LOGIN“เจ้าบอกว่าข้าพลัดตกน้ำ…อย่างนั้นหรือ?” เสียงของเนี่ยฮุ่ยเฟยเอ่ยขึ้นเบา ๆ แต่เฉียบคม ในขณะที่มองตรงไปยังสาวใช้คนสนิทนามว่า “เสี่ยวจู” เด็กสาววัยราวสิบหกผู้เติบโตมากับนางมาตั้งแต่ยังเล็ก
เสี่ยวจูสะดุ้งเฮือก สีหน้าละล้าละลัง
“ขะ…ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู ข้าน้อย…ข้าไม่กล้าบอกความจริง…ข้ากลัว…” นางทำท่าจะคุกเข่า
เนี่ยฮุ่ยเฟยยื่นมือขึ้นห้ามไว้ สีหน้านิ่งสนิท
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ผิด ข้าเพียงต้องการความจริง ข้าจำได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งสายตาของเขา…ที่ยืนมองข้าโดยไม่แม้แต่จะเอื้อมมือมาช่วย” น้ำเสียงของนางแผ่วเบา แต่ทุกถ้อยคำเฉียบคมดังใบมีด
“ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เสี่ยวจู เจ้าจงเป็นหูเป็นตาให้ข้า…ฟังทุกคำที่พวกเขาพูด ข้าต้องการรู้ทุกเรื่องของจวนนี้”
เสี่ยวจูเงยหน้าขึ้นช้า ๆ มองคุณหนูของตนด้วยแววตาไม่เชื่อสายตา
“คุณหนู ท่าน…ท่านดูไม่เหมือนเดิมเลยเจ้าค่ะ”
เนี่ยฮุ่ยเฟยเพียงยิ้มมุมปากเล็กน้อย “เพราะข้าตายไปครั้งหนึ่ง และต่อไป ข้าจะทำให้ทุกคนรู้ว่า ‘เนี่ยฮุ่ยเฟย’ ที่เขาเคยเหยียบย่ำคนนั้น ได้ตายจากไปแล้วจริง ๆ”
อีกสองวันถัดมา ขณะที่อากาศยังเย็นจัดเพราะฝนยามเช้าตกโปรยลงมา กลิ่นหอมของบัวหิมะนึ่งน้ำผึ้งกับยำดอกเหมยหมักซอสถั่วเหลืองกลับลอยอบอวลออกมาจากเรือนครัว บ่าวไพร่จำนวนหนึ่งยืนมุงดูอย่างประหลาดใจ
“ใครทำ?” เสียงผู้ดูแลครัวเอ่ยขึ้นอย่างเหลือเชื่อ
หญิงสาวในชุดผ้าไหมเรียบง่ายคนหนึ่งกำลังนึ่งซี่โครงย่างน้ำแดงอยู่ด้วยท่วงท่าคล่องแคล่ว กลิ่นที่ลอยออกมานั้นเข้มข้นเกินจะมองข้าม
“คุณหนูใหญ่?”
เมื่อเสียงร่ำลือว่า คุณหนูใหญ่แห่งจวนเนี่ยลงครัวเองไปถึงหูของ ฟู่ซื่อ นางถึงกับเอ่ยดูแคลนลูกเลี้ยงของตนทันที
“หึ…คิดจะทำให้ข้าขายหน้าในวันไหว้บรรพชนงั้นหรือ?” ก่อนจะออกคำสั่งเรียกบ่าวคนสนิทมาทันที
“ให้คนไปดูว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ หากลงมือในครัวจริง ๆ …ก็ปล่อยให้นางทำ ข้าจะรอดูว่าสิ่งที่นางทำจะดีพอให้บิดาของนางใส่ใจหรือไม่”
วันพิธีมาถึงเร็วเกินคาด ท่ามกลางโต๊ะเครื่องเซ่นหลายสิบโต๊ะจากเรือนต่าง ๆ ในจวน มีเพียงโต๊ะเล็กด้านหลังที่จัดโดยเนี่ยฮุ่ยเฟยซึ่งเดิมทีไม่มีใครใส่ใจ ทว่าเมื่อลมพัดมากลิ่นซี่โครงหมูย่างน้ำแดงร้อน ๆ สีทองประกายเคลือบหนา บรรดาญาติผู้น้อยต่างก็หันมองเป็นสายเดียวกัน “กลิ่นอะไรน่ะ? ใครทำ?” “จากโต๊ะของคุณหนูใหญ่…เจ้าค่ะ” ฟู่ซื่อขมวดคิ้ว ทว่าเนี่ยหย่งซาน…บิดาของนาง กลับชะงักเมื่อได้กลิ่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสายตาคู่นั้นซึ่งเคยไม่สนใจลูกสาวคนโตเลยสักนิด กลับสั่นไหวเล็กน้อยแต่เพียงแวบเดียวก็เลือนหายไป คืนยามจื่อ (23.00–00.59 น.)ภายในห้องเรือนหลังซ้ายที่มืดสนิท มีเพียงแสงตะเกียงน้ำมันหนึ่งดวงวางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ แสงไหวริบหรี่ตามแรงลมที่ลอดช่องหน้าต่างแม้จะรู้ว่าบัดนี้ตนเองจะต้องใช้ชีวิตในโลกใบใหม่นี้ ทว่านางก็ยังไม่มั่นใจว่าตนเองจะเดินไปในทิศทางใด
สองวันต่อมา
เสียงกลองยามเช้าจากหน้าประตูใหญ่ของจวนเนี่ยดังขึ้นหนึ่งระลอก ตามด้วยเสียงบ่าวสาวเร่งรีบปัดกวาด ล้างลาน เดินขวักไขว่ประหนึ่งมีเหตุสำคัญ และนั่นคือความจริงวันนี้เป็นวันเกิดปีที่ห้าสิบของท่านอาจารย์หลัวฉางไท่ ขุนนางในราชสำนักผู้เป็นทั้งสหายเก่าและผู้มีพระคุณของบิดา
บิดาของนางจึงจัดงานเลี้ยงรับรองแขกสำคัญจากทั่วเมือง ณ ศาลาหลักของจวนตระกูลเนี่ย
ที่เรือนพักของนางเสี่ยวจูเดินเข้ามาพร้อมกับห่อผ้า
“คุณหนู ฮูหยิน ส่งชุดไปให้เจ้าค่ะ บอกว่า…เป็นของขวัญสำหรับงานเลี้ยงวันนี้เจ้าค่ะ ” เสี่ยวจูเปิดผ้าห่ออย่างระมัดระวัง เผยให้เห็นผ้าไหมบางละเอียดสีชมพูอ่อน ปักลายดอกเหมยบานด้วยด้ายทอง
เนี่ยฮุ่ยเฟยมองเพียงครู่ก่อนถอนหายใจบาง ฟู่ซื่อ…เจ้ายังคิดว่าข้าโง่พอจะรับไมตรีจากผู้วางยาฆ่าแม่ตัวเองได้อีกหรือ
นางกล่าวเสียงเรียบ “เผามันซะ”
“คุณหนู…” แม้ว่าเสี่ยวจูจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เจ้านายของตนเองกระทำ แต่นางก็ทำตามคำสั่งแต่โดยดี
และเมื่อถึงเวลาเนี่ยฮุ่ยเฟยปรากฏกายในชุดผ้าไหมแท้สีม่วงอมน้ำเงิน ประดับลายดอกมู่ตานสีฟ้าบนชายเสื้อ ชุดซึ่งเคยเป็นของมารดานาง อดีตฮูหยินเอกผู้ล่วงลับ
เมื่อนางก้าวเข้าศาลา แขกในงานพลันหันมอง ทั้งเพราะความงามของชุดและสายตาแน่วแน่ที่ไม่หวั่นไหว
แม้แต่ “ฟู่ซื่อ” ผู้ยืนอยู่กลางศาลาด้านในก็ต้องชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะแย้มยิ้มแผ่ว พูดคุยกับบรรดาแขกที่มาร่วมงานต่อไป
ในระหว่างงานเลี้ยง แขกมากหน้าหลายตาต่างกล่าวชมเรื่องความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลเนี่ย พลางจิบสุราอุ่นในถ้วยหยก แต่ในจังหวะที่สายลมพัดแรงจนม่านผ้าไหววูบขึ้นนั้น ร่างหนึ่งปรากฏตรงทางเดินด้านหลังศาลา
ชายหนุ่มผู้สวมชุดคลุมสีดำสนิท คลุมหน้าไว้ด้วยผ้าพันบาง เผยเพียงดวงตาเรียวลึกเย็นชา เขาก้าวเข้ามาช้า ๆ และโค้งคำนับต่อหน้า อาจารย์หลัวและ เนี่ยหย่งซาน
ราวกับสวรรค์เบิกฟ้า ลมหายใจในห้องกลับมาไหลเวียนอีกครั้ง หมอตำแยชูเด็กทารกเพศหญิงขึ้น เสียงร้องดังใสแจ๋วดังขึ้นสองสามครั้ง ก่อนเงียบลงเมื่อนางถูกห่อตัวด้วยผ้าขาวสะอาดก่อนจะอุ้มออกมาส่งมอบให้หลิงเว่าเทียนที่ด้านนอก “เป็นคุณหนูน้อยเจ้าค่ะ! สมบูรณ์แข็งแรง!” หลิงเซ่าเทียนมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกเหนือคำบรรยาย เขารับบุตรีตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนเป็นคนแรก ก่อนส่งให้นางผู้เป็นมารดา เนี่ยฮุ่ยเฟยมองใบหน้ากลมมนเล็กจิ๋วของลูก ดวงตาคู่นั้นยังปิดสนิท แต่กลับรู้สึกราวกับสัมผัสถึงดวงวิญญาณเล็ก ๆ ที่มาเติมเต็มหัวใจของนาง “อวี้เหม่ย…ขอต้อนรับเจ้ามาสู่โลกใบนี้…” นางกล่าวด้วยเสียงสั่น เฝ้ามองลูกอย่างหลงใหล ดวงตาคู่นั้นพร่าเลือนด้วยหยาดน้ำใส หลิงเซ่าเทียนก้มลงจุมพิตเบา ๆ ที่หน้าผากภรรยา “เจ้าคือสตรีที่เก่งที่สุดในโลก…” เสียงลมหายใจของทารกน้อยดังปนอยู่กับเสียงเทียนที่ยังคงลุกไหม้แผ่วเบาในห้อง ทั้งห
หลังยืนยันการตั้งครรภ์ การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ก็เริ่มเกิดขึ้น ในครัวใหญ่ ปรับเมนูอาหารใหม่สำหรับสตรีมีครรภ์ เน้นอาหารอ่อน ย่อยง่าย และมีคุณค่าทางโภชนาการ และในเรือนก็ได้รับการตกแต่งใหม่เพิ่มความโปร่งและเงียบสงบ ลดเสียงรบกวน เพื่อให้เนี่ยฮุ่ยเฟยพักผ่อนได้อย่างเต็มที่แม้แต่ในห้องของหลิงจิ่งหาน ถูกแยกออกเป็นห้องเล็ก ๆ ข้างเรือนใหญ่ เพื่อให้พี่เลี้ยงดูแลอย่างใกล้ชิด โดยยังให้เด็กน้อยมาเล่นกับมารดาได้ตามเวลา หลิงจิ่งหานที่ยังพูดไม่คล่องนัก มักยื่นของเล่นให้มารดา บางครั้งก็นำตุ๊กตาผ้าไปวางบนหน้าท้องนางแล้วหัวเราะเสียงใส “เจ้าอยากให้เขาเล่นกับเจ้าใช่หรือไม่?” เนี่ยฮุ่ยเฟยหัวเราะเบา ๆ ขณะลูบผมลูกชาย“อีกไม่นานเจ้าก็จะได้เป็นพี่ชายแล้วนะ…” ในคืนหนึ่ง ขณะทั้งสองสามีภรรยนั่งบนศาลาริมสระ แสงจันทร์ทอดเงาจางบนผิวน้ำ เสียงจักจั่นแว่วจากแนวไม้ไผ่ หลิงเซ่าเทียนจ้องมองหน้าท้องของภรรยา ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่ม “ข้
ฤดูใบไม้ผลิเดินทางเข้าสู่กลางฤดู กลีบดอกเหมยเริ่มปลิดปลิวตามลมอ่อน ๆ ยามเช้า ในจวนหลิงที่เคยวุ่นวาย ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ และเสียงเด็กทารกร้องจ๊อกแจ๊ก ยามรุ่งอรุณอาบแสงแดดสีทองที่เลื้อยผ่านม่านบาง เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดังคลอไปกับเสียงทารกน้อยที่กำลังส่งเสียงเรียกผู้เป็นแม่ในแบบของเขา ภายในเรือนกลาง เนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งพิงเบาะนิ่มด้วยท่าทางอ่อนโยน บนตักของนางมีเด็กชายตัวน้อยวัยไม่ถึงเดือน เขากำลังดูดนมจากอกของมารดา แก้มเล็ก ๆ แดงปลั่ง มือเล็กกำแน่นจิกชายเสื้อของมารดาไว้แน่น “ค่อย ๆ ดื่มนะลูก… อย่าหายใจเร็ว” เสียงกระซิบของนางอ่อนโยนดั่งเสียงลมพัดในฤดูใบไม้ผลิ ดวงตาของนางจับจ้องใบหน้าของทารกน้อยด้วยแววตาเปี่ยมรัก หลังจากป้อนเสร็จ นางอุ้มลูกขึ้นพาดไหล่ ตบหลังเบา ๆ ให้เรอ เมื่อเสียงเรอดัง “เอิ๊ก” เล็ก ๆ ออกมา นางถึงกับหัวเราะเบา ๆ พลางยิ้มด้วยความเอ็นดู ในขณะนั้นเอง บานประตูบานใหญ่ของเรือนก็เปิดออก เสียงฝีเท้าคุ้นเคยที่หนักแน่นและมั่นคงดังขึ้น
เมื่อบุตรชายมีอายุครบหนึ่งปี หลิงเซ่าเทียนจึงจัดพิธีเรียกว่า “จัวโจว” โดยวางสิ่งของต่าง ๆ ไว้ให้เด็กเลือก เพื่อทำนายอนาคตในศาลาหลังสวนมีผืนผ้าไหมปูลาดอย่างประณีต บนผ้านั้นมีสิ่งของเรียงราย:• พู่กันและม้วนกระดาษ (หมายถึงนักปราชญ์)• ลูกคิด (หมายถึงพ่อค้า)• ดาบไม้ (หมายถึงนักรบ)• ถุงใส่เงินทอง (หมายถึงความมั่งมี)• หยกก้อนเล็ก (หมายถึงโชคดี) หลิงจิ่งหานถูกอุ้มให้นั่งกลางวงอย่างระมัดระวัง ทุกสายตาจับจ้องขณะเขาเหลือบมองของตรงหน้า สายตาเปล่งประกายอยากรู้ ทันใดนั้น… เขาคลานตรงไปยัง พู่กัน แต่ยังไม่ทันหยิบ ก็มองเห็นลูกคิดไม้ข้าง ๆ จึงเปลี่ยนใจไปหยิบมันขึ้นมาแทน และยิ้มแฉ่งราวพอใจ เสียงหัวเราะดังขึ้นทันที “ฮ่าๆๆ เจ้าตัวแสบของเราจะเป็นพ่อค้าที่เก่งกาจหรือไม่เนี่ย” หลิงเซ่าเทียนหัวเราะ ขณะยกบุตรขึ้นสูงแล้วหมุนเบา ๆ“อย่างไรพ่อก็ขอให้เจ้าเติบโตอย่างมีสติปัญญา สุขภาพแข็งแรงพอ”
รุ่งเช้าวันถัดมา หลิงเซ่าเทียนส่งอวี๋เหยียนกับสายลับคนสนิทเดินทางไปทางเหนือ เพื่อสืบความเคลื่อนไหวของกลุ่มขุนนางชายแดน อีกกลุ่มหนึ่ง ส่งเข้าเมืองหลวงอย่างลับเพื่อเตรียม ‘พยาน’ ที่เคยถูกปิดปากในอดีต เขาไม่ได้รอการโจมตีเขากำลัง ‘เตรียมสวนกลับ’ ในเวลาและสถานที่ที่เขาเลือกอย่างไรก็ตามภายในโรงน้ำชาร้างนอกประตูเมือง ชายวัยกลางคนสวมชุดหรูหราแต่ปิดหน้าอยู่ในเงา กำลังพูดกับคนรับใช้ข้างกาย “หลิงเซ่าเทียน…ไม่ยอมตายเหมือนพ่อมัน เช่นนั้น…เราคงต้องทำให้มันทรมานเสียก่อนจะตาย”หลายวันต่อมา ขณะที่ท้องฟ้าเมืองหลวงขมุกขมัว ท่ามกลางม่านเมฆสีเทาหนักอึ้งรถม้าคันหนึ่งแล่นเข้าสู่ประตูวังหลวงอย่างเงียบงันภายในรถม้า ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก “อวี๋เหยียน” มือซ้ายของหลิงเซ่าเทียน และ ชายชรา คนที่หายไปจากแผ่นดินมานานกว่า 10 ปี ผู้เคยเป็น “เจ้ากรมอาลักษณ์” ที่อยู่ใต้คำสั่งของบิดาหลิงเซ่าเทียนเมื่อครั้งยังมีอำนาจ เขาคือหนึ่งในคนไม่กี่คน ที่รู้แผนปลอมเอกสารและใส่ร้ายตระกูลหลิงเมื่อ 13 ปีก่อน และเป็นคนเดียวที่…หนีรอดมาได้ “ข้าคิดว่าจะตายอย่างคนไม่มีชื่อ…แต่ในเมื่อผู้มีบุญคุณยังมีชีวิต ข้าจะขอเอาชีวิตที่เหลือ ทำให้ความ
ภายในจวนตระกูลหลิงเอง สาวใช้คนหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ถูกส่งตัวให้รับหน้าที่ในครัวท่าทางว่าง่าย พูดน้อย ไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย นางมักเงียบงันและหลบในเงามืดของเรือนแต่ในคืนหนึ่ง ขณะที่เรือนอาหารเตรียมมื้อเย็นสำหรับฮูหยินตั้งครรภ์ นางแอบใส่ “สิ่งบางอย่าง” ลงในหม้อต้มยาจีนอย่างแผ่วเบาก่อนรีบหายตัวไปจากมุมครัวอย่างไร้ร่องรอยทว่า… เงาร่างหนึ่งยืนอยู่เหนือหลังคาใกล้ศาลาเงียบดวงตาคู่นั้นจับจ้องทุกการเคลื่อนไหว และใบหน้าที่หลบอยู่ภายใต้หน้ากากสีเงิน คือสายลับผู้หนึ่งที่หลิงเซ่าเทียนสั่งให้จับตามองทุกสิ่งในจวนของเขาเอาไว้เมื่อหลิงเซ่าเทียนกลับถึงจวนก่อนเวลา และทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องอาหาร เขากลับหยุดนิ่งทันทีก่อนจะเอ่ยกับซูหรูด้วยเสียงเรียบแต่แฝงความเย็น“นำยาทั้งหมดไปเททิ้ง และนำภาชนะไปให้ท่านหมอตรวจทันที”เนี่ยฮุ่ยเฟยมองเขาอย่างประหลาดใจ หลิงเซ่าเทียนเดินเข้าไปนั่งใกล้ ลูบมือนางเบา ๆ ก่อนเอ่ย“มีคนต้องการให้เจ้ากับลูก…ไม่ได้อยู่ต่อในโลกนี้”เนี่ยฮุ่ยเฟยหน้าซีดลงช้า ๆ นางไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงแต่เงียบงัน มือแน่นิ่งในมือเขาหลิงเซ่าเทียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาคมดุดันดุจพยัคฆ์ใต้เงาเมฆ“ข้าเคยยอมให้ค







