Mag-log inเสียดายที่กิดากานต์สะบัดหน้าหนีไม่ได้เหมือนทุกครั้ง คนคอแข็งทื่อที่หมดอารมณ์จะต่อกรกันเป็นเด็กๆ ก็หมุนตัวไปอีกทาง เพื่อที่จะเริ่มงานในเช้าวันใหม่ได้อย่างขมุกขมัว
ปล่อยทิ้งให้อีกคนมองตามด้วยความรู้สึกห่วงใยมากขึ้นไปอีก...จริงๆ แล้ว ตั้งแต่ที่เลิกกัน ปริญญ์ก็ค่อยๆ คายความเป็นตัวตน แล้วกลืนเอาความหลากหลายของกิดากานต์มาเป็นตัวเอง
เธอเริ่มฟังเพลงลูกทุ่งได้เพราะขึ้นมานานหลายปีแล้ว และเธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าหลงคิดว่าพวกเพลงเหล่านั้นคือสิ่งที่เข้ามาทดแทนคนรักเก่า
และที่สำคัญที่สุด คือมันไม่ใช่เหตุผลจริงๆ ที่ทำให้เราเลิกกัน...
นับจากนี้ ไม่ว่ากิดากานต์จะจิกกัดกันเรื่องเก่าๆ มากขนาดไหน เธอก็จะพยายามไม่ใส่ใจ เพราะสิ่งที่เธอห่วงใยจนต้องรีบรับปากบ๊อบบี้ในทันที ก็เพราะสิ่งที่กิดากานต์ชื่นชอบ มันล้อมรอบไปด้วยหนุ่มๆ ทั้งหนุ่มแตกสาว และหนุ่มฉกรรจ์ พวกเขาให้เหตุผลว่าเพื่อไปคุ้มครอง คุณหมอรถแห่ ฉายาที่ไม่ใกล้กับบุคลิกที่คนทั่วไปพบเห็น
แต่นั่นคือตัวตนที่กิดากานต์ไม่กล้าเปิดเผยกับปริญญ์มาก่อน อยู่ที่นี่ได้ทำอะไรในสิ่งที่ชอบ คุณหมอรถแห่คงมีความสุขมากสินะ แล้วใครจะกล้าทำลายความสดใสนั้นลงคอล่ะ
ไม่คิดว่าการกลับมาครั้งนี้ของปริญญ์ มันจะทำให้กิดากานต์อึดอัดทรมานได้เสียขนาดนี้ แรกเริ่มเหมือนเธอจะคิดเอาเองว่าน่าจะเอาอยู่ แต่ตอนนี้ที่เป็นอยู่ ไม่ต่างกับเผลอแกะสะเก็ดแผลที่ยังไม่หายสนิท แล้วเลือดมันก็ไหลซึมออกมาอีกรอบ
กว่าเธอจะกล้าเผยตัวตนกับคนที่นี่ ก็ใช้เวลาอยู่ตั้งหลายปี ทำไมความชอบของเธอ จะต้องเป็นความน่ารำคาญของคนอื่น ซึ่งคนคนนั้นก็ไม่ใช่ใครเลย แต่เป็นคนที่เธอเคยรักมากที่สุดอีกต่างหาก
คนบ้าอะไร เราก็ฟังของเราอย่างนี้มาตั้งนาน แต่บทอยากจะเลิกก็ยกมันมาเป็นข้ออ้าง แล้วทีตัวเองเอาผู้หญิงมาอยู่บนเตียงที่เราเคยนอนด้วยกันทุกคืน กิดากานต์เจ็บเจียนตาย หลับหูหลับตาว่าไม่ใช่เรื่องจริง ยอมเป็นคนโง่ ให้เขาฉีกทึ้งหัวใจเป็นว่าเล่น
แล้วต้องยอมรับกับตัวเองได้อย่างไม่อาย ว่าอยู่ไม่ได้หากไม่มีปริญญ์อยู่เคียงข้าง ทั้งๆ ที่เขาสุดแสนที่จะเหยียบย่ำ ถือสายคุยกับคนอื่นต่อหน้า คล้ายๆ ว่าแฟนเด็กจะทำทุกวิถีทางที่จะไล่เธอออกจากความสัมพันธ์ แต่เธอก็ยังจะทนอยู่ เพราะบางขณะ แววตาอันแสนดื้อรั้นนั้น มันเต็มไปด้วยความรักความห่วงหา หากแต่บางคราวมันก็สลับไปเป็นไม่ให้เกียรติกันเลยสักนิด
รักมาก และทนมาก เพราะคิดไม่ออกเลยว่า หากเลิกกันแล้วจะทำยังไงกับชีวิตต่อไป หรือเป็นเพราะเธอคิดเองไม่ได้ ปริญญ์เลยเป็นฝ่ายตัดสินให้อย่างเด็ดขาด
แต่ในขณะนั้น กิดากานต์ก็ด้านมากพอที่จะเลิกฟังเพลงที่น่ารำคาญหูเขาเพื่อเอาใจ แต่มันก็ไม่สำเร็จ เพราะแม้เธอจะพยายามปรับเปลี่ยนตัวเองเท่าใด สายตาแข็งกระด้างอย่างเอือมระอาของปริญญ์ มันก็ฆ่าเธอให้ตายทั้งเป็น
และวันนี้เธอก็วนกลับไปเจ็บใหม่อีกครั้ง เพลงที่เคยเปิดฟังคลอเบาๆ เวลาทำงานอยู่ในห้องเพียงลำพัง กลับโดนเมินเฉยอย่างตั้งใจ
ข้อมูลจากด้านนอก ถูกส่งผ่านระบบเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่กิดากานต์กำลังนั่งอยู่หน้าจอ แต่ละข้อมูลละเอียดยิบ ไม่มีช่องโหว่ให้ต้องหงุดหงิดใจ เธอชอบทำงานร่วมกับปริญญ์ เพราะเคยเป็นทั้งคนสอนและพากันเรียนรู้เคสยากๆ มาด้วยกันหลายปี
แต่พอข้อมูลที่ทยอยส่งเข้ามาเริ่มนิ่ง หญิงสาวที่แผลใจยังไม่สมานก็เอื้อมมือไปกดเปิดเพลงเศร้าๆ ช้ำๆ ของศิลปินคนโปรด ที่เพียงแค่ได้ยินอินโทรบรรเลง อินเนอร์ของคนที่ช้ำไม่สร่างซา ก็ดึงเอาไหล่บางงองุ้มหดหู่
ดวงตาเลื่อนลอยรอความเคลื่อนไหวที่หน้าจอ เพื่อรอการรายงานเคสในลำดับถัดไป หากแต่แล้ว อยู่ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“ค่ะ...”
รับคำด้วยน้ำเสียงแห้งแล้ง และต้องรีบเด้งมือไปกดปิดเพลงทันทีที่ใครบางคนโผล่เข้ามาอีกแล้ว ซึ่งท่าทีอันเลิ่กลั่กเช่นนั้น มันทำให้ใจคนมองอ่อนยวบยาบ รู้สึกผิดจนอยากจะถอยหลังกลับ แต่เพราะเจ้าของห้องที่เปลี่ยนทีท่าได้ในเวลาอันรวดเร็ว ก็ทำให้ปริญญ์ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
“มีอะไร”
“คือ...คีย์มาคิดดีๆ แล้วว่า”
“เกี่ยวกับเรื่องงานมั้ย” กิดากานต์ถามแทรกขึ้นด้วยความรู้สึกหงุดหงิด
“เกี่ยวค่ะ”
“ได้...งั้นก็พูดมา”
“ถ้าคีย์ไม่ไปรถแห่ มันจะทำให้พี่สนุกขึ้นจริงๆ เหรอคะ”
“ควรพูดเวลางานแบบนี้มั้ย ถ้าจะมาเคาะประตูสุ่มสี่สุ่มห้า แล้วมาพล่ามอะไรบ้าๆ ทีหลังจะไม่อนุญาตแบบนี้แล้วนะ”
“แล้วเรื่องรับน้องใหม่ ไม่เกี่ยวกับงานเหรอคะ”
“เค้าเรียกว่ากิจกรรมนอกเวลางานรึเปล่า”
“คีย์เรียกมันว่า งานสานความสัมพันธ์ค่ะ พี่เคยสอนคีย์มาอย่างนั้น”
อีกคราวที่กิดากานต์สามารถหัวเสียขึ้นมาได้ แต่จะให้เคืองก็ใช่เรื่อง เพราะเธอเคยสอนรุ่นน้องมาอย่างนั้นจริงๆ
“โอเค งานก็งาน และมันไม่สนุกแน่ ถ้ามีใครบางคนไม่ศรัทธาในศิลปะแขนงนั้นปะปนอยู่ใกล้ๆ”
“แต่คีย์มีข้อแลกเปลี่ยน”
“................................”
แววตาของคนถูกต้อน จ้องใบหน้าที่เคยหลงใหลด้วยความรู้สึกอึดอัดมากขึ้นไปอีก
“ตอบคีย์มาคำถามหนึ่ง จะตอบยังไงก็ได้ ขอแค่เป็นความจริง แล้วคีย์จะไปยกเลิกนัด”
“เล่นอะไรของเธอ”
“พี่แต่งงานรึยังคะ”
ไม่จำเป็นต้องอารัมภบทใดอีก สาวแว่นดำเชิดหน้าถามด้วยหัวใจที่เต้นถี่ ไม่ต่างกับตอนที่ลุ้นว่าอีกคนจะรับรักหรือเปล่า เหตุการณ์ครั้งนี้กับครั้งนั้นไม่ได้ใกล้เคียง แต่เหงื่อที่ซึมเต็มฝ่ามือ มันคือความรู้สึกเดียวกันเด๊ะๆ
“ตอบแบบไหนก็ได้เหรอ” กิดากานต์ถามพร้อมรอยยิ้มเยาะ
“เอาความจริงค่ะ”
“จะอยากรู้ไปทำไม”
“ก็คิดว่า ปูนนี้แล้ว แค่อยากรู้ความเป็นอยู่ว่าสบายดีมั้ย อะไรประมาณนั้นน่ะค่ะ” ปริญญ์พูดข้างๆ คูๆ
“จะแต่งไม่แต่ง ไม่ใช่เรื่องของเธอ คนแถวนี้ยังไม่มีใครคิดที่จะถามกันสักคน” กิดากานต์บอกแล้วก็หันกลับไปสนใจหน้าจอคอมพิวเตอร์อีกครั้ง
“ถ้าแต่งแล้วก็จะยินดีด้วยค่ะ”
“ยินดีจริงๆ เหรอ” พี่สาวตวัดสายตามาถามด้วยน้ำเสียงจิกกัดกันอยู่ในที
“พี่ควรต้องมีคนดูแล”
“ไม่ก้าวก่ายกันสิ”
“แต่คีย์เพิ่งเลิกกับแฟน เอ่อ...อันนี้แค่พูดลอยๆ น่ะ”
“รถไฟชนกัน หรือซ้อนสามซ้อนสี่กันเหรอ อย่าหักโหมให้มันมาก เฮ้อ...ที่เคยแช่งไว้ มันได้ผลจริงๆ นะเนี่ย” กิดากานต์พูดพลางหัวเราะในลำคอเบาๆ
“ไม่อยากให้สมหวังกับใคร เพราะอยากให้รักแค่พี่คนเดียวเหรอ”
“การคบกับเธอ มันเหมือนตกอยู่ในนรก ใครจะอยากก้าวขาเข้าไปอีก”
“ร้องเสียงหลงเลย นรกมันร้อนอ่ะเนอะ”
“อ้อ ถ้าอยากจะอยู่ในห้องนี้ก็เชิญเลยนะ พอดีมีเรื่องอื่นต้องไปทำ” กิดากานต์บอกแล้วก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืน ถ้าไม่ตัดจบก็รังแต่จะเข้าตัวเปล่าๆ
เสียดายที่กิดากานต์สะบัดหน้าหนีไม่ได้เหมือนทุกครั้ง คนคอแข็งทื่อที่หมดอารมณ์จะต่อกรกันเป็นเด็กๆ ก็หมุนตัวไปอีกทาง เพื่อที่จะเริ่มงานในเช้าวันใหม่ได้อย่างขมุกขมัวปล่อยทิ้งให้อีกคนมองตามด้วยความรู้สึกห่วงใยมากขึ้นไปอีก...จริงๆ แล้ว ตั้งแต่ที่เลิกกัน ปริญญ์ก็ค่อยๆ คายความเป็นตัวตน แล้วกลืนเอาความหลากหลายของกิดากานต์มาเป็นตัวเองเธอเริ่มฟังเพลงลูกทุ่งได้เพราะขึ้นมานานหลายปีแล้ว และเธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าหลงคิดว่าพวกเพลงเหล่านั้นคือสิ่งที่เข้ามาทดแทนคนรักเก่าและที่สำคัญที่สุด คือมันไม่ใช่เหตุผลจริงๆ ที่ทำให้เราเลิกกัน...นับจากนี้ ไม่ว่ากิดากานต์จะจิกกัดกันเรื่องเก่าๆ มากขนาดไหน เธอก็จะพยายามไม่ใส่ใจ เพราะสิ่งที่เธอห่วงใยจนต้องรีบรับปากบ๊อบบี้ในทันที ก็เพราะสิ่งที่กิดากานต์ชื่นชอบ มันล้อมรอบไปด้วยหนุ่มๆ ทั้งหนุ่มแตกสาว และหนุ่มฉกรรจ์ พวกเขาให้เหตุผลว่าเพื่อไปคุ้มครอง คุณหมอรถแห่ ฉายาที่ไม่ใกล้กับบุคลิกที่คนทั่วไปพบเห็นแต่นั่นคือตัวตนที่กิดากานต์ไม่กล้าเปิดเผยกับปริญญ์มาก่อน อยู่ที่นี่ได้ทำอะไรในสิ่งที่ชอบ คุณหมอรถแห่คงมีความสุขมากสินะ แล้วใครจะกล้าทำลายความสดใสนั้นลงคอล่ะไม่คิดว่าการกล
ทำเหมือนห่วง ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่ากิดากานต์นอนเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาลมาตั้งสามวัน เขาเรียกว่าห่วงประสาอะไร ไม่เห็นโผล่หัวไปเยี่ยมสักวัน!ผิดหวังอยู่ลึกๆ แล้วถุงผ้าสีเทาก็ถูกจับโยนเข้าไปในตู้เอกสารข้างผนังไปอย่างไม่ใยดี...อารมณ์ของเธอขุ่นมัวตั้งแต่เช้า กาแฟดำยามเช้าน่าจะทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาได้...เกล็ดกาแฟสำเร็จรูปถูกตักออกจากขวดด้วยใจจดจ่อ ทีละช้อนอย่างเชื่องช้า แล้วตามด้วยน้ำร้อนจัด ไอขาวพวยพุ่งลอยขึ้นเหนือแก้วกาแฟอย่างอ้อยอิ่งเสียงโทรศัพท์จากกระเป๋าเสื้อดังขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ทำลายอารมณ์ที่กำลังจะดีขึ้นให้หม่นลง เพราะปลายสายคือผู้ช่วยที่รู้ใจ“มีอะไรบ๊อบบี้โทรมาแต่เช้า”“อาทิตย์นี้ บ้านดอนย่านาง คุณแม่ว่างมั้ยคะ” สาวสองผมทองผิวเป็นสีขาวจัด กรอกเสียงผ่านมือถือมาอย่างรู้ใจและทุกครั้งคำตอบที่ผู้ช่วยคิดว่าจะได้ก็คือ...กี่โมง?กิดากานต์ไม่มีทางปฏิเสธกิจกรรมที่แสนชื่นชอบเหล่านี้ไปได้!“คิดดูก่อน”มีคนผิดหวังในคำตอบไปแล้วหนึ่ง แต่เขาก็ยังจะกรีดเสียงตามออกมาอีกว่า “ไม่ได้นะแม่ รอบนี้เค้าจัดเต็ม ลุงอู๊ดก็รับปากแล้วด้วย คุณแม่จะมาชิ่งอย่างนี้ไม่ได้นะคะ”“ก็บอกว่าคิดดูก่อน แต่ก็ไม่ได้บอกว่าไม่นี่
เดชะบุญฟิล์มดำของเธอทำให้อีกฝ่ายคงไม่มีทางเห็นหน้าเจื่อนๆ ของกันได้ เฝือกอ่อนที่ดามคออยู่ของกิดากานต์ทำให้ความเป็นห่วงที่พยายามกลบมันไว้ กลับเผยตัวตนออกมาจนรู้สึกหมั่นไส้ตัวเองเมื่อไรเธอจะควบคุมตัวเองได้เสียที เธอเกลียดเลือดลมฟุ้งซ่านนี้เต็มทน เกลียดที่ใบหน้าสวยๆ นั้นยังทำให้ใจเต้นแรงได้เสมอให้ตายเหอะ เธอลืมรักที่ผ่านมาทั้งเจ็ดคนไปได้อย่างไร พวกหล่อนๆ ทั้งหลาย เธอจำได้แค่ชื่อ ไม่เหมือนผู้หญิงคนนั้นที่ยังหมุนตัวมองกันมาจนรถเข้าจอดที่โรงจอดรถ“ป้ายทะเบียนกรุงเทพนี่”“อ๋อใช่ หมอปริญญ์เคยบอกว่าเคยทำงานกับหมออูนมาก่อนนี่นา”ได้ยินอย่างนั้น กิดากานต์ก็ถึงกับกัดฟันแน่น หลับตาปิดลงเพื่อควบคุมสติ เพียงชั่วขณะก็ลืมตาขึ้นมาถามกันชัดๆ ว่า“ปริญญ์ พุทธพัลลภ?”“ใช่ครับ”“....................”หญิงสาวทำเพียงแสยะยิ้ม อารมณ์ใดๆ ไม่หลงเหลือ ตัวมันชา ขามันสั่น ใจเต้นรัว เหมือนเกลียดกลัวอะไรสักสิ่ง แต่เธอก็ไม่ได้คิดที่จะหมุนตัวกลับ หากแต่ยังอยากยืนตั้งรับรออยู่ตรงนี้หญิงวัยสามสิบแปด เธอผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร เลยไม่คิดจะหนี อยากอยู่ตรงนี้ รออยู่ตรงนี้ รักครั้งนั้นเธอไม่ได้ผิด คนที่ควรจะไปจากที่นี่ไม
แต่ขออภัยเถอะ เธอโกรธกันจนไม่อยากจะให้อีกฝ่ายมีความสุขแม้สักวินาทีเดียว“ก็ไม่มีอะไรนะคะ คือที่ถามน่ะ ถามเผื่อพี่ชายที่เพิ่งอกหักค่ะ เผื่อจะได้เป็นแม่สื่อแม่ชักอะไรประมาณนั้น”ปริญญ์หาทางลงด้วยเหตุผลที่ฟังเข้าท่าจนอีกคนเชื่อสนิท และเธอก็ผูกมิตรกับลุงอู๊ดได้ด้วยเวลาอันรวดเร็ว แต่ก็ต้องสารภาพเลยว่า ตลอดเวลาที่ตรวจเช็คร่างกายพลายจุมพล เธอไม่มีสมาธิเท่าใดนัก ในหัวมันมีแต่เรื่องของกิดากานต์ มีทั้งเรื่องที่ทำให้สุขและเรื่องที่ทำให้เสียน้ำตาสรุปแล้วเคสนี้ เธอก็ตัดสินใจบอกกับครวญช้างเจ้าของพลายจุมพลว่าให้เอาตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล เพื่อที่จะได้ทำการเอกซเรย์หาจุดแตกหักของกระดูกทุกอย่างเสร็จสิ้นลงไปอย่างง่ายดาย จนกระทั่งกลับมานั่งบนรถ เพื่อเตรียมตัวกลับ คนที่เคยถามมาตลอดทาง ก็เอาแต่นั่งนิ่งคล้ายมีความคิดวิ่งวนอยู่ในสมองตลอดเวลา“ผมจะไปส่งหมอปริญญ์ไว้ที่โรงพยาบาลเลยนะครับ”“อ๋อ...ค่ะ”“ส่งแล้วก็จะออกไปดูหมออูนที่โรงพยาบาลสักหน่อย วันนี้ไม่น่าจะมีอะไรแล้ว”“................”ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมาจากใจสั่นๆ ขณะนี้หมอปริญญ์ไม่หลงเหลือความเป็นตัวเองมายาวนานหลายชั่วโมงเหลือเกิน มีแต่แววตาสองจิตสอง
แต่พอเดินตามกันออกมานอกห้อง ผอ. ก็ไม่ลืมที่จะผายมือไปยังทิศทางหน้าอาคารอำนวยการ ว่าให้ยืนรอคนขับรถมารับที่ตรงนั้นเมื่อผู้อำนวยการขับรถจากไป หมอปริญญ์ก็กลับมาอยู่เพียงลำพัง ที่อาคารพยาบาลไม่มีใครอยู่เลย ไม่มีแม้ช้างสักเชือก ซึ่งอันนี้พอเข้าใจได้ว่า อาจจะไม่มีช้างที่ดูแลต่อเนื่องค้างคืน แต่ถึงจะมีก็อาจจะอยู่ในคอกที่เตรียมไว้ให้ต่างหากมันเกิดขึ้นได้ แต่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นก็คือ ขนาดเจ้าหน้าที่ก็ยังไม่มีสักคน สิ่งมีชีวิตที่มีตัวๆ พอมองเห็นได้ ก็น่าจะมีแค่เธอ และนกเกาะกิ่งไม้อีกสองตัวเท่านั้นไม่มีปัญหาๆคำๆ นี้ของผู้อำนวยการทำให้เธอถึงกับส่ายหน้ายิ้มขันใครเชื่อก็บ้าแล้ว!หญิงสาวยืนรออยู่ที่เดิมได้เกือบสิบนาที ก็ค่อยๆ สืบเท้ากลับเข้าสู่ตัวอาคารบอร์ดแผนงาน และบอร์ดจิปาถะ ถูกตกแต่งด้วยกระดาษหลากสีแบบฝีมือเด็กประถม ซึ่งมันเคยเหวี่ยงตัวออกจากความน่าสนใจมาตั้งแต่แรกเริ่ม แต่เพราะเวลานี้ ไม่มีสิ่งไหนที่น่าสนใจแม้แต่นิด มันเลยดูมีคุณค่าขึ้นมาทีละนิด ขณะที่คนคิ้วยับย่นเซ็งจัด กำลังขยับเท้าเป็นปู ขนานไปกับบอร์ดติดผนัง เพื่อเดินดูรูปถ่ายการทำงานของคนที่นี่ แต่แล้วหนึ่งในภาพนั้น มันก็ถ่ายติดสัตวแพทย
“มาไม่สาย แต่กลับเร็ว เข็มนาฬิกาตรงเป๊ะ ก็ชิ่งเลยครับ”“ถือว่าไม่ผิด แล้วพักที่ไหนอ่ะ ทำไมไม่พักด้วยกันที่นี่”“บ้านนั้นหลังคารั่วยังเข้าไม่ได้ครับ” เขาพูดถึงบ้านพักอีกหลังที่ไม่มีคนอยู่มานานมากแล้ว“อยู่ด้วยกันก็ได้ ดีซะอีก หมอจะได้มีเพื่อน”“หมอปริญญ์รอมาคุยกับหมออูนก่อนครับว่าจะอนุญาตให้อยู่ด้วยรึเปล่า”นอกจากคอจะแข็งเพราะเฝือกแล้ว ดวงตาของคุณหมอกิดากานต์ยังจะขยันกระตุกถี่ๆ คล้ายจะเป็นลางบอกเหตุอะไรสักอย่างปริน มันคือปรินแบบไหน ปริญ ปริน ปริณ ปิน ปริญญ์ไม่หรอกน่า มันคงไม่บังเอิญขนาดนั้น...ถ้าอย่างนั้น ก็ขอถามอีกสักคำถามแล้วกัน“คนขอนแก่นเหรอ”“ไม่นะครับ เพราะตอนนี้พักกับเพื่อนในตัวเมือง ไปกลับหกสิบกิโล เลยอยากพักอยู่ที่นี่”“คนที่ไหน”เอาซี้...หากตอบมาว่าเป็นคนกรุงเทพฯ กิดากานต์สาบานกับตัวเองเลยว่า จะขอกรี๊ดให้มันดังๆ เอาให้สุดเสียงตอนนี้ ตรงนี้เลย พับผ่าสิ!“อันนี้ผมไม่ทราบ”หญิงสาวพ่นลมหายใจฟืดยาวออกมาไม่รู้ตัว หลังจากลุ้นจนตัวโก่ง แต่แล้วก็ต้องรีบหันไปทางเข้าโรงพยาบาล เมื่อลุงคนขับรถชี้บอกว่า“นั่นไง หมอมาแล้ว”เก๋งสีดำ ป้ายทะเบียนกรุงเทพมหานคร ตัวอักษรในป้ายตามระยะสายตาของห







