Mag-log inในขณะที่ร่างของเนี่ยฮุ่ยเฟยถูกชักออกจากน้ำ สวมเสื้อผ้าเปียกปอน ร่างบอบบางของนางแนบแน่นกับพื้นเย็นเฉียบ ผมยาวดำขลับกระเซิงเปียกปอนแนบข้างแก้มอย่างน่าสงสาร สองมือวางอยู่แน่นิ่งข้างลำตัว ริมฝีปากขาวซีดยังคงปิดสนิทดั่งไร้ชีวิต
ทันใดนั้น…
“ฮึก…!”
เสียงไออย่างรุนแรงดังขึ้นพร้อมกับที่ร่างของนางสะดุ้งเฮือกเหมือนถูกสายฟ้าฟาด น้ำในปอดถูกขับออกมาในพรวดเดียวพร้อมกับลมหายใจที่ขาดหายไปครู่ใหญ่ หญิงสาวกระเสือกกระสนขึ้นนั่ง มือสั่นเทายกขึ้นป้องหน้าอย่างสับสน ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองไปรอบกายอย่างตื่นตระหนก
ทุกคนรอบข้างอึ้งงันไปชั่วขณะ
“ขะ…คุณหนูใหญ่!” สาวใช้คนหนึ่งอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจระคนดีใจ
นางมองกลับไปด้วยแววตาว่างเปล่า ก่อนจะหลุบตาลงต่ำอย่างเงียบงัน
นี่ที่ไหนกัน…? ฉันไม่ตายหรือ…? หรือว่านี่คือ…ชีวิตหลังความตาย?
หญิงสาวรู้สึกถึงน้ำหนักของเสื้อผ้าหนักอึ้งที่เปียกโชก ร่างกายอ่อนล้า เจ็บจี๊ดตรงช่วงอกข้างซ้าย ความหนาวเย็นแทรกซึมจนถึงกระดูก แต่นั่นยังไม่น่าประหลาดใจเท่าเสียงอื้ออึงในหัวของนางที่ไม่หยุดกึกก้อง
“เนี่ยฮุ่ยเฟย” บุตรสาวผู้ถูกทอดทิ้ง…พลัดตกน้ำ…ตายต่อหน้าพี่ชายต่างมารดา…
ความทรงจำไม่ใช่ของเธอ แต่กลับแทรกเข้ามาอย่างชัดเจนราวกับเคยเกิดขึ้นกับเธอจริง ๆ
ความทรงจำแว่ววาบหนึ่งผุดขึ้นมา เสียงเบรก…แสงไฟหน้ารถ…เสียงร้องกรีดจากคนเดินเท้า…เลือดไหลนองบนถนนแอสฟัลต์…
“ฉันคือลั่วจิง…คือ…คนที่ถูกรถชนตายเมื่อครู่”
ลั่วจิง หญิงสาววัยยี่สิบเจ็ดปี จากโลกอนาคต ชีวิตเรียบง่าย ทำงานบัญชี เงียบขรึม มีโลกส่วนตัวสูง ไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อนสนิท ถูกเลี้ยงมาในบ้านอุปถัมภ์ตั้งแต่วัยเด็ก เธอจากโลกนั้นมาแล้วจริง ๆ และตอนนี้…เธออยู่ในร่างของหญิงสาวอีกคนที่ชื่อ เนี่ยฮุ่ยเฟย
หลังจากนั้นไม่นาน ภายในเรือนพักเล็ก ๆ ที่แสนเงียบเหงา เนี่ยฮุ่ยเฟยนอนพักอยู่บนเตียงไม้เรียบง่าย ม่านเตียงถูกดึงเปิดเล็กน้อยให้ลมพัดระบายเข้ามา แสงแดดยามบ่ายลอดผ่านหน้าต่างบานเล็กตกต้องที่ผิวน้ำในขันทองแดง สะท้อนเป็นเงาวูบไหวไปมา นางลืมตาขึ้นช้า ๆ จ้องมองเพดานไม้ที่มีรอยร้าวสีดำ รู้สึกถึงความแห้งฝาดในลำคอ และความตึงของกล้ามเนื้อจากการไอมากเกินไป เสียงฝีเท้าของสาวใช้เดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับชามข้าวต้มร้อน ๆ “คุณหนูเจ้าคะ ท่านหมอบอกให้พักเยอะ ๆ เจ้าค่ะ…รับข้าวต้มสักหน่อยดีไหมเจ้าคะ?” หญิงสาวที่นั่งบนเตียงไม่เอื้อนเอ่ยคำใด นางเพียงรับชามด้วยมืออ่อนแรง แล้ววางไว้ข้างตักข้ารอดมาได้อย่างไร? เขา…ยืนมองข้าตกน้ำโดยไม่แม้แต่จะขยับ… เงาในความทรงจำชัดเจนยิ่งนัก ใบหน้าของพี่ชายที่ยืนเฉย สายตาเย็นชาไร้ซึ่งความหวั่นไหว ภาพเหล่านั้นคือของจริง มิใช่ฝัน หากนางตายลงไปโดยไม่มีผู้พบ…บัดนี้คงมีเพียงชื่อที่ถูกจารึกในศาลบรรพชนด้วยชื่อของเด็กสาวผู้ “อ่อนแอจนพลัดตกน้ำตายเอง”ยามซวีบิดาของนาง เนี่ยหย่งซาน มิได้มาเยี่ยมบุตรสาวแม้แต่ครั้งเดียว เพียงให้คนมาแจ้งว่า “พักให้หาย แล้วอย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่” และ ฟู่ซื่อ ก็เพียงส่งคนมาตรวจสอบข่าวคราว ไม่มีใครในจวนที่แท้จริงแล้ว “ห่วงใย”
นางนั่งนิ่งอยู่ริมหน้าต่าง สวมชุดใหม่ที่สาวใช้เตรียมให้ ผมยาวถูกปล่อยไว้ตามธรรมชาติ ไม่แต่งหน้าหรือประดับเครื่องประดับใด ความงามเรียบง่ายกลับดูแปลกตาจนสาวใช้ยังรู้สึกประหลาด ขณะเดียวกัน ภายในจิตใจของหญิงสาวจากอีกโลกหนึ่งเริ่มตกผลึกชัดเจนขึ้นทุกขณะ“ในเมื่อโลกเดิมมิใช่ที่ของข้า และโลกนี้คือชีวิตใหม่ที่ข้าได้รับ… ข้าจะไม่ยอมเป็นเงาให้ใครอีก ไม่ยอมถูกดูแคลน หรือถูกเหยียบย่ำโดยผู้ใด “ นางพึมพำเสียงเบา แทบไม่ได้ยิน “ต่อจากนี้ไป…เนี่ยฮุ่ยเฟยคนเดิมไม่มีอีกแล้ว”ในวันถัดมาข่าวการรอดชีวิตของนางเริ่มแพร่ไปทั่วจวน แม้คนส่วนใหญ่จะไม่ใส่ใจ แต่ก็อดประหลาดใจไม่ได้ที่คุณหนูใหญ่ผู้เคยเงียบเชียบ กลับเริ่มเดินออกจากเรือน ดวงตาของนางไม่หลบซ่อนอีกแล้ว คำพูดของนางไม่อ้อมค้อม และท่าทีของนาง…แปรเปลี่ยนจนแม้แต่บ่าวไพร่ยังต้องสบตาอย่างเกรงใจ
“คุณหนูเจ้าคะ จะไปที่ใดหรือเจ้าคะ?” สาวใช้คนหนึ่งถามอย่างลังเล
หญิงสาวเพียงตอบเรียบ ๆ ขณะเดินผ่านลานกลางจวนไปยังหอบรรพชน “ไปไหว้แม่ของข้า” ณ ศาลบรรพชนที่เงียบงัน นางคุกเข่าลงเบื้องหน้าป้ายวิญญาณของมารดา ที่มีฝุ่นเกาะบาง ๆ ประหนึ่งไม่มีใครได้กราบไหว้มานานนัก นางค่อย ๆ ยื่นมือออกไปปัดฝุ่นบนแผ่นไม้ “ท่านแม่…” นางเอ่ยเสียงเบา “แม้ข้าจะไม่ใช่บุตรที่ท่านคลอดมา…แต่ข้าขอสาบาน ข้าจะไม่ยอมให้ใครผลักไสข้าอีก ไม่ว่าท่านพ่อ…ฟู่ซื่อ…หรือแม้แต่ใครก็ตาม ข้าจะทวงทุกสิ่ง…คืนมา” หลังกลับจากศาลบรรพชน เนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งเงียบอยู่ในห้องพัก แสงอาทิตย์ส่องลอดผ้าม่านเข้ามากระทบแก้มขาวซีดของนางที่เริ่มมีเลือดฝาดหลังพักฟื้นได้หนึ่งวัน ทว่าความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงนั้นไม่ได้อยู่บนผิวกาย หากแต่อยู่ในดวงตาคู่นั้น…ดวงตาที่เคยหลบสายตาผู้อื่น บัดนี้กลับส่องประกายเยือกเย็นราวกับหยกน้ำแข็งที่หลอมไม่ละลายราวกับสวรรค์เบิกฟ้า ลมหายใจในห้องกลับมาไหลเวียนอีกครั้ง หมอตำแยชูเด็กทารกเพศหญิงขึ้น เสียงร้องดังใสแจ๋วดังขึ้นสองสามครั้ง ก่อนเงียบลงเมื่อนางถูกห่อตัวด้วยผ้าขาวสะอาดก่อนจะอุ้มออกมาส่งมอบให้หลิงเว่าเทียนที่ด้านนอก “เป็นคุณหนูน้อยเจ้าค่ะ! สมบูรณ์แข็งแรง!” หลิงเซ่าเทียนมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกเหนือคำบรรยาย เขารับบุตรีตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนเป็นคนแรก ก่อนส่งให้นางผู้เป็นมารดา เนี่ยฮุ่ยเฟยมองใบหน้ากลมมนเล็กจิ๋วของลูก ดวงตาคู่นั้นยังปิดสนิท แต่กลับรู้สึกราวกับสัมผัสถึงดวงวิญญาณเล็ก ๆ ที่มาเติมเต็มหัวใจของนาง “อวี้เหม่ย…ขอต้อนรับเจ้ามาสู่โลกใบนี้…” นางกล่าวด้วยเสียงสั่น เฝ้ามองลูกอย่างหลงใหล ดวงตาคู่นั้นพร่าเลือนด้วยหยาดน้ำใส หลิงเซ่าเทียนก้มลงจุมพิตเบา ๆ ที่หน้าผากภรรยา “เจ้าคือสตรีที่เก่งที่สุดในโลก…” เสียงลมหายใจของทารกน้อยดังปนอยู่กับเสียงเทียนที่ยังคงลุกไหม้แผ่วเบาในห้อง ทั้งห
หลังยืนยันการตั้งครรภ์ การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ก็เริ่มเกิดขึ้น ในครัวใหญ่ ปรับเมนูอาหารใหม่สำหรับสตรีมีครรภ์ เน้นอาหารอ่อน ย่อยง่าย และมีคุณค่าทางโภชนาการ และในเรือนก็ได้รับการตกแต่งใหม่เพิ่มความโปร่งและเงียบสงบ ลดเสียงรบกวน เพื่อให้เนี่ยฮุ่ยเฟยพักผ่อนได้อย่างเต็มที่แม้แต่ในห้องของหลิงจิ่งหาน ถูกแยกออกเป็นห้องเล็ก ๆ ข้างเรือนใหญ่ เพื่อให้พี่เลี้ยงดูแลอย่างใกล้ชิด โดยยังให้เด็กน้อยมาเล่นกับมารดาได้ตามเวลา หลิงจิ่งหานที่ยังพูดไม่คล่องนัก มักยื่นของเล่นให้มารดา บางครั้งก็นำตุ๊กตาผ้าไปวางบนหน้าท้องนางแล้วหัวเราะเสียงใส “เจ้าอยากให้เขาเล่นกับเจ้าใช่หรือไม่?” เนี่ยฮุ่ยเฟยหัวเราะเบา ๆ ขณะลูบผมลูกชาย“อีกไม่นานเจ้าก็จะได้เป็นพี่ชายแล้วนะ…” ในคืนหนึ่ง ขณะทั้งสองสามีภรรยนั่งบนศาลาริมสระ แสงจันทร์ทอดเงาจางบนผิวน้ำ เสียงจักจั่นแว่วจากแนวไม้ไผ่ หลิงเซ่าเทียนจ้องมองหน้าท้องของภรรยา ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่ม “ข้
ฤดูใบไม้ผลิเดินทางเข้าสู่กลางฤดู กลีบดอกเหมยเริ่มปลิดปลิวตามลมอ่อน ๆ ยามเช้า ในจวนหลิงที่เคยวุ่นวาย ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ และเสียงเด็กทารกร้องจ๊อกแจ๊ก ยามรุ่งอรุณอาบแสงแดดสีทองที่เลื้อยผ่านม่านบาง เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดังคลอไปกับเสียงทารกน้อยที่กำลังส่งเสียงเรียกผู้เป็นแม่ในแบบของเขา ภายในเรือนกลาง เนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งพิงเบาะนิ่มด้วยท่าทางอ่อนโยน บนตักของนางมีเด็กชายตัวน้อยวัยไม่ถึงเดือน เขากำลังดูดนมจากอกของมารดา แก้มเล็ก ๆ แดงปลั่ง มือเล็กกำแน่นจิกชายเสื้อของมารดาไว้แน่น “ค่อย ๆ ดื่มนะลูก… อย่าหายใจเร็ว” เสียงกระซิบของนางอ่อนโยนดั่งเสียงลมพัดในฤดูใบไม้ผลิ ดวงตาของนางจับจ้องใบหน้าของทารกน้อยด้วยแววตาเปี่ยมรัก หลังจากป้อนเสร็จ นางอุ้มลูกขึ้นพาดไหล่ ตบหลังเบา ๆ ให้เรอ เมื่อเสียงเรอดัง “เอิ๊ก” เล็ก ๆ ออกมา นางถึงกับหัวเราะเบา ๆ พลางยิ้มด้วยความเอ็นดู ในขณะนั้นเอง บานประตูบานใหญ่ของเรือนก็เปิดออก เสียงฝีเท้าคุ้นเคยที่หนักแน่นและมั่นคงดังขึ้น
เมื่อบุตรชายมีอายุครบหนึ่งปี หลิงเซ่าเทียนจึงจัดพิธีเรียกว่า “จัวโจว” โดยวางสิ่งของต่าง ๆ ไว้ให้เด็กเลือก เพื่อทำนายอนาคตในศาลาหลังสวนมีผืนผ้าไหมปูลาดอย่างประณีต บนผ้านั้นมีสิ่งของเรียงราย:• พู่กันและม้วนกระดาษ (หมายถึงนักปราชญ์)• ลูกคิด (หมายถึงพ่อค้า)• ดาบไม้ (หมายถึงนักรบ)• ถุงใส่เงินทอง (หมายถึงความมั่งมี)• หยกก้อนเล็ก (หมายถึงโชคดี) หลิงจิ่งหานถูกอุ้มให้นั่งกลางวงอย่างระมัดระวัง ทุกสายตาจับจ้องขณะเขาเหลือบมองของตรงหน้า สายตาเปล่งประกายอยากรู้ ทันใดนั้น… เขาคลานตรงไปยัง พู่กัน แต่ยังไม่ทันหยิบ ก็มองเห็นลูกคิดไม้ข้าง ๆ จึงเปลี่ยนใจไปหยิบมันขึ้นมาแทน และยิ้มแฉ่งราวพอใจ เสียงหัวเราะดังขึ้นทันที “ฮ่าๆๆ เจ้าตัวแสบของเราจะเป็นพ่อค้าที่เก่งกาจหรือไม่เนี่ย” หลิงเซ่าเทียนหัวเราะ ขณะยกบุตรขึ้นสูงแล้วหมุนเบา ๆ“อย่างไรพ่อก็ขอให้เจ้าเติบโตอย่างมีสติปัญญา สุขภาพแข็งแรงพอ”
รุ่งเช้าวันถัดมา หลิงเซ่าเทียนส่งอวี๋เหยียนกับสายลับคนสนิทเดินทางไปทางเหนือ เพื่อสืบความเคลื่อนไหวของกลุ่มขุนนางชายแดน อีกกลุ่มหนึ่ง ส่งเข้าเมืองหลวงอย่างลับเพื่อเตรียม ‘พยาน’ ที่เคยถูกปิดปากในอดีต เขาไม่ได้รอการโจมตีเขากำลัง ‘เตรียมสวนกลับ’ ในเวลาและสถานที่ที่เขาเลือกอย่างไรก็ตามภายในโรงน้ำชาร้างนอกประตูเมือง ชายวัยกลางคนสวมชุดหรูหราแต่ปิดหน้าอยู่ในเงา กำลังพูดกับคนรับใช้ข้างกาย “หลิงเซ่าเทียน…ไม่ยอมตายเหมือนพ่อมัน เช่นนั้น…เราคงต้องทำให้มันทรมานเสียก่อนจะตาย”หลายวันต่อมา ขณะที่ท้องฟ้าเมืองหลวงขมุกขมัว ท่ามกลางม่านเมฆสีเทาหนักอึ้งรถม้าคันหนึ่งแล่นเข้าสู่ประตูวังหลวงอย่างเงียบงันภายในรถม้า ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก “อวี๋เหยียน” มือซ้ายของหลิงเซ่าเทียน และ ชายชรา คนที่หายไปจากแผ่นดินมานานกว่า 10 ปี ผู้เคยเป็น “เจ้ากรมอาลักษณ์” ที่อยู่ใต้คำสั่งของบิดาหลิงเซ่าเทียนเมื่อครั้งยังมีอำนาจ เขาคือหนึ่งในคนไม่กี่คน ที่รู้แผนปลอมเอกสารและใส่ร้ายตระกูลหลิงเมื่อ 13 ปีก่อน และเป็นคนเดียวที่…หนีรอดมาได้ “ข้าคิดว่าจะตายอย่างคนไม่มีชื่อ…แต่ในเมื่อผู้มีบุญคุณยังมีชีวิต ข้าจะขอเอาชีวิตที่เหลือ ทำให้ความ
ภายในจวนตระกูลหลิงเอง สาวใช้คนหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ถูกส่งตัวให้รับหน้าที่ในครัวท่าทางว่าง่าย พูดน้อย ไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย นางมักเงียบงันและหลบในเงามืดของเรือนแต่ในคืนหนึ่ง ขณะที่เรือนอาหารเตรียมมื้อเย็นสำหรับฮูหยินตั้งครรภ์ นางแอบใส่ “สิ่งบางอย่าง” ลงในหม้อต้มยาจีนอย่างแผ่วเบาก่อนรีบหายตัวไปจากมุมครัวอย่างไร้ร่องรอยทว่า… เงาร่างหนึ่งยืนอยู่เหนือหลังคาใกล้ศาลาเงียบดวงตาคู่นั้นจับจ้องทุกการเคลื่อนไหว และใบหน้าที่หลบอยู่ภายใต้หน้ากากสีเงิน คือสายลับผู้หนึ่งที่หลิงเซ่าเทียนสั่งให้จับตามองทุกสิ่งในจวนของเขาเอาไว้เมื่อหลิงเซ่าเทียนกลับถึงจวนก่อนเวลา และทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องอาหาร เขากลับหยุดนิ่งทันทีก่อนจะเอ่ยกับซูหรูด้วยเสียงเรียบแต่แฝงความเย็น“นำยาทั้งหมดไปเททิ้ง และนำภาชนะไปให้ท่านหมอตรวจทันที”เนี่ยฮุ่ยเฟยมองเขาอย่างประหลาดใจ หลิงเซ่าเทียนเดินเข้าไปนั่งใกล้ ลูบมือนางเบา ๆ ก่อนเอ่ย“มีคนต้องการให้เจ้ากับลูก…ไม่ได้อยู่ต่อในโลกนี้”เนี่ยฮุ่ยเฟยหน้าซีดลงช้า ๆ นางไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงแต่เงียบงัน มือแน่นิ่งในมือเขาหลิงเซ่าเทียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาคมดุดันดุจพยัคฆ์ใต้เงาเมฆ“ข้าเคยยอมให้ค







