ログインหญิงสาวเดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้จนพอใจ ครั้นได้สมุนไพรที่ต้องการแล้วก็แวะพักจิบชากินขนมคลายเหนื่อยที่โรงน้ำชาฝูหมิง
โรงน้ำชาแห่งนี้มีชั้นสองที่รับรองลูกค้าแบบห้องส่วนตัว หวงลี่ฟางเลือกห้องชั้นสองแล้วนั่งลงสั่งขนมสองชนิดและน้ำชา
ขณะกำลังดื่มด่ำกับน้ำชารสเลิศขึ้นชื่อของที่นี่ จู่ๆ พลันมีสตรีชุดดำอายุราวยี่สิบกว่าปีผู้มิได้รับเชิญเดินเข้ามา
หวงลี่ฟางเบิกตามองอย่างฉงน กำลังจะเรียกเสี่ยวเอ้อร์เพื่อสอบถามว่าส่งลูกค้าเข้าห้องผิดหรือไม่ แต่อีกฝ่ายยกมือประสานคารวะอย่างนอบน้อมพร้อมแนะนำตัวอย่างเป็นมิตรเสียก่อน “คุณหนูหวงอย่าตกใจไป ข้ามีนามว่าหลันฮวา ข้ามาดีมิได้มาร้าย”
แม้อีกฝ่ายจะเอ่ยปากบอกชื่อเสียงเรียงนามเปี่ยมไมตรีแล้ว หากแต่หวงลี่ฟางก็ยังไม่รู้จักอยู่ดี
และที่สำคัญ นางมั่นใจว่าในเมืองแห่งนี้ ไม่มีใครรู้จักนาง ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางเป็นใคร
แซ่หวงนี้ แม้แต่จ้าวฉีเสวียนยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
เพราะชอบกลิ่นกายนาง เขาจึงเรียกนางว่าฟางเหนียง[1] มาโดยตลอด
“ข้าแน่ใจว่าเราไม่เกี่ยวข้องกัน” หวงลี่ฟางเอ่ยเสียงขรึม ท่วงท่าเรียบเย็นแลดูสูงส่งดุจนางพญา หาได้มีกิริยาลนลาน เผยซึ่งความขลาดเขลาไม่
หลันฮวาเพ่งพิศแล้วก็ให้รู้สึกพึงพอใจ ทั้งรู้สึกนับถืออีกฝ่ายจากใจจริง หวงลี่ฟางผ่านชีวิตผกผัน เจอวิกฤตชีวิตขนาดนี้ จนกลายเป็นภรรยาลับเยี่ยงสตรีไร้ศักดิ์ศรี ทว่าท่วงทีกลับไม่ทิ้งความสูงศักดิ์ ช่างเปล่งประกายงดงามเลอค่าได้ตลอดเวลานัก
นางยิ้มอ่อนยามเอ่ย “ข้าเป็นคนของรุ่ยเหยียน”
ทันทีที่ได้ยิน หวงลี่ฟางชะงักงัน แววตาวูบไหวฉับพลัน จากกิริยาเรียบเย็น สีหน้าเริ่มเผยโทสะรำไร
รุ่ยเหยียน นามนี้คือคำต้องห้ามสำหรับนางมาแต่ไหนแต่ไร
หลันฮวากล่าวอีกว่า “คราวนี้คงเกี่ยวข้องกันแล้วกระมัง?”
หวงลี่ฟางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย สุ้มเสียงแม้ราบเรียบทว่ากลับเผยซึ่งแววประชดประชัน
“สตรีผู้นั้นไม่เกี่ยวข้องกับข้ามานานหลายปีแล้ว”
หลันฮวายังคงยิ้ม “แม้ไม่เจอหน้า ทว่าสายสัมพันธ์บุตรมารดาใช่ว่าจะพูดว่าไม่เกี่ยวข้องแล้วจะปฏิเสธได้”
นี่ย่อมเป็นเหตุผลที่อีกฝ่ายรู้จักนางที่เป็นหวงลี่ฟาง
คราวนี้เป็นหวงลี่ฟางบ้างที่หัวเราะเสียงเย็นในลำคอ ฟังดูแปลกแปร่งไม่เข้ากับดวงหน้างดงามอ่อนหวานดุจเทพธิดาเลย เสียงนุ่มนวลแฝงความหนักแน่นเอ่ยทีละคำอย่างชัดเจนก้องกังวาน
“สายสัมพันธ์บุตรมารดาหรือ? มันขาดสะบั้นสิ้นตั้งแต่นางทิ้งข้าไปแล้วล่ะ”
หลันฮวาที่แรกเริ่มยังคงยิ้ม ทว่ายามนี้ใบหน้าเริ่มแข็งค้าง เคยมีผู้ใดตัดขาดมารดาได้บ้าง คำตอบคือไม่
สัมพันธ์บิดาอาจทิ้งร้างห่างเหินไม่สนิทสนมกับบุตรเท่าใด ทว่ากับมารดานางไม่เคยเจอแน่นอน
หลันฮวาสูดลมหายใจสะกดอารมณ์ไม่อยากเชื่อของตนลง นางใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะสืบรู้เรื่องของอีกฝ่ายจนกระจ่าง ดังนั้น ไม่พูดก็คงไม่ได้ ดรุณีผู้หนึ่งสมควรตาสว่างมิใช่ลุ่มหลงมัวเมาบุรุษจนหน้ามืดตามัว ยอมพลีกายให้เขา อยู่กับเขาโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด
หลันฮวาหรี่ตาว่าอีก “วันนี้ข้ามาก็เพื่อรับตัวคุณหนูกลับไป มารดาของท่านกำลังรออยู่ ท่านเป็นถึงทายาทหนึ่งเดียวของนาง ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตอัปยศอดสูจนต้องน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ไม่ต้องเป็นเพียงสตรีข้างกายผู้ใดอย่างไร้ฐานะ ไม่ต้องเป็นแค่เครื่องมือระบายอารมณ์ให้บุรุษเช่นนี้เจ้าค่ะ”
วาจาเถรตรงอย่างไม่ถนอมน้ำใจคนฟังเช่นนี้ หวงลี่ฟางเพียงสดับรับฟังด้วยหัวใจสงบดุจทะเลลึกไร้คลื่นลม
เรื่องของนางคือความลับ ไม่มีใครรู้ ตัวตนแท้จริงของนางแม้แต่จ้าวฉีเสวียนยังไม่รู้เลย
หลันฮวาผู้นี้กล้ามากที่บังอาจสืบจนล่วงรู้ได้
หวงลี่ฟางผินใบหน้าหวานละมุนหันไปมองนอกหน้าต่าง ตรงนี้คือชั้นสอง สิ่งที่เห็นคือต้นพลัม
ตามกิ่งก้านมีดอกน้อยๆ กำลังผลิคล้ายเด็กทารกแรกเกิด มีบางดอกที่เติบโตบ้างแล้วทว่ากลับถูกหิมะปกคลุมทับถมจนมิด แต่ใบที่ใหญ่กว่ากิ่งไม้ที่ใหญ่กว่ายื่นไปด้านหน้ารับดวงตะวันที่แสงแดดกำลังทอดยาวลงมาค่อยๆ ชะล้างเปิดทาง
บางครั้งหวงลี่ฟางมักชอบเปรียบเปรยชีวิตคนเหมือนต้นไม้เหล่านี้ ยอดอ่อน ดอกอ่อน กิ่งก้านใบที่กำลังเติบใหญ่ ล้วนต้องการได้รับการปกป้อง ทว่ากลับถูกหมางเมินให้เติบโตเอง
ภาพนางตอนอายุห้าขวบพลันผุดวาบขึ้นในห้วงคะนึงแห่งความทรงจำอันเลวร้าย
เด็กหญิงวิ่งร่ำไห้ร้องเรียกมารดาท่ามกลางสายตาเวทนาของบ่าวไพร่ และสายตาเจ็บช้ำแฝงโทสะยากระบายของบิดา
‘ท่านพ่อ ท่านแม่หายไปทางใด เหตุใดไม่กลับมา...’
‘หยุดร้องไห้ได้แล้วฟางเอ๋อร์ แม่เจ้าทิ้งเราพ่อลูกไปแล้ว ไม่มีเหตุผลต้องเรียกร้องการกลับมาของนาง’
‘ท่านพ่อ เพราะอันใด ไฉนท่านแม่จึงจากไป’
‘ฟางเอ๋อร์ พ่อไม่ดีเอง พ่อไร้ความสามารถ บุรุษผู้นั้นดีกว่าพ่อทุกอย่าง’
ขุนนางล้วนสำคัญที่เส้นสายสร้างสัมพันธ์ทางการเมือง มารดารู้ดีและรับได้ในจุดนี้มาตลอดตั้งแต่ก่อนแต่งงานด้วยซ้ำ เพียงแต่ด้วยกฎเกณฑ์ระเบียบแบบแผนของตระกูลขุนนางราชสำนักมีมากเกินไป กดขี่และจำกัดอิสระอิสตรี มิไยดีกระทั่งความคิดเห็น
[1] หญิงสาวผู้มีกลิ่นหอม
จวนชินอ๋องทางฝั่งจ้าวฉีเสวียน เขาไม่รู้ว่าช่วงนี้ตนเองเป็นอะไรไป เหตุใดถึงรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจตลอดเวลาครั้นหันไปมองหน้าอันงดงามเปล่งปลั่งของสตรีที่ตัวติดกันตลอดหลายวันมานี้ก็ยิ่งไม่เข้าใจ ไฉนไม่เคยปฏิเสธนางสักครา“น้องเฟยเฟยจะติดตามไปด้วยกันทุกที่ก็ได้”หลิงเฟยแย้มยิ้มเบิกบานราวบุปผา “พี่เสวียนไปที่ใดหรือ?”ชายหนุ่มตอบนิ่งๆ “ข้าจะเข้าไปที่คฤหาสน์หนิงเทียน”“คฤหาสน์หนิงเทียน?” หลิงเฟยให้รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง ที่นั่นมีสาวงามหยาดเยิ้มซึ่งนางเทียบไม่ติดอยู่ผู้หนึ่ง “เหตุใดท่านต้องไปที่นั่นอีก เราสองคนกำลังจะหมั้นหมายกันแล้วนะเจ้าคะ”นั่นสิ เหตุใดต้องไปที่นั่น จ้าวฉีเสวียนเองก็ไม่เข้าใจ ในอกพลันร้อนรุ่มแปลกๆ เขารู้สึกเหมือนลืมใครไปสักคนหนึ่งจ้าวฉีเสวียนให้รู้สึกปวดหัว เขาพยายามนึกภาพสตรีผู้นั้น ทว่าในความเลือนรางไม่ชัดเจน กลับเห็นเป็นหลิงเฟยที่ยื่นหน้ามา ภาพที่เพียรนึกถึงพลันอันตรธานหายไป คล้ายถูกมนต์มารล่อลวงและปิดตาบิดเบือนในคราวเดียวกันหลิงเฟยยื่นหน้ามองจ้าวฉีเสวียนอย่างกดดัน สุ้มเสียงที่เคยหวานใสระรื่นหูบัดนี้เปลี่ยนไปเป็นหวานแหลมเฉียบคม“ข้าไม่ให้พี่เสวียนไปเจ
สตรีทั้งสองพากันเดินไปนั่งจิบชาในศาลารับลมริมบึงบัวฟางซินที่ไม่ตามไปจึงได้โอกาสหันมาหาสามีอย่างรักใคร่“พี่เหอ เหนื่อยหรือไม่?”จิ้นเหอหันไปเห็นภรรยาคนงามมีหรือยังกล้าแข็งแรงอยู่อีก เขาบ่นอย่างเหน็ดเหนื่อย“ข้ารู้สึกอ่อนเพลียยิ่งนัก”“โอ...ข้าจะพาท่านพี่ไปพักเจ้าค่ะ”เวลานี้ยังต้องยืนเวรตามหน้าที่ ฟางซินจึงดึงจิ้นเหอให้ไปนั่งลงบนขั้นบันไดหน้าห้องหนังสือไม่ไกลจากตำแหน่งยืนยาม ก่อนลงมือบีบนวดให้อย่างเอาอกเอาใจนางถามเสียงหวาน “ปวดเมื่อยตรงนี้หรือไม่ ข้านวดให้”จิ้นเหอเสียงอ่อน “ปวดมาก เมื่อยยิ่ง ตรงนี้ด้วย”ฟางซินเริ่มตาโต “ท่านพี่ปวดเมื่อยถึงเพียงนี้ ข้าอยากให้ท่านลางานสักคืนเหลือเกิน” นางรีบกระซิบข้างหูน้ำเสียงกระเส่า “แล้วข้าจะนวดให้ท่านทั้งตัว ไร้เสื้อผ้ากางกั้น ดีหรือไม่เจ้าคะ”ดวงตาจิ้นเหอพลันสว่างวาบ ใจเหลวไปหมด“ข้าจะลางานคืนนี้เลย”จิ้นอันที่ยืนอยู่เพียงกลอกตาขึ้นฟ้าอย่างหมั่นไส้เวลาล่วงเลยผ่านไปหนึ่งชั่วยามนับเป็นเวลาที่ไม่นานเลยสำหรับทุกคน ทว่ากลับยาวนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ในความรู้สึกของหวงลี่ฟางเหตุเพราะจ้าวฉีเสวียนอยู่ในห้องกับหลิงเฟยตลอดเวลา หลังจากนั้น พอเขาออกมาจากห
ระเบียงทางเดินระหว่างเรือนรับรองที่ทอดยาวเชื่อมต่อกับเรือนตำราหวงลี่ฟางยืนถือถาดน้ำชารสล้ำหอมกรุ่นยืนนิ่งเงียบงัน มิอาจขยับเขยื้อนไปข้างหน้าได้อีกแม้ครึ่งก้าวเมื่อครู่ จ้าวฉีเสวียนสั่งให้นางรอปรนนิบัติชงชาให้ในห้อง แต่เขาไม่ชอบชาเก่าที่อยู่ในห้องหนังสือ นางจึงออกมาชงชากาใหม่ ทว่าพอกลับมาคนกลับไม่รอชิมชาฝีมือนางอีกต่อไปด้านข้างนางคือฟางซินที่ยืนกระซิบกระซาบอยู่ไม่ห่าง “ซื่อจื่อมีท่านหญิงหลิงคอยดูแลชงชาให้แล้ว เจ้าอย่าเข้าไปเลย”พอพูดจบ ฟางซินลอบกลืนน้ำลายอึกหนึ่งอย่างยากลำบากด้วยหน้าที่ต้องรับผิดชอบ งานต้องทำให้ลุล่วง นางจึงต้องทำอย่างจำใจ ทว่าส่วนลึกกลับรู้สึกผิดเหลือเกินหญิงสาวกลั้นใจเอ่ยอีกว่า “ท่านหญิงหลิงเฟยผู้นี้คือคู่หมั้นของซื่อจื่อเชียวนะ เจ้าควรรู้เอาไว้”คู่หมั้น...ร่างอรชรนิ่งงันราวถูกสาปในที่สุดวันนี้ก็มาถึง...แคว้นจิน นิยมให้ชายแต่งงานอายุยี่สิบ หญิงแต่งสิบห้า ปีหน้าจ้าวฉีเสวียนก็อายุครบยี่สิบปีแล้วคงสมควรแก่เวลาสินะส่วนนางหากไม่เกิดเหตุพลิกผันก่อนอายุสิบห้าปีก็คงไม่แคล้วกลายเป็นชายารัชทายาทอย่างขมขื่น ไหนเลยจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดจ้าวฉีเ
พี่น้องสกุลจ้าวล้วนไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวกันและกัน ทุกคนมีสิทธิ์ทำอะไรตามอำเภอใจเต็มที่ ขอแค่ไม่หลงผิดคิดทำชั่ว เรื่องที่ทำต้องยึดมั่นถือมั่นในคุณธรรมเป็นที่ตั้งอ้อ...แต่อาจมีบ้างในเรื่องคู่ครองที่ออกจะเอาแต่ใจไปบ้างความคิดของจ้าวเล่อเสียล่องลอย ขณะที่หลิงเฟยยังคงพูดถึงจ้าวฉีเสวียน “พี่เสวียนซื้อคฤหาสน์ไว้พักผ่อนจริงดังเจ้าว่า...”และยิ่งเล่า สีหน้าหลิงเฟยยิ่งเผยความนัยคล้ายไม่ยินดี“ที่นั่นน่ะ มิใช่คฤหาสน์ธรรมดา แต่เป็นเรือนทองซ่อนสตรี พี่เสวียนซ่อนสาวงามเอาไว้ถึงสองคน แม่นางฟางซินก็คือหนึ่งในสาวงามของพี่เสวียนที่ยกให้จิ้นเหอ”จ้าวเล่อเสียพยักหน้าเอื่อยๆ แม้จะแปลกใจเพราะนี่มิใช่นิสัยของพี่ชาย แต่นางก็พอทำความเข้าใจได้ว่า“เรื่องนี้หาใช่เรื่องแปลกนี่นา พี่รองอาจได้รับมาเพราะเป็นเครื่องบรรณาการจากขุนนาง เขารับไว้แล้วส่งต่อให้ลูกน้องอีกที บุรุษสกุลจ้าวทำเช่นนี้ตั้งแต่รุ่นท่านพ่อแล้วล่ะ”หลิงเฟยรีบพูดอีกว่า “แต่ก่อนหน้าฟางซิน พี่เสวียนเลี้ยงดูหญิงงามไว้คนหนึ่ง นางผู้นี้อยู่กับพี่เสวียนเต็มหนึ่งปีแล้ว”จ้าวเล่อเสียเริ่มมีปฏิกิริยา “จริงหรือ?”หลิงเฟยถอนหายใจ “ผู้คนเล่าลือกันทั
ธรรมชาติของหวงลี่ฟางดื้อรั้น ยึดมั่นถือมั่น ต้องถูกกระตุ้นด้วยวิธีที่รุนแรงต่อจิตใจระดับนี้เท่านั้นรุ่ยเยียนเหลือบตามองหลันฮวาแวบหนึ่งแล้วนิ่งสนิท พยายามระงับโทสะที่เจียนระเบิดในที่สุดเพลิงพิโรธในอกก็สงบลง นางหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด ก่อนเผยยิ้มเย็นยะเยือก“ดี!” ว่าพลางหันไปหยิบตลับหยกใหม่ในลิ้นชักใต้โต๊ะขึ้นมายื่นให้หลันฮวา“นี่คือผีเสื้อ ‘วสันต์พร่ำรัก’ ละอองเรณูจากปีกผีเสื้อนี้มีฤทธิ์เดชกล้าแกร่งยิ่งกว่าครั้งก่อน มันมิใช่แค่ควบคุมจิตวิญญาณแต่จะทำหน้าที่สร้างปฏิสัมพันธ์ให้จิตวิญญาณผสานเกิดเป็นพันธนาการรัดรึงยากฉุดรั้งให้กลับคืน หากใช้กับคนสองคนที่มีใจผูกพันแต่เดิมไม่ว่าด้วยฐานะใด จะรักกันแน่นแฟ้นมากขึ้น”นั่นหมายความว่า ต่อให้จ้าวฉีเสวียนไม่ได้มีใจให้หลิงเฟย ทว่าแค่รู้จักมักคุ้นกันตั้งแต่เด็กก็จะแปรเปลี่ยนเป็นรักปักใจทันทีหลันฮวาเก็บตลับหยกอันใหม่ใส่แขนเสื้ออย่างระมัดระวัง“รับทราบเจ้าค่ะ”ด้วยไม่แน่ชัดถึงความรู้สึกนึกคิดของจ้าวฉีเสวียนการที่เขาแอบเลี้ยงดูสาวงามไว้ที่คฤหาสน์หนิงเทียนจึงมิใช่เรื่องที่ควรค่าแก่การรายงานบุรุษอายุสิบแปดสิบเก้าปีผู้หนึ่งจะมีสตรีเอาไว้ปล
จิ้นเหอไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร รู้เพียงว่าเมื่อเกิดขึ้นแล้ว มีเพียงต้องไปต่อเท่านั้น เขาไม่มีทางพอแค่นี้เป็นที่แน่นอนเสื้อผ้าพลันปลดเปลื้อง สตรีแยกขา บุรุษแทรกกลาง การสอดใส่เกิดขึ้นตามด้วยเสียงครางครวญอย่างสุขสมไม่มีหรอกการเล้าโลมคลอเคลีย ชายหญิงคู่หนึ่งคล้ายน้ำมันไหลหลากปะทะเปลวไฟ ร้อนแรงยิ่งกว่ากองเพลิงสีน้ำเงิน[1] ในหุบเขาบรรลัยกัลป์คนสองคนคล้ายลอยล่องหลุดพ้นจากแดนดินสู่แดนสรวงทว่าเสี้ยวสติหนึ่งของบุรุษพลันชะงัก เมื่อสัมผัสและรับรู้ได้ถึงเยื่อบางๆ ที่ขาดสะบั้นกับหยาดเลือดพรหมจรรย์ที่หลั่งรินเบาๆ จากช่องทางเร้นลับคับแคบซึ่งกำลังบีบรัดตัวตนของเขาเอาไว้แน่นจิ้นเหอที่ขบกรามก้มหน้าซุกซบซอกคอหอมถึงกับเบิกตาอย่างตระหนกและงงงัน กระนั้นยามนี้ต่อให้เอาอาชาศึกมาฉุดรั้ง คนย่อมมิอาจหยุดยั้งแม้ลมหายใจเดียว ยิ่งมองเห็นดวงตาฉ่ำน้ำที่หวานหยด หยดเหงื่อที่หยาดเยิ้ม ริมฝีปากชุ่มฉ่ำที่กำลังเม้มน้อยๆ อย่างทรมานสุขสมเช่นนั้นยอมตายอนาถบนยอดถันสาวงาม นับเป็นผู้กล้าโดยแท้...ห้องรับรองส่วนตัวของโรงน้ำชาฝูหมิงบนชั้นสอง สตรีสองคนนั่งหันหน้าเข้าหากันนิ่งงัน มีเพียงโต๊ะเตี้ยกั้น ห







