LOGINนางควรทำอย่างไรดี
แกล้งสลบเลยดีกว่า
เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว เฉินเจียวเหมยจึงปล่อยฝ่ามือออกจากแผงอกของเขา ปล่อยลำแขนลงข้างลำตัว ทิ้งร่างบอบบางของตนลงบนพื้นเบื้องล่าง ทำท่าทางคล้ายกับว่ากำลังสลบไสลหมดสติไปกลางอากาศ
แต่ทว่า...ไยร่างของนางไม่ถึงพื้นเสียที
ไยริมฝีปากของนางยังไม่ได้รับอิสระ
ไยเขายังไม่รับรู้ว่านางสลบไปแล้ว
ถึงแม้จะสงสัย แต่ก็ต้องทำตัวเองให้เป็นผู้สลบต่อไปเพื่อความแนบเนียน
จ้าวจิ่นหลงที่ยังคงพรมจูบว่าที่ชายาของเขา ไม่สิ! นางเป็นชายาของเขาแล้วอย่างเต็มตัว เหลือแค่เพียงพิธีการก็เท่านั้น
เขาเริ่มที่จะรู้สึกได้แล้วว่าสตรีตรงหน้าคล้ายกับแน่นิ่งไป เขาจึงค่อยๆ ถอนริมฝีปากของเขาออกจากริมฝีปากของนาง ก่อนจะก้มหน้าลงพิศมองนางในอ้อมกอดนิ่งงัน
เขาเห็นนางหลับตาพริ้ม ใบหน้าขึ้นริ้วสีแดง ริมฝีปากได้รูปบวมแดงจากการกระทำของเขา อา...ขอจูบต่ออีกทีหนึ่ง
คิดได้แล้วก็ก้มหน้าจูบชายาของตนต่อไป…
เฉินเจียวเหมยที่เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าใช้วิธีนี้ไม่ได้ผลจึงหรี่ตามองบุรุษน่าตายผู้นี้อย่างนึกขัดเคืองขึ้นมาอยู่หลายส่วน
ใช้แผนการอันใดดี? นางยังคงครุ่นคิดอยู่ในใจขณะยังคงถูกกดจูบดูดดันริมฝีปากอยู่อย่างนั้น
เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง เฉินเจียวเหมยก็ยังคงคิดแผนการใดๆ ไม่ออก เนื่องจากว่ายามนี้ นางไม่มีสมาธิเอาเสียเลย บุรุษน่าตายผู้นี้กำลังรบกวนสมาธิของนางอย่างไม่น่าให้อภัย
“ท่านหมอ” เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นอยู่ทางด้านหน้าของโรงหมอ
เฉินเจียวเหมยกับจ้าวจิ่นหลงพลันตกใจจนผละริมฝีปากออกจากกันก่อนจ้องหน้ากันและกันอยู่นิ่งงันอยู่ในระยะที่ใกล้กันมากๆ
“ท่านหมอ” เสียงทางด้านหน้ายังคงเอ่ยเรียกขาน “ท่านหมออยู่หรือไม่”
“ปล่อยนะ” เฉินเจียวเหมยเอ่ยเสียงเบาดุดันใส่หน้าใครบางคนที่ถอนใบหน้าถอนริมฝีปากออกจากนางแล้วแต่ยังไม่ยอมคลายอ้อมแขนออกแต่อย่างใด
“...”
จ้าวจิ่นหลงได้แต่เงียบงันไร้การตอบสนองต่อน้ำเสียงดุดันของสตรีตรงหน้าแต่อย่างใด
เฉินเจียวเหมยจึงเอื้อมมือของตนขึ้นตีวงแขนแข็งแกร่งของเขาไปหนึ่งทีก่อนคำราม “ปล่อย!”
จ้าวจิ่นหลงจึงค่อยๆ ปล่อยวงแขนของตนออกจากร่างงามที่กำลังถลึงดวงตาสวยใสเข้าฟาดฟันเขาอย่างน่าเอ็นดู
เมื่อเฉินเจียวเหมยได้รับอิสระจากบุรุษตรงหน้าแล้วนางจึงค่อยๆ เบี่ยงตัวออกจากเขาอย่างระมัดระวัง
เมื่อเบี่ยงตัวออกมาห่างได้ระยะหนึ่งแล้วนางจึงวิ่งหนีผละออกไปอีกทางอย่างหนึ่งอย่างรวดเร็วในทันที
จ้าวจิ่นหลงถึงกับยืนนิ่งอึ้งไปอีกครา
“อ้าว!ท่านหมอ วิ่งไปไหน ท่าน!” เสียงของชาวบ้านคนนั้นตะโกนไล่หลังเฉินเจียวเหมยไปอย่างงุนงง
เขาเข้ามาเป็นรอบที่สองแล้ว แต่ทว่า...ท่านหมอเฉินก็ยังคงวิ่งหนีเขาไป ยาอันใดเขาก็ไม่กล้าหยิบเอาไปเอง แล้ววันนี้เขาจะได้กินยาหรือไม่กัน เขายังคงไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจจริงๆ
เฉินเจียวเหมยวิ่งหนีออกมาจากโรงหมออีกครั้งหนึ่งจนเหน็ดเหนื่อยแขนขาอ่อนแรง “อ๊ะ!” หญิงสาวอุทานออกมาเมื่อเดินสะดุดกับอะไรบางอย่างจนหน้าทิ่มชนเข้ากับกำแพงบ้านเรือนในตรอกแห่งหนึ่ง
นางถึงกับรู้สึกเจ็บที่บริเวณหน้าผากพลันคิดอะไรขึ้นมาได้อย่างฉับไว
อา...คิดออกแล้ว แกล้งความจำเลอะเลือนดีหรือไม่
แล้วเป็นคนเสียสติคุยไม่รู้เรื่องไปเลยดีกว่า
เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วหญิงสาวจึงตั้งใจเอาหน้าผากของตนกระแทกเบาๆ ไปที่กำแพงอีกสองทีเพื่อให้เกิดริ้วรอยสีแดงบนหน้าผากของนางเพิ่มเติมอีกหน่อย
ประเดี๋ยวค่อยไปทายาตามด้วยประคบก็หายดีแล้ว หญิงสาวคิดแผนการสำรองสำหรับรอยแดงอันนี้เอาไว้อยู่ภายในใจ
เวลาต่อมา...
เฉินเจียวเหมยแอบเดินเข้ามาทางด้านหลังของโรงหมออย่างระแวดระวัง เพราะเหนื่อยล้าเหลือเกินกับการวิ่งหนีวกไปวนมาภายในหมู่บ้านอยู่หลายรอบ
หากนางเจอเขานางจะทำเป็นเสียสติจำเขาไม่ได้ พูดจาไม่รู้เรื่อง คอยดู หึ!
หญิงสาวคิดอย่างนั้นพลางเดินเข้ามายังซอกหลืบตรงทางเดินเล็กแคบหลังโรงหมอของตนด้วยท่าทางมุ่งมั่นหมายมาด
และแล้วนางกลับต้องชะงักเพราะบุรุษผู้หนึ่งกำลังยืนกอดอกด้วยมาดของผู้สูงศักดิ์ดวงตาคมกริบจ้องมองนางอยู่
ยืนรอเลยรึ!? เฉินเจียวเหมยถึงกับหรี่ตามอง
จ้าวจิ่นหลงที่คิดเอาไว้อยู่แล้วว่าสตรีนางนี้จะต้องวิ่งหนีเขาจนเหน็ดเหนื่อยแล้วเดินกลับเข้ามายังโรงหมอของนางด้วยตัวของนางเอง
เขาจึงเพียงยืนรอนางอยู่อย่างใจเย็น
เมื่อเขามองเห็นนางกำลังเดินเข้ามาในโรงหมอเขาจึงเพียงแค่จ้องมองนางอยู่นิ่งๆ
เขาจะต้องคุยกับนางให้รู้เรื่องเสียที ฮึ!
เขาเป็นองค์ชายที่มีตำแหน่งพ่วงท้ายเป็นรัชทายาทแน่นอนว่าย่อมมีเรื่องเช่นนี้ เขาไม่แปลกใจ“อาเหมย...” จ้าวจิ่นหลงตัดสินใจปลุกสตรีในอ้อมกอดให้ตื่นขึ้นมาหลังจากที่นางกำลังเคลิบเคลิ้มอยู่ภายในอ้อมอกของเขา“หืม...” เฉินเจียวเหมยจึงงัวเงียตื่นขึ้นมาจากนิทรารมย์ฝันหวานที่นางไม่รู้เลยว่ามันมิใช่แค่เพียงความฝัน“ตื่นขึ้นมาก่อน ยามนี้อันตราย” จ้าวจิ่นหลงยังเอ่ยคำไม่ทันจบ รอบด้านของเขาพลันปรากฏเงาร่างของชายชุดดำหลายคนกำลังคืบคลานพรางตัววูบไหวใกล้เข้ามา“อันใด” เฉินเจียวเหมยพลันได้สติตื่นเต็มตาด้วยสัญชาตญาณจ้าวจิ่นหลงไม่เสียเวลาอธิบาย เขารีบจับยกร่างของเฉินเจียวเหมยขึ้นอุ้มแล้วนำนางไปวางเอาไว้บนหลังม้าในทันที“เจ้าขี่ม้าเป็นหรือไม่ ขี่ม้าหนีไป ข้าจะอยู่ทางนี้เอง” ชายหนุ่มรีบเอ่ย“ท่านขึ้นมา” เฉินเจียวเหมยตอบแค่นั้นพลางจับสาบเสื้อช่วงไหล่ของจ้าวจิ่นหลงแล้วย้ำ “ขึ้นมา!”จ้าวจิ่นหลงจึงรีบขึ้นหลังม้าซ้อนกับร่างของเฉินเจียวเหมยในทันทีก่อนจะเอื้อมมือไปจับดาบที่อยู่ตรงข้างลำตัวของม้าแล้วดึงออกจากฝักอย่างไม่เสียเวลาคิดอันใดเนื่องจากชายชุดดำได้เข้ามาจนถึงตัวของพวกเขาแล้วในยามนี้“ไป!” เสียงคำรามของจ้าวจิ่
ภายใต้ร่มไม้ร่มรื่นของป่าใหญ่หนาทึบ จ้าวจิ่นหลงเพียงบังคับม้าให้เดินเท้าอยู่เพียงเบาๆ มิได้เร่งรีบเหมือนดั่งเช่นในคราแรกเนื่องจากว่าในยามนี้ มีสตรีผู้หนึ่งผู้ซึ่งนั่งอยู่ภายในอ้อมแขนของเขาบนหลังม้าตัวเดียวกันนี้ นางกำลังนั่งสัปหงกคอพับคออ่อนอยู่ตรงแผงอกของเขานางคงใช้เรี่ยวแรงในการวิ่งหนีเขาเมื่อก่อนหน้านี้มากจนเกินไป หนีแล้วหนีอีกอยู่นั่น วิ่งไปทั่วหมู่บ้านอยู่อย่างนั้น มิรู้ได้ว่าจะหนีทำไมกันนักกันหนา หนีอยู่ได้ น่าขย้ำนัก!จ้าวจิ่นหลงนึกเข่นเขี้ยวอยู่อย่างนั้น ชายหนุ่มเพียงก้มหน้ามองเฉินเจียวเหมยที่กำลังนั่งหลับอยู่ตรงด้านหน้าของเขาในยามนี้ เขาจึงเอื้อมมือที่จับกุมเอวของนางขึ้นมาแล้วจับเอาศีรษะของนางกดเอาไว้ให้แนบกับแผงอกของเขา ให้นางได้หลับสบายอยู่ตรงแผงอกของเขา เขาเกรงว่านางจะสัปหงกจนตกม้าไป แล้วคอหักตายไปเสียก่อนที่จะได้เข้าพิธีแต่งงานกับเขามีสตรีมากมายที่ต้องการจะแต่งงานเป็นชายาของเขาแต่ละนางหาเรื่องเข้ามาหาเขาในวังไม่เว้นในแต่ละวัน จนเขานึกรำคาญก็เลยแอบปลอมตัวออกท่องเที่ยวไปถ้วนทั่วแผ่นดินจนมาถึงแคว้นเฉินแห่งนี้ แต่นาง...นางหนีเขา…นางทำการอุกอาจเพื่อที่จะ
เฉินเจียวเหมยเงียบงันพลันครุ่นคิดหาทางหนีทีไล่อยู่ภายในใจ เอาอย่างไรดี?“หยุดคิดที่จะหนีข้าได้แล้ว” จ้าวจิ่นหลงคำรามเสียงดังอย่างรู้เท่าทันสตรีตรงหน้าเฉินเจียวเหมยถึงกับสะดุ้งตกใจ“พูดดีๆ ก็ได้” หญิงสาวตะคอกกลับเสียงดัง“เจ้าคุยไม่รู้เรื่อง”“ท่านนั่นล่ะคุยไม่รู้เรื่อง”“เจ้านั่นล่ะ”“ท่านนั่นล่ะ”“ฮึ!”“หึ!”ทั้งสองสะบัดหน้าหนีออกจากกันคนละทิศละทางแม้ว่ากายงามจะยังคงแนบชิดพวกเขายังคงนั่งซ้อนกันอยู่บนหลังม้าอึดใจต่อมา จ้าวจิ่นหลงจึงทำท่าจะควบตะบึงม้าให้ออกตัวเดินทางอีกครา โดยที่มือข้างหนึ่งของเขายังคงรัดรึงโอบกอดร่างของเฉินเจียวเหมยที่นั่งอยู่ด้านหน้าของเขา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็คุมบังเหียนม้าเพื่อบังคับให้ไปตามทางเฉินเจียวเหมยเห็นดังนั้นจึงรีบเอื้อมมือของตนขึ้นจับมือของจ้าวจิ่นหลงที่กำลังจับบังเหียนม้าอยู่อย่างรวดเร็วเมื่อมือเล็กจับกุมมือใหญ่ ชายหนุ่มจึงชะงักไป“หยุดเลย!” เฉินเจียวเหมยยังคงเสียงดัง“อันใด!”“ท่านจะพาข้าไปที่ใด”“พาเจ้ากลับแคว้นจ้าว”“ข้าไม่ไป”“ทำไม”“ไม่ไปก็คือไม่ไป ท่านนี่ พูดไม่รู้เรื่อง” เฉินเจียวเหมยเริ่มหงุดหงิดเหลือประมาณ“...”จ้าวจิ่นหลงถึงกับเงียบงัน เข
เฉินเจียวเหมยเพียงใช้หางตาแอบมองใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างๆ กันอย่างระแวงอยู่ตลอดเวลา เขากำลังนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยมาดของบุรุษที่มีเสน่ห์น่าแทรกกายเข้าหานางติดใจเขาเสียแล้ว นางเป็นสตรีอย่างนี้ได้อย่างไร อา...นางต้องอยู่ให้ไกลจากเรือนร่างอันยั่วยวนของเขา นางต้องหนีเขาไปให้ไกล ก่อนที่นางจะรู้สึกคลั่งเขาไปมากกว่านี้เรื่องอย่างนี้จะให้ใครล่วงรู้ไม่ได้ โดยเฉพาะกับบุรุษน่าตายผู้นี้ นางจะต้องเก็บข่มมันเอาไว้ให้ลึกที่สุด ไม่ได้ ไม่ได้นางจะเสียชื่อหมอหญิงผู้เก่งกาจทุกสถานการณ์อย่างนี้...ไม่ได้! จะเสียท่าให้กับยาปลุกกำหนัดของตัวเองอย่างนี้...ไม่ได้! จะตกอยู่ในสภาพที่เป็นอยู่อย่างนี้...ไม่ได้! จะ....หือ!และแล้วความคิดที่ต้องการจะหนีใครบางคนด้วยเหตุผลทั้งหลายทั้งปวงของเฉินเจียวเหมยพลันตกไป ด้วยเพราะว่าใครบางคนนั้นพลันอุ้มนางลงจากรถม้าแล้วพานางมาขึ้นนั่งบนหลังม้าก่อนจะควบตะบึงม้าพานางออกมาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาดและเพียงอึดใจ เสียงควบตะบึงม้าพลันดังขึ้นมาในโสตประสาทของเฉินเจียวเหมยและทำให้นางได้เข้าใจไม่...เฉินเจียวเหมยได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจเวลาผ่านไปครู่ใหญ่แล้วเฉินเจียวเหมยยังคงถูกบุรุษแป
เขาทำท่าทางดุดันน่าเกรงขามข่มคำรามใส่นาง ในขณะที่จับกดนางไม่ยอมปล่อยนางรู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดที่ทำให้เขาไม่อาจถอนร่างกายของเขาออกจากร่างกายของนางเพราะว่านางเองก็เป็นอย่างนั้นเช่นเดียวกันนางโอบกอดกระหวัดรัดรึงเขาเอาไว้อย่างแนบแน่นในขณะที่เขาก็ถาโถมเข้าใส่นางอย่างหนักหน่วง เราสองสอดประสานกันอย่างเหนียวแน่นเกินห้ามใจเกินยับยั้งแต่ทว่า...เขามิได้รักนาง เขามิได้ต้องการนางแต่อย่างใดนางเองก็เช่นเดียวกันนางมิได้ต้องการเขา ไม่ได้รักเขานางจะรักเขาได้อย่างไร เขาเป็นใครนางยังไม่รู้เลยที่สอดประสานกับจนเนื้อนวลเกือบจะแหลกเหลวนั่น ก็เพราะยาสูตรพิเศษของนางล้วนๆนางกับเขาไม่ควรเจอกัน นางไม่ควรเจอกับเขาอีก นางอยากจะลืมลืมความอับอาย ลืมความอัปยศดอดสูนี่ นางควรหนี นางจะต้องหนีเขา นางต้องหนีเขาเท่านั้น นางควรหนีเขาไปที่ใดดีเมื่อเฉินเจียวเหมยคิดได้อย่างนั้นจึงทำท่าจะกระโจนตัวหนีจ้าวจิ่นหลงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ นอกจากฝ่ามือใหญ่หนาของเขาที่จับกระชากนางให้นั่งอยู่กับที่นิ่งๆ แล้ว ใบหน้าของจ้าวจิ่นหลงพลันแนบชิดเข้ามา แล้วกดจูบนางอย่างเร่าร้อน“อื้อ...อื้อ” เฉินเจียวเหมยถึงกับตกใจอุทานอยู่
เขาเป็นบุรุษน่าตายที่สุดในชีวิตของนางนางควรทำอย่างไรดี ทำตัวน่ารังเกียจไปเลยดีหรือไม่ จะอย่างไรเสีย นางก็น่ารังเกียจอยู่แล้วในยามนี้ นางเป็นสตรีน่ารังเกียจไปหมดแล้วตั้งแต่ค่ำคืนของคืนนั้นจ้าวจิ่นหลงที่ได้ถือโอกาสเข้ามาภายในรถม้าคันนี้เป็นผลสำเร็จเมื่อจูหยวนจางอุ้มภรรยาลงจากรถม้าไปเพื่อที่จะได้ไปนั่งชื่นชมทิวทัศน์พร้อมกับแนบชิดคลอเคลียไปมาอยู่กับภรรยาที่ริมลำธารนั่น เขาจึงเข้ามาเพื่อที่ต้องการจะคุยกับสตรีน่าตายผู้นี้ให้รู้เรื่อง เมื่อเขาเข้ามานั่งในรถม้าคันเดียวกันกับนางแล้ว เขาเพียงนั่งจ้องมองนางนิ่งๆ เพื่อหยั่งเชิงนาง เพื่อดูว่านางจะหนีเขาไปที่ใดได้อีกเมื่อเขาเห็นนางไม่มีทีท่าว่าจะหนีไปที่ใดแล้ว เขาจึงเริ่มต้นบทสนทนาแนะนำตัวและทำความรู้จักกับนางใช่! เขากับนางควรทำความรู้จักกันด้วยการเสวนากันดีๆ แบบปกติของบุรุษและสตรีทั่วไปถึงแม้ว่า เขากับนางจะทำความรู้จักกันด้วยเรือนร่างทุกสัดส่วน ด้วยลีลาเร่าร้อนหลายกระบวนท่าไปแล้วก็ตาม แต่ทว่า...นอกจากนางจะไม่หนีเขาแล้ว นางยังทำหน้าตาน่าจับกดอีกนางนั่งเหม่อลอยอยู่ครู่ใหญ่ แล้วซักพักนางก็หันหน้ามามองใบหน้าของเขาเพียงอึดใจนางก็ใช้สายตาของนา







