LOGIN“คืนนี้เรารีวิวโปรเจคกัน” แอสตั้นเอ่ยเรียบๆ แต่สายตามันกลับดูผ่อนคลายเหมือนคนไม่ได้จริงจังกับงานเลยแม้แต่น้อย
“รีวิวโปรเจค…ตอนนี้เนี่ยนะครับ?” ผมถามพร้อมกับมองหน้าอาเทอร์ที่ก็ดูจะงงไม่ต่างจากผม ไอ้ทนายหน้าหล่อหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบแทนผม “ผมว่าบอสมันอยากดื่มมากกว่านะ ดูสายตามันดิ” ผมคิด ไอ้ตัวหอมหัวเราะเบาๆ อย่างกับรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร “จะดื่มด้วย คุยงานด้วย” ผมถอนหายใจ ไอ้เชี่ยบ้า มึงรู้ความคิดกู ผมเปิดโน้ตบุ๊กตัวเองที่พกมาด้วย แม้จะงงกับเหตุการณ์ตอนนี้ แต่ผมรู้ว่าปฏิเสธอะไรไม่ได้เลย ไอ้ตัวหอมนี่เวลามันเอาจริงก็เอาให้ตายเลยล่ะครับ ชั่วโมงถัดมา ผมนั่งพิมพ์แก้ไฟล์งานไป พลางสลับดื่มเบียร์ไปจนเกือบหมดกระป๋อง ไอ้บอสตัวหอมนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม มือหนึ่งถือกระป๋องเบียร์ ส่วนอีกมือก็ดูเอกสารที่ผมกับอาเทอร์ส่งให้มัน อาเทอร์นั่งไขว่ห้างดูชิลล์เหมือนไม่ใช่การประชุมย่อย แต่ทุกอย่างกลับไหลลื่นอย่างน่าประหลาด จนกระทั่งแอสตั้นหันมาพูดกับผม “เซบัส นายเก่งนะ แต่ชอบประมาท” “หา? ประมาทอะไรครับ?” ผมเลิกคิ้ว ก่อนที่มันจะยิ้มจางๆ “เมื่อวานนายบอกฉันว่าเอกสารครบแล้ว จำได้ไหม?” ผมขมวดคิ้ว “ครบแล้วนะครับ?” มันเลิกคิ้วใส่ผมแทนคำตอบ ก่อนจะดึงแฟ้มในมือขึ้นมาโยนลงตรงหน้า “แล้วนี่ล่ะ?” ผมก้มมองแฟ้มนั้น แม่งเอ๊ย…ไฟล์สำคัญที่ลืมใส่ไป! ผมหน้าเสียทันที ขณะที่อาเทอร์หัวเราะเบาๆ “คราวหลังอย่าประมาท” แอสตั้นพูดจบก็พิงพนักโซฟา สายตาจ้องหน้าผมเหมือนเตือน ผมไม่เถียงอะไร พยักหน้าแบบยอมรับผิดในใจลึกๆ และบอกตัวเองว่าจะไม่ให้เกิดแบบนี้อีก “ขอโทษครับ” ผมพูดออกไปอย่างจริงใจ “ดี” มันตอบแค่นั้น ก่อนจะหยิบเบียร์ขึ้นดื่มต่อ “งั้นในส่วนของผมคือต้องคอยจดทุกรายงานโปรเจค ก็เมื่อตอนนี้มันไม่มีหน้าที่ของผม งั้นเดี๋ยวผมขอตัวไปตรวจเอกสารที่เหลือต่อนะครับ” ไอ้เชี่ยอาเทอร์ มันจะปล่อยให้ผมอยู่กับไอ้บอสกันแค่สองคน แต่ผมจะกลัวอะไรวะครับเนี่ย แต่ตอนนี้ผมต้องแก้ไฟล์เอกสารที่เหลือต่อหน้าไอ้บอสนี่สิคร้าบ เพราะระบบปฏิบัติการต่างๆ จะผ่านพ้นสายตามันไปไม่ได้ อีกอย่างบางโปรแกรมมันต้องใส่รหัสส่วนตัวปลดล็อกให้ผม ผมจึงจำยอมอยู่ในห้องของไอ้บอสตัวหอมกันแค่สองคน มันลุกขึ้นยืนเต็มความสูง 187 ซึ่งก็ไม่สูงกว่าผมสักเท่าไหร่ เดินไปที่ตู้ที่ดีไซน์แปลกๆ ดูผิวเผิน ห้องนี้ถูกเก็บซ่อนเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ เข้ากับผนังห้อง มันเรียบหรู ดูเก๋ดี ไม่นานนักไอ้ตัวหอมมันก็เดินมา พร้อมกับเปิดเบียร์อีกกระป๋อง และมันก็เปิดให้ผม ก่อนจะวางข้างๆ โน๊ตบุ๊คของผม ผมกลัวว่ามันจะหก จึงเลื่อนมันออกไปวางไกลๆ ไอ้ตัวหอมมันมองหน้าผม เหมือนผมเสียมารยาท ผมเอ่ยขอบคุณมันแล้วนะตอนที่มันเปิดให้ และตอนนี้ผมก็ต้องอธิบายกับมันอีกว่า “ผมกลัวว่ามันจะหกรดเอกสารสำคัญ” พูดจบผมก็ยกกระดกไปครึ่งป๋อง ก่อนจะวางมันไกลๆ กลับไปใหม่ ไอ้นี่ก็เดินไปด้านนอกระเบียง มันคงกลัวผมอึดอัด จึงปล่อยให้ผมนั่งทำงานไปอย่างเงียบๆ สักพักไอ้ตัวหอมก็เดินเข้ามา มันมานั่งดูผมแก้ไฟล์งาน แม่งกลิ่นนี้ตีเข้าจมูกผมอีกแล้ว อยากจะหันไปถามมันชะมัด ว่าที่มีตั้งเยอะ ไม่ไปนั่ง มันจะให้ผมนั่งทำงานอย่างสบายใจหน่อยไม่ได้รึไง แต่แล้ว!! เมื่อผมหันไปจ้องมัน แม่งเอ้ย ใบหน้าของผมกับไอ้ตัวหอมมันห่างกันไม่ถึงคืบ มันจ้องมาที่ปากของผม เชี่ยอะไรวะครับเนี่ย ผมแม่งใจสั่น ทำตัวไม่ถูก ยิ่งสูดเอาลมหายใจที่มันพ่นออกมานะ อื้อหืม รู้สึกบอกไม่ถูกเป็นบ้า ไอ้ตัวหอมมันค่อยๆ เคลื่อนสายตาขึ้นมาแล้วสบตาผม ตอนนี้ผมก็บอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกันครับ ว่ากำลังคิดอะไร สมองมันว่าง มันล่องลอยไปหมด มันก้มลงมาจูบผม มือหนาดึงทึ้งท้ายทอยของผมไม่ให้ขยับไปไหน ไอ้เชี่ย!! แม่งมาขโมยจูบผมอีกแล้ว คราวนี้มันสอดลิ้นเข้ามา มันพยายามเอาลิ้นดุนดันเข้ามาในโพรงปากของผม ซึ่งผมเม้มมันเอาไว้ แต่มันก็ใช้อุ้งมือหนาของมันบีบปากของผมให้อ้ากว้างออก มันดูดดึงลิ้นของผมอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่มันจะค่อยๆ ถอนริมฝีปากออก “นายไม่เคยจูบรึยังไง? ” ก็ใช่น่ะสิครับ ถ้าไม่รวมเรื่องวันนั้น ผมก็ไม่เคย “แอสตั้น นายกำลังเมา ผมว่าผมกลับห้องก่อนดีกว่า” ผมบอกกับมัน แต่แทนที่มันจะฟังผม มันกลับพูดว่า “ให้ฉันสอนจูบให้เอามั้ย นายอยู่เมกาตั้งหลายปี น่าแปลกที่จูบไม่ประสาเอาซะเลย” ไอ้ตัวหอมมันทิ้งคำพูดเอาไว้แค่นั้น ทำไมวะครับ ถึงผมจะอยู่ที่ไหน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับจูบ แต่แล้วผมก็ต้องสะอึกกับคำพูดของไอ้หน้าหล่ออีกครั้งที่จู่ๆ มันก็พูดมาว่า “อยากลองกับฉันมั้ยล่ะ …” มันเงียบไปชั่วครู่ก่อนพูดต่ออีกว่า “เรื่องเซ็กส์ มันก็เป็นแค่รสนิยม ไม่มีถูก ไม่มีผิด บางทีฉันอาจจะสอนนายให้เก่งได้” มันไม่รอให้ผมได้ตอบคำถามอะไรเลยครับ มันจับโน๊ตบุ๊คของผมปิดหน้าจอลง ผมนิ่งอึ้งไป ไม่รู้จะตอบโต้อะไรดี ไอ้ตัวหอมนี่มันบ้าไปแล้วรึเปล่า จู่ๆ มาชวนผมคุยเรื่องพรรค์นั้นกลางดึกแบบนี้ ผมตั้งสติและพยายามหยิบโน้ตบุ๊กของตัวเองคืน แต่ไอ้แอสตั้นดันเอามือกดมันไว้บนโต๊ะ “นายจะไปไหน?” มันถามพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ผมบอกแล้วไงว่าจะกลับห้อง” ผมพยายามตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่แม่งเอ๊ย…แววตามันกลับดูเหมือนคนที่ไม่มีทางปล่อยผมไปง่ายๆ “ฉันยังไม่ได้บอกว่าประชุมจบเลยนะ” ผมถอนหายใจ “แอสตั้น พอเถอะ ผมไม่ได้สนุกกับเรื่องแบบนี้” “แล้วนายสนุกกับอะไรล่ะ?” มันถามพร้อมกับขยับหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม ผมถอยตัวออกอย่างอัตโนมัติ “ผมสนุกกับการทำงานที่มันจบอย่างราบรื่น” มันหัวเราะเบาๆ พลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอีกครั้ง ก่อนจะมองลงมาที่ผม “งั้นคืนนี้ฉันจะปล่อยนายไปก่อน…แต่อย่าคิดว่าฉันจะยอมแพ้ง่ายๆ ล่ะ เซบัส” ผมรีบคว้าโน้ตบุ๊กของตัวเองแล้วลุกขึ้นทันที หัวใจเต้นระส่ำราวกับเพิ่งหนีออกมาจากอะไรสักอย่างที่ควบคุมไม่ได้ ไอ้ตัวหอมมันแค่ยืนมองผมเดินออกไปจากห้องด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก เหมือนมันรู้ว่ามันกำลังครอบงำผมทีละนิด แม่งเอ๊ย…นี่มันอะไรกันวะครับ ความรู้สึกนี่มันอะไรกันแน่… ผมปิดประตูห้องลง ในขณะที่สายตาก็หันกลับไปมองยังห้องที่พึ่งเดินจากมา ผมเห็นเพียงทางเดินเรียงราย ใช่ครับ มันไม่ได้ยืนจ้องผมอยู่หรอก หรือว่าจริงๆ ไอ้ตัวหอมนี่มันแอบคิดว่าผมชอบผู้ชายวะครับ หรือผมควรต้องมีแฟนจริงๆ จังๆ ทำให้มันได้รู้กันไปเลยว่าผมชอบผู้หญิง แต่จะทำไงได้ล่ะครับ ดูท่าแล้ว ผมคงต้องเจอกับไอ้ตัวหอมไปอีกนาน เพราะโปรเจคที่ว่าคงลากยาวเป็นปีๆ อีกอย่างแม่งเอ๊ย ในเงื่อนไขสัญญาของทางบริษัท ผมสัญญาผูกขาดเป็นลูกจ้างภายใต้เงื่อนไข 4 ปี แม่งเชี่ยแล้วไง ก็ปีนี้พึ่งเป็นปีที่สองที่ผมทำงานอยู่ “นายไม่เคยจูบรึยังไง?” เสียงนั้นยังดังก้องอยู่ในหัว แม่ง…ผมเกลียดตัวเองที่ดันรู้สึกอะไรบางอย่างจากคำพูดนั้น ผมปล่อยให้ความเย็นของเครื่องปรับอากาศภายในห้องช่วยทำให้จิตใจของผมสงบลง จากนั้นก็เปิดโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอย่างลนลาน เปิดหาแชตของคนที่พอจะช่วยผมได้ในตอนนี้ “อาเทอร์” ผมพิมพ์ไปหาไอ้ทนายหน้าหล่อที่เป็นเพื่อนร่วมงาน พร้อมเล่าเรื่องย่อๆ ถึงความบ้าบอของแอสตั้นให้มันฟัง แน่นอนว่าไอ้นี่ตอบกลับมาไวเหมือนเคย “ฮ่าฮ่า เชี่ยเอ๊ย บอสเราแม่งเอาจริงว่ะ” “นายขำผมเหรอวะ?!” ผมพิมพ์กลับไปอย่างหงุดหงิด แต่มันดันตอบกลับมาด้วยข้อความที่ทำให้ผมพูดไม่ออก “แล้วนายล่ะ รู้สึกยังไง?” รู้สึกยังไงเหรอ? ผมมองข้อความนั้นซ้ำไปซ้ำมา สมองเหมือนจะตีกันเอง ตอบไม่ได้ว่ามันคืออะไร มือยกขึ้นกุมหัวตัวเองเหมือนคนที่พยายามหนีอะไรสักอย่าง แต่สุดท้าย…ผมก็หนีตัวเองไม่พ้น แทนที่จะได้คำตอบที่ดีจากไอ้หน้าหล่อ แต่แม่งมันยิ่งทำให้ผมปวดประสาท เช้าวันต่อมา การกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานหลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่บนสนามรบ ทุกสายตาของคนในทีมจับจ้องมาที่ผมและแอสตั้นที่เพิ่งเดินเข้ามาด้วยกัน แต่ละคนดูเหมือนกำลังลุ้นว่าบอสใหญ่จะทำอะไร “ประชุมใน 15 นาที” แอสตั้นพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินเข้าห้องไป ผมพยายามเมินความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในใจและเตรียมเอกสารให้พร้อม ระหว่างที่กำลังพิมพ์ไฟล์งานอยู่ เสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะก็ดังขึ้น ผมรีบรับสายก่อนที่มันจะดังนานเกินไป “เซบัส มาพบฉันที่ห้อง” น้ำเสียงเรียบนิ่งที่คุ้นเคยทำให้หัวใจผมกระตุก ไอ้ตัวหอม…ผมรู้ทันทีว่ามันต้องการอะไร ภายในห้องประชุมเล็ก ผมเดินเข้าไปอย่างไม่เต็มใจนัก แอสตั้นยืนอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง แสงแดดอ่อนๆ ส่องเข้ามาจนทำให้ร่างของเขาดูมีออร่า “เซบัส” มันเอ่ยเรียกผม ผมเงยหน้ามองมัน “ครับ?” มันเดินเข้ามาใกล้ และหยุดอยู่ตรงหน้าผม “นายคิดเรื่องเมื่อคืนบ้างหรือเปล่า?” คำถามของมันเหมือนคมมีดที่ปักเข้ามาในใจ ผมไม่รู้ว่ามันต้องการอะไรจากผมกันแน่ “ผมว่าเราไม่ควรพูดถึงมันอีก” แอสตั้นหัวเราะเบาๆ “ทำไมล่ะ? นายไม่อยากรู้หรือว่าตัวเองรู้สึกยังไง?” ผมพยายามเบือนหน้าหนี แต่ไอ้ตัวหอมนี่ไม่ปล่อยผมง่ายๆ มันจับปลายคางของผมให้หันกลับมาสบตากับมัน “ตอบฉันสิ เซบัส” ผมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ใจเต้นระรัวจนเหมือนมันจะระเบิดออกมา แล้วคำถามที่มันยิงมานั้นก็เหมือนกับระเบิดที่ผมไม่รู้วิธีหลบหลีก “นายคิดว่าตัวเองชอบผู้ชายหรือเปล่า?” ไอ้เชี่ย!! ผมไม่เคยคิดข้อนี้มาก่อนเลยนะครับ หรือว่ามันจะมีรสนิยมอย่างว่าจริงๆ เอาอีกแล้ว มันจ้องตรงมาที่ปากผมอีกแล้วครับ แม่งหัวใจผมก็เต้นรัวแรงซะเหลือเกินตอนนี้ ตุบๆ ตุบๆ ตุบๆไอ้คนเอาแต่ใจอย่างแอสตั้นมันเดินต้อนผมจนมุม ร่างสูงของมันขวางทางออกจนไม่มีที่ให้ผมถอยหนี ผมมองใบหน้าคมของมันด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ผสมปนเปกันอยู่ในใจ“อีก 5 นาทีจะเริ่มประชุมแล้วนะครับ”ผมพูดเสียงเรียบ พยายามทำตัวให้ปกติที่สุด แต่ลึกๆ ในใจ ผมแทบจะหายใจไม่ออกไอ้บอสตัวร้ายมันจ้องผมอยู่นาน ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ และผละตัวออกไป แต่ถึงร่างกายมันจะถอยออกห่าง ผมกลับรู้สึกเหมือนมันยังทิ้งบางสิ่งบางอย่างไว้ในอากาศรอบตัวเช้านี้ทั้งเช้าผมไม่เป็นอันทำงาน ประชุมก็แทบไม่รู้เรื่อง สมองเหมือนถูกแช่อยู่ในภาพเหตุการณ์เมื่อคืนจูบนั้น…ผมยังรู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นๆ ที่ริมฝีปากเหมือนมันยังคงอยู่ ผมสะบัดหัวเบาๆ พยายามบังคับตัวเองให้เลิกคิดถึงมัน แต่ยิ่งพยายามเท่าไหร่มันลืมกลับยิ่งชัดเจน“เซบัส”เสียงแอสตั้นดังขึ้นขัดจังหวะความคิด ผมเงยหน้ามองมันด้วยความตกใจ มันยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะประชุม สายตาของมันจับจ้องมาที่ผมเหมือนกำลังรอคำตอบอะไรบางอย่าง“ครับ?”“ฉันถามว่าแผนงานที่นายเตรียมมาเมื่อเช้าคืออะไร?”ผมอ้าปากจะตอบ แต่สมองที่เต็มไปด้วยความคิดฟุ้งซ่านกลับทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก แอสตั้นมองผมนิ่งๆ ก่อนจะเลิกคิ้
“คืนนี้เรารีวิวโปรเจคกัน” แอสตั้นเอ่ยเรียบๆ แต่สายตามันกลับดูผ่อนคลายเหมือนคนไม่ได้จริงจังกับงานเลยแม้แต่น้อย“รีวิวโปรเจค…ตอนนี้เนี่ยนะครับ?” ผมถามพร้อมกับมองหน้าอาเทอร์ที่ก็ดูจะงงไม่ต่างจากผม ไอ้ทนายหน้าหล่อหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบแทนผม“ผมว่าบอสมันอยากดื่มมากกว่านะ ดูสายตามันดิ” ผมคิดไอ้ตัวหอมหัวเราะเบาๆ อย่างกับรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร “จะดื่มด้วย คุยงานด้วย”ผมถอนหายใจ ไอ้เชี่ยบ้า มึงรู้ความคิดกู ผมเปิดโน้ตบุ๊กตัวเองที่พกมาด้วย แม้จะงงกับเหตุการณ์ตอนนี้ แต่ผมรู้ว่าปฏิเสธอะไรไม่ได้เลย ไอ้ตัวหอมนี่เวลามันเอาจริงก็เอาให้ตายเลยล่ะครับชั่วโมงถัดมาผมนั่งพิมพ์แก้ไฟล์งานไป พลางสลับดื่มเบียร์ไปจนเกือบหมดกระป๋อง ไอ้บอสตัวหอมนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม มือหนึ่งถือกระป๋องเบียร์ ส่วนอีกมือก็ดูเอกสารที่ผมกับอาเทอร์ส่งให้มัน อาเทอร์นั่งไขว่ห้างดูชิลล์เหมือนไม่ใช่การประชุมย่อย แต่ทุกอย่างกลับไหลลื่นอย่างน่าประหลาดจนกระทั่งแอสตั้นหันมาพูดกับผม “เซบัส นายเก่งนะ แต่ชอบประมาท”“หา? ประมาทอะไรครับ?” ผมเลิกคิ้ว ก่อนที่มันจะยิ้มจางๆ“เมื่อวานนายบอกฉันว่าเอกสารครบแล้ว จำได้ไหม?”ผมขมวดคิ้ว “ครบแล้วนะครับ?”มันเลิกคิ
ทันทีที่ผมเดินเข้าบริษัทก็ทักทายสาวสวยอย่างริสา และพนักงานคนอื่นๆ ทุกคนคุ้นเคยผมดีกว่าเจ้าของบริษัทเสียอีก เมื่อผมเห็นไอ้ทนายหน้าหล่อจึงได้เอ่ยขอบคุณมันขึ้น“ดีตอนเช้าครับอาเทอร์ อื้ม เรื่องเมื่อคืน ขอบคุณนายมากนะ” ผมก็งงว่าทำไมไอ้หน้าหล่อมันทำหน้างงๆ มันเลิกคิ้วสูงและถามผมกลับมาว่า“ขอบคุณอะไรครับ ที่ไปส่งนายเข้าห้องน่ะหรอ? ”ก็เออน่ะสิวะครับ ก็มีแค่คุณกับผมเนี่ย!! ผมจึงตอบมันกลับไปว่า“ก็ใช่นะสิครับ” ผมยังจ้องหน้าไอ้หน้าหล่อ และฟังมันพูดอีกว่า“เมื่อคืนผมก็เมามาก รู้ตัวอีกทีพี่สันคนขับรถของทางบริษัทก็เอาตัวผมไปโยนใส่ในห้องแล้วล่ะครับ”เชี่ยแล้วไง แล้วเมื่อคืนใครมันมาถอดเสื้อผ้าแล้วเช็ดตัวให้ผมละว่ะเนี้ย จะว่าละเมอหรอ ฝันรึเปล่า ก็คงไม่ใช่ ก็เพราะเมื่อเช้าผมตื่นมาเห็นๆ กันอยู่ว่ามีกะละมังกับผ้าขนหนูวางอยู่ รึผมเมามาก ถอดเสื้อผ้าเอง เช็ดตัวเองเอง แต่กลับจำอะไรไม่ได้ No way ไม่มีทาง ผมมั่นใจว่าตัวเองไม่น่าจะเลอะเลือนได้ขนาดนั้น แต่แล้วไอ้ร่างสูงกว่า 187 มันก็เดินหน้าตายเข้ามา ก่อนจะทักทายพวกผม มันเดินตรงเข้าไปด้านในออฟฟิศของมัน โดยมีหน้าตายเช่นเคย ไม่ได้พูดอะไรไอ้นี่ ถ้าไม่เห็นว่าเป็น
ผมจ้องมองลงไปยังด้านล่าง เห็นถนนเป็นเส้นๆ ตอนนี้มันเริ่มจะมืดมากขึ้นๆ แล้ว ตรงข้ามฝั่งมุมตึกและหันไปด้านซ้าย มันเป็นวิวของแม่น้ำเจ้าพระยา นี่แค่ผมประเมินคร่าวๆ ก็พอเดาได้ว่า ไอ้เจ้าของที่ตรงนี้มันคงรวยมหาศาล ก็คงไม่แปลก ที่พวกคนรวยเขาจะรู้จักกัน อีกอย่างนะ ไอ้ทนายที่นั่งข้างๆ ผมนี่มันก็แม่ง โคตรรวย คงมีแต่ผมคนเดียวสินะครับ ที่มีแค่มันสมองและสองมือจริงๆ แล้วผมก็ลูกพระยานาหมื่นนะคร้าบ!! เฮ้ย!! ไม่ใช่ละ!! ผมเป็นลูกชายคนเดียว แม่ผมเป็นเมียของฝรั่ง นั่นแหละครับ ผมก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อของผมคือใคร แต่ถ้าจะให้ไปตามสืบสาวเรื่องราวของพ่อ ผมก็คงไม่มีวันสืบได้หรอก ใครๆ ก็ดูถูกผม หาว่าผมเป็นลูกของเมียฝรั่ง ซึ่งเขาหาว่าแม่ผมทำงานที่บาร์ แล้วก็ถูกไอ้ฝรั่งขี้นกที่ไหนก็ไม่รู้มาไข่ทิ้งไว้ ตอนเด็กๆ ผมเคยคิดอยากจะมีพ่อนะครับ แต่พอโตมา มันก็แยกแยะได้เองนั่นแหละ แต่ถึงแม่ผมจะเป็นแค่เด็กบาร์ แต่ผมก็ภูมิใจในตัวแม่ของผมมากนะครับ มีที่ไหน ส่งผมเข้าเรียนโรงเรียนเอกชนราคาแพงๆ ตั้งแต่อนุบาล สามารถส่งผมเรียนต่อในที่ดีๆแม่บอกว่า การที่ผมมีความรู้ติดตัว มันจะพาผมหาเงินได้เยอะๆ ตอนแรกก็ไม่คิดอะไร แต่ตอนนี้ผมเริ่มเช
ผมยืนมองหน้าคนตรงหน้า ตาคมของเขาจ้องกลับมาที่ผมอย่างไม่ลดละ หัวใจผมเต้นเร็วรัวขึ้นเหมือนกับว่าผมพึ่งวิ่งมาราธอน 4x 100 มาใหม่ ๆ แต่จะให้ทำยังไงได้ละครับ ในเมื่อเขาคือคนที่ผมเจอเมื่อคืน และ… เขาคือคนที่มาขโมยจูบแรกของผมไปอย่างไม่ทันตั้งตัว!“คุณ… คุณ…” ผมพูดอะไรไม่ออก จังหวะนี้คำพูดที่เตรียมไว้มากมายล้วนกลายเป็นเสียงที่ขาดหายไปในลำคอ ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงดี การได้เห็นเขาอีกครั้งมันช่างทำให้หัวสมองของผมมึนตึ๊บปั่นป่วนไปหมด“คุณเซบัสใช่ไหมครับ?” เขาถามเสียงเรียบ ขัดกับท่าทางที่ผมเห็นเมื่อคืนอย่างสิ้นเชิง เขามองมาที่ผมด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงออกมากมายเท่าไหร่นัก คงไม่แปลกถ้าเขาจะจำผมไม่ได้ แต่ว่าผม… ผมยังจำเขาได้ดีผมพยักหน้าอย่างไม่มั่นใจก่อนตอบกลับไป“ใช่ครับ…”อึดใจหนึ่งที่เงียบไป ทุกอย่างในห้องดูเหมือนจะหยุดชะงักไปหมด ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก รู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ผุดขึ้นตามไรผม ทุกอย่างมันดูเป็นความบังเอิญที่ไม่น่าเชื่อ… และไม่คิดว่าจะต้องเจอเขาที่นี่เขามองผมเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะยิ้มเล็กน้อย “ขอโทษครับ เมื่อคืน…” เสียงเขาหยุดไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดต่อ “คงทำให้คุณตกใจมา
ผม เซบัส ตัวเล็กสุด 185/56ไม่ต้องอยากรู้หรอกครับ ว่าผมลูกครึ่งอะไร ผมก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มานานแล้วล่ะ ผมจบโทด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ จากสแตนฟอร์ดโจทก์ของผม แอสตั้น 187/58ลูกครึ่งไทย อเมริกัน ผมก็รู้มาแค่นี้ รู้แค่ว่าเขาเป็นเจ้านายของบริษัทพัฒนา Ai ที่ผมทำงานอยู่ส่วนนี่ คนสุดท้าย ทนายประจำบริษัท เขาได้ฉายาว่า‘เจ้าพ่อแห่งวงการกฎหมาย’ อาเทอร์ หนุ่มลูกครึ่งไทย อิตาลี ผู้มีความสูงเกือบจะสองเมตร มันบ้าไปแล้ว!! เขาสูงถึง 190/60 สูงมากใช่มั้ยล่ะครับบทนำบริษัท Ai ภายในประเทศ“เซบัสคะ เดี๋ยววันนี้ผู้บริหารคนใหม่จะเข้าบริษัทนะคะ ยังไงฝากคุณแนะนำฝ่ายผลิตและแผนกอื่นๆ ด้วยแล้วกัน พอดี ริสาต้องไปรับลูกที่โรงเรียน” สาวสวยวัย 30 เอ่ยบอกเพื่อนร่วมงาน“ได้ครับ ไม่มีปัญหา”“นี่ค่ะ เอกสารของคุณแอสตั้นคร่าวๆ และอ้อ พรุ่งนี้ทนายคนใหม่ก็น่าจะเข้ามาทำงานด้วยเหมือนกันค่ะ”“ทนายคนใหม่? ”“ใช่ค่ะ พอดีมารับหน้าที่แทนคนเก่า เห็นว่าเป็นลูกชายของคุณคานน์แหนะ นี่ริสายังงงว่าทำไมไม่ทำงานที่บริษัทตัวเอง บริษัทของครอบครัวเขาก็ใหญ่ใช่ย่อยนะคะ ดูท่าน่าจะอยากมาหาประสบการณ์” ริสาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าผมทำหน้างงๆ ผมจึ







![รรร...ก็แค่ตกกระไดพลอยโจน [mpreg]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)