Masukสตรีทั้งสองพากันเดินไปนั่งจิบชาในศาลารับลมริมบึงบัวฟางซินที่ไม่ตามไปจึงได้โอกาสหันมาหาสามีอย่างรักใคร่“พี่เหอ เหนื่อยหรือไม่?”จิ้นเหอหันไปเห็นภรรยาคนงามมีหรือยังกล้าแข็งแรงอยู่อีก เขาบ่นอย่างเหน็ดเหนื่อย“ข้ารู้สึกอ่อนเพลียยิ่งนัก”“โอ...ข้าจะพาท่านพี่ไปพักเจ้าค่ะ”เวลานี้ยังต้องยืนเวรตามหน้าที่ ฟางซินจึงดึงจิ้นเหอให้ไปนั่งลงบนขั้นบันไดหน้าห้องหนังสือไม่ไกลจากตำแหน่งยืนยาม ก่อนลงมือบีบนวดให้อย่างเอาอกเอาใจนางถามเสียงหวาน “ปวดเมื่อยตรงนี้หรือไม่ ข้านวดให้”จิ้นเหอเสียงอ่อน “ปวดมาก เมื่อยยิ่ง ตรงนี้ด้วย”ฟางซินเริ่มตาโต “ท่านพี่ปวดเมื่อยถึงเพียงนี้ ข้าอยากให้ท่านลางานสักคืนเหลือเกิน” นางรีบกระซิบข้างหูน้ำเสียงกระเส่า “แล้วข้าจะนวดให้ท่านทั้งตัว ไร้เสื้อผ้ากางกั้น ดีหรือไม่เจ้าคะ”ดวงตาจิ้นเหอพลันสว่างวาบ ใจเหลวไปหมด“ข้าจะลางานคืนนี้เลย”จิ้นอันที่ยืนอยู่เพียงกลอกตาขึ้นฟ้าอย่างหมั่นไส้เวลาล่วงเลยผ่านไปหนึ่งชั่วยามนับเป็นเวลาที่ไม่นานเลยสำหรับทุกคน ทว่ากลับยาวนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ในความรู้สึกของหวงลี่ฟางเหตุเพราะจ้าวฉีเสวียนอยู่ในห้องกับหลิงเฟยตลอดเวลา หลังจากนั้น พอเขาออกมาจากห
ระเบียงทางเดินระหว่างเรือนรับรองที่ทอดยาวเชื่อมต่อกับเรือนตำราหวงลี่ฟางยืนถือถาดน้ำชารสล้ำหอมกรุ่นยืนนิ่งเงียบงัน มิอาจขยับเขยื้อนไปข้างหน้าได้อีกแม้ครึ่งก้าวเมื่อครู่ จ้าวฉีเสวียนสั่งให้นางรอปรนนิบัติชงชาให้ในห้อง แต่เขาไม่ชอบชาเก่าที่อยู่ในห้องหนังสือ นางจึงออกมาชงชากาใหม่ ทว่าพอกลับมาคนกลับไม่รอชิมชาฝีมือนางอีกต่อไปด้านข้างนางคือฟางซินที่ยืนกระซิบกระซาบอยู่ไม่ห่าง “ซื่อจื่อมีท่านหญิงหลิงคอยดูแลชงชาให้แล้ว เจ้าอย่าเข้าไปเลย”พอพูดจบ ฟางซินลอบกลืนน้ำลายอึกหนึ่งอย่างยากลำบากด้วยหน้าที่ต้องรับผิดชอบ งานต้องทำให้ลุล่วง นางจึงต้องทำอย่างจำใจ ทว่าส่วนลึกกลับรู้สึกผิดเหลือเกินหญิงสาวกลั้นใจเอ่ยอีกว่า “ท่านหญิงหลิงเฟยผู้นี้คือคู่หมั้นของซื่อจื่อเชียวนะ เจ้าควรรู้เอาไว้”คู่หมั้น...ร่างอรชรนิ่งงันราวถูกสาปในที่สุดวันนี้ก็มาถึง...แคว้นจิน นิยมให้ชายแต่งงานอายุยี่สิบ หญิงแต่งสิบห้า ปีหน้าจ้าวฉีเสวียนก็อายุครบยี่สิบปีแล้วคงสมควรแก่เวลาสินะส่วนนางหากไม่เกิดเหตุพลิกผันก่อนอายุสิบห้าปีก็คงไม่แคล้วกลายเป็นชายารัชทายาทอย่างขมขื่น ไหนเลยจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดจ้าวฉีเ
พี่น้องสกุลจ้าวล้วนไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวกันและกัน ทุกคนมีสิทธิ์ทำอะไรตามอำเภอใจเต็มที่ ขอแค่ไม่หลงผิดคิดทำชั่ว เรื่องที่ทำต้องยึดมั่นถือมั่นในคุณธรรมเป็นที่ตั้งอ้อ...แต่อาจมีบ้างในเรื่องคู่ครองที่ออกจะเอาแต่ใจไปบ้างความคิดของจ้าวเล่อเสียล่องลอย ขณะที่หลิงเฟยยังคงพูดถึงจ้าวฉีเสวียน “พี่เสวียนซื้อคฤหาสน์ไว้พักผ่อนจริงดังเจ้าว่า...”และยิ่งเล่า สีหน้าหลิงเฟยยิ่งเผยความนัยคล้ายไม่ยินดี“ที่นั่นน่ะ มิใช่คฤหาสน์ธรรมดา แต่เป็นเรือนทองซ่อนสตรี พี่เสวียนซ่อนสาวงามเอาไว้ถึงสองคน แม่นางฟางซินก็คือหนึ่งในสาวงามของพี่เสวียนที่ยกให้จิ้นเหอ”จ้าวเล่อเสียพยักหน้าเอื่อยๆ แม้จะแปลกใจเพราะนี่มิใช่นิสัยของพี่ชาย แต่นางก็พอทำความเข้าใจได้ว่า“เรื่องนี้หาใช่เรื่องแปลกนี่นา พี่รองอาจได้รับมาเพราะเป็นเครื่องบรรณาการจากขุนนาง เขารับไว้แล้วส่งต่อให้ลูกน้องอีกที บุรุษสกุลจ้าวทำเช่นนี้ตั้งแต่รุ่นท่านพ่อแล้วล่ะ”หลิงเฟยรีบพูดอีกว่า “แต่ก่อนหน้าฟางซิน พี่เสวียนเลี้ยงดูหญิงงามไว้คนหนึ่ง นางผู้นี้อยู่กับพี่เสวียนเต็มหนึ่งปีแล้ว”จ้าวเล่อเสียเริ่มมีปฏิกิริยา “จริงหรือ?”หลิงเฟยถอนหายใจ “ผู้คนเล่าลือกันทั
ธรรมชาติของหวงลี่ฟางดื้อรั้น ยึดมั่นถือมั่น ต้องถูกกระตุ้นด้วยวิธีที่รุนแรงต่อจิตใจระดับนี้เท่านั้นรุ่ยเยียนเหลือบตามองหลันฮวาแวบหนึ่งแล้วนิ่งสนิท พยายามระงับโทสะที่เจียนระเบิดในที่สุดเพลิงพิโรธในอกก็สงบลง นางหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด ก่อนเผยยิ้มเย็นยะเยือก“ดี!” ว่าพลางหันไปหยิบตลับหยกใหม่ในลิ้นชักใต้โต๊ะขึ้นมายื่นให้หลันฮวา“นี่คือผีเสื้อ ‘วสันต์พร่ำรัก’ ละอองเรณูจากปีกผีเสื้อนี้มีฤทธิ์เดชกล้าแกร่งยิ่งกว่าครั้งก่อน มันมิใช่แค่ควบคุมจิตวิญญาณแต่จะทำหน้าที่สร้างปฏิสัมพันธ์ให้จิตวิญญาณผสานเกิดเป็นพันธนาการรัดรึงยากฉุดรั้งให้กลับคืน หากใช้กับคนสองคนที่มีใจผูกพันแต่เดิมไม่ว่าด้วยฐานะใด จะรักกันแน่นแฟ้นมากขึ้น”นั่นหมายความว่า ต่อให้จ้าวฉีเสวียนไม่ได้มีใจให้หลิงเฟย ทว่าแค่รู้จักมักคุ้นกันตั้งแต่เด็กก็จะแปรเปลี่ยนเป็นรักปักใจทันทีหลันฮวาเก็บตลับหยกอันใหม่ใส่แขนเสื้ออย่างระมัดระวัง“รับทราบเจ้าค่ะ”ด้วยไม่แน่ชัดถึงความรู้สึกนึกคิดของจ้าวฉีเสวียนการที่เขาแอบเลี้ยงดูสาวงามไว้ที่คฤหาสน์หนิงเทียนจึงมิใช่เรื่องที่ควรค่าแก่การรายงานบุรุษอายุสิบแปดสิบเก้าปีผู้หนึ่งจะมีสตรีเอาไว้ปล
จิ้นเหอไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร รู้เพียงว่าเมื่อเกิดขึ้นแล้ว มีเพียงต้องไปต่อเท่านั้น เขาไม่มีทางพอแค่นี้เป็นที่แน่นอนเสื้อผ้าพลันปลดเปลื้อง สตรีแยกขา บุรุษแทรกกลาง การสอดใส่เกิดขึ้นตามด้วยเสียงครางครวญอย่างสุขสมไม่มีหรอกการเล้าโลมคลอเคลีย ชายหญิงคู่หนึ่งคล้ายน้ำมันไหลหลากปะทะเปลวไฟ ร้อนแรงยิ่งกว่ากองเพลิงสีน้ำเงิน[1] ในหุบเขาบรรลัยกัลป์คนสองคนคล้ายลอยล่องหลุดพ้นจากแดนดินสู่แดนสรวงทว่าเสี้ยวสติหนึ่งของบุรุษพลันชะงัก เมื่อสัมผัสและรับรู้ได้ถึงเยื่อบางๆ ที่ขาดสะบั้นกับหยาดเลือดพรหมจรรย์ที่หลั่งรินเบาๆ จากช่องทางเร้นลับคับแคบซึ่งกำลังบีบรัดตัวตนของเขาเอาไว้แน่นจิ้นเหอที่ขบกรามก้มหน้าซุกซบซอกคอหอมถึงกับเบิกตาอย่างตระหนกและงงงัน กระนั้นยามนี้ต่อให้เอาอาชาศึกมาฉุดรั้ง คนย่อมมิอาจหยุดยั้งแม้ลมหายใจเดียว ยิ่งมองเห็นดวงตาฉ่ำน้ำที่หวานหยด หยดเหงื่อที่หยาดเยิ้ม ริมฝีปากชุ่มฉ่ำที่กำลังเม้มน้อยๆ อย่างทรมานสุขสมเช่นนั้นยอมตายอนาถบนยอดถันสาวงาม นับเป็นผู้กล้าโดยแท้...ห้องรับรองส่วนตัวของโรงน้ำชาฝูหมิงบนชั้นสอง สตรีสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากันนิ่งงัน มีเพียงโต๊ะเตี้ยกั้น ห
ในขณะที่ยุ่นเอ๋อร์ซึ่งโมโหมานาน เดินขึ้นหน้าพูดเยาะอย่างหมั่นไส้ว่า “นายหญิงของข้าก็เป็นระดูเช่นกัน แต่ซื่อจื่อกลับเลือกนอนที่นี่ ดูทีว่านายหญิงของข้าคงมิได้บังอาจไปรบกวนใครทั้งสิ้น เป็นซื่อจื่อต่างหากที่ต้องการออกมาจากเรือนแม่นางด้วยตัวเอง ไม่มีใครปฏิเสธความโปรดปรานของซื่อจื่อได้ทั้งนั้น”อย่าคิดว่านางเป็นแค่สาวใช้ต่ำต้อยแล้วจะอ่านความนัยจากวาจานั้นไม่ออกนะยุ่นเอ๋อร์เบิกตาข่มขวัญอย่างไม่กลัวเกรง เสี่ยวเมาที่อยู่ใกล้ยังยืดตัวกางกรงเล็บ เสี่ยวไป๋ยังช่วยพองขนขู่ฟ่อๆทั้งคนทั้งสัตว์ทำฟางซินชะงัก กะพริบตามองปริบๆเห็นดรุณีน้อยกับแมวดำกระต่ายขาวกำลังสามัคคีร่วมพลังปกป้องฟางเหนียงเช่นนี้ จิ้นอันที่ขมวดคิ้วมองอยู่ ในใจเจือไปด้วยความเอ็นดูโดยไม่รู้ตัวตอนนี้แววตาจิ้นอันสะท้อนเพียงภาพยุ่นเอ๋อร์ สาวงามอย่างฟางซินจึงไม่อยู่ในระยะการมองเห็นอีกต่อไปยุ่นเอ๋อร์ไม่รู้ว่าถูกมองด้วยแววตาวาบวับ นางยังคงพองขนแข่งกับสัตว์เลี้ยงทั้งสอง มือเท้าสะเอวข่มขวัญฟางซินกระแอมไอ กลอกตาหาวิธีโต้กลับแวบหนึ่งก่อนยิ้มเอ่ยแกมเยาะ “นั่นสินะ ไม่มีใครปฏิเสธความโปรดปรานของซื่อจื่อได้จริงๆ” ว่าพลางยกมือขึ้นจัดทรงผม ส่งผลใ






