บทที่ 9
ชุลมุนวุ่นวาย
เมื่อไม่รู้สึกถึงความเจ็บและรู้ว่าตนยังมีลมหายใจ เซี่ยหยู่จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ภาพที่เห็นคือโจรป่าคนหนึ่งศีรษะกับตัวถูกแยกออกจากกัน ของเหลวสีแดงสดพุ่งกระฉูดออกจากรอยต่อ
ฉับพลันนั้น ดวงตากลมโตของเซี่ยหยู่ก็เบิกกว้างด้วยอาการตะลึง ในท้องปั่นป่วนเหมือนอยากขย้อยของเหลวออกมา
คิดปุบร่างกายก็ตอบสนองปับ เซี่ยหยู่ทรุดลงไปคุกเข่า โก่งคออาเจียน
“แหวะ!”
อย่างไรเสีย ที่อาเจียนออกมากลับมีแค่ลม
แม้ว่าเซี่ยหยู่จะสังหารโจรป่าไปสองคน แต่ก็แค่สร้างรูเล็กๆ บนร่างของโจรป่าเท่านั้นเอง ซึ่งตรงข้ามกับความสยดสยองที่เห็นเมื่อกี้อย่างสิ้นเชิง
“แหวะ แหวะ!”
เพียงนึกถึงภาพนั้น นางก็โก่งคออาเจียนอีกหน ครั้งนี้ก็ยังมีแต่ลมเหมือนเดิม
“องค์หญิง ลุกไหวหรือไม่”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเหนือศีรษะ
เซี่ยหยู่เงยหน้าขึ้น มองชายหนุ่มด้วยสีหน้าซีดเผือดดุจไก่ต้ม ตอบกลับด้วยปากสั่นๆ
“จะ…เจ้าคิดว่า…สภาพข้าตอนนี้ ดูไหวหรือไม่เล่า”
ไป๋มู่อวิ๋น “…”
ถูกต้องแล้ว คนที่ช่วยเหลือเซี่ยหยู่ด้วยการแยกร่างโจรป่าก็คือแม่ทัพไป๋มู่อวิ๋น
ไป๋มู่อวิ๋นเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ รูปโฉมคมคาย ดวงตาคมกริบ ก่อนถูกแต่งตั้งเป็นแม่ทัพ เขาเองก็เคยผ่านศึกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นพอสัมผัสได้ถึงอันตรายที่เกิดขึ้นทางนี้ เขาจึงรีบพุ่งมาปกป้ององค์หญิง
“ท่านไม่ควรอยู่ตรงนี้ รีบกลับเข้ากระโจมไปซ่อนตัวเสีย” ไป๋มู่อวิ๋นบอกพร้อมยื่นมือมาตรงหน้าของเซี่ยหยู่
นางคว้ามือเขา พยุงตัวลุกขึ้นยืน “ข้า…ไม่เป็นไรแล้ว” แม้เสียงยังสั่น หากก็ใส่ลูกศรลงหน้าไม้อย่างคล่องแคล่ว
ไป๋มู่อวิ๋นขมวดคิ้วมองอาวุธขนาดพกพาด้วยความสนใจ แม้มีคำถามผุดขึ้นเต็มหัว แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะพูด
จังหวะที่ชายหนุ่มกำลังจะเตือนให้นางรีบไปหลบ เซี่ยหยู่ก็กล่าวแทรกว่า “รีบจบเรื่องนี้เถอะ”
กล่าวจบ เซี่ยหยู่ก็ตบแก้มเรียกสติตัวเอง
คราวนี้ การเคลื่อนไหวของนางว่องไวกว่าเดิมเหมือนไม่ใช่คนเดียวกับเมื่อครู่
ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ศรพุ่งออกจากหน้าไม้ติดๆ ทั้งแม่นยำและรวดเร็ว เจาะเข้าที่ลำคอโจรป่าสองคนที่อยู่ไม่ไกล ราวกับว่าพวกมันเป็นเป้านิ่งก็ไม่ป่าน
โจรทั้งสองแทบไม่รู้สึกเจ็บก็แน่นิ่งไปเสียแล้ว
ไป๋มู่อวิ๋น “…”
องค์หญิง ท่านเองก็สังหารคนอย่างไม่ปรานีเหมือนกันไม่ใช่หรือ
..
..
ย้อนกลับมาที่กระโจมขององค์ชายน้อย
โจรกลุ่มหนึ่งอาศัยจังหวะชุลมุน ผ่านกำแพงป้องกันของทหารจนลอบเข้ามาถึงกระโจมขององค์ชายสามเซี่ยอวี้ได้อย่างสำเร็จ แถมยังราบรื่นเกินไปราวกับมีคนชี้เป้า
ครั้นเห็นว่าในกระโจมมีแค่เด็กชายตัวเล็กๆ หนึ่งคนกับสตรีอ่อนแอหนึ่งคน พวกมันก็แสยะยิ้มออกมาด้วยความเหี้ยมเกรียม
“หวานหมู”
โจรคนหนึ่งพูด ในหัววางแผนเสร็จสรรพว่าจะจัดการกับเหยื่อทั้งสองอย่างไรบ้าง
เด็กย่อมขาย ส่วนผู้หญิง...แม้จะแก่ไปหน่อย แต่หน้าตาดี รูปร่างใช้ได้ จับทำเมียก่อนค่อยขายให้หอนางโลม
ความคิดสกปรกฉายชัดอยู่บนหน้าพวกมัน แต่สิ่งที่ทำให้แม่นมจื่อฮวาเดือดที่สุดกลับเป็นคำว่า “แก่!” ที่สะท้อนออกมาจากแววตา
นางไม่รอช้า กระโดดถีบโจรที่ยืนอยู่ข้างหน้าเต็มแรง
อายุสามสิบแล้วอย่างไร รับใช้องค์ชายในฐานะแม่นมอย่างไร แต่ร่างกายนี้ยังแข็งแรง ไม่ได้ขึ้นสนิทเสียหน่อย!
แรงถีบของแม่นมจื่อฮวาหนักหน่วงยิ่งนัก คนที่ถูกถีบถึงกับหงายหลังล้มตึง คนข้างหลังก็พลอยล้มตามเป็นทอดๆ เหมือนกับโดมิโน่ ส่วนคนที่ตั้งหลักลุกขึ้นมาได้ก่อน ถูกกระบองไฟฟ้าฟาดใส่อย่างรวดเร็ว!
ตุบ!
โจรคนหนึ่งล้มลง ตาเหลือก น้ำลายฟูมปาก
โจรที่เหลือเห็นอย่างนั้นต่างก็นิ่งอึ้ง...ไม้กระบองอะไรกันฟะเนี่ย!
อย่างไรก็ตาม โจรป่าเหล่านี้หาได้โง่เขลา ไม่ช้าพวกมันก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าพวกตนมีดาบ ส่วนอีกฝ่ายมีแค่กระบองไม้ธรรมดา
เมื่อคิดได้อย่างนั้น พวกมันก็พุ่งเข้าใส่แม่นมจื่อฮวาพร้อมเงื้อดาบในมือขึ้น
แม่นมจื่อฮวาหลบการโจมตีอย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังฟาดกระบองไฟฟ้าใส่โจรป่าได้อย่างคล่องแคล่ว นางไม่ยั้งกำลังเลยสักนิด ภายในเวลาไม่นาน โจรป่ากลุ่มนั้นต่างก็ล้มตาเหลือกไปทีละคน
“หนีเร็วเพคะ!”
แม่นมใช้จังหวะนั้นจูงแขนเล็กๆ ขององค์ชายน้อยวิ่งฝ่ากลุ่มโจรที่นอนกองอยู่บนพื้น พร้อมกับสอดส่ายสายตามองหาที่ซ่อน
องค์ชายน้อยที่รีบร้อนวิ่งตามหลัง รองเท้าหลุดไปข้างหนึ่งก็ไม่รู้ตัว
เหตุการณ์ข้างนอกในตอนนี้โกลาหลวุ่นวายมาก ไม่ว่าจะวิ่งไปทางซ้ายหรือทางขวาคงไม่พ้นโดนลูกหลงแน่
ระหว่างที่คิดอย่างจนปัญญา เสียงแผ่วเบาที่คุ้นเคยของใครบางคนก็ดังมาจากหลังพุ่มไม้มืดๆ ที่อยู่ในป่า
“แม่นม แม่นม ทางนี้”
เมื่อมองตามเสียงก็พบว่าลี่ถิงโผล่ศีรษะขึ้นมาจากพุ่มไม้ที่อยู่ไม่ไกล เห็นเพียงแค่ช่วงหน้าผากกับลูกกะตา มือข้างหนึ่งกวักเรียกพวกนางหย่อยๆ กิ่งไม้รอบตัวพลิ้วไหวเล็กน้อยเหมือนถูกลมพัดและดูเป็นธรรมชาติมาก มองผ่านๆ แทบไม่รู้เลยว่าตรงนั้นมีคนซ่อนอยู่
ซ่อนตัวได้ดี!
แม่นมจื่อฮวาอดจะชื่นชมลี่ถิงไม่ได้
ในความคิดของลี่ถิงยามนี้ย่อมกลัวตายสุดหัวใจ นางไม่ได้มีวรยุทธ์ เป็นเพียงนางกำนัลตัวเล็กๆ ที่ต่อให้หายตัวไปหรือถูกฆ่าก็คงไม่มีใครสนใจอยู่แล้ว ทว่าหัวใจของนางก็จงรักภักดีต่อองค์หญิงเสมอ
เมื่อเห็นโจรป่าบุกเข้ามา ความคิดแรกของลี่ถิงคืออยากวิ่งออกไปช่วยองค์หญิงตอนนั้นเลย แต่ความเป็นจริง นางที่ไร้กำลัง ไม่มีกำลังภายใน หากทะเล่อทะล่าพุ่งออกไปรังแต่จะกลายเป็นตัวถ่วง และทำให้เหล่าทหารที่คุ้มกันองค์หญิงอยู่ทำงานได้อย่างลำบาก
ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือซ่อนตัว รอคอยจังหวะที่จะช่วยเหลือองค์หญิงจากเงามืด
หลังจากเลือกที่ซ่อนดีๆ ได้แล้ว ลี่ถิงก็เห็นองค์หญิงเองก้าวออกมาจากกระโจมขององค์ชายสาม ลี่ถิงกำลังจะร้องเรียกองค์หญิงให้มาซ่อนตัวตรงนี้เร็วๆ กลับเห็นว่าในมือขององค์หญิงถืออาวุธหน้าตาคล้ายหน้าไม้ ไม่เพียงแค่นั้น องค์หญิงตัวน้อย ที่มักจะขี้เกียจ และมีนิสัยเอาแต่ใจ บ้าผู้ชาย ยกหน้าไม้เล็งใส่โจรป่า ทั้งยังยิงพวกมันล้มลงไปทีละคน ทุกอย่างรวดเร็วราวสายฟ้า หากก็แม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ
ลี่ถิงได้แต่ยิ้มขมขื่น ดูเหมือนว่าองค์หญิงคงไม่ต้องการความช่วยเหลือจากนางแล้วกระมัง...สิ่งที่นางควรทำตอนนี้คือซ่อนตัวต่อไป โดยไม่เป็นภาระของใคร
บทที่ 28เยว่หลิวเซิงเจอทางตัน!? ย้อนกลับมาบนเส้นทางอพยพ ชาวบ้านกลุ่มใหญ่หลายร้อยชีวิตทยอยเดินลงจากเขา สภาพแต่ละคนล้วนอิดโรย เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดินและเหงื่อไคล ทว่าพวกเขากลับเดินเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ ไม่สับสนวุ่นวาย ถึงเสื้อผ้าของพวกเขาจะมีการปะชุนซ้ำๆ แต่ก็ดูดีกว่ากลุ่มผู้ลี้ภัยกลุ่มอื่นๆ เด็กเล็ก สตรี และคนชราต่างได้รับการคุ้มครองจากชายฉกรรจ์ในกลุ่ม ไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แม้ตำแหน่งผู้นำหมู่บ้านจะเป็นชายสูงวัยแซ่ลู่ที่อายุเกือบห้าสิบปี ทว่าผู้นำการเดินทางกลับเป็นชายหนุ่มวัยยี่สิบ เห็นอายุน้อยเช่นนี้ แต่ประสบการณ์การเอาตัวรอดกลับสูงลิ่ว บนหลังของชายหนุ่มคนนี้ยังแบกทารกแฝดชายหญิงไว้ในตะกร้า ส่วนด้านหน้าอุ้มเป้เก่าๆ ใบหนึ่ง ในมือของเขาถืออุปกรณ์ทรงกระบอกยาว เรียกว่า “กล้องส่องทางไกล” ทันทีที่เดินลงจากเขา ชายหนุ่มยกกล้องส่องทางไกลขึ้นส่องดูทิศทาง และสิ่งที่เห็นเบื้องหน้า ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น หน้าประตูเมืองซีหนานเต็มไปด้วยร่างไร้วิญญ
บทที่ 27แผนการอันชั่วร้าย (สอง) ยิ่งครุ่นคิดถึงเรื่องซวยสารพัดที่ประสบพบเจอในช่วงนี้ ความโกรธแค้นของเสนาบดีเผิงก็ยิ่งทวีคูณ ถ้าไม่ใช่เพื่อทำลายเสบียงของขบวนองค์ชายสาม ก็คงไม่ส่งเผิงอู๋ไปร่วมมือกับพวกโจรป่า และลูกชายคนรองของเขาก็คงไม่ต้องตาย เคราะห์กรรมครั้งนี้ พูดไปแล้วเป็นความผิดของเผิงซวนทั้งนั้น แต่คนชั่วเห็นแก่ตัวไหนเลยจะยอมรับผิด เขาโยนความผิดทั้งหมดไปที่ไป๋มู่อวิ๋น พอสรุปออกมาแบบนั้น เผิงซวนก็รีบวิ่งโร่มาทูลฟ้องต่อฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงโปรดทวงความเป็นธรรมให้ลูกชายของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ฮ่องเต้ทรงเลิกพระขนงเล็กน้อย “ทวงความเป็นธรรม? หมายความว่าอย่างไร” “ไป๋มู่อวิ๋น…เขาฆ่าลูกชายของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ!” ถ้อยคำนั้นทำให้ฮ่องเต้ถึงกับขมวดพระขนงแน่น ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ทราบเพียงว่าบุตรชายคนรองของอัครเสนาบดีเผิงถูกพบเป็นศพกลางป่า ร่องรอยบ่งชี้ว่าถูกหมาป่ากัดแทะจนตาย แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับไป๋มู่อวิ๋น? เผิงซวนเห็นคว
บทที่ 26แผนการอันชั่วร้าย (หนึ่ง) เวลานี้ ประตูเมืองซีหนานปิดเงียบ จากข่าวลือที่แพร่สะพัดออกไป ทำให้ไม่มีขบวนผู้อพยพสักกลุ่มกล้าเข้าใกล้ประตูเมืองอีกเลย ณ จวนแม่ทัพซีหนาน นายทหารคนหนึ่งรีบเร่งเข้ามารายงาน “ท่านแม่ทัพ! หน่วยสอดแนมแจ้งมาว่ามีขบวนรถม้ากลุ่มใหญ่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาในเขตเมืองซีหนานขอรับ!” ชายสวมเกราะเหล็ก อายุราวสามสิบปลายๆ ยกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเผยรอยยิ้มเย็นเยียบ “ขบวนรถม้ากลุ่มใหญ่อย่างนั้นรึ...ก็คงเป็นขบวนรถม้าขององค์ชายสาม?” นายทหารผู้รายงานรีบพยักหน้ารับ “แม้ผู้ติดตามจะไม่ได้สวมเกราะทหาร แต่จากท่วงท่าและอาวุธที่พก มองแวบเดียวก็รู้เลยขอรับว่าพวกเขาเป็นทหารแน่นอน” ได้ยินเช่นนั้น แม่ทัพแซ่เสวี่ยหัวเราะในลำคอเบาๆ “น่าชื่นชม ทั้งที่ข่าวลือหน้าประตูซีหนานแพร่สะพัดไปทั่วกลุ่มผู้อพยพ แต่ขบวนม้าขององค์ชายยังกล้าเลือกผ่านเส้นทางนี้...” “คงเพราะแม่ทัพไป๋ ผู้คุ้มกันขบวนรถม้า มั่นใจในฝีมือตนเองนักกระมัง ว่าสามารถปกป้ององค์ชายสามแ
บทที่ 25กวาดล้างผู้อพยพ “จะตามไปเก็บหรือไม่เจ้าคะ” ลี่ถิงถามอย่างไม่เข้าใจ จิ้งอี๋เพียงส่ายหน้า “เสียเวลา พวกเราไปกันเถอะ” เป้าหมายของการเดินทางคือมุ่งหน้าไปยังเมืองหลิงหนาน ระหว่างการเดินทางบนเส้นทางอพยพ ความแร้นแค้นได้เปลี่ยนชาวบ้านให้กลายเป็นโจรเร่ร่อน หลายครั้งพวกเขาเห็นคนที่เคยเป็นชาวนาต้องหันมาปล้นและแย่งชิงอาหารกันเอง องค์หญิงเซี่ยหยู่ทำได้เพียงแค่เข้าไปสั่งสอนเท่านั้น ครั้นจะให้ตามจับส่งทางการทุกคนย่อมเป็นไปไม่ได้ พวกเขาไม่มีเวลามากพอสำหรับเรื่องนั้น เมื่อมาถึงที่พัก ทั้งสองนำซากหมาป่ามอบแก่กลุ่มผู้อพยพให้แบ่งกันทำอาหาร พร้อมบอกว่าในป่ายังเหลืออีกสี่ตัว ทุกคนต่างแสดงความยินดี ได้ทั้งเนื้อได้ทั้งหนังไว้ใช้ ชายชราคนหนึ่งที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน กล่าวขอบคุณแทนชาวบ้านทุกคน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้ากังวล “แม่นาง ข้าเห็นขบวนรถม้าของพวกเจ้ากำลังเดินทางสวนกับผู้อพยพ...พวกเจ้าจะเดินทางไปเมืองซีหนานกันหรือ?” “พวกเราไม่ได้จะไปเมืองซีหน
บทที่ 24หนีหมาป่า ปะทะ โจรเร่ร่อน กลางดึกสงัดคืนหนึ่ง ภายในกระโจมของเหล่าหญิงสาว ลี่ถิงสะลึมสะลือลุกขึ้นนั่ง หลังจากกะพริบตาถี่ๆ เพื่อเรียกสติอยู่ครู่หนึ่ง นางก็หันไปสะกิดจิ้งอี๋เบาๆ “อะไรหรือ” “ข้าอยากเข้าห้องน้ำ…” ยิ่งใกล้จะถึงเมืองหลิงหนานเท่าไร อากาศก็ยิ่งร้อน ลี่ถิงจึงดื่มน้ำเยอะ ตอนนี้ก็เหมือนจะกลั้นไม่อยู่แล้ว แน่นอน บนเส้นทางอพยพเช่นนี้ ‘ห้องน้ำ’ ที่ว่าก็คือป่าข้างทาง “พี่สาวจิ้งอี๋ พาข้าไปห้องน้ำทีนะ” ลี่ถิงบอกพลางยิ้มเขิน จิ้งอี๋เห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ จึงขานรับสั้นๆ “ได้สิ” จากนั้นหญิงสาวทั้งสองก็ลุกออกจากกระโจม เมื่อเดินออกมาไกลพอสมควร ลี่ถิงก็เดินลับเข้าไปในป่าเพื่อทำธุระส่วนตัวอย่างไม่รอช้า พอจัดเสื้อผ้าเรียบร้อย ลี่ถิงก็ก้าวออกจากป่าด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ท่ามกลางความมืดของราตรี จู่ๆ ลี่ถิงพลันรู้สึกเย็นที่สันหลังวาบ เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก ครั้นหันไปมองต้นตอขอ
บทที่ 23 เซี่ยอวี้จัดการเอง! “เดี๋ยวก่อน!” เสียงเซี่ยอวี้ดังขึ้น ก่อนที่เขาจะประคองกระบอกน้ำด้วยสองมือแล้วส่งให้กับพี่สาว เซี่ยหยู่เห็นความโอบอ้อมอารีของน้องชาย อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปขยี้หัวเล็กๆ ของเจ้าตัวจิ๋วแรงๆ ด้วยความเอ็นดู เมื่อรับกระบอกน้ำมา เซี่ยหยู่ก็แอบใส่น้ำพุวิญญาณลงไปเล็กน้อยระหว่างที่ก้าวตรงไปหาเด็กที่นอนหมดสติ หวังต้าเจิงที่เฝ้าดูอาการของเด็กชาย ครั้นเห็นองค์หญิงตรงมาทางนี้ก็รีบโค้งคำนับแล้วบอกว่า “กระหม่อมให้ยาลดไข้เด็กคนนี้แล้ว เหลือแค่รอดูอาการพ่ะย่ะค่ะ” “อืม” เซี่ยหยู่ตอบหวังต้าเจิงสั้นๆ จากนั้นก็ยื่นกระบอกน้ำให้หญิงหม้ายที่นั่งกอดลูกชายพร้อมกับร่ำไห้ “ให้ลูกของเจ้าดื่มน้ำนี้เถอะ จะช่วยให้สดชื่นขึ้น” “ขะ…ขอบคุณเจ้าค่ะ คุณหนู” หญิงหม้ายรับกระบอกน้ำมา จากนั้นก็ก้มกราบจนหน้าผากติดพื้น ก่อนประคองลูกชายให้ขึ้นมาจิบน้ำอย่างช้าๆ แม้ยังหมดสติ แต่สัญชาตญาณเอาตัวรอดทำให้เด็กน้อยค่อยๆ ขยับริมฝีปาก ดื่มน้ำเข้าไปทีละน้อย ไม่นานจา