Share

ไอ้เวร

Penulis: ลลนล
last update Terakhir Diperbarui: 2025-11-08 14:02:01

ทว่าคนที่รอจังหวะ ก็ยังจะปักหลักยืนนิ่งอยู่ที่เดิม กระทั่งเจ้าของห้อง จะเดินผ่านกันออกไป ปริญญ์ก็ตัดสินใจพูดขึ้นว่า “มันตอบยากนักเหรอ นี่คีย์ยังไม่รู้เลยนะว่าจะต้องยกเลิกนัดหรือเปล่า”

“พี่ไม่ชอบให้มายุ่งเรื่องส่วนตัวกันแบบนี้จริงๆ นะ เราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วคีย์ มีสติหน่อย”

“การที่พี่โสด มันไม่ใช่การให้ความหวัง” ปริญญ์ตัดสินใจโพล่งประโยคที่ทำให้อีกคนถึงกับชะงักเท้า

“เธออย่ามาบ้าน่ะ ความหวังอะไรกัน พวกเรามันมีแต่ติดลบ ถ้าอยากจะโชว์ว่าไม่ได้คิดอะไร ก็ช่วยหาคำพูดอะไรที่มันดีกว่านี้หน่อย”

“ที่หลบเลี่ยงคำตอบอยู่เนี่ย เพราะคิดว่าคีย์ยังคิดอะไรกับพี่อยู่เหรอคะ”

“.................................”

ไอ้เวร!

เสียงตวาดดังก้องในหัว แต่สายตาถมึงทึงที่สาดใส่ มันก็คือความหมายเดียวกัน ที่ทำให้คนมองรู้สึกได้โดยไม่ต้องเปล่งเสียงใดออกมา

“ก็ไม่อะไรหรอกน่า จะได้วางตัวถูก ว่าไม่ได้ยุ่งอะไรกับเมียชาวบ้าน”

“ตั้งใจทำงานเถอะคีย์ พี่อยากเห็นเธอก้าวหน้า ไม่ใช่วันๆ เอาแต่คิดเรื่องใต้สะดือที่รสชาติก็แค่นั้น แล้วเข้าใจยังว่าทำไมถึงรักๆ เลิกๆ เพราะมันห่วยซะไม่มียังไงล่ะ!”

แม้ไม่มีเสียงตบสักฉาด แต่ทำไมใบหน้าของปริญญ์ถึงได้ปวดแสบปวดร้อน และซีดเผือดได้เสียขนาดนี้ด้วย

“ถ้าโสด คีย์จะไปยกเลิกนัด”

ยังไม่มีการยอมแพ้เกิดขึ้นง่ายๆ แม้นจะชาทั้งใบหน้าก็เถอะ

“............................”

ทว่าก็ไม่มีทั้งเสียงพูด และไม่หมุนตัวกลับมาหา กิดากานต์ทำเหมือนไม่ได้ยิน ปล่อยทิ้งให้เป็นอากาศธาตุโดยแท้ ทำเอาอีกฝ่ายหงุดหงิดเตะแข้งเตะขาไม่พอใจอยู่เพียงลำพัง เพราะสุดท้ายแล้วการเค้นเอาคำตอบ มันก็เหลวไม่เป็นท่าอยู่เหมือนเดิม

“คุณแม่คะ ทานข้าวค่ะ พวกหนูเตรียมโต๊ะรอเรียบร้อยแล้ว” บ๊อบบี้โผล่หน้าขาววอกเข้ามาบอกในห้องทำงาน

และนี่คือเหตุการณ์ประจำวัน ในทุกเที่ยงวัน บ๊อบบี้ ผู้ช่วยหนุงหนิง และหมอกิดากานต์ จะทานข้าวกลางวันด้วยกันที่ด้านหลังอาคารอำนวยการ

“วันนี้มีอะไรกินบ้างน่ะบี้”

“ไข่เจียวพิซซ่า กับกะเพราหมูกรอบค่ะแม่ แม่อยากได้อะไรเพิ่มมั้ยคะ หนูจะได้โทรบอกยายติ๋มทำเพิ่ม”

“ไม่เพิ่มแล้ว แม่เธอจะได้ด่าเอา เที่ยงวันที่ร้านคนเยอะก็รู้อยู่”

“แต่สำหรับหมออูน ยายติ๋มพร้อมแซงคิวให้เสมอ แม่ฝากความห่วงใยมาถึงด้วยนะคะ”

“ขอบคุณยายติ๋มมากๆ ค่ะ ไปกันเร็ว เอาจริงหมอก็หิวเหมือนกันนะเนี่ย”

ว่าแล้วทั้งคู่ก็เดินเข้าสู่ลานเปิดโล่ง ซึ่งอาศัยร่มเงาจากหลังคาที่ถูกสร้างยื่นออกมาจากตัวอาคารราวสามเมตรเท่านั้น

ซึ่งในตอนนี้ที่โต๊ะม้าหินอ่อนมีหนุงหนิง สาวหน้าคมปากคมกำลังนั่งรินน้ำใส่แก้วให้อย่างกระตือรือร้น

“มาค่ะคุณหมอ เรียบร้อยแล้วค่ะ” หนุงหนิงบอกพลางกวักมือเรียกทั้งยิ้มตาหยี

ทว่าเมื่อทานข้าวกันไปได้ไม่กี่นาที กิดากานต์ก็ตัดสินใจถามขึ้นว่า

“ปกติหมอปริญญ์กินข้าวเที่ยงที่ไหนอ่ะ”

ถาม...เพื่อสร้างความเสมอภาค และปกปิดความบาดหมางเท่านั้น

“เห็นหมอปริญญ์บอกว่า ทานกับเพื่อนค่ะ”

“เพื่อนอยู่นี่เหรอ?” กิดากานต์กำลังหมายถึง เพื่อนในละแวกชานเมือง ที่ห่างจากอำเภอเมืองมาถึงสามสิบกิโลเมตร

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” หนุงหนิงเป็นคนตอบ และก็ไม่มีใครสักคนกล้าถามขึ้นว่า ชวนมากินด้วยกันไหม เพราะกับข้าวในทุกมื้อ ไม่ใช่งบจากส่วนกลาง แต่เป็นงบของกิดากานต์ เพื่อเอาไว้ดูแลน้องๆ ทั้งสองตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ

ซึ่งหากใครจะเป็นคนชวน ก็ต้องหมอกิดากานต์เป็นคนเอ่ยเท่านั้น ตัวแม่ตัวมัม ที่บ๊อบบี้และหนุงหนิงติดหนึบ ต่างคนต่างซัพพอร์ต และพวกเขาคือผู้ที่ปลดปล่อยให้กิดากานต์ได้เป็นตัวของตัวเองกับคนอื่นเสียที

“เค้าเป็นคนเพื่อนเยอะน่ะ เออนี่ ฝากไปบอกหมอปริญญ์ด้วยนะว่า งานรถแห่น่ะยกเลิกแล้ว เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นแทน”

“แม๊!!!”

สองเสียงประสานทั้งตาถลน แต่ก็พลันเงียบเสียงลง เพราะกิดากานต์ทำหน้าไม่สู้ดี พลางเคาะนิ้วลงเฝือกอ่อนดามคอให้เข้าใจได้ทันที

“แล้วเปลี่ยนเป็นอะไรกันคะแม่”

“แคมป์ปิ้งกันมั้ย พวกเราไม่ได้ไปด้วยกันนานแล้วนะ”

“เย้!!”

“จ๊ะเอ๋! กำลังสนุกอะไรกันคะ ดูซิ หมอมีอะไรมาฝากเอ่ย”

ปริญญ์ที่โผล่มาจากมุมอาคาร พร้อมถุงของกินพะรุงพะรังเต็มสองมือ ชวนให้บรรยากาศคึกคักเข้าไปอีก เมื่อผู้ช่วยทั้งสอง พากันดีดตัวออกมาจากม้าหินอ่อน เพื่อที่จะเข้ามาช่วยจัดการของที่อยู่ในมือให้เรียบร้อย

“มาพอดีเลยค่ะหมอปริญญ์ มายมัมเพิ่งจะเปลี่ยนแผน พี่หมออูนจะพาพวกเราไปแคมป์ปิ้งรับน้องใหม่กันค่า ดีใจมั้ยๆ” บ๊อบบี้ยื่นหน้าเข้าไปบีบเสียงเล็กเสียงน้อย พลางกระทืบเท้าเร่าๆ ใส่คนแว่นดำที่พุ่งสายตาไปหากิดากานต์ ที่หลบตาวูบลงไปหาจานข้าวตัวเองอย่างฉับพลัน

“เจ๋งไปเลย”

“เตรียมตัวให้พร้อม! อร๊ายยย!”

“เพิ่งกินกันไปได้ไม่เท่าไหร่ใช่มั้ย งั้นเอาพวกนี้ไปเปิดใส่จานกันเร้ว”

เป็นการเคลียร์พื้นที่ได้อย่างแนบเนียน เมื่อสองผู้ช่วยทั้งคู่ถูกต้อนให้ไปอีกมุม ที่ซึ่งมีอุปกรณ์จานชามวางเก็บ ส่วนเจ้าตัวที่เพิ่งมาถึงก็รีบสไลด์ตัวลงไปนั่งม้าหินอ่อนตัวเดียวกันกับคนที่ขยับตัวห่างทันที

“อย่ามารุ่มร่ามนะ”

“โสดเหรอ”

“อะไรของเธอ!?” กิดากานต์ว่าตาขวาง แต่อีกคนกลับฉีกยิ้มกว้างใส่

“ก็ถึงได้ยกเลิกนัดรถแห่ไงคะ”

“เข้าใจผิดละ” กิดากานต์ว่าเสียงเบื่อหน่ายพลางชี้มายังเฝือกคออีกครั้ง

และการถอนหายใจเหนื่อยอ่อนไหล่ห่อของปริญญ์ ก็เป็นการบ่งบอกความในใจไปในตัว

“ไม่มีคนเค้าทักเหรอว่าใส่ทำไมแว่นดำตลอดเวลา”

“ไม่ต้องมาสนใจหรอก ใครจะว่าอะไร พี่มาแคร์ทำไม”

“ก็มันแว่นฉัน”

“ให้แล้วมันก็เป็นของคีย์ดิ”

“เอาความหลงผิดของฉันคืนมา” กิดากานต์ขมุบขมิบปากเบากริบพอให้ได้ยินกันสองคน

“ไม่ใส่แล้วก็ได้ เอ้า...เอาคืนไป” หมอปริญญ์ถอดแว่นออกจากตัวเอง แล้วค่อยๆ บรรจงสวมมันคืนเจ้าของคนเดิมทั้งท่าปัดป้องมือเป็นพัลวันของกิดากานต์

“เธอจะบ้าอะไร ฉันไม่ใส่!”

“สวยจะตาย พี่ใส่สิ”

“เธออย่ามาบ้า!”

และในขณะเดียวกัน หนุงหนิงที่ถอยกลับเข้ามุมก็พึมพำขึ้นมาทั้งตาลอยๆ

“เค้าสนิทกันขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“อะไร”

“พี่บ๊อบบี้ เมื่อกี้พี่หมอสองคนเค้าหยอกกันแปลกๆ ว่ะ หนูว่ามันแปลกๆ”

“.....................”

ความใคร่รู้ทะยานพุ่ง พร้อมกับเท้าที่ก้าวไม่กี่ก้าวก็สามารถโผล่หน้าออกจากมุม เพื่อไปพบเข้ากับใบหน้าสดที่ไร้การบดบังของหมอปริญญ์เป็นครั้งแรก

โอ้ ตอนสวมแว่นว่าเท่ดูดี และเดาไม่ผิดเลยว่าดวงตาภายใต้แว่นสีดำอันนั้น มันต้องสวยรับกับจมูกคมๆ นั้นแน่ นี่มันถึงขั้นว่าตุ๊ดยังตะลึงเลยจริงๆ นะ!

“ใกล้เสร็จแล้วค่า รออีกแป๊บเดียวนะค้า” บ๊อบบี้รีบฉีกยิ้มบอกออกไปในทันทีที่ประสานสายตาเข้ากับดวงตามีเสน่ห์นั้นของปริญญ์

“แปลกๆ” ปริญญ์พึมพำออกมา หลังจากกิดากานต์ยัดแว่นไว้ในกระเป๋ากางเกงตัวเองเป็นที่สำเร็จ

“ทำไมเหรอ”

“พี่ว่าเค้าจะเห็นเมื่อกี้ป่ะ”

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terbaru

  • เพรงพ่าย   ออกมาหาได้มั้ย

    “ไม่ไปได้ยังไงคะป๊า ตั๋วเค้าก็จองให้หมดแล้ว แล้วอูนก็แค่ไปช่วยงาน ยังไม่ได้ย้ายสักหน่อย”“หนูไม่ต้องมาใช้คำว่าสักหน่อยกับป๊า แค่หนูป่วยแค่นิดเดียว หัวใจป๊าก็เจ็บปวด...”พูดยังไม่ทันจะจบ ลูกสาวขี้วีนก็สวนกลับทันที“อย่ามาลิเกค่ะป๊า”“ป๊าไม่ได้ลิเก แต่คราวนี้ป๊ายอมไม่ได้”“ก็บอกแล้วว่าแค่ไปช่วยงาน”“อูนเอาคำว่าแค่ช่วยงานมาอ้างให้ป๊าตายใจ ไปลาออกเลย ลูกสาวคนเดียวป๊าเลี้ยงได้ ไม่ต้องทำงานเป็นหมอแล้ว ป๊านอนไม่หลับสักวันเพราะเรื่องหนูนี่แหละ”“ป๊าลองเป็นช้างสิ ถ้าป่วยมาแล้วไม่มีหมออย่างอูน ป๊าจะรู้สึก”“หนูอย่ามาแช่งป๊านะ”“ไม่ได้แช่ง แต่ป๊าเองไม่ใช่เหรอที่เลี้ยงหนูมาให้รักสัตว์ ป๊าเองไม่ใช่เหรอที่ชอบช้างมากที่สุด หนูก็เดินตามทางที่ป๊าเคยขีดไว้ให้แล้วไง หนูจะสี่สิบแล้ว หนูถึงขอให้เลิกยุ่งกับชีวิตหนูสักที”“ก็หนูทำตัวน่าเป็นห่วง ให้ตายยังไงป๊าก็ไม่ยอมให้หนูไปลำปาง”“งั้นป๊าก็ต้องช่วยหนูแล้ว

  • เพรงพ่าย   ใช้ของด้วยกัน

    “กวนประสาท...ฮือ ทำไงดี เด็กต้องตกใจแน่ๆ ตาพี่แดงไปหมดเลย”ว่าแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิด มันก็ดันมาเกิดกลางทาง และหากจะพากันไปทั้งสภาพนี้ มันคงแย่พอๆ กับการไม่ไปร่วมขบวน ดังนั้นคนทั้งคู่เลยพากันกลับไปล้างหน้าที่บ้านอีกรอบ“แว่นคีย์ที่พี่เคยซื้อให้อยู่ไหนอ่ะ ใส่อันนั้นพรางตาได้ดีนะ” ปริญญ์บอกคนที่ยืนล้างหน้าอยู่ในครัว“อยู่บนห้องอ่ะ หยิบให้หน่อย”และเมื่อปริญญ์เดินกลับลงมาอีกครั้ง เธอก็เดินเข้าไปสวมกอดผ่านแผ่นหลังกันไปอย่างอ่อนโยน“เลิกเกลียดคีย์เรื่องเพลงน้า”“คนพูดน่ะพูดง่าย”“คีย์ขอโทษ ตอนนี้คีย์อยากเห็นคุณมีความสุข เพลงพวกนั้นมันแค่ข้ออ้างของคนปากเสีย ไม่ได้ขอให้คุณให้อภัยนะคะ แต่อยากให้เข้าใจว่า มันไม่ใช่สิ่งที่คีย์คิดจริงๆ เพราะเพลงที่คีย์ไม่ชอบจริงๆ อ่ะคือเพลงเพื่อชีวิต พี่ก็น่าจะรู้ตั้งแต่เราคบกันแรกๆ”“ไม่ใช่แค่นี้ใช่มั้ยที่โกหกพี่”“มันนานมากแล้วอ่ะ จำไม่ค่อยได้...”“แล้วที่ทำน่ะ เพราะเข้าใจว่าพี่ยังรั

  • เพรงพ่าย   รู้ใจ

    จริงดั่งที่เข้าใจมาตลอด ยิ่งปริญญ์พยายามทำให้อีกคนเจ็บมากเท่าใด แต่หัวใจของเธอกลับเจ็บยิ่งกว่า เธอมองเห็นความอ่อนล้าเหล่านั้นก็อยากจะโผเข้าไปกอด แต่หากจะทะเล่อทะล่าแสดงออกไปเช่นนั้น คนที่มีปมแน่นในใจ คงไม่ยอมเปิดใจให้กันง่ายๆเธอเลยทำได้แค่แสร้งทำเป็นว่าไม่เข้าใจ หญิงสาวไม่พูดอะไร นอกจากการเดินเข้าไปหา แล้วค่อยๆ เอนตัวลงนอนหนุนตักคนที่รักสุดหัวใจนั้นไปเงียบๆ“อืมม์...คีย์คะ คือจริงๆ ไม่ต้องพาไปก็ได้นะ เดี๋ยวพี่ไปเองก็ได้”นั่นไงล่ะ ปริญญ์คิดเอาไว้ไม่มีผิด ว่าจะต้องได้ยินอะไรแบบนี้ ดังนั้นจากที่เคยนอนหงาย ก็ค่อยๆ พลิกตัวเข้าไปกอดกันเอาไว้เพียงหลวมๆ ศีรษะได้รูปทำท่าส่ายหน้า ไม่ยอมรับข้อเสนอนั้น ก่อนจะงึมงำบอกออกมาว่า“ของีบสักห้านาทีนะ แค่ห้านาที หมดเวลาแล้วปลุกเลย”“เหนื่อยเหรอคะ”“ค่ะ ปีนขึ้นปีนลง มาหลายตัวด้วย”“ขอโทษนะที่ไม่ได้ไปช่วย”“ถึงพี่อยู่คีย์ก็ไม่ยอมให้พี่ทำหรอก”“งั้นนอนพักดีกว่ามั้ย ไม่ต้องไปหรอกเนาะ”“ไม่เอา ขอแค

  • เพรงพ่าย   ถ้ายังรักกัน

    และยิ่งกิดากานต์ปฏิเสธกันเท่าใด อีกคนก็ยิ่งอยากฟาดกันให้ราบคาบเสียแต่ตอนนี้ หญิงสาวเอาแต่ยืนหายใจฟืดฟาด จ้องหน้าไม่พอใจอยู่อย่างนั้น“ก็บอกว่าจะเข้าไปส่งไง”“ก็แล้วจะเข้าเมืองไปทำไม”“จะไปส่งเมียตัวเองมันผิดตรงไหน”“เมียไหนกันแน่ ที่แน่ๆ พี่ยังไม่ใช่เมียเธอ ยัยเด็กคนไหนล่ะที่อยากไปหา มันไม่ใช่แค่อยากไปส่งพี่หรอก”และนี่ก็กลายเป็นการยืนยันว่า พวกเธอยังคงไม่เชื่อใจกันอย่างชัดเจน“ไม่อยากเป็นแล้วเหรอ ไหนเมื่อคืน...”พูดยังไม่ทันจบ อีกคนก็ทุบกำปั้นลงไหล่กันไม่เบานัก“เลิกพล่ามถึงตอนนั้นได้ป่ะ”“ความจริงคนเรามันออกมาตอนนั้นไม่ใช่เหรอ”“แล้วมันจะเป็นไปได้ไง ในเมื่อเธอไม่ได้ต้องการฉันจริงๆ”“.........................”เมื่อไม่อยากจะเถียง ปริญญ์ก็ทำเพียงยิ้มเยาะใส่หน้า เป็นท่ากวนประสาทที่อีกฝ่ายอยากจะตะโกนใส่หน้าให้สุดเสียง“ไม่ต้องด้อยค่ากันถึงขนาดนั้นก็ได้”“เปล่

  • เพรงพ่าย   รู้เป็นคนสุดท้าย?

    “มันคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้จริงๆ นะอูน”“นี่คีย์เค้าคิดว่าอูนกลับไปมีอะไรกันกับพี่แทคงั้นเหรอคะ ป้าขา...เราไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ นะคะ” กิดากานต์พูดเสียงแหบแห้งออกมาจากใจที่อ่อนล้า“ป้าจะไม่ลงรายละเอียดนะ ให้คุยกันเอง”“ไม่ได้มีจริงๆ นะคะ”“ไปคุยกันเอาเอง เพราะเจ้าปริญญ์มันก็ไม่ฟังใคร มันเชื่อที่ตามันเห็น”“ก็หนูอธิบายเค้าตั้งหลายครั้งแล้วว่าไม่ได้ทำๆ ถึงว่าสิ พอพูดถึงพี่แทคเมื่อไหร่แล้วคีย์จะกลายเป็นคนบ้าไปเลย”หลังจากวางสาย กิดากานต์ก็เพิ่งจะมานั่งคิดทบทวนว่า ปริญญ์เริ่มเปลี่ยนแปลงแหนงหน่ายกันตั้งแต่เมื่อไร และก็ถึงกับน้ำตาซึมว่ามันเกิดหลังจากสาเหตุนั้นจริงๆ เหตุการณ์ในครั้งนั้นเธอมั่นใจว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้นถึงแม้กฤษกรจะทรงแบดดูกินไม่เลือกในเวอร์ชั่นผู้ชาย แต่เขาจะให้เกียรติเธอเสมอ จนกระทั่งตอนนี้ที่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเขายังดีอยู่ ก็เพราะเขาไม่เคยหาจังหวะรังแกกันเลยสักครั้งแต่แล้วในขณะที่นั่งไล่เรียงไทม์ไลน์อย่างรวดเร็ว พลันอีกหนึ่งความสงสัยก็ผุดขึ

  • เพรงพ่าย   ไม่แฟร์

    “โอเค คีย์อาจจะขอผิดเวลา แต่ขอให้มั่นใจกับอะไรกว่านี้อีกสักหน่อย คีย์จะกลับมาขอคบอีกครั้ง”“มั่นใจเรื่องอะไรคะ”“ไว้ถึงเวลาแล้วจะบอกค่ะ”“เรื่องที่พี่เคยถามน่ะเหรอ”ทันทีปริญญ์ก็แสยะยิ้มเครียดออกมา ทำเอาอีกคนยิ่งสงสัยหนักเข้าไปอีก“นอนเถอะ...จะได้หายเร็วๆ ไว้หายแล้วค่อยคุยกัน”“ค่ะ”แล้วตอนนี้เราเป็นอะไรกัน เป็นเรื่องน่าปวดหัวที่ไม่มีใครกล้าตั้งมันขึ้นมาเป็นคำถาม...ตั้งแต่ที่ปริญญ์เดินเข้ามาจุ๊บหน้าผากก่อนออกไปทำงาน กิดากานต์ก็กลับไปเป็นคนคลั่งรักได้อย่างเงียบๆ สมองมันแล่นแปลบปลาบ ฉายแต่ภาพซ้ำๆ ที่ทำเอานอนหน้าร้อนเป็นสีระเรื่อปริญญ์เป็นเพียงคนเดียวในชีวิต ที่รู้จักร่างกายเธอดียิ่งกว่าผู้ใด การเคลื่อนไหวอย่างรู้ใจและแสนจะช่ำชอง มันพร้อมจะหลอมละลายกายที่เกร็งสั่น ให้ปวดมวนไปทั่วร่างด้วยความกำซาบฝ่ามือเจ้าเล่ห์ปาดฉวัดเฉวียนเฉียดผ่าน แต่ไม่แตะต้องเพชรเม็ดงามที่ฉ่ำลื่นจนเจ้าตัวต้องถอนหายใจซ้ำซากด้วยความอึดอัด เพราะ

Bab Lainnya
Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status