LOGINเนี่ยฮุ่ยเฟยหยุดอยู่หน้าร้านหนึ่งมองแผ่นป้ายไม้ที่จางไปตามกาลเวลา
ร้านนั้นคือ “ร้านผ้าเมฆา” ร้านผ้าที่เคยเป็นของมารดาตน
เนี่ยฮุ่ยเฟยมองป้ายร้านอยู่นาน ดวงตาที่ปกติแน่วแน่นั้นสั่นระริกเพียงครู่ จากนั้นจึงหันหลังเดินต่อ โดยมุ่งหน้าไปยังตรอกด้านหลังตลาด จากนั้นซูอวี้ก้เดินตามนางไป
ซูอี้มองซ้ายขวาอย่างระมัดระวังตรอกนี้เป็นทางเชื่อมระหว่างตลาดกับโรงเตี๊ยมเมิ่งหลิ่วชุน
จังหวะที่นางแทรกตัวเข้าไป ทันใดนั้น…
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นด้านหลัง เร็ว และมั่นคงจนผิดสังเกต
ซูอี้ขมวดคิ้ว รีบหมุนตัวกลับกลับพบเพียงบุรุษในชุดดำ สวมหมวกบังหน้า เดินสวนผ่านเธอไปเงียบ ๆ แต่สัมผัสบางอย่างไม่ถูกต้องกลิ่นยาสมุนไพรจาง ๆ กับแรงกดดันจากแววตาผู้ผ่านไปนั้น
ทำให้หลังของซูอี้เย็นวาบ
หลิงเซ่าเทียนยืนมองออกไปจากหน้าต่างเขาสวมเสื้อคลุมสีเข้ม ผ้าคาดเอวหรูหราแต่ไม่อวดอ้างในมือนั้นถือพัดไม้ไผ่ปักชื่อ ‘เมิ่งหลิ่วชุน’ อย่างอ่อนช้อย ข้างหลังเขา คือชายวัยกลางคนในชุดทหารปลอมตัว “จินซาน” อดีตองครักษ์ประจำตระกูลหลิง
“สาวใช้นั่นใช่คนของฟู่ซื่อหรือไม่?” หลิงเซ่าเทียนถามโดยไม่หันกลับมา
“ใช่ขอรับ ข้าสืบพบว่าเรียกชื่อว่าซูอี้ สนิทกับฮูหยินเนี่ย มาตั้งแต่สมัยอยู่บ้านเดิม เชี่ยวชาญการสะกดรอย สืบข่าว และใช้พิษบางชนิด”
เซ่าเทียนหลับตาลงชั่วครู่ ก่อนยิ้มเย็น
“ส่งข่าวให้นางรู้ว่า ‘ตรอกนั้น’ มิใช่ทางของคนอยากรู้อยากเห็น หากฟู่ซื่อยังคิดจะเล่นกับไฟ…ก็จงเตรียมใจไว้”
เขาหันหลังกลับสายลมโบกชายเสื้อคลุมเบา ๆ แววตาของชายหนุ่มเปล่งประกายลึกล้ำ เปี่ยมด้วยความเงียบงันที่พร้อมระเบิดทุกเมื่อ
ยามซื่อซูอี้นั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น เหงื่อเย็นซึมทั่วแผ่นหลัง มือเรียวซ่อนไว้ใต้ชายเสื้อกำแน่นเพื่อปิดบังอาการสั่นเทา ส่วนฟู่ซื่อนั่งสงบอยู่บนเก้าอี้ไม้จันทน์ดวงหน้าสง่าไม่แสดงอารมณ์ แต่แววตาคมกริบดุจมีด
“แล้วเป็นอย่างไร” เสียงนางนิ่ง แต่ทรงพลัง
“บ่าว…สะกดรอยคุณหนูใหญ่ไปถึงตลาดได้เจ้าค่ะ นางแวะร้านเครื่องเขียน และไปดูร้านผ้าเมฆาจากนั้นเดินเข้าตรอกด้านหลัง”
ฟู่ซื่อพยักหน้า “แล้วพบเขาหรือไม่?”
ซูอี้ลังเล ก่อนตอบด้วยเสียงแผ่ว “…ไม่เจ้าค่ะ บ่าวไม่ได้เห็นเขา แต่ว่า…บ่าวกลับรู้สึกเหมือนถูกเฝ้าจับตา…จากทั้งสองฝั่งตรอก และดูเหมือนว่าเส้นทางนั้นถูกควบคุมไว้แล้ว”
เสียงในห้องเงียบกริบเพียงเสียงน้ำชาไหลลงจากกาเบา ๆ ดังขึ้นแทน ฟู่ซื่อกระตุกยิ้มช้า ๆ
“เจ้าหมายความว่า…เขารู้ว่ามีคนสะกดรอยงั้นหรือ?”
ซูอี้ไม่กล้าตอบ แต่ความเงียบของนางก็เพียงพอจะเป็นคำตอบ
ฟู่ซื่อวางถ้วยชาลงเบา ๆ “แม้แต่ซูอี้ยังรู้สึกถึงแรงกดดัน… เช่นนั้นคนผู้นั้นไม่ใช่พ่อค้าทั่วไปแน่นอน และนาง…ก็ดูจะไม่ใช่คุณหนูผู้สิ้นหวังอีกต่อไปแล้ว” นางหรี่ตาลงนิ้วเรียวเคาะโต๊ะเบา ๆ หลายครั้งแววตาเปลี่ยนจากเย็นชาเป็นครุ่นคิด
“หากจะโค่นต้นไม้ใหญ่…ต้องรู้ก่อนว่ารากฝังลึกแค่ไหน”
ที่โรงเตี๊ยมเมิ่งหลัวชุ่น หลิงเซ่าเทียนยืนพิงโต๊ะ เบื้องหน้าเป็นกล่องไม้ใบเล็ก ภายในมีเอกสารเก่าและแผนที่จวนตระกูลเนี่ย เขาเปิดแผนผังห้องเรือนกลีบบัว พลางพูดกับ “จินซาน” ที่นั่งคุกเข่ารอคำสั่งอยู่ด้านข้าง
“อีกไม่นานนางจะหยุดเคลื่อนไหว เพราะกลัวทำผิดพลาด”
ภายในโรงน้ำชาเหยียนอวิ๋น ซึ่งเป็นโรงน้ำชาเล็กๆ ที่มีเพียงสองชั้น ตกแต่งอย่างเรียบง่าย
บานประตูไม้เลื่อนเปิดออกอย่างเงียบงัน หญิงสาวผู้หนึ่งในชุดคลุมสีหม่นก้าวเข้าสู่ชั้นล่างของโรงน้ำชา ใต้หมวกผ้าคลุมหน้า ดวงตาคมคู่นั้นเงียบสงบแต่เปี่ยมด้วยแววระวัง
เนี่ยฮุ่ยเฟยถือพัดปิดใบหน้า มองไปรอบกายอย่างระมัดระวัง ไม่มีใครในร้าน มีเพียงบ่าวหนุ่มผู้หนึ่งที่ก้มหน้าเชื้อเชิญนางขึ้นชั้นสองอย่างสุภาพ
“คุณชายรออยู่ข้างบนแล้วขอรับ”
นางพยักหน้าฝีเท้านางแน่นิ่ง สม่ำเสมอแต่ลมหายใจกลับเบาลงทุกย่างก้าวนางเองก็ไม่แน่ใจนักว่าเหตุใดจึงยอมมาที่นี่ ทั้งที่รู้ว่าอาจเสี่ยง แต่หัวใจกลับสงบนิ่ง…เมื่อรู้ว่าปลายทางคือเขา
ภายห้องไม้เรียบง่าย ตกแต่งเพียงพอด้วยโต๊ะเตี้ยหนึ่งตัว หม้อชาและถ้วยสองใบวางไว้เรียบร้อย หลิงเซ่าเทียนยืนอยู่ข้างหน้าต่าง เมื่อเสียงฝีเท้าดังขึ้น เขาหันกลับมาอย่างสงบนิ่ง
ดวงตาของเขาสบเข้ากับนางทั้งสองไม่ได้พูดคำใด แต่ความเงียบก็ไม่อึดอัด
เขาเชื้อเชิญให้นางนั่งลง รินชาใส่ถ้วยของนางด้วยมือตัวเอง กลิ่นหอมของชาอวี้หลานคลุ้งขึ้นทันทีที่น้ำร้อนตกกระทบกลีบแห้ง
“ข้ารู้ว่าการนัดพบเช่นนี้ไม่เหมาะสม” เสียงของหลิงเซ่าเทียนนุ่มลึกและหนักแน่น
“แต่ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเริ่มสงสัยบางอย่าง”
เนี่ยฮุ่ยเฟยรับถ้วยชาไว้นิ่งไปครู่ ก่อนตอบเบา ๆ
“ท่าน…ให้คนคุ้มกันตรอกหลังตลาดใช่หรือไม่ และข่าวลือ…ก็เงียบลงเร็วเกินไป”
หลิงเซ่าเทียนไม่ปฏิเสธ เขายิ้มบางเบา มองนางด้วยแววตาที่มิได้ล้อเล่น
“ข้าเพียงไม่ต้องการให้ชื่อของเจ้า…ถูกคนโสมมป้ายเปื้อน ชื่อเสียงของสตรีในเมืองนี้ เปราะบางยิ่งกว่าสิ่งใด”
ราวกับสวรรค์เบิกฟ้า ลมหายใจในห้องกลับมาไหลเวียนอีกครั้ง หมอตำแยชูเด็กทารกเพศหญิงขึ้น เสียงร้องดังใสแจ๋วดังขึ้นสองสามครั้ง ก่อนเงียบลงเมื่อนางถูกห่อตัวด้วยผ้าขาวสะอาดก่อนจะอุ้มออกมาส่งมอบให้หลิงเว่าเทียนที่ด้านนอก “เป็นคุณหนูน้อยเจ้าค่ะ! สมบูรณ์แข็งแรง!” หลิงเซ่าเทียนมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกเหนือคำบรรยาย เขารับบุตรีตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนเป็นคนแรก ก่อนส่งให้นางผู้เป็นมารดา เนี่ยฮุ่ยเฟยมองใบหน้ากลมมนเล็กจิ๋วของลูก ดวงตาคู่นั้นยังปิดสนิท แต่กลับรู้สึกราวกับสัมผัสถึงดวงวิญญาณเล็ก ๆ ที่มาเติมเต็มหัวใจของนาง “อวี้เหม่ย…ขอต้อนรับเจ้ามาสู่โลกใบนี้…” นางกล่าวด้วยเสียงสั่น เฝ้ามองลูกอย่างหลงใหล ดวงตาคู่นั้นพร่าเลือนด้วยหยาดน้ำใส หลิงเซ่าเทียนก้มลงจุมพิตเบา ๆ ที่หน้าผากภรรยา “เจ้าคือสตรีที่เก่งที่สุดในโลก…” เสียงลมหายใจของทารกน้อยดังปนอยู่กับเสียงเทียนที่ยังคงลุกไหม้แผ่วเบาในห้อง ทั้งห
หลังยืนยันการตั้งครรภ์ การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ก็เริ่มเกิดขึ้น ในครัวใหญ่ ปรับเมนูอาหารใหม่สำหรับสตรีมีครรภ์ เน้นอาหารอ่อน ย่อยง่าย และมีคุณค่าทางโภชนาการ และในเรือนก็ได้รับการตกแต่งใหม่เพิ่มความโปร่งและเงียบสงบ ลดเสียงรบกวน เพื่อให้เนี่ยฮุ่ยเฟยพักผ่อนได้อย่างเต็มที่แม้แต่ในห้องของหลิงจิ่งหาน ถูกแยกออกเป็นห้องเล็ก ๆ ข้างเรือนใหญ่ เพื่อให้พี่เลี้ยงดูแลอย่างใกล้ชิด โดยยังให้เด็กน้อยมาเล่นกับมารดาได้ตามเวลา หลิงจิ่งหานที่ยังพูดไม่คล่องนัก มักยื่นของเล่นให้มารดา บางครั้งก็นำตุ๊กตาผ้าไปวางบนหน้าท้องนางแล้วหัวเราะเสียงใส “เจ้าอยากให้เขาเล่นกับเจ้าใช่หรือไม่?” เนี่ยฮุ่ยเฟยหัวเราะเบา ๆ ขณะลูบผมลูกชาย“อีกไม่นานเจ้าก็จะได้เป็นพี่ชายแล้วนะ…” ในคืนหนึ่ง ขณะทั้งสองสามีภรรยนั่งบนศาลาริมสระ แสงจันทร์ทอดเงาจางบนผิวน้ำ เสียงจักจั่นแว่วจากแนวไม้ไผ่ หลิงเซ่าเทียนจ้องมองหน้าท้องของภรรยา ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่ม “ข้
ฤดูใบไม้ผลิเดินทางเข้าสู่กลางฤดู กลีบดอกเหมยเริ่มปลิดปลิวตามลมอ่อน ๆ ยามเช้า ในจวนหลิงที่เคยวุ่นวาย ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ และเสียงเด็กทารกร้องจ๊อกแจ๊ก ยามรุ่งอรุณอาบแสงแดดสีทองที่เลื้อยผ่านม่านบาง เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดังคลอไปกับเสียงทารกน้อยที่กำลังส่งเสียงเรียกผู้เป็นแม่ในแบบของเขา ภายในเรือนกลาง เนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งพิงเบาะนิ่มด้วยท่าทางอ่อนโยน บนตักของนางมีเด็กชายตัวน้อยวัยไม่ถึงเดือน เขากำลังดูดนมจากอกของมารดา แก้มเล็ก ๆ แดงปลั่ง มือเล็กกำแน่นจิกชายเสื้อของมารดาไว้แน่น “ค่อย ๆ ดื่มนะลูก… อย่าหายใจเร็ว” เสียงกระซิบของนางอ่อนโยนดั่งเสียงลมพัดในฤดูใบไม้ผลิ ดวงตาของนางจับจ้องใบหน้าของทารกน้อยด้วยแววตาเปี่ยมรัก หลังจากป้อนเสร็จ นางอุ้มลูกขึ้นพาดไหล่ ตบหลังเบา ๆ ให้เรอ เมื่อเสียงเรอดัง “เอิ๊ก” เล็ก ๆ ออกมา นางถึงกับหัวเราะเบา ๆ พลางยิ้มด้วยความเอ็นดู ในขณะนั้นเอง บานประตูบานใหญ่ของเรือนก็เปิดออก เสียงฝีเท้าคุ้นเคยที่หนักแน่นและมั่นคงดังขึ้น
เมื่อบุตรชายมีอายุครบหนึ่งปี หลิงเซ่าเทียนจึงจัดพิธีเรียกว่า “จัวโจว” โดยวางสิ่งของต่าง ๆ ไว้ให้เด็กเลือก เพื่อทำนายอนาคตในศาลาหลังสวนมีผืนผ้าไหมปูลาดอย่างประณีต บนผ้านั้นมีสิ่งของเรียงราย:• พู่กันและม้วนกระดาษ (หมายถึงนักปราชญ์)• ลูกคิด (หมายถึงพ่อค้า)• ดาบไม้ (หมายถึงนักรบ)• ถุงใส่เงินทอง (หมายถึงความมั่งมี)• หยกก้อนเล็ก (หมายถึงโชคดี) หลิงจิ่งหานถูกอุ้มให้นั่งกลางวงอย่างระมัดระวัง ทุกสายตาจับจ้องขณะเขาเหลือบมองของตรงหน้า สายตาเปล่งประกายอยากรู้ ทันใดนั้น… เขาคลานตรงไปยัง พู่กัน แต่ยังไม่ทันหยิบ ก็มองเห็นลูกคิดไม้ข้าง ๆ จึงเปลี่ยนใจไปหยิบมันขึ้นมาแทน และยิ้มแฉ่งราวพอใจ เสียงหัวเราะดังขึ้นทันที “ฮ่าๆๆ เจ้าตัวแสบของเราจะเป็นพ่อค้าที่เก่งกาจหรือไม่เนี่ย” หลิงเซ่าเทียนหัวเราะ ขณะยกบุตรขึ้นสูงแล้วหมุนเบา ๆ“อย่างไรพ่อก็ขอให้เจ้าเติบโตอย่างมีสติปัญญา สุขภาพแข็งแรงพอ”
รุ่งเช้าวันถัดมา หลิงเซ่าเทียนส่งอวี๋เหยียนกับสายลับคนสนิทเดินทางไปทางเหนือ เพื่อสืบความเคลื่อนไหวของกลุ่มขุนนางชายแดน อีกกลุ่มหนึ่ง ส่งเข้าเมืองหลวงอย่างลับเพื่อเตรียม ‘พยาน’ ที่เคยถูกปิดปากในอดีต เขาไม่ได้รอการโจมตีเขากำลัง ‘เตรียมสวนกลับ’ ในเวลาและสถานที่ที่เขาเลือกอย่างไรก็ตามภายในโรงน้ำชาร้างนอกประตูเมือง ชายวัยกลางคนสวมชุดหรูหราแต่ปิดหน้าอยู่ในเงา กำลังพูดกับคนรับใช้ข้างกาย “หลิงเซ่าเทียน…ไม่ยอมตายเหมือนพ่อมัน เช่นนั้น…เราคงต้องทำให้มันทรมานเสียก่อนจะตาย”หลายวันต่อมา ขณะที่ท้องฟ้าเมืองหลวงขมุกขมัว ท่ามกลางม่านเมฆสีเทาหนักอึ้งรถม้าคันหนึ่งแล่นเข้าสู่ประตูวังหลวงอย่างเงียบงันภายในรถม้า ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก “อวี๋เหยียน” มือซ้ายของหลิงเซ่าเทียน และ ชายชรา คนที่หายไปจากแผ่นดินมานานกว่า 10 ปี ผู้เคยเป็น “เจ้ากรมอาลักษณ์” ที่อยู่ใต้คำสั่งของบิดาหลิงเซ่าเทียนเมื่อครั้งยังมีอำนาจ เขาคือหนึ่งในคนไม่กี่คน ที่รู้แผนปลอมเอกสารและใส่ร้ายตระกูลหลิงเมื่อ 13 ปีก่อน และเป็นคนเดียวที่…หนีรอดมาได้ “ข้าคิดว่าจะตายอย่างคนไม่มีชื่อ…แต่ในเมื่อผู้มีบุญคุณยังมีชีวิต ข้าจะขอเอาชีวิตที่เหลือ ทำให้ความ
ภายในจวนตระกูลหลิงเอง สาวใช้คนหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ถูกส่งตัวให้รับหน้าที่ในครัวท่าทางว่าง่าย พูดน้อย ไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย นางมักเงียบงันและหลบในเงามืดของเรือนแต่ในคืนหนึ่ง ขณะที่เรือนอาหารเตรียมมื้อเย็นสำหรับฮูหยินตั้งครรภ์ นางแอบใส่ “สิ่งบางอย่าง” ลงในหม้อต้มยาจีนอย่างแผ่วเบาก่อนรีบหายตัวไปจากมุมครัวอย่างไร้ร่องรอยทว่า… เงาร่างหนึ่งยืนอยู่เหนือหลังคาใกล้ศาลาเงียบดวงตาคู่นั้นจับจ้องทุกการเคลื่อนไหว และใบหน้าที่หลบอยู่ภายใต้หน้ากากสีเงิน คือสายลับผู้หนึ่งที่หลิงเซ่าเทียนสั่งให้จับตามองทุกสิ่งในจวนของเขาเอาไว้เมื่อหลิงเซ่าเทียนกลับถึงจวนก่อนเวลา และทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องอาหาร เขากลับหยุดนิ่งทันทีก่อนจะเอ่ยกับซูหรูด้วยเสียงเรียบแต่แฝงความเย็น“นำยาทั้งหมดไปเททิ้ง และนำภาชนะไปให้ท่านหมอตรวจทันที”เนี่ยฮุ่ยเฟยมองเขาอย่างประหลาดใจ หลิงเซ่าเทียนเดินเข้าไปนั่งใกล้ ลูบมือนางเบา ๆ ก่อนเอ่ย“มีคนต้องการให้เจ้ากับลูก…ไม่ได้อยู่ต่อในโลกนี้”เนี่ยฮุ่ยเฟยหน้าซีดลงช้า ๆ นางไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงแต่เงียบงัน มือแน่นิ่งในมือเขาหลิงเซ่าเทียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาคมดุดันดุจพยัคฆ์ใต้เงาเมฆ“ข้าเคยยอมให้ค







