หัวใจของฝนกระตุกวูบเพราะจากเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วมันเป็นจริงอย่างที่เธอคิด เขาพาเธอมาฝากกับแม่บ้านอาวุโสของบ้านหลังนี้ ซึ่งตัวเธอเองไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธได้เลยเพราะไม่มีที่จะไป
ในวันนั้นฝนกลับมาที่ห้องพัก และต้องเตรียมเก็บของไปอยู่บ้านหลังใหญ่ของเขาในวันหยุดหน้านี้ เขาไม่อยากจะต้องรับผิดชอบในตัวของฝนอีกแล้ว ทั้งที่ตัวเธอเองนั้นอยากจะอยู่กับเขามากที่สุด ไม่รู้เพราะอะไร ทำไมคิดว่าเขาเป็นที่พึ่งให้ตัวเธอได้มากที่สุด
พอย้ายมาอยู่ในบ้านใหญ่ของเขาแล้ว หน้าที่ของเธอก็ดูแลอาหารและดูแลบ้านเมื่อเจ้าของบ้านออกไปทำงานนอกบ้านกันหมด
ภายในครอบครัวของเขานั้นมีคุณพ่อเป็นนักการเมืองและคุณแม่มาจากตระกูลผู้ดีเก่า มีลูก 3 คน เขาเป็นคนที่ 2 จึงเหมือนไม่ได้รับการดูแลมากอย่างน้องสาวคนเล็ก ส่วนพี่ชายคนโตที่จะสืบทอดกิจการเก่าจากคุณพ่อที่ริเริ่มไว้ พอลงไปเล่นการเมืองจึงไม่สามารถดูแลได้
ฝนทำงานโดยไม่ได้คิดอะไร จนกว่าเธอจะหายจากอาการความจำเสื่อมนี้ เธอคงจะต้องอยู่เงียบ ๆ ไปก่อน
ฝนเป็นคนผิวขาว ตัวเล็กสูงประมาณ 160 ซ.ม. ใบหน้าออกไปทางน่ารัก จิ้มลิ้ม ผมสีน้ำตาลอ่อนคล้ายมีเชื้อสายคนต่างชาติ ทำให้แม่บ้านใหญ่ที่เคยเป็นพี่เลี้ยงของเด็ก ๆ ในบ้านนั้นค่อนข้างเอ็นดูมาก เพราะใช้ง่าย ไม่เถียง เหมือนคนอื่นในบ้านที่เมื่อไม่อยากทำก็จะพยายามหาข้ออ้าง
“ฝนวันนี้ไปทำความสะอาดห้องฝั่งซ้ายหน่อยนะ” คุณแม่บ้านสั่งงานในเช้าวันหนึ่ง
“ได้ค่ะ แต่ห้องนั้นเคยบอกว่าอย่าเข้าไปยุ่งนี่คะ”
“มันเป็นห้องของคุณกรินทร์น่ะ เขาสั่งไว้ถ้าไม่ได้ใช้งานก็ห้ามเข้าไปเพราะส่วนมาก คุณเค้าจะไม่ให้ใครเข้าใกล้สิ่งที่เป็นของเขา”
“อ๋อ”
“รีบทำให้เสร็จก่อนบ่ายสองนะ เพราะไม่รู้ว่าเขาจะกลับมาถึงเมื่อไหร่ เห็นบอกว่าจะค้างที่บ้านสักสองสามวัน”
“อ้าว แล้วที่คอนโดเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ”
“น่าจะท่อประปาในห้องแตก เลยต้องซ่อมกันใหม่ทั้งห้อง”
ฝนทำสีหน้าเข้าใจ เขาจะกลับมาอยู่บ้านตั้งหลายวัน ก็ทำให้เธอรู้สึกดีมากแล้ว วันนั้นทั้งวันทำให้เธอทำความสะอาดได้อย่างมีความสุข
ในเย็นวันนั้นเขากลับมาพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ 1 ใบ เขาเห็นฝนที่ยืนอยู่ในกลุ่มของแม่บ้าน เขาดูแล้วว่าสิ่งที่เขาตัดสินใจนั้นถูกต้องเพราะการที่อยู่ที่นี่นั้นเธอน่าจะปลอดภัยและรอการหายจากอาการความจำเสื่อมได้
เขากลับมาเพราะที่คอนโดเกิดปัญหาอย่างที่คุณแม่บ้านรู้นั่นแหละ การไปทำงานจึงต้องลำบากกว่าเดิมขึ้นไปอีกเพราะต้องตื่นแต่เช้ามาก แต่เขามีคนคอยดูแลแต่เช้าเหมือนกัน ฝนจะรีบตื่นขึ้นมาเตรียมอาหารให้เช้ากว่าเดิมเพื่อคุณกรินทร์ของเธอ
“ปกติไม่เคยได้กินข้าวตอนเช้าเลยนะเนี่ย” เขาที่ลงมาจากห้องนอนที่ถูกทำความสะอาดเอาไว้อย่างดี และยังมาเจอกับอาหารเช้าที่น่าทานวางรอให้เขามาชิมมันตั้งแต่เช้า
“ยังมีเวลาก็ทานเสียหน่อยเถอะค่ะ เพราะว่าปกติทั้งวันคุณก็ไม่ทานอะไรนอกจากกาแฟอยู่แล้ว” ฝนรู้ดีว่าเขารักงานมากกว่าสุขภาพของตัวเอง
“ขอบใจนะฝนที่เป็นห่วง วันนี้จะลองทานดูแล้วกัน” เขานั่งลงเพื่อทานอาหารที่บ้านของเขายังไม่มีใครลงมาเพราะที่ทำงานไม่ไกลจากบ้านเหมือนเขา
พอทานเสร็จแล้วเขาก็ออกไปทำงาน คนที่บ้านคือคุณท่านและคุณหญิงลงมานั่งทานอาหารแล้วถามหาลูกชายคนกลางที่กลับมาอยู่บ้านแต่ก็ยังไม่ได้คุยอะไรกัน เพราะเมื่อวานกลับดึกด้วยกันทั้งคู่ ส่วนลูกชายพอมาถึงก็เข้าห้องเงียบไปเลย
เมื่อบ้านไม่มีเจ้าของบ้านอยู่แล้ว ทุกคนในบ้านมีหน้าที่ต้องทำเหมือนเคย ฝนต้องไปเก็บผ้าลงมาซักของทุกคน ห้องที่ปิดเงียบตลอดในเวลาเช้าจนถึงเย็นคือห้องของลูกสาวคนเล็กของบ้านที่ออกไปปาร์ตี้ยามราตรีบ่อย ๆ กลับมาเช้าบ้าง หรือบางทีก็ไม่กลับเลย
คุณเกรซ หรือเกษราที่ตอนนี้เป็นดาราอิสระ เธอเรียนจบนิเทศมาตั้งแต่ปีที่แล้ว มีละครบ้างเป็นบทที่ไม่โดดเด่น แต่เธอก็พูดกับทุกคนว่าเธอเป็นดารา ปกติอารมณ์ของเธอไม่มั่นคงนักบางวันอารมณ์ดีก็จะพูดจาน่ารัก บางวันอารมณ์ไม่ดีทุกคนที่เข้าใกล้ก็จะโดนอาละวาดใส่
ส่วนตัวของฝนยังไม่ได้เจอกับตัวแบบจริงจังนัก แค่เคยเห็นคนที่สนิทกับคุณเกรซโดนไล่ออกมาจากห้องพร้อมข้าวของที่ปาตามออกมา เธอควรจะหลีกเลี่ยงปัญหาพวกนี้ดีกว่านะ เดินผ่านประตูนั้นไปโดยที่ไม่สนใจอะไรอีก
พอบ่ายจะเป็นช่วงเวลาที่คุณเกรซจะต้องลงมาหาอะไรทาน แต่วันนี้เธอไม่ได้ลงมา ฝนที่กำลังจัดการงานอย่างอื่นอยู่หลังบ้านเห็นคุณแม่บ้านใหญ่เดินเข้าไปในบ้าน คงจะไม่เรียกคุณเกรซ แต่เพียงหายไปไม่ถึง 10 นาทีคุณแม่บ้านตะโกนให้คนรถเอารถมาจอดหน้าบ้านโดยด่วน แล้วช่วยกันพาใครคนหนึ่งที่หมดสติลงมาจากบนห้อง
ฝนรีบวิ่งออกมาดู ทันตอนที่พวกเขาพาผู้หญิงคนหนึ่งที่ผิวขาวจัดจนซีด ผมยาวสีน้ำตาลอมเทา เครื่องหน้าเธอยังมองไม่ชัดนัก พอเขานำคนป่วยออกไปแล้ว พวกเด็ก ๆ คนอื่น ๆ ที่ไม่ได้ตามไปด้วยก็กลับเข้ามาที่ครัวแล้วพูดคุยกัน
“โอ้ย ตกใจหมดเลย” นกกระจิบเด็กในบ้านเริ่มพูดขึ้น คนนี้ที่มักจะถูกคุณเกรซเล่นงานอยู่บ่อย ๆ
“ใช่ ฉันก็เกือบจะกรี๊ดออกมาแล้ว” แววคู่หูของนกกระจิบเสริม
“คุณเค้าจะเป็นอะไรไหมอะ แผลยาวถึงนี่” นกกระจิบทำท่าทางให้ดูว่าที่ข้อมือของคุณเกรซมีแผล
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ฝนที่ฟังอยู่เดินเข้ามาสมทบอีกคน
“ก็คุณเกรซเค้าเหมือนจะเอ่อ...” นกกระจิบทำท่าทางให้ดูเหมือนว่าทำร้ายตัวเอง
ฝนมองแล้วก็รู้สึกสงสารคนที่ทำแบบนี้น่าจะกำลังมีเรื่องให้ทุกข์ใจอย่างหนัก คนเรามีทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติขนาดนี้ทำไมต้องถึงกับทำร้ายตัวเองแบบนั้น เป็นเธอสิจำอะไรไม่ได้ แล้วยังไม่มีอะไรติดตัวมาเลยสักอย่างเดียวน่าจะทำอะไรแบบนี้มากกว่า แต่เธอไม่เลือกเพราะอีกใจก็อยากรู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน แล้วทำไมถึงวิ่งมาให้รถชน
ตกเย็นของวันนั้น ที่บ้านของพวกเขาดูจะวุ่นวายไปหมดเพราะ ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรกันต่อจนกระทั่งคุณแม่บ้านใหญ่กลับมาจึงรู้ว่าคงไม่มีใครกลับมาทานข้าวที่บ้านเพราะไปเยี่ยมคุณเกรซกันหมด เรื่องของเจ้านายไม่มีทางที่จะออกมาจากปากของคุณแม่บ้านใหญ่ นกกระจิบกับแววเหมือนจะรู้ต้นสายปลายเหตุอยู่เหมือนกันจึงไม่ได้ซักถาม ซึ่งฝนเองนี่แหละที่อยากรู้ แต่ก็ไม่กล้าถามเพราะตัวเองเพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่ได้ไม่นาน
ในช่วงสามทุ่มของวันนั้น คุณกรินทร์กลับมาที่บ้านท่าทางเหนื่อยล้าจากงาน แล้วอาจจะไปดูอาการน้องสาวมาด้วย เขากำลังจะขึ้นไปบนห้องแต่เห็นฝนที่มารอเขาอยู่จึงหันกลับมาหาเธอก่อนจะก้าวขึ้นบันไดขึ้นไป
“มีอะไรหรือเปล่าฝน”
“คือว่า...คุณจะทานอะไรไหมคะ”
“ไม่ล่ะ อยากจะพักแล้ว ขอบใจนะไปนอนกันได้แล้วไม่ดูทีวีเหมือนคนอื่นเหรอ”
“ไม่ล่ะค่ะ งั้นฝนไปนอนแล้วนะคะ” ฝนจะเดินออกไปเขายังยืนมองเธออยู่ พอฝนหันกลับมาเหมือนเขาจะเพิ่งจะรู้ตัวว่าฝนมองเขาอยู่ จึงเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง
ฝนยังมองเขาจนกระทั่งเข้าไปในห้องจึงเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง เธอเข้ามาคนล่าสุดห้องที่เหลือจึงมีแค่เธออยู่คนเดียวในห้องที่ไม่ได้กว้างขวางนักมีเตียงเล็ก ๆ อยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้อง ความบันเทิงเดียวที่เธอมีคือหนังสือที่พวกนกกระจิบกับแววอ่านไว้แล้ว จึงนำมาอ่านต่อจากเขาแล้วหลับไปเท่านั้น
สองคนมานั่งลงบนโต๊ะอาหารที่จัดเตรียมเอาไว้แล้ว สองคนนั่งมองกันมากกว่าจะได้ทานอาหารในมื้อพิเศษนี้ 2 ปีแล้วที่พวกเขาคบกันแบบห่าง ๆ มาตลอด แต่วันนี้จะกลายเป็นการคบหาแบบใกล้ชิดกันมากขึ้น เพราะตามที่กรินทร์คาดการณ์เอาไว้แล้วว่า แฟนสาวของเขาจะต้องย้ายมาทำงานที่นี่อย่างแน่นอน“คุณได้มาจริง ๆ ด้วย ผมกำลังจะถามคุณอยู่ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”“เดาเก่งจังนะคะ”“ไม่ต้องเดาเลยครับ คุณเป็นคนที่น่าจะถูกเลือกอยู่แล้วเพราะว่าเคยมาที่นี่ อีกอย่างก็เคยชินกับภาษาอยู่แล้ว”“ก็ใช่นั่นแหละค่ะ อีกอย่างก็คือฉันอยากมาอยู่ที่นี่ด้วย”“อันนี้ก็ไม่เกินความคาดเดาของผม แค่ไม่คิดว่าจะเร็วกว่าที่คิด”“เร็วไปเหรอคะ อืมงั้นกลับไปคิดใหม่อีกรอบดีกว่า”“ไม่ต้องแล้วล่ะครับเพราะว่า ผมเองก็ตัดสินใจเร็วมากเหมือนกัน”“เรื่องอะไรเหรอ”ในกระเป๋าเสื้อมีกล่องกำมะหยี่สีแดงขนาดเล็กกล่องหนึ่ง เขาหยิบมันขึ้นมาแล้วยื่นไปให้คนที่อยู่ตรงข้ามกัน แหวนเพชรที่ไม่ได้ใหญ่มาก แต่มันน่ารักและน่าจะเหมาะสมกับคนตรงหน้า“แต่งงานกันเถอะ ผมไม่อยากจะรออะไรอีกแล้ว”“เร็วเกินไปหรือเปล่าคะ มั่นใจแล้วเหรอว่าจะเลือกฉัน”“มั่นใจนะ ระหว่างเราคงไม่ต้องเรียนรู้อะไร
เรนนี่ได้แต่ยิ้ม เธอไม่ได้ตอบอะไรออกไป เพียงแค่หยิบขนมที่เตรียมมาเข้าปากไปเท่านั้น เขาพยายามสร้างความเชื่อมั่นให้เธอเสมอเพราะมั่นใจว่าทั้งสองคนรู้จักกันมามากพอแล้ว เหลือแค่เมื่อไหร่จะถึงเวลาให้ได้มาอยู่ด้วยกันจริง ๆ เท่านั้นสองคนคุยกันไปหลาย ๆ เรื่องวางแผนอนาคตไว้นิดหน่อยเพราะว่าถ้าเกรซแข็งแรงดีแล้ว และหลานชายแข็งแรงมากพอ ก็พากันกลับไปบ้านที่เมืองไทยครอบครัวของพวกเขาที่รอดูหลานชายก็พร้อมเตรียมรับกลับบ้านแล้ว รอเวลาอีกสักหน่อย พวกเขาโทรศัพท์อัพเดทกันอยู่โดยตลอด จากเด็กอ่อนเพิ่งคลอดได้เติบโตขึ้นจนสามารถเดินทางข้ามประเทศได้ พวกเขาได้เดินทางกลับไปแล้วเรนนี่ยังคงอยู่ที่เดิม ไม่ได้ตามกลับมาด้วยเพราะว่าหน้าที่การงานของเธอยังต้องทำต่อไปกรินทร์กลับมาทำงานของตัวเอง และบริษัทของพ่อด้วยมันสร้างความลำบากให้เขามากแต่ก็ต้องทำเพราะว่าพ่อไม่สามารถกลับมารับหน้าที่ได้อีกแล้ว ส่วนเรื่องแฟนตอนนี้ก็แค่ห่างกัน แต่ก็สามารถพูดคุยกันผ่านโทรศัพท์กันได้ตามปกติ แต่เวลาต่างกัน 12 ชม.เท่านั้น“วันนี้เป็นไงบ้างค่ะ” รอยยิ้มสวย ๆ ปรากฏหน้าจอ“วันนี้ก็เหนื่อยอีกแล้วครับ” เขาทำหน้าตาอ่อนล้าเพื่ออ้อนคนรักที่อยู่อีกซี
หลังจากนั้น เรนนี่ออกจากประเทศไทยกลับสู่อ้อมกอดของครอบครัวของเธออย่างแท้จริง อยู่กับคนที่หวังดีกับเรา อย่างไรมันก็ดีกว่าอย่างแน่นอน เธอเลือกที่จะไม่เล่าเรื่องราวเลวร้ายอะไรให้พ่อและแม่ฟัง เธออยากได้แค่ความสงบสุข วินดี้เลือกที่จะอยู่กับสามีของเธอแล้ว และคงจะไม่กลับมาอีกเรื่องราวของพี่สาวจบลงแค่ตรงนี้ เรนนี่ไม่อยากรับรู้เรื่องราวของเธออีก เพราะรู้สึกเสียใจและผิดหวังกับพี่สาวคนนี้มากเมื่อกลับมา เธอก็หางานทำและได้เป็นพนักงานของบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งงานมันก็เป็นงานออฟฟิศ เลิกงานกลับมาบ้าน ตื่นเช้าไปทำงานด้วยรถไฟฟ้า ทำทุกอย่างเหมือนเดิมซ้ำ แบบนี้ไปเรื่อย ๆ แต่มีบางอย่างที่ทำให้เธอมีแรงที่จะทำอะไรเดิม ๆ ในทุก ๆ วันคือการวีดีโอคอลจากคนที่อยู่อีกฝั่งของโลก เขาเฝ้ารอในทุก ๆ วันเพียงแค่นี้พวกเขาก็พอใจแล้ว ขอแค่มีเวลาให้มากพอจะได้เจอกันในสักวันหนึ่งเวลาที่ผ่านมานานแล้ว กรินทร์ได้เวลาจะต้องเดินทางออกต่างประเทศเพราะเขามีเรื่องที่จะต้องจัดการที่ตั้งใจเอาไว้นานแล้ว และมันเป็นโอกาสที่จะได้พบกับคนรักของเขาอีกด้วยสนามบิน“ฝนเหรอพี่กรินทร์” หญิงสาวที่ตอนนี้ท้องโตขึ้นมาจนเห็นได้ชัด ตอนนี้อายุครรภ์น่าจะ
เรนนี่เดินเข้ามาในสำนักงานที่ตัวเองคุ้นเคย เธอติดต่อประชาสัมพันธ์ของบริษัทเพื่อขอพบชลิตา เรนนี่คิดว่าต่อให้เกลียดกันมากแค่ไหน คนอย่างวินดี้คงยังไม่กล้าทำอะไรเธอแน่นอนเพราะถ้าคิดจะทำร้ายจริง ๆ คงไม่รอให้เธอเดินมาหาเองหรอกพอบอกว่าเรนนี่ขอเข้าพบ วินดี้ที่ตอนนี้กำลังมีปัญหาภายในบริษัทอยู่ก็ล้มเลิกความตั้งใจเรื่องอื่นไปเลยเพราะเธอเองก็ยังไม่คิดว่าเรนนี่จะกล้ากลับมาหากันได้ ทั้งที่ถูกกระทำไปหลายอย่างแบบนั้นการเผชิญหน้าในรอบ 6 เดือน เรนนี่ยังส่งยิ้มให้พี่สาวแล้วเริ่มพูดคุยเรื่องที่ตัวเองมาหาในวันนี้“สบายดีใช่ไหมคะพี่สาว”“แหม หายหน้าไปตั้งนานกลับมาแล้วก็ดีแล้วนะ พี่อยากได้คนช่วยอยู่เลย”“แล้วที่ผ่านมาให้ใครช่วยเหรอคะ”“ก็ทำเองบ้างแหละ มันก็ยังไม่ได้ดีขึ้นขนาดนั้น”“วิธีการของพี่มันเลวเกินไปมั้งคะ จะดีขึ้นได้ไงล่ะ”“เรนนี่ มันจะมากไปแล้วนะใครสั่งสอนให้เธอด่าฉันแบบนี้”“ประสบการณ์ไงคะ เอาล่ะเรนขี้เกียจจะคุยกับพี่แล้ว ขอเอกสารของเรนทั้งหมดมาค่ะ”“จะเอาไปทำไม”“จะกลับอเมริกา และคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วล่ะไม่ต้องห่วงนะคะ พี่จะอยู่ที่นี่กับสามีอย่างมีความสุขแน่นอน”“แล้วเธอจะไม่เอาเรื่องพี่ใช่ไหม”
เมื่อกลับมาถึงห้อง ฝนนั่งกินข้าวที่ตัวเองซื้อมา ในหัวก็คอยคิดถึงรถคันนั้นอย่างสงสัยมันคุ้นตาแปลก ๆ เอ...หรือว่าเธอกำลังจะคิดอะไรออกอาทิตย์หน้าต้องไปหาหมอพอดี อาจจะพอมีเรื่องเล่าให้หมอฟังบ้างแล้ว แต่...ทำไมรถยี่ห้อหรูขนาดนั้นถึงคุ้นตาเธอฝนยังคงคิดอะไรไม่ออกมากไปกว่านี้ เรื่องรถและใบหน้าหญิงสาวคนนั้นที่ดูเหมือนตกใจกับเธอ หรือเรามีอะไรผิดปกติไปคืนนั้นฝนฝันถึงอะไรมากมาย แต่ไม่สามารถรู้ได้ว่ามันคืออะไรชลิตากลับมาที่คอนโดของตัวเอง มองไปรอบ ๆ ห้องที่เคยมีน้องสาวเดินไปเดินมาอยู่ในเมื่อก่อน ตอนนี้เธอหายไปกว่า 6 เดือนแล้ว เธอพยายามปกปิดเรื่องนี้กับพ่อแม่ ปกติแล้วน้องสาวไม่ใช่คนที่ติดครอบครัวจนต้องรายงานตัวทุกวัน ทำให้เป็นช่องทางให้ชลิตาแก้ตัวว่าน้องเหนื่อยกับงานจึงไม่อยากพูดคุยกับใคร“ทำไมมันยังอยู่” เธอคิดได้อย่างนั้นจึงรีบโทรหาคนที่เคยดีลเอาไว้เรื่องนี้ว่าเรื่องวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่รู้แค่ว่ามันหนีไป ตามหาไม่เจอซึ่งคำตอบยังคงเดิม ไม่มีใครรู้ว่าเธอหายไปตอนไหนทั้งที่เมายาขนาดนั้น ไม่น่าจะหนีรอดไปไหนได้นอกจากตายเท่านั้น ซึ่งทำให้วินดี้รู้สึกสบายใจไปบ้าง แต่ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงหน้าเหมื
เมื่อพ่อแม่รู้เรื่องก็ตกใจกันเป็นการใหญ่ว่าลูกชายถูกใครซ้อมอาการหนัก กระดูกซี่โครงร้าว ปากแตก คิ้วแตกยับไปหมด พอถามก็ไม่ได้ความอะไรบอกเพียงแค่ว่าเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่อยากเอาเรื่องกับใคร ซึ่งเจ้าตัวยืนยันจึงไม่มีใครหาความอีกกรินทร์ก็รออยู่เหมือนกันว่าพี่ชายจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีอะไรกลับมาหาเขาเลย จึงไม่สนใจเขาอีก เตรียมตัวจะกลับไปอยู่คอนโดเหมือนเดิม แล้วให้น้องสาวพยายามทำตัวให้เหมือนเดิม อยู่บ้านแล้วลงไปทานข้าวกับพ่อแม่บ้าง ทานยาให้ครบไปพบแพทย์ตามนัด พอใกล้ถึงเวลาของเด็กในท้อง เขาจะจัดการให้เองไม่กี่วันฝนและกรินทร์ก็ออกจากบ้านไปเพราะกรินทร์บอกกับที่บ้านว่าที่บริษัทไม่มีแม่บ้านประจำอยากให้ฝนไปทำงานให้พอเรื่องราวเริ่มคลี่คลายได้แล้วฝนก็สบายใจ ได้ย้ายมาอยู่อพาร์ทเม้นใกล้ ๆ กับเขาด้วยมีคีย์การ์ดเข้าออกก็ปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง และเขายังอยู่ใกล้ ๆ ด้วย เพียงแค่นี้คนแอบรักอย่างฝนก็รู้สึกดีในทุกวันแล้วกรินทร์ทำงานจนเสร็จแล้วได้เวลาต้องไปพรีเซนต์งานพร้อมทีมของตัวเองให้บริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง เขากำลังจะเดินไปที่ลิฟต์บังเอิญว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งที่ถือแฟ้มเดินเข้ามาเหมือนกับรีบมาก