Mag-log inราชสำนักฉี
“ยินดีกับฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เสียงเข้มของหมอหลวงกราบทูลต่อหน้าองค์ราชัน
“ยามนี้พระสนมทรงกำลังจะให้กำเนิดโอรสมังกรสวรรค์พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงเอ่ยกราบทูลด้วยอาการตื่นตระหนก
“ดี” องค์ราชันตรัสพลางยกพระหัตถ์ลูบพระหนุด้วยแววพระเนตรฉายวาวระยับ
รองพระบาทสีทองอร่ามตาสาวเข้าไปใกล้เตียงบรรทมของหมินผิน องค์ราชันทอดมองดวงพักตราหวานราวหยาดน้ำผึ้งแรกแย้ม พระขนงโก่งดั่งคันศร เรียวปากกระจับแต้มสีชาด หมินเจียหรงจัดเป็นผินที่พระองค์โปรดปรานมาก รองจากฟางกุ้ยเฟย และฉางฮองเฮา
ดวงเนตรคู่คมทอดมองไปยังหมินเจียหรงที่บัดนี้ยังไม่ทันได้พระสติ วรองค์สง่างามประทับลงข้างสนมทรงโปรดพลางเอื้อมพระหัตถ์ปัดพระเกศาที่ตกลงมาออกจากวงพักตรางดงาม
ตั้งแต่จำความได้หมินเจียหรง สนมตระกูลหมินเป็นสตรีที่ฉลาดหลักแหลม หากแต่หมินผินกลับรู้จักวางตัว เจียมตนให้เหมาะสม บิดาของหมินผินเป็นขุนนางขั้นสองนับได้ว่าเป็นใหญ่ไม่น้อยในราชสำนักฉี
ทว่าบิดาของหมินผินกลับเจียมตนยิ่งกว่าบุตรสาว ด้วยเหตุนี้ทำให้พระองค์ทรงโปรดบิดาของหมินผินไม่น้อยไปกว่าหมินเจียหรง
เวลานี้ในราชสำนักคงมีข่าวยินดีไม่น้อย หากแต่ในพระทัยกลับทรงกังวลด้วยการศึกเขตชายแดนที่ได้ทราบข่าวมาจาก อ๋องจ้าว หรือ ชินหวังอ๋อง พระอนุชาไม่แท้ขององค์เองสร้างความหวั่นพระทัยไม่น้อยที่แคว้นฉินหมายจะยึดต่อตีบ้านเมืองในยามเช่นนี้
ทว่าในยามการสงครามเช่นนี้ กลับมีข่าวดีแฝงอยู่ในข่าวร้ายนั่นก็ทรงทำให้ดีพระทัยไม่น้อย พระองค์ได้แต่หวังเพียงว่า ในครรภ์ของหมินผินจะทรงมีโอรสให้สืบสกุลบ้างก็เท่านั้น
พระหัตถ์หนาเอื้อมลงมาจับพระหัตถ์อ่อนละมุนของหมินเจียหรงไว้แน่นราวกับนางเป็นเสาต้นใหญ่ไว้ยึดค้ำราชบัลลังก์ก็มิปาน
เสียงกู่ร้องที่ดังก้องออกมายังเขตแคว้นชายแดน สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงให้กับเหล่าโจรป่าเป็นอย่างมาก
“เอาเช่นไรดีเล่าไท่จื่อ” เสียงเข้มของชิงอี๋หยาเอ่ยดังขึ้นข้างพระกรรณของไท่จื่อ องค์รัชทายาทแห่งแคว้นฉี
“ก็แค่รอ เราก็แค่รอให้แคว้นฉินบุกยึดสู่เมืองหลวงแคว้นฉี จากนั้นข้าจักตามไปกำจัดฮ่องเต้เสียสิ้น เจ้าจงเร่งเตรียมการขุนพลให้พร้อม อีกไม่นานความฝันของข้าจะเป็นจริง” สุรเสียงเข้มของสายเลือดมังกรตรัส
ชิงอี๋หยาองค์รักษ์หนุ่มลอบมองดวงพักตร์ของไท่จื่ออย่างสังหรณ์ใจ องค์รักษ์เช่นเขาอดใจหายมิได้ ยามเมื่อเวลานี้โอรสมังกรจักกลายเป็นทรราชเสียเอง
มันคงจะดีกว่านี้ หากพระสนมเต๋อเฟยไม่ถูกกลลวงของฟางกุ้ยเฟยและถูกใส่ร้ายไปตำหนักเย็นไท่จื่อของชิงอี๋หย๋าก็คงจะได้นั่งบนบัลลังก์สง่าดังเช่นที่ควรจะเป็นมิต้องมาถูกตราหน้าว่าเป็นองค์รัชทายาทที่สาบสูญไป
ในตอนนั้นระหว่างที่องค์รัชทายาทไท่จื่อเสด็จไปเยือนซีถางกลับถูกกลุ่มชายคลุมอาภรณ์ดำลอบสังหารทำให้ไท่จื่อของเขามีบาดแผลเป็นทางยาวที่แขนขวา ส่วนรอยแผลเป็นกลับติดในดวงหทัยของไท่จื่อมิรู้วันจาง
ความเคียดแค้นฝังแน่นดังรอยปมที่ยากจะหาทางแก้ไข นานวันเข้าไท่จื่อของเสี่ยวชิง ก็ได้กลายเป็นจอมวางแผนร้ายกาจ โดยหมากเกมนี้พระองค์เลือกใช้ชีวิตของสตรีนับร้อยเป็นเดิมพัน แน่นอนว่าพระองค์เลือกที่จะวางตัวหมากรุกเป็นแคว้นฉิน แคว้นศัตรูคู่อาฆาตของเสด็จพ่อฮ่องเต้ขององค์เอง
หากแต่ใครเล่าจะล่วงรู้ถึงแผนการอันแยบยลของโอรสสวรรค์ผู้ที่ได้เชื่อว่าสาปสูญไปจากแคว้นฉี
ชิงอี๋หยาลอบมองดวงเนตรมังกรที่ฉายแวววาวดั่งไข่มุกน้ำงามก็อดจะรู้สึกบางอย่างไม่ได้
แม้ว่าเขา ‘เสี่ยวชิง’ จะติดตามเป็นองค์รักษ์ข้างกายของไท่จื่อมาแต่จำความได้ หากฝ่าบาทองค์ราชันกลับเป็นผู้มีพระคุณอย่างล้นเหลือกับเสี่ยวชิงผู้นี้เช่นกัน
การเห็นลูกฆ่าพ่อตัวเองนั้นไม่ง่ายเลยสำหรับการเป็นมนุษย์ของเสี่ยวชิง หากแต่เวลานี้เขากลับเป็นองค์รักษ์ของไท่จื่อ หากเขาอยากรอดจากสภาพสาปสูญ จะมีสิ่งใดให้ลังเลอีกเล่า!
แต่บุญคุณต้องทดแทน ความแค้นก็ต้องสะสาง ยามนี้มิมีสิ่งใดจักต้องรั้งรออีกต่อไป อีกไม่นานแคว้นฉีจะลุกเป็นไฟราวกับทะเลเพลิง!!!
เสี่ยวชิงครุ่นคิดไม่ตก เหงื่อเม็ดเป้งผุดพรายไหลซึมตามอาภรณ์สีดำสนิท สองขาของชิงอี๋หยาเดินตามไท่จื่อผู้กระหายสงครามอย่างระแวดระวัง
สายลมเย็นพัดพาแมกไม้หลุดร่วง ยามนี้ใกล้จะได้เวลากลับโรงเตี๊ยมของไท่จื่อ เสี่ยวชิงก้าวเท้าอย่างระวังที่สุด
“พลั่ก”
วัตถุแข็งราวไม้กระดานฟาดเข้าที่ท้ายทอยเสี่ยวชิงอย่างจัง องค์รักษ์หนุ่มรับรู้ได้ถึงสติอันลางเลือนของตน เขาพยายามปัดป่ายคว้าอากาศก่อนสติสัทปชัญญะที่มีทั้งหมดของชิงอี๋หยาจะดับวูบ
“อภัยให้ข้าด้วย เสี่ยวชิงสหายรัก” ไท่จื่อกล่าวพลางนำร่างอันไร้สติเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่อยู่ไม่ไกลจากค่ายกลของทหารแคว้นฉิน
ไท่จื่อจุดไฟขึ้นท่ามกลางร่างอันไร้สติของเสี่ยวชิง แม้ว่ามันจะลางเลือนหากแต่เสี่ยวชิง องค์รักษ์ที่ภักดีผู้นี้ไม่มีวันลืม!
ใครอ่านมาถึงตรงนี้ ชอบเรื่องนี้ คอมเม้นให้กำลังใจไรท์กิ๊ฟได้นะคะ
ราชสำนักฉี“ยินดีกับฝ่าบาทด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เสียงเข้มของหมอหลวงกราบทูลต่อหน้าองค์ราชัน“ยามนี้พระสนมทรงกำลังจะให้กำเนิดโอรสมังกรสวรรค์พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงเอ่ยกราบทูลด้วยอาการตื่นตระหนก“ดี” องค์ราชันตรัสพลางยกพระหัตถ์ลูบพระหนุด้วยแววพระเนตรฉายวาวระยับรองพระบาทสีทองอร่ามตาสาวเข้าไปใกล้เตียงบรรทมของหมินผิน องค์ราชันทอดมองดวงพักตราหวานราวหยาดน้ำผึ้งแรกแย้ม พระขนงโก่งดั่งคันศร เรียวปากกระจับแต้มสีชาด หมินเจียหรงจัดเป็นผินที่พระองค์โปรดปรานมาก รองจากฟางกุ้ยเฟย และฉางฮองเฮาดวงเนตรคู่คมทอดมองไปยังหมินเจียหรงที่บัดนี้ยังไม่ทันได้พระสติ วรองค์สง่างามประทับลงข้างสนมทรงโปรดพลางเอื้อมพระหัตถ์ปัดพระเกศาที่ตกลงมาออกจากวงพักตรางดงามตั้งแต่จำความได้หมินเจียหรง สนมตระกูลหมินเป็นสตรีที่ฉลาดหลักแหลม หากแต่หมินผินกลับรู้จักวางตัว เจียมตนให้เหมาะสม บิดาของหมินผินเป็นขุนนางขั้นสองนับได้ว่าเป็นใหญ่ไม่น้อยในราชสำนักฉีทว่าบิดาของหมินผินกลับเจียมตนยิ่งกว่าบุตรสาว ด้วยเหตุนี้ทำให้พระองค์ทรงโปรดบิดาของหมินผินไม่น้อยไปกว่าหมินเจียหรงเวลานี้ในราชสำนักคงมีข่าวยินดีไม่น้อย หากแต่ในพระทัยกลับทรงกังวลด้วยการศึกเขตชายแ
“เจ้าว่าอันใดนะ เจียกูกู” สุรเสียงหวานของหมินผินตรัสขึ้นอย่างตระหนกพระทัย“ทูลนายหญิง หม่อมฉันได้ยินข่าวจากตำหนักฮองเฮาว่า ฟางกุ้ยเฟยเสด็จไปชายแดนเพื่อลอบสังหารแม่ทัพแคว้นศัตรูเพคะ” เจียกูกูตรัสกราบทูลนายหญิงตนเองด้วยสีหน้าซีดเผือด“เหลวไหล…ฟางกุ้ยเฟยนางทำเช่นนั้นไปทำไม” หมินผินตรัสต่อหน้าเจียกูกูด้วยสีพระพักตร์ดุดัน “หม่อมฉันได้ยินมากับหูเพคะ นายหญิง” เจียกูกูทูล“หากการณ์เป็นเช่นนั้นจริง ราชสำนักฉีแย่แน่ เวลานี้บ้านเมืองเกิดสงคราม เราจะต้องหาทางกราบทูลฮองเฮาให้ทราบความนี้ นางอาจมีแผนการร้ายที่พวกเราไม่รู้ก็เป็นได้” สิ้นสุรเสียงของหมินเจียหรง วรกายอรชรก็เป็นลมล้มพับไปในทันที“นายหญิง เกิดอันใดขึ้นเพคะ” เจียกูกูร่ำร้องเรียกหมินผินพลางถลาเข้าประคองวรกายบอบบางเอาไว้“พวกเจ้ามาช่วยกันประคองนายหญิง ชักช้าอยู่ไย” เจียกูกูกล่าวกับเหล่านางกำนัลที่ยืนละล้าละลัง“เอะอะอะไรกันข้างใน” ฉับพลันประตูพระตำหนักในก็ถูกเปิดออกโดยพระหัตถ์หนาขององค์ราชัน “ทูลฝ่าบาท พระสนมเพคะ” เจียกูกูเอ่ยขณะประคองวรองค์ของหมินเจียหรงด้วยอาการตกใจองค์ราชันรีบถลันไปประคองวรองค์ของพระสนมหมินผินทันที เรียวพระโอ
เพ่ยอินเหยาขยับตัวหลบวูบทันทีปลายคมกระบี่ตวัดเข้ามาที่คอขาวระหงส์ของนาง ศีรษะทุยเอียงไปด้านซ้ายเล็กน้อยบุรุษผุ้นั้นเห็นนางหลบจึงได้ใจ มือหยาบกร้านจึงพุ่งเข้ามาฟาดยังใบหน้าที่ซ่อนภายใต้หมวกเกราะรบของอินตูตูขุนพลสตรีตั้งรับกระบี่ไว้ได้ทันที เพียงมือขวาของอินตูตู กระบี่ของนางก็อาบโลหิตของบุรุษผู้ไม่เกรงกลัวมัจจุราชเสียเลยบุรุษคนที่สองตายด้วยคมกระบี่ปักเข้ากลางอก โลหิตสีแดงฉานไหลอาบเจิ่งนองออกมา เหยาเอ๋อร์รีบเตะร่างใหญ่กำยำนั่นให้พ้นทางอย่างรวดเร็ว“ย้ากกกก” เสียงของบุรุษผู้เคราะห์ร้ายรายต่อมาไม่อาจทำให้ใจของเพ่ยอินเหยาสั่นสะเทือนได้ไม่แต่น้อยนางยังคงฟาดกระบี่ใส่ทหารราชสำนักฉีอย่างบ้าคลั่งราวกับเวลานี้นางเป็นสัตว์ร้ายที่พร้อมจะสังหารบุรุษทุกคนที่อยู่ตรงหน้าทหารที่เหลือต่างพากันมองคมกระบี่ที่ดื่มโลหิตของทหารแคว้นฉีจนแทบจะหมดเหลือเพียงสามนายเท่านั้นพวกเขามองอย่างไปทางขุนพลสตรีอย่างไม่กลัวเกรงต่ออำนาจของสตรีตรงหน้าเพ่ยอินเหยาจ้วงแทงพวกเขาพลางวิ่งฝ่าวงล้อมไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วทหารแคว้นฉีแตกกระจายราวกับนกกระจอกแตกรัง ยามเมื่อเวลานี้แม่ทัพค่ายของราชสำนักฉินพุ่งคมดาบมายังพวกเขาทหารที่ไ
ในยามนี้ร่างกำยำของแม่ทัพใหญ่นั่งตรงอยู่ด้านหลังอานม้าศึกพันธุ์ดีของเหยาเอ๋อร์กลิ่นหอมอ่อนจางจากเรือนเกศาที่เกล้ามวยซุกซ่อนภายใต้หมวกเกราะรบสีเงินของแม่ทัพค่าย ไม่อาจทำให้แม่ทัพเซี่ยมีสติสัมปชัญญะต่อไปได้เลยแผงอกกำยำของแม่ทัพเซี่ยแนบกับแผ่นหลังของแม่นางเพ่ย กลิ่นหอมจรุงใจของหญิงสาวทำให้แม่ทัพเซี่ยเผลอไผลยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้เพ่ยอินเหยาอย่างลืมตัว“อินตูตู” แม่ทัพเซี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนละมุน“ท่านแม่ทัพยามนี้ข้าว่าพวกเรากำลังตกอยู่ในวงล้อมของฝ่ายฉี” แม่นางเพ่ยขุนพลนักรบกล่าวกับบุรุษหนุ่มที่เอื้อมมือมากอดเอวของตนเองอย่างลืมตัว“ข้ารู้” เซี่ยจินหู่จงใจกระซิบข้างหูของขุนพลสตรีตรงหน้าอย่างแผ่วเบาเพ่ยอินเหยาอดรู้สึกไม่ได้ว่า ยามนี้นางอาจตัดสินใจผิดพลาดน่าจะปล่อยให้คนตัวใหญ่ที่เคยล้อใบหน้าของนางตกจากอานม้าตายไปซะให้รู้แล้วรู้รอด“ท่านแม่ทัพเราจะฝ่าวงล้อมออกไปแล้ว ท่านนั่งให้ดี” เพ่ยอินเหยาเอ่ยเสียงตะกุกตะกักยามเมื่อเวลานี้มือหนาของร่างกำยำอยู่ไม่สุขเสียแล้วมือหนาอีกข้างที่หาได้เกาะเอวของอินตูตูเอื้อมลากไล้ขึ้นไปยังทรวงอกอวบอิ่มของเพ่ยอินเหยาที่ซ่อนไว้ใต้เสื้อเกราะรบอย่างมิดชิดโชคยังดีท
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไปที่เขตชายแดน” องค์ราชันตรัสถามด้วยสุรเสียงเข้มเสียจนฟางกุ้ยเฟยถอดสีพระพักตร์ฟางกุ้ยเฟยรีบหย่อนวรกายคุกเข่าลงต่อหน้าองค์ราชัน และฉางฮองเฮาทันที“ทูลฝ่าบาทหม่อมฉันเสด็จไปจริงๆ เพคะ แต่ที่หม่อมฉันเสด็จไปหม่อมฉันได้ยินมาว่ามีหมอรักษาอาการเจ็บคอให้หายชะงักได้ หม่อมฉันจึงให้ท่านหมอวู่ผู้นี้รักษาอาการเล็กน้อยของหม่อมฉันเพคะ” ฟางกุ้ยเฟยตรัสต่อหน้าองค์ราชัน“หม่อมฉันเป็นพยานได้เพคะ พระสนมไปที่เขตชายแดนเพื่อให้หมอวู่รักษา หมอวู่เป็นหมอที่เดิมเป็นญาติกับพระสนมในแคว้นฉีจริงๆเพคะ” กูกูกล่าวขณะคุกเข่าลงต่อหน้าองค์ราชัน“ทำไมเจ้าไม่ให้แพทย์หลวงรักษาล่ะ จะดั้นด้นไปถึงเขตชายแดนด้วยเหตุอันใด” องค์ราชันตรัสถาม“หม่อมฉันเห็นว่างานของแพทย์หลวงประจำราชสำนักฉีในยามนี้ยุ่งวุ่นวายมากพอ อีกทั้งท่านหมอซางก็เคยกล่าวกับหม่อมฉันว่าอาการของหม่อมฉันน่ากังวล แต่ที่เขตชายแดนมีหมอชาวบ้านเก่งกล้าสามารถรักษาอาการของหม่อมฉันได้เพคะ” ฟางกุ้ยเฟยตรัสด้วยสีพระพักตร์ซีดเซียว“ข้าเชื่อเจ้า เอาละหมดข้อสงสัยแล้วใช่หรือไม่ฉางฮองเฮา” องค์ราชันตรัสพลางเข้าไปประคองฟางเสวี่ยจี๋ต่อหน้าฉางฮองเฮา“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉัน
ยามนี้แม่ทัพเซี่ยกำลังต่อสู้ต่อผู้นำทัพราชสำนักแคว้นฉี แม่ทัพเซี่ยจ้วงแทงศัตรูบนหลังอานม้าอย่างรวดเร็ว หากแต่อีกฝ่ายสามารถหลบหลีกได้อย่างทันท่วงทีทว่าหากเพ่ยอินเหยาคะเนในใจดูแล้ว เห็นได้ชัดว่าราชสำนักฉินจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำต่อราชสำนักฉีที่เกณฑ์ทหารร่วมสมรภูมิรบเก้าหมื่นนายเป็นแน่เพ่ยอินเหยาดึงบังเหียนให้กลับไปด้านหน้า อาชาไนยที่แบกอินตูตูทะยานไปเบื้องหน้าอย่างใม่กลัวเกรงใด ๆ ทันทีภาพที่ปรากฎแก่สายตาใต้หมวกเกราะรบของเพ่ยอินเหยานั้นเป็นภาพของแม่ทัพเซี่ยจินหู่ที่กำลังตกอยู่ใต้วงล้อมของศัตรูสร้างความหวั่นใจให้กับเหยาเอ๋อร์เป็นอย่างมากราชสำนักฉี“เจ้ามีอันใดหรือฉางฮองเฮา” องค์ราชันประทับนิ่งบนเก้าอี้ไม้ของราชสำนักฉิน“หม่อมฉันมีเรื่องจะทูลฝ่าบาท” ฉางฮองเฮาตรัสด้วยสีพระพักตร์เคร่งขึมมิเหมือนสตรีมากมารยาเหมือนดังก่อน“มีอันใดก็จงว่ามาเถิด ฮองเฮาของข้า” ฮ่องเต้ตรัสพลางเสวยน้ำแกงอุ่นร้อน ๆ“หม่อมฉันทราบมาว่าเมื่อวานฟางกุ้ยเฟยลอบออกไปนอกวังหลวงเพคะ” ฉางฮองเฮาตรัสทูลฮ่องเต้ด้วยสุรเสียงเคร่งเครียดหากแต่อ่อนนุ่มอยู่ในท่วงที“แล้วเจ้าทราบมาจากผู้ใด” องค์ราชันตรัสถามด้วยสีพระพักตร์ยากที่หวงโฮ่ว







