16 พฤษภาคม พศ.2516 วันเปิดเทอมวันแรกกับการตื่นนอนแต่เช้าตรู่ เด็กหนุ่มงัวเงียลุกขึ้นรีบแต่งตัวสะพายกระเป๋าเป้ใบเก่า เขารีบวิ่งลงบันไดบ้าน เขาวิ่งลงบันไดบันได้ไม่ทันสุดขั้นบันไดสุดท้าย แม่ก็ทักทันทีเสียว่า
"ไอ่โอมมมมม มึงจะรีบวิ่งอะไรนักหนา เดี๋ยวกูสะดุดกะไดล้มล่ะมึง!" เสียงคุ้นเคยที่ได้ยินก็รู้เลยว่าเสียงแม่ ทำเอาเขาตื่นทั้งขี้ตาในทันที
"เล่นตื่นซะไก่โห่ขนาดนี้ จะไปทันบ้านทันเมืองเขาไหม แล้วนั้นไม่เอาหมั่นโถ่วไปกินสัก 2 - 3 ลูกล่ะจะได้อิ่มๆ" แม่บ่นในประโยคเดิมๆเช่นเคย ถึงปากร้ายแต่ก็ใจดี เป็นห่วงเป็นใยเด็กหนุ่มเสมอ
"ขี้บ่นอะไรนักหนา ม๊า" เขาบ่นงุบงิบแล้วคว้าเอาถุงหมั่นโถ่วที่แม่เตรียมยัดใส่กระเป๋า
พอถึงหน้าบ้านเขาก็คว้าจักรยานคันโปรดที่มีคันเดียวในบ้านปั่นไปโรงเรียนด้วยความเร่งรีบ ด้วยความที่พึ่งไปสถานที่นั้นมาเพียงสองครั้งในวันสมัครเรียนและวันมอบตัวจึงทำให้เขาไม่ค่อยจะชำนาญเส้นทางสักเท่าไร เส้นทางที่ไม่คุ้นก็พาให้เขาหลงทางจนได้
"ลุงครับลุง ทางไปโรงเรียนราชินทร์วิทยาไปทางไหนครับ ให้ผมเลี้ยวซ้ายหรือตรงไปดีครับ" เด็กหนุ่มก็ถามพร้อมกับปาดเหงื่อ
"ไอ้หนูเอ้ย เอ็งก็ปั่นจักรยานตรงไปเล๊ย สัก 2 กิโลจะเจอถนนใหญ่ ให้เอ็งปั่นไปตามป้ายบอกทางไปศาลากลาง นั้นแหละ ถึงแล้ว" ลุงหน้าตาใจดีก็บอกคำตอบเจ้าหนุ่มน้อยด้วยความเอ็นดู เด็กหนุ่มขอบคุณเป็นการใหญ่และรีบปั่นไปให้สุดกำลังขา
เกือบ 1 ชม.ผ่านไป ที่ยังปั่นจักรยานไม่ถึงโรงเรียนแต่ก็คาดว่าใกล้จะถึงแล้ว เพราะเขาเห็นป้ายบอกทางไปศาลากลางข้างหน้าอยู่ลิบๆ เขาคิดพลางว่าปั่นมานานขนาดนี้ ก็รู้ตัวอยู่แล้วว่าต้องไปโรงเรียนสายเป็นแน่ คิดไม่ตกกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น เพื่อนใหม่ สังคมใหม่ๆ และบทลงโทษที่เขามาสายวันแรกแบบนี้
.
.
.
เขากระวนกระวาย ซอยเท้าสะพายกระเป๋าด้วยความทุลักทุเลวิ่งผ่านประตูหน้าโรงเรียน จนถึงแถวหน้าเสาธง ในใจก็ร้อนรนว่าจะโดนทำโทษที่มาโรงเรียนสายหรือเปล่า
"เพื่อนใหม่ของเราเป็นเด็กนักทุน พึ่งได้รางวัลเรียงความชนะเลิศอันดับ 1 ของจังหวัด ถ้าใครเปิดวิทยุฟังก็คงจะรู้แล้วนะ วันนี้แหละจะได้เห็นเพื่อนใหม่คนเก่งของเรากัน"
เสียงประกาศออกไมค์ของครูใหญ่ดังออกแว่วๆ บางก็จำใจความได้ บางก็จำใจความไม่ได้
"นั้นๆ ใครๆ ไอ่หนุ่มคนนั้นนะ" เสียงทุ่มใหญ่เรียกกระทันหันเมื่อเห็นเด็กนักเรียนชายใส่ชุดนักเรียนตัวโคร่งวิ่งมาเข้าแถวอย่างกระหืดกระหอบ
“หน้าตาไม่คุ้นเลยแฮะ เป็นเด็กใหม่หรือเปล่า” เมื่อเขายอมหันหน้าไปตามเสียงเรียกนั้นแล้ว ครูเวรที่น่าจะมีหน้าที่คอยดูแลความเรียบร้อยตอนที่เด็กนักเรียนเข้าแถวเตรียมเคารพธงชาติก็ถามกันแบบนั้น พร้อมมองเขาผ่านแว่นสายตาเลนส์หนาตั้งแต่หัวจรดเท้า เหมือนต้องการตรวจสอบให้แน่ใจว่าเด็กใหม่อย่างเขาแต่งตัวถูกระเบียบโรงเรียนหรือไม่
“ใช่ครับ” คนที่มีสถานะเป็นเด็กใหม่และเพิ่งได้มาเหยียบที่โรงเรียนนี้เป็นวันแรกพยักหน้ากลับไปให้เบา ๆ พร้อมระบายยิ้มแห้งให้ครูเวรไปหนึ่งที ซึ่งในระหว่างนั้นเด็กนักเรียนคนอื่นที่ยืนอยู่ในบริเวณเดียวกันก็ต่างพุ่งสายตามองมายังเขาอย่างให้ความสนใจ
โดยในนาทีนั้นโอมก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นดาวเด่นในโรงเรียนใหม่อย่างไรอย่างนั้น เมื่อตอนนี้ทุกคนต่างจับจ้องมายังเขาตาไม่กะพริบ บ้างก็มองหน้าด้วยความสงสัย บ้างก็มองหน้าเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น บ้างก็จ้องมองเพราะอยากเห็นหน้าเด็กใหม่เท่านั้น แต่ยังไงซะทั้งหมดทั้งมวลก็ล้วนแต่มองมายังเขาเป็นสายตาเดียวอยู่ดี
“เอาล่ะ งั้นก็รีบไปเข้าแถวได้แล้ว” ครูเวรที่ใช้สายตาตรวจดูการแต่งกายของเขาอย่างถี่ถ้วน และไม่พบว่าเด็กใหม่อย่างเขาจะแต่งตัวผิดกฎระเบียบของทางโรงเรียนแต่อย่างใดพูดกับเขาอีกหน พร้อมเดินผ่านหน้าเขาไปจับผิดนักเรียนคนอื่นที่กำลังวิ่งกระหืดกระหอบมาตั้งแต่ไกลแทน
“ขอบคุณครับ” และหลังจากที่เขาได้ยินแบบนั้น โอมที่รอคอยคำนี้มานานก็ไม่พูดพร่ำอะไรทั้งนั้น เขารีบสาวเท้าเดินตามหลังนักเรียนคนอื่นไปข้างหน้าท่าเดียว ก่อนที่สุดท้ายเขาจะมาต่อแถวอยู่ตรงเด็กชั้นม.หนึ่งที่มีป้ายติดเอาไว้ว่าให้มาเข้าแถวรวมตัวกันตรงนี้
ซึ่งในนาทีที่โอมหยุดเดินและเข้าแถวต่อหลังจากคนที่เดินมาถึงก่อนเขาแล้ว เด็กหนุ่มที่กำลังเผชิญกับสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ และกำลังอยู่ในสถานที่ใหม่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นตัวประหลาดของคนในโรงเรียนนี้อย่างบอกไม่ถูก เมื่อเด็กนักเรียนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันต่างมองมายังเขาด้วยสายตาแปลก ๆ คล้ายกับต้องการถามว่าเขาเดินมาเข้าแถวผิดที่หรือไม่
“นาย ๆ”
“…”
“นี่นายเข้าผิดแถวหรือเปล่า?” ในที่สุดคนที่ยืนเข้าแถวอยู่ข้าง ๆ กันก็รวบรวมความกล้าแล้วสะกิดแขนถามเขาแบบนั้น นั่นจึงทำให้โอมต้องหันไปมองอีกฝ่าย เพื่อที่จะได้พบว่าอีกฝ่ายมีหน้าตาจิ้มลิ้ม แถมยังมีลักยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าและมันจะปรากฏออกมาทุกครั้งเวลาที่เจ้าตัวพูดอีกต่างหาก
“เราเข้าแถวถูกแล้ว” โอมที่ตั้งสติได้แล้วยืนยันกลับไป ซึ่งคำพูดของเขาก็ทำให้เด็กชายที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน และอีกฝ่ายก็น่าจะหวังดีอยากจะพาเขาเดินไปส่งให้ถูกที่ถูกทางถึงกับต้องเอียงคอมองกันด้วยความสงสัย นั่นจึงทำให้สุดท้ายเขาจึงต้องขยายความเพิ่มเติม เพื่อให้อีกฝ่ายหายข้องใจเสียที
“พอดีเราเป็นเด็กใหม่” เขาเอ่ยเพียงสั้น ๆ ทว่าถ้อยคำเหล่านั้น มันกลับทำให้คนที่มีอาการหน้านิ่วคิ้วขมวดในคราวแรกหายข้องใจโดยพลัน
“อ๋อ ที่แท้ก็เป็นเด็กใหม่นี่เอง ว่าแต่นายชื่ออะไรล่ะ” อีกฝ่ายถามกันเหมือนต้องการผูกมิตรกับเขา
“โอม แล้วนายล่ะชื่ออะไร” โอมถามกลับไป โดยเขาก็ไม่ได้ถามกลับไปตามมารยาทแต่อย่างใด แต่เขาอยากรู้จริง ๆ ว่าเพื่อนใหม่คนแรกที่เขาได้จากโรงเรียนนี้ชื่ออะไร
“เราชื่อนนน” อีกฝ่ายตอบชื่อของตัวเองกลับมาอย่างไม่อ้อมค้อม ช่วงเวลาเดียวกันเสียงของครูใหญ่ที่เป็นคนพูดนำพานักเรียนยืนเคารพธงชาติก็ดังขึ้นเสียก่อน นั่นจึงทำให้ทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากกว่านั้น และพวกเขาก็รู้จักแค่ชื่อของกันและกันเอาไว้เท่านั้น
“เอาล่ะ ตามที่ครูใหญ่ประกาศผ่านวิทยุไป… วันนี้โรงเรียนของเรามีนักเรียนใหม่เข้ามา เพื่อนใหม่คนนี้จะมาเป็นส่วนหนึ่งของห้องเราด้วย เพราะงั้นครูฝากทุกคนดูแลเพื่อนใหม่คนนี้ด้วยนะ” เวลาต่อมาหลังจากที่การเข้าแถวผ่านพ้นไปแล้ว และตอนนี้โอมก็ได้เข้ามาในห้องเรียนใหม่ของตัวเอง เขาที่ยังไม่ได้แนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการก็ถูกครูประจำชั้นเรียกให้ออกไปยืนหน้าห้องและพูดเปิดให้เขาแบบนั้น
“เราช่วยแนะนำตัวเองให้เพื่อนในห้องได้รู้จักหน่อยสิ” คราวนี้ครูประจำชั้นหันมาพูดกับเขาบ้าง
“ครับ” โอมขานรับคำพูดของเธอเพียงสั้น ๆ จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อลดอาการประหม่าของตัวเอง ก่อนที่เขาจะเริ่มพูดแนะนำตัวเองว่าชื่ออะไรและย้ายมาจากที่ไหน
“สวัสดีทุกคน เราชื่อโอมนะ เราย้ายมาจากโรงเรียนเล็ก ๆ จากอำเภอข้าง ๆ กันนี่แหละ ยังไงเราก็ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะ” โอมกล่าวแนะนำตัวเองเพียงสั้น ๆ หลังเขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องพูดอะไรเหมือนกัน
“อ้าว… พูดจบแล้วเหรอจ๊ะ นี่โอมไม่มีอะไรจะพูดอีกหรือไง” ครูประจำชั้นที่เห็นว่าโอมไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไรเพิ่มเติมถามกันแบบนั้น
“ครับ ผมพูดจบแล้วครับ” โอมบอกกลับไปด้วยน้ำเสียงขลาดอาย ซึ่งหลังจากที่ครูประจำชั้นได้ยินแบบนั้น อีกฝ่ายก็ทำเพียงแค่พยักหน้ากลับมาให้กันเท่านั้น คล้ายกับเธอเข้าใจดีว่าเด็กใหม่อย่างเขาคงประหม่ามากเพียงใด จากนั้นเธอก็กวาดสายตามองไปทั่วห้อง ก่อนที่สุดท้ายเธอจะชี้นิ้วไปยังโต๊ะที่ว่าง
“เดี๋ยวโอมไปนั่งตรงนั้นนะ ตรงโต๊ะติดขอบหน้าต่าง ตรงนั้นจะเป็นที่นั่งที่ประจำของโอม” ครูประจำชั้นบอกกันเพียงสั้น ๆ และพอเขาถูกสั่งแบบนั้น เขาก็ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม แต่โอมเลือกที่จะรีบแบกกระเป๋าเป้ใบยักษ์ของตัวเองเดินไปทิ้งตัวตรงโต๊ะที่ติดอยู่ขอบหน้าต่างตามคำบอกของครูประจำชั้นแต่โดยดี
ซึ่งหลังจากที่โอมทิ้งตัวนั่งแล้ว ครูประจำชั้นก็พูดกับนักเรียนที่อยู่ในความดูแลของตัวเองต่อ
“เดี๋ยวครูคณิตจะเข้ามาสอนแล้ว ยังไงระหว่างนี้ทุกคนก็อยู่ในความสงบก็แล้วกัน ห้ามพากันเสียงดังเด็ดขาด” เธอพูดแค่นั้นแล้วเดินหิ้วกระเป๋ากลับออกไปโดยพลัน ในช่วงเวลาเดียวกันโอมที่ยังคงมีอาการประหม่าไม่หายก็เปิดกระเป๋าเป้ออก เพื่อหยิบเอาอุปกรณ์การเรียนที่เขาพกมาด้วยออกมากางเอาไว้ เตรียมตัวจะเรียนวิชาคณิตศาสตร์ตามคำบอกของเธอ
“โอม!” และในระหว่างที่โอมกำลังอยู่ในโลกของตัวเอง ไม่ค่อยได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวนัก ทันใดนั้นนนนที่เพิ่งทำความรู้จักกันไปตอนที่ทั้งสองยืนเคารพธงชาติอยู่ข้าง ๆ กัน และตอนนี้เจ้าตัวก็กำลังนั่งอยู่ด้านหน้าสุดก็หันกลับมาเรียกชื่อเขาแบบนั้น เหมือนเจ้าตัวต้องการทักทายกันอยู่ในที โดยอีกฝ่ายก็ดูจะดีใจอยู่พอสมควรที่พวกเขาได้เป็นเพื่อนร่วมห้องเดียวกันแบบนี้
“ว่าไง” โอมที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องพูดอะไรเอ่ยกลับไปแบบนั้น และมีอาการชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อรอยยิ้มที่นนนส่งมาให้กันเพื่อผูกมิตรกับเขาในฐานะเพื่อน มันช่างสดใสเสียจนหัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะ
“สงสัยอะไรหรือเปล่า โอม?” นนนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงใส ๆ ที่ทำให้โอมรู้สึกอบอุ่นในใจ
“อ๋อ เปล่าๆ แค่เตรียมหนังสือเอาไว้เรียนน่ะ” โอมตอบกลับไปพร้อมกับยิ้มแหย ๆ เมื่อเห็นนนนหันมามองเขาอย่างตั้งใจ
“ดีจัง! เดี๋ยวคาบคณิตครูคงสอนเรื่องใหม่ ๆ น่ะ ถ้านายมีอะไรไม่เข้าใจก็ถามได้นะ” นนนพูดพร้อมกับยิ้มให้เขา ทำให้โอมรู้สึกว่าเขามีเพื่อนที่ดีอยู่ข้าง ๆ
“ขอบคุณนะ” โอมพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขอบคุณ เขารู้สึกประทับใจในความมีน้ำใจของนนน
เวลาไม่นานนัก ครูคณิตก็เดินเข้ามาในห้องเรียนและเริ่มการสอน โอมพยายามตั้งใจเรียน แต่บางครั้งสายตาของเขาก็เลื่อนมองไปที่นนนที่นั่งอยู่ด้านหน้า เธอสวมชุดนักเรียนที่เรียบร้อย หน้าตาจิ้มลิ้มและมีลักยิ้มที่ทำให้โอมอดยิ้มตามไม่ได้
หลังจากการเรียนคณิตศาสตร์ผ่านไป โอมรู้สึกเหนื่อยแต่ก็เต็มไปด้วยความหวัง พอถึงเวลาพัก เขาก็รีบออกไปข้างนอกเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ นนนตามออกมาด้วย
“โอม นั่งตรงนี้ไหม?” นนนชี้ไปที่ม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีร่มเงา
“ได้สิ!” โอมตอบและเดินไปนั่งข้าง ๆ นนน
“วันนี้วันแรกแล้วเป็นไงบ้าง?” นนนถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
“ก็ตื่นเต้นดีครับ มีเพื่อนใหม่อย่างนายก็ดีแล้ว” โอมตอบพร้อมยิ้มให้
“ฉันก็รู้สึกเหมือนกัน ถ้าคิดไม่ออกเกี่ยวกับการบ้านก็ถามได้เลยนะ” นนนพูดอีกครั้ง ทำให้โอมรู้สึกอบอุ่นใจมากขึ้น
“แน่นอน!” โอมตอบด้วยความมั่นใจ
ทั้งสองคนใช้เวลาพักอยู่ใต้ต้นไม้พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน และในช่วงเวลาเหล่านั้น แสงแดดที่ลอดผ่านใบไม้ทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตนักเรียนเริ่มสดใสขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากนั้น วันแรกของการเรียนจบลง โอมและนนนเดินออกจากโรงเรียนพร้อมกัน เสียงหัวเราะและการพูดคุยของพวกเขาทำให้วันนั้นเป็นวันที่พิเศษ
“พรุ่งนี้เจอกันนะ” นนนบอกพร้อมยิ้มให้เขา
“เจอกันครับ” โอมตอบและมองเธอเดินจากไป เขารู้สึกว่าวันแรกที่โรงเรียนนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความทรงจำดี ๆ มากมาย