่อม กล้วยก็เท่าเล็บมือนาง ตรงตำราเป๊ะ นางตานีแน่ๆ อัญเชิญไปบ้านแกถือว่าเป็นของตอบแทนจากฉัน”

            โอ้ยไอ้เรื่องที่ไม่อยากบอกให้มันรู้เสือกรู้ เดาออก ทีเรื่องอยากให้รู้ดันเดาไม่ออกแล้วอย่างนี้จะทำยังไง ไอ้ปากเราก็เร็วชวนไปได้ไงไม่รู้ตัว

            นางตานีเปลี่ยนท่าทีเป็นเริงร่า หยิบผ้าซับน้ำตาเนรมิตหน้าตาตนใหม่ให้สดใส ปรากกฎเป็นหญิงงามทันใด ยกมือไหว้ฉันด้วยท่าทีนอบน้อม

            “ข้ามีนามว่า เพ็ญประภา ต่อไปนี้จะเป็นเทพพรายตานีอารักขานาย พลางแบมือมาตรงหน้าฉัน”

            “อะไร หมายความว่าไง”

            “แกเห็นอะไรไอ้สุ เล่าขานหน่อยเพื่อน”

            “ไอ้โจ้ Sheตานีแบมือมาตรงหน้า ไม่รู้ทำไม”

            “เขาขออะไร”

            เพ็ญประภาพยักหน้า พลิกมือเป็นชี้มาทางกำไลหางช้างสีขาวประดับด้วยพลอยสีชมพู ปลายด้ามเป็นหัวบัวทั้งสอง

            “ของรับขวัญ เทพอารักขา”

            “เทพที่ไหน พรายตานีชัดๆ”

            นิ้วชี้ข้างขวาส่ายไปมาพร้อมใบหน้าเปล่งวาจาว่า

            “ไม่รู้ความอย่ากล่าวหา ข้านี้หนาบำเพ็ญมาจนบังเกิดเป็นเทพธิดา เพียงพรรษาหน้าข้าก็สู่         จาตุมหาราชิกาขึ้นสู่เทพสรวงสวรรค์ แค่เสี้ยวกรรมน้อยนิด ประสบเคราะห์กรรมถูกหน่วงเหนี่ยวคุ้มขังตกลงพลันสู่อาคมตาเฒ่านั้นแล”

            ยาวแท้ กว่าจะจบ เจ้าโจ้สะกิดฉันเมื่อเพ็ญยกต้นกล้วยขนาดย่อมที่เรียกว่าหน่อกล้วย ยื่นให้ฉันตรงหน้า

            “รับขวัญสิเจ้าค่ะ ข้ารออยู่หนา นายเจ้าขา เมตตาเพ็ญประภาด้วยเทอญ”

            เสียงว้านหวาน เชิญชวนยื่นมือมาข้างหน้าแต่ภาพที่คนภายนอกเห็นคือใบอ่อนต้นกล้วยขนาดย่อมยื่นออกมา ฉันอนิจจาทำใจถอดกำไลหางช้างคล้องใบกล้วยงามสีเขียวอ่อนตรงหน้า

            “ขอบพระคุณ รีบเถอะนายเจ้าขา นำข้ากลับเรือน ก่อนถึงเรือนเข้าวัดนิมนต์พระคุณเจ้ามาทำพิธีบายศรีสู่ขวัญเชิญเทพอารักขาสถิตเรือนด้วยหนา”

            ไอ้ย่ะ เรื่องใหญ่แล้ว นี้มันจะแปดโมงแล้ว จะทันไม๊เนี่ย

            “พี่สุ ลำบากใจเรื่องอะไรถึงทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างนั้น”

            “เขาจะให้นิมนต์พระ ทำพิธีอัญเชิญเขาเป็นเทพอารักขา วัดบ้านไหนจะทัน ไม่ค่อยเข้าวัดซะด้วยสิ”

            “วัดบ้านฉันนี้แหละ” ไอ้โจ้ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ยกโทรศัพท์นิมนต์พระใกล้บ้านจัดการสรรพเสร็จ ก่อนลากฉันไปทางรถเก๋งคันเก่าสีเทาเงิน เสร็จพิธีบ้านฉันกลับได้

            “ยังไม่จบเจ้าค่ะ จุดรูป 16 ดอกบอกลาตาเฒ่าว่าท่านจะเอาข้าไปเป็นเทพอารักขา ปลดมนต์ตราให้ข้า ด้วยบารมีที่ท่านสะสมมาตาเฒ่านั้นมิอาจขวางได้เป็นแน่แท้”

            “เฮ้ย จุดรูป 16 ดอกก่อนไอ้โจ้บอกพ่อปู่นั้นว่าฉันจะเอาแม่เทพตานีไปอยู่ด้วย ขอท่านเมตตาปลดปล่อยมนต์ตรากักขังให้ด้วย”

            “เชิญ” สิ้นคำธูปก็อยู่ตรงหน้าด้วยฝีมือเพ็ญ ผัวเมียคู่นี้ช่างรู้ใจกันจริงๆ

            “หยิบปุบ 16 ดอกปับ ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ พี่สุ น้องต้องนั่งภาวนาสวดมนต์ให้พ่อปู่ขอ 2 ตัวเด็ดแล้วค่ะ”

            “ทำไม? ไม่ขอ 6 ตัวไปล่ะ”

            “โถ พี่สุ กลัวบุญไม่ถึงขอเล็กไปก่อน ถ้าพ่อปู่เมตตาบุญพาวาสนาหนุนนำต้องมีสักวันที่หกตัวเรียงกันให้เห็นแน่นอน ตอนนี้สองตัวไปก่อน”

            พรึบ ไฟแช็คลุกโชน ฉันรับรูป 16 ดอก กล่าวคำขอขมา

            “ด้วย 16 ชั้นฟ้า ขอส่งบุญที่สะสมมาให้พ่อปู่นาคา เพื่อแลกกับปลดปล่อยมนต์ตราเทพพลายตานีเพ็ญประภาให้หลุดจากเขตคุมขังสู่อิสระด้วยเทอญ”

            ปักธูปลงบนกระถางดอกไม้ พ่อปู่ข้างบนก็ร่ายมือปลดผนึกนาคาออก

            “อีนางน้อย วาสนานำพาให้พบเจอ วันหน้าปู่จะไปเยี่ยมเยือนพวกเจ้า รอบารมีนางเทพขึ้นชั้นฟ้าเมื่อไหร่ พวกเราจะพบกันอีกครา ไปเถอะ” ภาษาอีสานดังก้องจากข้างบน

            ฉันยกมือไหว้ลาพ่อปู่นาคาธิปดีผู้มีใบหน้าเมตตา กริยาน่าเกรงขาม ก่อนขึ้นรถไปกับเจ้าโจ้พร้อมเพ็ญกลับบ้าน

Patuloy na basahin ang aklat na ito nang libre
I-scan ang code upang i-download ang App

Pinakabagong kabanata

  • เทวา นาคา   บทที่ 5 กงกรรมขับเคลื่อน

    ท่ามกลางตึกอำนวยการในศาลากลางจังหวัดลำปาง ผู้คนมากมายต่างเดินไปมา เสียงรอบข้างดังไปตามจังหวะชีวิตประจำวันของคนทำงานราชการ วันนี้วันจันทร์ต้องใส่เครื่องแบบราชการสีกากี พอฉันสแกนนิ้วแล้ว เสียงสวัสดีกับไม่มีออกจากปากของคนในห้องงานบริหาร ฉันเงยหน้ามองทุกคนในห้องกวาดสายตาไปรอบๆ มีแต่คนหลบสายตาฉัน “ยุ้ย เกิดเรื่องอะไร” ฉันยิงคำถามไปยังหัวหน้าฝ่ายบริหาร คนตัวเล็กกว่าฉัน ผอมบาง ยุ้ยไม่ตอบส่งสายตาแบบสังเวทให้ฉัน ก่อนจะเดินไปไปหยิบแฟ้มที่มีเอกสารอยู่ด้านใน “พี่เอาไปอ่านเองเถอะ” ฉันถือแฟ้มเดินเข้าห้องงานบัญชี แผนกฉัน คนรูปร่างสันทัด อวบอิ่ม ผมยาวประบ่าคือพี่ติ้มมองแฟ้มในมือฉัน “อะไร” ฉันไม่ตอบแต่เปิดแฟ้มหยิบเอกสารมาอ่าน ทุกบรรทัดทุกตัวอักษรทำให้ฉันเคร่งเครียดระคนความโกรธ จนเผลอขยำกระดาษ พี่ติ๋มจับมือฉันแกะเอากระดาษออกมาอ่าน “หนังสือคำสั่งนิ ให้นางสาวจารุวรรณ วงศ์วาน ลงในหน่อยงานเรา แล้วสุล่ะ” ใช่หนังสือโยกย้ายไม่มีชื่อฉัน สัญญาบ้าๆ ที่ผู้ใหญ่บอกฉันให้มาช่วยราชการการ 6 เดือน แล้วจะให้ลงตำแหน่งจริง ตอน

  • เทวา นาคา   ตอนที่ 4 เปิดประตูกรรม

    เอวังวันทา อาระหังมังสา วิทาเทมิ อุทะทามา เวระมะสิ กุฑะมะกะ สองมือกูถือง้าว สองเท้าเหยียบอาทิตย์ พิชิตทำลาย พยัคฆ์สาอาสัญจงบรรลัยสิ้นพัน ขอถอดถอนมนต์ตราสิ้นคณาฤทธิ์มนตราตลอดไปเอ๋ย พรู แรม 15 ค่ำ เดือน 12 มันคือวันพระเดือนดับ อาคมถูกเป่าออกไปโดยปูเสือขาวในร่างของฉันที่อยู่ในชุดขาวนุ่งโจงกระเบน ฉันนั่งขัดสมาธิหยดเทียนลงขันเงิน หรือสลุงเงิน ดอกเทียนที่หยดลงน้ำไม่มีแตกแสดงถึงการสัมฤทธิ์ในมนต์ตราถอดถอนอาคมสมิงพรายแดงผู้ซึ่งเคยเป็นศิษย์สำนักเดียวกับพ่อของฉัน สองมือฉันจับมีดหมอถอดออกจากด้าม ก่อนทำพิธีตัดรูปปั้นเสือดินเหนียวตากแห้งที่พี่ทอนลูกสาวผู้เป็นอาจารย์ของพ่อฉันปั้นให้ตามคำสั่งของปูเสือขาวที่ผ่านร่างฉันบอกกล่าวเขา มีดเจ็ดป่าช้าลงอาคมตัดหัวเสือ ร่ายมนต์ตราถลกหนัง พอวางมีดจับเทียนส่องจึงรับรู้ได้ว่า เสือสมิงสิ้นฤทธิ์แล้วเหลือเพียงความเป็นคนธรรมดาทีไม่มีวิธีอาคม “อีหนูมึงให้กูใช้ร่างเพื่อช่วยลูกหลานเนรคุณหน่อยเถอะ ร่างมึงสะอาด จิตใจเมตตาเป็นแรงอำนาจแห่งการไว้ชีวิตผู้ที่คิดใช้ไสยเวชทำร้ายพ่อมึง

  • เทวา นาคา    ตอนที่ 3 คำเตือน

    ลานพญานาค เช้าของการเดินทางกลับบ้านฉันหยิบธูป 16 ดอก บอกกล่าวปู่ศรีสัตตนาคราช ทำไมต้อง 16 ดอก ไม่ใช่ไหว้ 16 ชั้นฟ้า แต่คนที่นี้เชื่อว่าใครที่เกิดวันพฤหัสบดีต้องจุดธูป 16 ดอกเพราะนี้คือพญานาคประจำวันเกิดวันพฤหัสบดี คือ พญาศรีสัตตนาคราช เป็นพญานาคที่มี 7 เศียร และเป็นพญานาคราชประจำลุ่มแม่น้ำโขง ความเชื่อคือผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดีมีพญานาคองค์นี้คอยปกป้องคุ้มครอง และการบูชาจะช่วยเสริมดวงชะตา ตอนมาพ่อของฉันกราบไหว้ท่านฝากฝั่งฉันให้อยู่ที่นี้ ตอนนี้จะกลับก็ต้องบอกกล่าวเขาเรียกว่าไปลามาไหว้ ควันธูปลวยลิ้วปากฉันสวดบทไหว้ที่เจ้าหน้าที่จัดเตรียมไว้ตรงหน้า ก่อนจะปักธูปลงกระถางใหญ่ ก้มกราบ พอเงยหน้าขึ้นปรากฎร่างชายชราในชุดขาว ผอม ม้วยผมอย่างกับพราหมณ์ ยิ้มให้ฉัน ก่อนหันไปทางรถพี่สันที่บรรทุกข้าวของฉันอยู่ สายตาจดจ้องไปยังเพ็ญประภาที่ไม่ยอมลงรถมาด้วยทั้งสองประสานสายตาก่อนปู่จะกล่าวออกมาด้วยถ้อยคำอันน่าฉงนว่า “นี้คือแดนดินถิ่นนาคา หากแม้นไม่ไหว้สาข้าก็ขออย่าขัดขวางผู้ผูกกรรมร่วมชาติกับสายเลือดแห่งพญานาคานาคี” “วิถีแห่งกรรมหมุนเวียน ข้ามิอาจขัดได้แต่หน้าที่คุ้มกันภัยไม่อาจวาง

  • เทวา นาคา   ตอนที่ 2 ถิ่นนาคา

    ผมยาวพลิ้วไหวตามสายลมที่พัดผ่านยามสองเท้าของฉันเหยียบอยู่ริ่มฝั่งแม่น้ำโขงฝั่งไทยบริเวณที่เรียกว่าลานพญานาค ไม่ไกลจากฉันมีรูปจำลองพญาศรีสัตตนาคราช" รูปลักษณะเป็นองค์พญานาค 7 เศียร ประทับพักอิริยาบทสงบนิ่งขดลำตัว 3 ชั้น ตอนนี้ฉันอยู่สุดดินแดนไทยอย่างนครพนม สายตาฉันมองไปฝั่งลาว แม่น้ำโขงดูกว้างใหญ่เหมือนทะเล “นายเจ้าขา ขยับเท้าออกห่างมาหน่อย พลาดพลั้งตกน้ำไปเดี๋ยวได้ไปเป็นเมียนาคนาคาพอดี” เสียงหวานนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน คือแม่เทพพรายตานีที่เก็บมาได้เมื่อสองปีก่อนที่บ้านเจ้าโจ้ ฉันเหลียวหลังไปมองเธอก่อนหันสายตามองฝั่งตรงข้าม “ดื้อด้านอะไรเยี่ยงนี้ เตือนแล้วยังไม่ว่าที รีบขวนขวายถอยออกมาเร็ว” “จริงจังไปได้ ถึงเป็นเมืองพญานาคใช่ว่าจะโผล่ออกมาคว้าใครต่อใครไปเป็นเมีย เขาก็เลือกเหมือนกัน” หญิงสาวผู้สวมเครื่องทรงสีทอง สวมรัดเกล้าประดับพลอยนพเก้า ใบหน้าเต็มด้วยออร่าสว่างมองไปยังน้ำโขง เบ้ปากกล่าวอย่างมีเลศนัยออกมาว่า “ใช่เจ้าค่ะ เขาเลือกเหมือนกัน ถ้าไม่เคยเกี่ยวพันเขาไม่มาราวี หากแม้นหนีได้ก็หนีให้พ้นเทอญเจอะเจอเมื่อไหร่ไม่แคล

  • เทวา นาคา   ตอนที่ 1 เทวาพบเจอ

    แสงไฟสีขาวบนเพดานเลื่อนผ่านตามทางเดินที่เตียงเข็นคนไข้ผ่าตัดอย่างฉันไปสู่ห้องผ่าตัดขนาดเล็ก ความหนาวเย็นยะเยือกเข้าสู่ผิวกายแทรกซึมสู่กระดูกข้างใน ฉันได้แต่มองไปรอบๆ เมื่อเตียงเข็นมาหยุดที่ห้องผ่าตัดห้องหนึ่งในโรงพยาบาล พร้อมเสียงพยาบาลบอกว่า “หยุดรอต้องนี้ก่อน เดี๋ยวไปเตรียมเครื่องมือให้คุณหมอก่อนคะ” ใช่ ฉันกำลังจะเข้าสู่การผ่าตัดมดลูกแบบส่องกล้อง มดลูกที่ไม่เคยผ่านการใช้งานใดๆ มาก่อน ตัดทิ้งเหลือแต่รังไข่สองข้างเอาไว้ เพราะมดลูกโตและหมอสูติวินิจฉัยว่าเกินเยียวยาต้องตัดทิ้ง ทำให้ฉันเป็นสาวพรหมจรรย์ตลอดชีพ 37 ปีมานี้สูญสิ้นทุกอย่างไม่แม้แต่คำว่าแม่ ฉันก็ไม่อาจได้รับโอกาสเป็นได้ ตลกสิ้นดีรู้งี้ฉันน่าจะหัดอ่อยเหยื่อกินตับผู้ชายเล่นตั้งแต่แตกเนื้อสาว ไม่ปล่อยให้ตัวเองเฉ่ามาถึงตอนนี้ เฮ้ย...ได้แต่คิดทำไม่ได้เพราะฉันเกิดมาไม่เหมือนชาวบ้าน เพราะอะไรเหรอ ก็เพราะฉันเป็นคนที่เกิดมามีดวงตาที่สามตั้งแต่เกิด ไอ้ที่ชาวบ้านมองไม่เห็นกันหรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า ผี นั้นแหละ ฉันสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ไม่ใช่แค่ผี พระภูมิเจ้าที่ นางไม้ นางตะเคียน นางตานี เห็น

Higit pang Kabanata
Galugarin at basahin ang magagandang nobela
Libreng basahin ang magagandang nobela sa GoodNovel app. I-download ang mga librong gusto mo at basahin kahit saan at anumang oras.
Libreng basahin ang mga aklat sa app
I-scan ang code para mabasa sa App
DMCA.com Protection Status