“ข้าหลิงเซ่าเทียน ขอมอบของขวัญแก่ท่านอาจารย์หลัวในฐานะศิษย์คนหนึ่งในสำนักศึกษาหลวง”
“ขอบใจเจ้ามาก เซ่าเทียน “อาจารย์หลัวฉางไท่เอ่ยบอกก่อนจะยื่นมือออกไปผรับของขวัญจากชายหนุ่ม
“คุณชายหลิงมาเหนื่อยๆ เชิญนั่งจิบชาด้านนี้เจ้าค่ะ “เสียงหวานอ่อนโยนของเนี่ยเหวินชิง บุตรสาวของฟู่ซื่อเอ่ยขึ้น ขณะเชื้อเชิญชายหนุ่มให้ไปนั่งจิบชาอีกมุมของงานเลี้ยง มีเพียงเนี่ยฮุยเฟยที่ปรายตามองอย่างเรียบเฉย กระทั่งแขกเริ่มทยอยกลับนางถึงได้กลับมาที่เรือนพักของตนเองในปลายยามเซิน
เมื่อยามซวีมาถึง ฝนตกลงมาอย่างหนัก สายฟ้าแลบสว่างฉับพลันกลางฟ้า ก่อนฟ้าร้องกึกก้องราวจะฉีกเมืองให้ขาดเป็นเสี่ยง หญิงสาวนั่งอยู่ลำพังในห้องตรงหน้ากระจก โดยมีเสี่ยวจูที่คอยช่วยหวีผมให้นางก่อนเข้านอน
“คุณหนู ข้าน้อยได้ยินมาว่า คุณชายหลิงมาร่วมงานด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ “
“อืม เจ้ารู้จักเขางั้นเหรอ “
“ไม่เพียงข้าน้อยที่รู้จักเขาเจ้าค่ะ ทั่วทั้งเมืองคงไม่มีสตรีใดที่ไม่รู้จักเขา อ่อ ยกเว้นท่านนะเจ้าคะคุณหนู “เสี่ยวจูเอ่ยบอกหลังจากช่วยหวีผมให้กับเจ้านายของตนเองเรียบร้อยแล้ว
เมืองลั่วหลิงในฤดูใบไม้ผลิ แม้ลมเย็นยังพัดพาไอหนาวจากหุบเขา แต่มวลดอกท้อกลับผลิบานสะพรั่งรายสองข้างทางของตลาด เสียงผู้คนจอแจ เร่ขายสินค้านานาชนิด ขับเคลื่อนย่านตลาดตะวันออกให้ครึกครื้นยิ่งนัก
ขณะที่นางก้มหน้าอยู่หน้าร้านยาเล็ก ๆ บนหัวมุมซอย แผ่นกระดาษที่นางเขียนรายการสิ่งของที่ต้องการกลับปลิวตามแรงลมหลุดจากมือ ลอยสะบัดวนไปทางฝูงชน
“อะ…!”
นางก้าวตามไปพลางเบี่ยงตัวหลบรถเข็นและเด็กวิ่งเล่นที่สวนมา ท่ามกลางความวุ่นวายที่ใกล้จะเกินควบคุม นางไม่เห็นเลยว่าแผ่นกระดาษนั้นไปติดอยู่กับปลายรองเท้าบู๊ตหนังสีดำของใครคนหนึ่ง
“มองทางด้วยสิ…” เสียงทุ้มต่ำแต่ไม่หยาบคายดังขึ้น
นางชะงัก ก้มมองปลายเท้าของบุรุษตรงหน้า แผ่นกระดาษอยู่ใต้รองเท้าของเขา…และเขายังไม่ขยับเท้าหนี นางจึงเงยหน้าขึ้นตามลำดับ และได้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มผู้หนึ่ง
เขาสวมชุดสีหมึกมืดแบบชาวเดินทางทั่วไป มีผ้าคลุมไหล่พาดหลวม ๆ เส้นผมมัดรวบครึ่งศีรษะอย่างไม่ประณีตนัก แต่กลับให้ความรู้สึกคล้ายคนที่ผ่านการฝึกฝนระเบียบในค่ายมาก่อน
ดวงตาเขาเรียวลึกมีแววระวังภัย…และเย็นชาราวน้ำแข็ง
“นั่นของข้า” ฮุ่ยเฟยเอ่ยเสียงเรียบ
ชายผู้นั้นไม่พูดอะไร เพียงแต่ก้มลงหยิบแผ่นกระดาษขึ้นมา พลิกดูอย่างไม่เกรงใจ ก่อนจะปรายตามองนาง แล้วยื่นแผ่นกระดาษคืนให้นาง แล้วหันหลังทำท่าจะเดินจากไป แต่เมื่อนางนึกขึ้นได้ว่าเคยเจอเขาที่ใดมาก่อนก็หลังจากที่เขาเดินจากไปไกลแล้ว
ค่ำคืนแห่งลั่วหลิงยามยามห้าย ลมพัดอ่อนระเรื่อ แต่ในตรอกหลังโรงเตี๊ยม “เมิ่งหลัวชุ่น” ความมืดยิ่งขับให้ความเย็นยะเยือกเจือกลิ่นเลือดเก่าเกาะแน่นอยู่บนผนังกำแพงหิน
ชายหนุ่มในชุดดำยืนพิงกำแพงหลังเรือน ไม่มีตะเกียง ไม่มีควันไฟ มีเพียงเงาจันทร์ที่สาดลงมา
กระทบปลายผมของเขา นั่นคือ หลิงเซ่าเทียน
ภายใต้ดวงตาคมเย็นของเขา แสงสะท้อนเล็กน้อยปรากฏขึ้นเมื่อเด็กหนุ่มร่างผอมในชุดชาวบ้านโผล่ตัวออกมาจากเงามืด
“นายท่าน…เรื่องที่ให้ไปสืบ ข้าน้อยมีความคืบหน้า” เสียงของเด็กหนุ่มสั่นเล็กน้อยไม่ใช่เพราะความกลัว หากเป็นเพราะคนตรงหน้าไม่เคยแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาเลย ไม่ว่าข่าวที่ได้มาจะน่าตกใจเพียงใด
หลิงเซ่าเทียนเพียงยกคิ้วเล็กน้อย “ว่ามา”
เด็กหนุ่มก้มหน้า เอ่ยอย่างนอบน้อม “สตรีที่นายท่านพบในตลาดคือ คุณหนูใหญ่เนี่ยฮุ่ยเฟย บุตรสาวของอดีตฮูหยินเอกผู้ล่วงลับแห่งจวนเนี่ยขอรับ นางอายุสิบหกในปีนี้ มารดาของนางก็คือบุตรีสาวเพียงคนเดียวของท่านแม่ทัพหลี่เสวียน ที่ถูกประหารเมื่อสิบกว่าปีก่อน…ตระกูลหลี่ถูกลบชื่อจากบัญชีขุนนางทั้งหมด มีเพียง ฮูหยินหลี่ฮุ่ยถังที่แต่งเข้าจวนเนี่ย จึงรอดพ้นจากโทษประหารขอรับ”
หลิงเซ่าเทียนฟังนิ่ง ไม่เอ่ยขัดแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มลังเลครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวต่อ
“ข้าน้อยยังสืบทราบว่า แม้จะเป็นคุณหนูใหญ่ แต่นางถูกเมินเฉย นายท่านเนี่ยไม่ได้ใส่ใจ ต่างจากบุตรคนอื่นๆ ที่รักใคร่และเอ็นดู และ…ข้าน้อยเพิ่งรู้ว่า นางเคยจมน้ำในสระหยกหลังจวนเนี่ยอยู่พักหนึ่งก่อนจะฟื้นขึ้นมา หลังจากนั้นนางก็เปลี่ยนไป”
คำว่า “ตกน้ำ” ทำให้ปลายนิ้วของหลิงเซ่าเทียนกระตุกเล็กน้อยรอดจากความตาย…ถูกทอดทิ้ง…เปลี่ยนบุคลิก ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของความเวทนาในสายตาเขา คนที่รอดจากความตายแบบนั้น มักไม่ใช่คนธรรมดา
หลิงเซ่าเทียนหมุนตัวกลับเข้าเงามืด พูดกับเด็กหนุ่มข้างกายโดยไม่หันกลับไป
“ให้คนจับตาจวนเนี่ยไว้…เฉพาะเรือนของคุณหนูใหญ่ ห้ามบุกรุก แต่หากมีสิ่งผิดปกติ รายงานข้าทันที”
“ขอรับ” เด็กหนุ่มตอบรับ ก่อนจะหายตัวไปเงียบงันราวกับลมพัดพา
เมื่อฟ้าเช้าเริ่มปรากฏแสงแดดแรกของวัน หลิงเซ่าเทียนเดินออกจากวังหลวงโดยไม่มีใครรู้ว่าเขาคือใคร มีเพียงร่องรอยรองเท้าบนฝุ่นบาง ๆ ที่ลานหิน และเงาของเขาที่ทอดยาวไกล เขาหยิบตราลับเล็กอีกดวงจากอกเสื้อ เป็นตราที่ราชเลขามอบให้เขาโดยเฉพาะตราที่ให้สิทธิ์ “ปิดเมือง สอบสวน และควบคุมผู้ต้องสงสัย” ได้โดยตรงในอำนาจของราชเลขาหวังจิ่นข่าย “ถึงเวลาตอบแทนความยุติธรรม…ของท่านพ่อแล้ว” เรือนเล็กของเนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งอยู่กลางสวนหลังเรือน นางกำลังวาดภาพเหมือนของมารดาตามความทรงจำ ในใจเต็มไปด้วยความกังวล หลังข่าวลือเรื่องขบถเงาเริ่มแทรกซึมสังคมสาวใช้คนสนิทวิ่งเข้ามา สีหน้าเคร่งเครียด “คุณหนูเจ้าคะ! มีคนแปลกหน้าป้วนเปี้ยนแถวเรือนตั้งแต่เช้า! ข้าคิดว่า…พวกเขาไม่ใช่คนของจวน!” เนี่ยฮุ่ยเฟยหยุดมือที่กำลังแตะปลายพู่กันสายตาแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น “นั่นแสดงว่า…ฟู่ซื่อเริ่มลงมือแล้ว
คลิก… ฝากล่องเปิดออกภายในมีม้วนผ้าไหมยาวหลายผืน จดหมายที่ถูกพับอย่างบรรจง และ “เหรียญประจำตระกูล” ซึ่งหายไปนานนับสิบปี นางค่อย ๆ หยิบจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นลายมือมารดาชัดเจน และเปื้อนรอยน้ำตาเก่า ๆ นางอ่านเบา ๆ ในจดหมาย มารดานางเขียนถึง ภัยที่ใกล้เข้ามาในวันนั้นกล่าวถึง “ขุนนางบางคน” ที่มีความเกี่ยวพันกับฟู่ซื่อ และการยักยอกเงินหลวงผ่านกิจการในนามร้านเล็ก ๆ มารดานางพยายามจะเปิดโปง แต่ถูกสั่งปิดปากอย่างเลือดเย็นหลิงเซ่าเทียนเงียบอยู่นาน ก่อนพูดช้า ๆ “นี่…คือหลักฐานที่ท่านพ่อของข้า เคยตามหา และเป็นหลักฐาน…ที่อาจโค่นทั้งฟู่ซื่อและตระกูลเนี่ยพร้อมกันได้” แววตาของฮุ่ยเฟยในยามนั้น…ไม่ใช่สายตาของคุณหนูผู้เคยถูกทอดทิ้งอีกต่อไปแต่มันคือดวงตาของคนที่ตื่นขึ้นจากเงามืดพร้อมจะยืนอยู่กลางแสงอย่างไม่กลัวสิ่งใด “ข้าจะไม่ถอยอีกต่อไป…ไม่ว่าใครจะต้องล้มไปกับความจริงนี้ก็ตาม”
อีกด้านของเมืองนั้น ภายในห้องหนังสือของหลิงเซ่าเทียน แสงจากตะเกียงส่องลงบนแผนที่และสมุดบัญชีเก่า ๆ บ่าวคนสนิทของเขารายงานด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ “นายท่าน ร้านเก่าของฮูหยินเนี่ยถูกลอบวางเพลิง!” หลิงเซ่าเทียนเงยหน้าขึ้นทันทีแววตาเยือกเย็นวูบผ่าน ก่อนเขาจะลุกขึ้น “พวกมันเริ่มแล้ว….ไปเตรียมรถม้า ข้าจะไปพบกับฮุ่ยเฟยในคืนนี้” ในยามที่ทุกสิ่งเคลื่อนไหวในเงามืดความลับของอดีต คำมั่นในปัจจุบัน และเงาแค้นของอนาคต…กำลังเริ่มปะทะกันอย่างเงียบงัน เสียงฝีเท้าบนลานกรวดเงียบเชียบ หากมั่นคงบ่าวคนสนิทของหลิงเซ่าเทียนเดินมาหยุดที่ข้างหน้าต่าง โบกมือเบา ๆ ส่งสัญญาณ ไม่นานนัก เงาร่างสูงสง่าก็ข้ามกำแพงเข้าสู่เรือนอย่างไร้สุ้มเสียงสายตาเขาเหลือบมองความมืดรอบข้างก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องแคบ ๆ ที่แสงตะเกียงยังคงส่องสลัว เนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งรออยู่แล้ว ราวกับรู้ว่าเขาจะมาสีหน้าแม้เคร่งขรึม แต่ดวงตายังคงเยือกเย็นอย่างควบคุม
เนี่ยฮุ่ยเฟยสบตาเขานางเห็นแววจริงใจในดวงตานั้นแต่ก็ยังไม่ละความระแวดระวัง “ข้าไม่เข้าใจ…เหตุใดท่านจึงต้องช่วยเหลือข้า” หลิงเซ่าเทียนวางถ้วยชาลงเงียบไปนาน ก่อนตอบช้า ๆ “ในสายตาคนนอก เจ้าอาจเป็นเพียงคุณหนูตกอับของจวนตระกูลเนี่ย แต่ข้า…เห็นเจ้ายืนหยัดด้วยตัวเองมาตลอด ไม่แม้แต่จะยอมจำนนต่อโชคชะตา” เสียงเขาชะงักเล็กน้อยก่อนพูดคำที่ทำให้นางแทบลืมหายใจ “และที่สำคัญ…ข้าเป็นหนี้คนผู้หนึ่ง ซึ่งเกี่ยวพันกับท่าน” ดวงตาของฮุ่ยเฟยเบิกขึ้น “หนี้? ท่านหมายถึงใครกัน…” หลิงเซ่าเทียนสบตานางใบหน้าเขาเคร่งขรึมแต่เปี่ยมด้วยความอ่อนโยน “ฮูหยินเอกแห่งตระกูลเนี่ย มารดาของเจ้า” มือที่ถือถ้วยชากระชับแน่นขึ้นเล็กน้อยหัวใจเต้นถี่…คล้ายกลัวความจริงที่รออยู่เบื้องหน้านางเงยหน้าขึ้นช้า ๆ เสียงที่เปล่งออกมาแม้เบา แต่ชัดเจนและมั่นคง “ท่านแม่ของข้า นางเกี่ยวข้องอะไรกับท่
เนี่ยฮุ่ยเฟยหยุดอยู่หน้าร้านหนึ่งมองแผ่นป้ายไม้ที่จางไปตามกาลเวลาร้านนั้นคือ “ร้านผ้าเมฆา” ร้านผ้าที่เคยเป็นของมารดาตนเนี่ยฮุ่ยเฟยมองป้ายร้านอยู่นาน ดวงตาที่ปกติแน่วแน่นั้นสั่นระริกเพียงครู่ จากนั้นจึงหันหลังเดินต่อ โดยมุ่งหน้าไปยังตรอกด้านหลังตลาด จากนั้นซูอวี้ก้เดินตามนางไปซูอี้มองซ้ายขวาอย่างระมัดระวังตรอกนี้เป็นทางเชื่อมระหว่างตลาดกับโรงเตี๊ยมเมิ่งหลิ่วชุนจังหวะที่นางแทรกตัวเข้าไป ทันใดนั้น…เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นด้านหลัง เร็ว และมั่นคงจนผิดสังเกตซูอี้ขมวดคิ้ว รีบหมุนตัวกลับกลับพบเพียงบุรุษในชุดดำ สวมหมวกบังหน้า เดินสวนผ่านเธอไปเงียบ ๆ แต่สัมผัสบางอย่างไม่ถูกต้องกลิ่นยาสมุนไพรจาง ๆ กับแรงกดดันจากแววตาผู้ผ่านไปนั้นทำให้หลังของซูอี้เย็นวาบหลิงเซ่าเทียนยืนมองออกไปจากหน้าต่างเขาสวมเสื้อคลุมสีเข้ม ผ้าคาดเอวหรูหราแต่ไม่อวดอ้างในมือนั้นถือพัดไม้ไผ่ปักชื่อ ‘เมิ่งหลิ่วชุน’ อย่างอ่อนช้อย ข้างหลังเขา คือชายวัยกลางคนในชุดทหารปลอมตัว “จินซาน” อดีตองครักษ์ประจำตระกูลหลิง“สาวใช้นั่นใช่คนของฟู่ซื่อหรือไม่?” หลิงเซ่าเทียนถามโดยไม่หันกลับมา“ใช่ขอรับ ข้าสืบพบว่าเรียกชื่อว่าซูอี้ สนิทกับฮู
ยามสาย แสงแดดอ่อนลอดผ่านม่านโปร่งที่ไหวตามลม ภายในเรือนของ “ฟู่ซื่อ” กลิ่นธูปหอมอบอวล ปะปนกับกลิ่นชาดอกเหมยหญิงผู้ครองตำแหน่ง “ฮูหยินเอกคนปัจจุบัน” นั่งประณีตอยู่บนอาสนะไม้ลายกลีบบัวงดงามดุจสตรีผู้สูงศักดิ์ หากแต่ในแววตากลับมีเงาของความไม่พอใจแฝงอยู่สาวใช้ที่ไว้ใจได้ “ชุนผิง” เดินเข้ามาคุกเข่าแล้วก้มหน้ารายงานเบา ๆ“อูหยินเจ้าคะ…บ่าวกลับจากตลาดแล้ว แต่…เรื่องที่สั่งเกี่ยวกับคุณหนูใหญ่…”ฟู่ซื่อเอียงศีรษะเล็กน้อย “ว่าอย่างไร? คนในตลาดว่าอะไรบ้าง”“…ขออภัยเจ้าค่ะ ไม่มีใครกล่าวถึงอีกเลย”มือที่กำลังถือถ้วยชาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะวางลงช้า ๆ“ไม่มีเลย? หมายความว่าอย่างไร…”“เมื่อคืนตลาดปิดเร็วกว่าปกติหลายร้าน แม่ค้าบางคนที่เคยพูดถึงข่าวลือเรื่องคุณหนูใหญ่ ก็เงียบ ไม่กล้ากล่าวแม้คำเดียว แม้บ่าวจะลองจงใจถามนำเรื่อง ก็ถูกปฏิเสธ หรือไม่ก็ถูกเมินค่ะ”ฟู่ซื่อขมวดคิ้ว เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยเสียงต่ำ“แปลก…ข้าคิดว่าอย่างน้อยพวกชาวบ้านคงไม่หยุดพูดกันเร็วถึงเพียงนี้ หรือว่าผู้ใด…เข้าแทรกแซง?”“ชุนผิง เจ้าเคยได้ยินชื่อของผู้ใดที่มีผู้คนกล่าวถึงในตลาดเร็ว ๆ นี้บ้างหรือไม่?”ชุนผิงเงยหน้าช้า ๆ คล้ายล