เข้าสู่ระบบแสงไฟจากคบเพลิงที่ถูกจุดขึ้นกองใหญ่เพิ่มความอบอุ่นให้มือหนาของเพ่ยอินเหยาอย่างมากเลยทีเดียว
“เจ้าหนาวรึ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพลางเอื้อมมือไปจับบ่าของไหล่หนาให้เบือนหน้าหันมามองทางเขา
“หาใช่ไม่” เพ่ยอินเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มขึงพลางพยายามสะกดกลั้นอารมณ์หนาวเหน็บในกระโจมของแม่ทัพใหญ่
“เหยาเอ๋อร์…เจ้าอยู่กับข้าสองคนพูดจาธรรมดาเถอะ” เซี่ยจินหู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะในอาการของสตรีตรงหน้าพลางเอื้อมมือไปดึงร่างของนางให้เข้าใกล้เขามากกว่าเดิม
“ท่านเมาแล้วรึ สหายเซี่ย” เพ่ยอินเหยาเอ่ยปากตามคำสั่งของเซี่ยจินหู่ บุรุษที่สตรีในใต้หล้าถวิลหาแต่หาใช่กับเหยาเอ๋อร์ไม่
เซี่ยจินหู่แย้มเรียวปากพลางกระชับอ้อมแขนดึงร่างของอินตูตูที่ยามนี้ไร้ซึ่งเกราะรบกำบังกายาเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนใบหน้าคมของอินเหยาชิดจรดริมฝีปากของเขา
“สหายท่าน…” ยังไม่ทันที่เพ่ยอินเหยาจะได้กล่าวคำใดต่อไป ร่างของแม่ทัพเซี่ยก็พลันเซไปด้านขวาพลางล้มลงไปกองกับอาภรณ์ผ้าคลุม
มือหยาบของแม่ทัพใหญ่คว้าร่างอวบอัดของอินตูตูไว้มั่นหมายจะจับยึดไว้แน่น
เพ่ยอินเหยาหวีดร้องเสียงดังเมื่อเห็นแม่ทัพเซี่ยดึงร่างของนางให้ล้มทับตัวเขาอย่างจงใจ
“ชู่ว์” นิ้วเรียวของแม่ทัพเซี่ยพิงไว้ด้านเรียวปากตนอย่างจงใจ
ดวงหน้าคมคายของแม่ทัพเซี่ยโน้มใกล้ใบหน้าหวานของเพ่ยอินเหยามากขึ้นจนลมหายใจของแม่ทัพเซี่ยรินรดจมูกกลมของนาง
“หร่านเอ๋อร์ เวลานี้ข้ามีแค่เจ้าเท่านั้น” เสียงเข้มของแม่ทัพเซี่ยเอ่ยขึ้นพลางกอดรัดคนข้างบนไว้แน่นราวกับว่าเพ่ยอินเหยาคือผิงหร่านเอ๋อร์ บุตรีของขุนนางที่หมั้นหมายกับพยัคฆ์หนุ่ม แม่ทัพเซี่ยจินหู่
“ข้าไม่ใช่แม่นางหร่านของท่าน” เพ่ยอินเหยาเอ่ยบอกพลางใช้ศอกกระทุ้งไปยังสีข้างของแม่ทัพใหญ่
วูบหนึ่งที่สายตาคู่คมของเซี่ยจินหู่เปล่งประกายบางอย่าง จมูกหนาของเซี่ยจินหู่ขยับดอมดมไปยังข้างแก้มของเพ่ยอินเหยา
“เห้ย อินตูตูทำไมเป็นเจ้า” ราวกับเขาเพิ่งได้สติ
มือหยาบปล่อยคนบนตัวอย่างแผ่วเบา เพ่ยอินเหยาขยับลุกขึ้นจากแผงอกกำยำของแม่ทัพพยัคฆ์คำรามอย่างรวดเร็ว
“สหายข้าว่ายามนี้ท่านเมาหนัก เรายังต้องกรำศึกกันอีกมาก” เพ่ยอินเหยาเอ่ยบอก
“อินตูตูข้า” แม่ทัพเซี่ยขยับปากจะเอ่ยบางอย่างกับแม่นางเพ่ยอินเหยาที่ยามนี้ได้กลายมาเป็นอินตูตูเสียแล้ว
“สหายข้าคงต้องขอตัวก่อน วันพรุ่งข้าจักมาปลุกท่านตามเดิม” เพ่ยอินเหยาเอ่ยพลางจัดแจงตนเองให้เรียบร้อยพลันสาวเท้าออกไป
“โถ่เว้ย” แม่ทัพเซี่ยจินหู่สบถอย่างหงุดหงิดในใจพลางกระดกสุราเข้าปากอย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวย้ง” จินหู่เอ่ยเรียกบ่าวรับใช้ข้างกายเขาที่เวลานี้กลายมาเป็นรองแม่ทัพ
“ขอรับท่านแม่ทัพเซี่ย” เสียงเข้มของบุรุษเอ่ยขึ้น
“ข้ารู้นะขอรับว่าท่านแม่ทัพเซี่ยมีใจชมชอบแม่นางเพ่ย” ฮงเจินย้ง บ่าวรับใช้ข้างกายของร่างกำยำเอ่ยขึ้น
ราชสำนักฉี“ยินดีกับฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เสียงเข้มของหมอหลวงกราบทูลต่อหน้าองค์ราชัน“ยามนี้พระสนมทรงกำลังจะให้กำเนิดโอรสมังกรสวรรค์พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงเอ่ยกราบทูลด้วยอาการตื่นตระหนก“ดี” องค์ราชันตรัสพลางยกพระหัตถ์ลูบพระหนุด้วยแววพระเนตรฉายวาวระยับรองพระบาทสีทองอร่ามตาสาวเข้าไปใกล้เตียงบรรทมของหมินผิน องค์ราชันทอดมองดวงพักตราหวานราวหยาดน้ำผึ้งแรกแย้ม พระขนงโก่งดั่งคันศร เรียวปากกระจับแต้มสีชาด หมินเจียหรงจัดเป็นผินที่พระองค์โปรดปรานมาก รองจากฟางกุ้ยเฟย และฉางฮองเฮาดวงเนตรคู่คมทอดมองไปยังหมินเจียหรงที่บัดนี้ยังไม่ทันได้พระสติ วรองค์สง่างามประทับลงข้างสนมทรงโปรดพลางเอื้อมพระหัตถ์ปัดพระเกศาที่ตกลงมาออกจากวงพักตรางดงามตั้งแต่จำความได้หมินเจียหรง สนมตระกูลหมินเป็นสตรีที่ฉลาดหลักแหลม หากแต่หมินผินกลับรู้จักวางตัว เจียมตนให้เหมาะสม บิดาของหมินผินเป็นขุนนางขั้นสองนับได้ว่าเป็นใหญ่ไม่น้อยในราชสำนักฉีทว่าบิดาของหมินผินกลับเจียมตนยิ่งกว่าบุตรสาว ด้วยเหตุนี้ทำให้พระองค์ทรงโปรดบิดาของหมินผินไม่น้อยไปกว่าหมินเจียหรงเวลานี้ในราชสำนักคงมีข่าวยินดีไม่น้อย หากแต่ในพระทัยกลับทรงกังวลด้วยการศึกเขตชายแ
“เจ้าว่าอันใดนะ เจียกูกู” สุรเสียงหวานของหมินผินตรัสขึ้นอย่างตระหนกพระทัย“ทูลนายหญิง หม่อมฉันได้ยินข่าวจากตำหนักฮองเฮาว่า ฟางกุ้ยเฟยเสด็จไปชายแดนเพื่อลอบสังหารแม่ทัพแคว้นศัตรูเพคะ” เจียกูกูตรัสกราบทูลนายหญิงตนเองด้วยสีหน้าซีดเผือด“เหลวไหล…ฟางกุ้ยเฟยนางทำเช่นนั้นไปทำไม” หมินผินตรัสต่อหน้าเจียกูกูด้วยสีพระพักตร์ดุดัน “หม่อมฉันได้ยินมากับหูเพคะ นายหญิง” เจียกูกูทูล“หากการณ์เป็นเช่นนั้นจริง ราชสำนักฉีแย่แน่ เวลานี้บ้านเมืองเกิดสงคราม เราจะต้องหาทางกราบทูลฮองเฮาให้ทราบความนี้ นางอาจมีแผนการร้ายที่พวกเราไม่รู้ก็เป็นได้” สิ้นสุรเสียงของหมินเจียหรง วรกายอรชรก็เป็นลมล้มพับไปในทันที“นายหญิง เกิดอันใดขึ้นเพคะ” เจียกูกูร่ำร้องเรียกหมินผินพลางถลาเข้าประคองวรกายบอบบางเอาไว้“พวกเจ้ามาช่วยกันประคองนายหญิง ชักช้าอยู่ไย” เจียกูกูกล่าวกับเหล่านางกำนัลที่ยืนละล้าละลัง“เอะอะอะไรกันข้างใน” ฉับพลันประตูพระตำหนักในก็ถูกเปิดออกโดยพระหัตถ์หนาขององค์ราชัน “ทูลฝ่าบาท พระสนมเพคะ” เจียกูกูเอ่ยขณะประคองวรองค์ของหมินเจียหรงด้วยอาการตกใจองค์ราชันรีบถลันไปประคองวรองค์ของพระสนมหมินผินทันที เรียวพระโอ
เพ่ยอินเหยาขยับตัวหลบวูบทันทีปลายคมกระบี่ตวัดเข้ามาที่คอขาวระหงส์ของนาง ศีรษะทุยเอียงไปด้านซ้ายเล็กน้อยบุรุษผุ้นั้นเห็นนางหลบจึงได้ใจ มือหยาบกร้านจึงพุ่งเข้ามาฟาดยังใบหน้าที่ซ่อนภายใต้หมวกเกราะรบของอินตูตูขุนพลสตรีตั้งรับกระบี่ไว้ได้ทันที เพียงมือขวาของอินตูตู กระบี่ของนางก็อาบโลหิตของบุรุษผู้ไม่เกรงกลัวมัจจุราชเสียเลยบุรุษคนที่สองตายด้วยคมกระบี่ปักเข้ากลางอก โลหิตสีแดงฉานไหลอาบเจิ่งนองออกมา เหยาเอ๋อร์รีบเตะร่างใหญ่กำยำนั่นให้พ้นทางอย่างรวดเร็ว“ย้ากกกก” เสียงของบุรุษผู้เคราะห์ร้ายรายต่อมาไม่อาจทำให้ใจของเพ่ยอินเหยาสั่นสะเทือนได้ไม่แต่น้อยนางยังคงฟาดกระบี่ใส่ทหารราชสำนักฉีอย่างบ้าคลั่งราวกับเวลานี้นางเป็นสัตว์ร้ายที่พร้อมจะสังหารบุรุษทุกคนที่อยู่ตรงหน้าทหารที่เหลือต่างพากันมองคมกระบี่ที่ดื่มโลหิตของทหารแคว้นฉีจนแทบจะหมดเหลือเพียงสามนายเท่านั้นพวกเขามองอย่างไปทางขุนพลสตรีอย่างไม่กลัวเกรงต่ออำนาจของสตรีตรงหน้าเพ่ยอินเหยาจ้วงแทงพวกเขาพลางวิ่งฝ่าวงล้อมไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วทหารแคว้นฉีแตกกระจายราวกับนกกระจอกแตกรัง ยามเมื่อเวลานี้แม่ทัพค่ายของราชสำนักฉินพุ่งคมดาบมายังพวกเขาทหารที่ไ
ในยามนี้ร่างกำยำของแม่ทัพใหญ่นั่งตรงอยู่ด้านหลังอานม้าศึกพันธุ์ดีของเหยาเอ๋อร์กลิ่นหอมอ่อนจางจากเรือนเกศาที่เกล้ามวยซุกซ่อนภายใต้หมวกเกราะรบสีเงินของแม่ทัพค่าย ไม่อาจทำให้แม่ทัพเซี่ยมีสติสัมปชัญญะต่อไปได้เลยแผงอกกำยำของแม่ทัพเซี่ยแนบกับแผ่นหลังของแม่นางเพ่ย กลิ่นหอมจรุงใจของหญิงสาวทำให้แม่ทัพเซี่ยเผลอไผลยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้เพ่ยอินเหยาอย่างลืมตัว“อินตูตู” แม่ทัพเซี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนละมุน“ท่านแม่ทัพยามนี้ข้าว่าพวกเรากำลังตกอยู่ในวงล้อมของฝ่ายฉี” แม่นางเพ่ยขุนพลนักรบกล่าวกับบุรุษหนุ่มที่เอื้อมมือมากอดเอวของตนเองอย่างลืมตัว“ข้ารู้” เซี่ยจินหู่จงใจกระซิบข้างหูของขุนพลสตรีตรงหน้าอย่างแผ่วเบาเพ่ยอินเหยาอดรู้สึกไม่ได้ว่า ยามนี้นางอาจตัดสินใจผิดพลาดน่าจะปล่อยให้คนตัวใหญ่ที่เคยล้อใบหน้าของนางตกจากอานม้าตายไปซะให้รู้แล้วรู้รอด“ท่านแม่ทัพเราจะฝ่าวงล้อมออกไปแล้ว ท่านนั่งให้ดี” เพ่ยอินเหยาเอ่ยเสียงตะกุกตะกักยามเมื่อเวลานี้มือหนาของร่างกำยำอยู่ไม่สุขเสียแล้วมือหนาอีกข้างที่หาได้เกาะเอวของอินตูตูเอื้อมลากไล้ขึ้นไปยังทรวงอกอวบอิ่มของเพ่ยอินเหยาที่ซ่อนไว้ใต้เสื้อเกราะรบอย่างมิดชิดโชคยังดีท
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไปที่เขตชายแดน” องค์ราชันตรัสถามด้วยสุรเสียงเข้มเสียจนฟางกุ้ยเฟยถอดสีพระพักตร์ฟางกุ้ยเฟยรีบหย่อนวรกายคุกเข่าลงต่อหน้าองค์ราชัน และฉางฮองเฮาทันที“ทูลฝ่าบาทหม่อมฉันเสด็จไปจริงๆ เพคะ แต่ที่หม่อมฉันเสด็จไปหม่อมฉันได้ยินมาว่ามีหมอรักษาอาการเจ็บคอให้หายชะงักได้ หม่อมฉันจึงให้ท่านหมอวู่ผู้นี้รักษาอาการเล็กน้อยของหม่อมฉันเพคะ” ฟางกุ้ยเฟยตรัสต่อหน้าองค์ราชัน“หม่อมฉันเป็นพยานได้เพคะ พระสนมไปที่เขตชายแดนเพื่อให้หมอวู่รักษา หมอวู่เป็นหมอที่เดิมเป็นญาติกับพระสนมในแคว้นฉีจริงๆเพคะ” กูกูกล่าวขณะคุกเข่าลงต่อหน้าองค์ราชัน“ทำไมเจ้าไม่ให้แพทย์หลวงรักษาล่ะ จะดั้นด้นไปถึงเขตชายแดนด้วยเหตุอันใด” องค์ราชันตรัสถาม“หม่อมฉันเห็นว่างานของแพทย์หลวงประจำราชสำนักฉีในยามนี้ยุ่งวุ่นวายมากพอ อีกทั้งท่านหมอซางก็เคยกล่าวกับหม่อมฉันว่าอาการของหม่อมฉันน่ากังวล แต่ที่เขตชายแดนมีหมอชาวบ้านเก่งกล้าสามารถรักษาอาการของหม่อมฉันได้เพคะ” ฟางกุ้ยเฟยตรัสด้วยสีพระพักตร์ซีดเซียว“ข้าเชื่อเจ้า เอาละหมดข้อสงสัยแล้วใช่หรือไม่ฉางฮองเฮา” องค์ราชันตรัสพลางเข้าไปประคองฟางเสวี่ยจี๋ต่อหน้าฉางฮองเฮา“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉัน
ยามนี้แม่ทัพเซี่ยกำลังต่อสู้ต่อผู้นำทัพราชสำนักแคว้นฉี แม่ทัพเซี่ยจ้วงแทงศัตรูบนหลังอานม้าอย่างรวดเร็ว หากแต่อีกฝ่ายสามารถหลบหลีกได้อย่างทันท่วงทีทว่าหากเพ่ยอินเหยาคะเนในใจดูแล้ว เห็นได้ชัดว่าราชสำนักฉินจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำต่อราชสำนักฉีที่เกณฑ์ทหารร่วมสมรภูมิรบเก้าหมื่นนายเป็นแน่เพ่ยอินเหยาดึงบังเหียนให้กลับไปด้านหน้า อาชาไนยที่แบกอินตูตูทะยานไปเบื้องหน้าอย่างใม่กลัวเกรงใด ๆ ทันทีภาพที่ปรากฎแก่สายตาใต้หมวกเกราะรบของเพ่ยอินเหยานั้นเป็นภาพของแม่ทัพเซี่ยจินหู่ที่กำลังตกอยู่ใต้วงล้อมของศัตรูสร้างความหวั่นใจให้กับเหยาเอ๋อร์เป็นอย่างมากราชสำนักฉี“เจ้ามีอันใดหรือฉางฮองเฮา” องค์ราชันประทับนิ่งบนเก้าอี้ไม้ของราชสำนักฉิน“หม่อมฉันมีเรื่องจะทูลฝ่าบาท” ฉางฮองเฮาตรัสด้วยสีพระพักตร์เคร่งขึมมิเหมือนสตรีมากมารยาเหมือนดังก่อน“มีอันใดก็จงว่ามาเถิด ฮองเฮาของข้า” ฮ่องเต้ตรัสพลางเสวยน้ำแกงอุ่นร้อน ๆ“หม่อมฉันทราบมาว่าเมื่อวานฟางกุ้ยเฟยลอบออกไปนอกวังหลวงเพคะ” ฉางฮองเฮาตรัสทูลฮ่องเต้ด้วยสุรเสียงเคร่งเครียดหากแต่อ่อนนุ่มอยู่ในท่วงที“แล้วเจ้าทราบมาจากผู้ใด” องค์ราชันตรัสถามด้วยสีพระพักตร์ยากที่หวงโฮ่ว







