LOGINบทที่9
ระแวง ห้องรับแขกกว้างขวางของเพ้นท์เฮ้าส์ราคาแพงเงียบสงัด จนได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาเดินเป็นจังหวะเนิบช้า มินตรายืนกอดอกอยู่หน้าเตาผิงจำลอง ดวงตากลมโตฉายแววลังเลและสั่นไหว ร่องรอยจางบนแก้มยังไม่ทันจางลงจากไอร้อนยามบ่าย แต่ภายในกลับเย็นเยียบยิ่งกว่าอากาศยามค่ำ เธอกำลังรอและการรอคอยครั้งนี้ช่างยาวนานเกินกว่าจะนับเวลาได้เพียงชั่วโมงเดียว รถเบนท์ลีย์สีดำคันคุ้นตาแล่นจากรั้วไปตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ลับฟ้า โดยมีเพียงคำสั้น ๆ ว่ามีประชุมด่วนทิ้งไว้ แสงไฟสีอบอุ่นจากหัวบันไดสะท้อนกับโซฟาหนังแท้สีอ่อน เธอลอบมองโทรศัพท์ที่สว่างขึ้นทุก ๆ สิบนาทีจากการแจ้งเตือนของเพื่อนร่วมรุ่น แต่กลับไม่มีแม้เพียงหนึ่งข้อความจากเขา คิรินทร์ วัชรเมธา ชายผู้ที่เธอกำลังฝากหัวใจไว้โดยไม่รู้ตัว แฟ้มบางบนโต๊ะกลางยังอ้าปากเผยรูปถ่ายหญิงสาวปริศนา ผู้มีดวงตาคมลึกและรอยยิ้มบางเฉียบที่เปี่ยมไปด้วยชัยชนะ หน้ากระดาษแนบถ้อยคำทิ้งท้ายว่า ‘ถึงคนที่อยู่ข้างกายฉัน วันนี้ พรุ่งนี้ และอนาคต’ เหมือนจะส่งสารบางอย่างจากอดีตสู่ปัจจุบัน หญิงสาวกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เธอคือใครกันแน่ มินตราเริ่มตั้งคำถามว่า เธอมีสิทธิ์ในหัวใจเขาจริง หรือเพียงเป็นตัวแทนชั่วคราว เสียงเครื่องยนต์หน้าบ้านดังขึ้น ปลุกทุกความคิดให้กลับสู่ปัจจุบัน มินตราสูดลมหายใจลึก ลูบผ้าชายกระโปรงเบา ๆ แล้วเดินไปหยุดกลางห้องในแสงไฟสลัว ประตูบานใหญ่เปิดออก พร้อมร่างสูงสง่าของคิรินทร์ที่ก้าวเข้ามาในชุดสูทสีเทาเข้ม เขาถอดสูทวางไว้ตำแหน่งประจำ และปรายตามองหญิงสาวที่ยืนรออยู่กลางห้อง ราวกับรู้ว่าเธอมีเรื่องอยากพูดแต่ยังรั้งไว้ "ยังไม่นอนอีกหรอดึกป่านนี้แล้ว" เสียงเขาทุ้มนุ่ม แต่เยือกเย็นพอจะสั่นหัวใจเธอได้ "รอคุณค่ะ" เธอตอบกลับเบา ๆ แม้ไม่กล้าสบตา เขาถอนหายใจช้า ๆ ก่อนจะเดินไปหย่อนตัวลงนั่งที่โซฟา “วันนี้ฉันเหนื่อย ขออาบน้ำก่อนจะได้ไหม-” “ผู้หญิงคนนั้นคือใครคะ” มินตราโพล่งคำถามใส่อีกฝ่ายทั้งที่ยังพูดไม่จบ แม้ไม่ใช่เสียงตวาดแต่ก็หนักแน่นพอจะหยุดทุกความเคลื่อนไหวของเขา นั่นจึงทำให้คิรินทร์ชะงักเล็กน้อย ดวงตาคมหันมาสบกับเธอเต็ม ๆ “มินตรา” “คนที่โทรหาคุณตอนเย็น และในจดหมายนี่” เธอชูภาพถ่ายในมือที่สั่นไหวเขารับมันมาดูด้วยแววตาเฉยเมยก่อนวางไว้บนโต๊ะ “ไปค้นโต๊ะฉันทำไม” เสียงเขานิ่งและเยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็น “เพราะฉันกลัว” เธอกลืนก้อนสะอึกลงคออย่างยากลำบาก “กลัวว่าทุกอย่างที่ฉันรู้จัก อาจไม่ใช่ความจริง” เขาก้าวเข้ามาใกล้ ระยะห่างระหว่างกันลดเหลือเพียงลมหายใจ “เธออยากได้คำตอบแบบไหนล่ะ ตอบแบบอ้อมค้อม รักษาน้ำใจ หรืออยากฟังเสียงในใจฉัน” “แค่ความจริงค่ะ” เธอกระซิบทั้งน้ำตาคลอเบ้า ทว่า กลั้นไว้ไม่ยอมปล่อยให้ไหลออกมา เขาหลุบตาลงถอนหายใจเหนื่อยอ่อนก่อนจะตอบ “เธอคืออดีตคู่หมั้น ฉันเคยอยากมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ แต่แล้วเธอก็เลือกเดินออกจากฉันไป เธอทิ้งทุกอย่างไว้เพียงเพราะเธอรับไม่ได้กับการสูญเสีย” “...” “เราเสียลูกลูกคนหนึ่งไปก่อนลืมตาดูโลก” มินตราเงียบ หัวใจของเธอไม่ได้เจ็บเพราะหึงหวง แต่เจ็บเพราะความสูญเสียในถ้อยคำเขาที่เปล่งออกมา “แล้วเธอจะโทรมาทำไมอีก” เสียงเธอสั่นพร่าราวกลับจะกลั้นน้ำตาที่เก็บกักไว้ไม่ไหวแล้ว “หึ..เธอก็แค่ต้องการเตือนฉันว่าอย่าทำผิดซ้ำ อย่าไปเปิดใจให้ใครอีก เพราะกลัวจะเกิดการสูญเสียแบบเธอ” “...” “บ้าจริง..เธอลืมคิดไปหรือเปล่าว่าคนที่ปล่อยมือคือตัวเธอเอง” “ฮึกก” หมับ! คิรินทร์เอื้อมมือไปจับมือเธอเบา ๆ แล้วดึงเข้ามาแนบอก “ฉันไม่สนว่าใครจะพูดอะไร ฉันสนว่าเธออยู่ตรงนี้กับฉันมินตรา” มินตราน้ำตาไหลลงมาเงียบ ๆ เธอไม่ได้พูดอะไร นอกจากยกมือแตะอกเขาเบา ๆ “ฉันกลัวว่าถ้าฉันรักคุณมากเกินไป ฉันจะพังเหมือนเธอคนนั้น” “ฉันพังไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่อยากพังอีกกับเธอ” อ้อมแขนของเขากระชับแน่นขึ้นโอบไหล่เล็กของเธอ น้ำเสียงของเขาเมื่อเอ่ยประโยคสุดท้ายคือคำสัญญาอันอบอุ่น “คืนนี้ฉันขอกอดเธอไว้ได้มั้ยแล้วพรุ่งนี้จะเล่าทุกอย่างให้ฟัง” มินตราไม่ได้ตอบ เธอเพียงซบหน้าไว้กับอกของเขา ฟังเสียงหัวใจที่เต้นอยู่ข้างใน และปล่อยให้ตัวเองได้เชื่อใจอีกครั้ง แม้เพียงชั่วค่ำคืน เวลาล่วงเข้าสู่เกือบตีหนึ่ง แต่ไฟในห้องนอนใหญ่ยังคงส่องสว่างอ่อนโยน ผ้าม่านโปร่งบางปลิวเบาเมื่อสายลมยามดึกลอดเข้าทางหน้าต่าง ท่ามกลางความเงียบมีเพียงเสียงลมหายใจของสองคนที่ไม่ได้นอนหลับอย่างสงบ มินตรานั่งพิงหัวเตียง สวมเสื้อคลุมผ้าซาตินสีครีมที่เขาเพิ่งหยิบมาคลุมให้เมื่อครู่ ข้างกายคือคิรินทร์ร่างสูงนั่งข้าง ๆ โดยมีแฟ้มเอกสารบางวางอยู่บนตัก ความอึดอัดคล้ายหมอกหนาทึบลอยอบอวลอยู่ในห้อง แม้จะไม่มีคำถามใดเอ่ยออกมาในทันที แต่ความเงียบกลับเป็นแรงผลักให้เขารู้ว่าถึงเวลาแล้ว “ในนั้นมีเรื่องของเธอทั้งหมด” เขาพูดในที่สุด ดวงตาคมหลุบต่ำขณะดึงแฟ้มมาเปิดช้า ๆ มินตรามองอย่างเงียบงัน ขอบตายังคงแดงจาง ๆ จากเหตุการณ์ก่อนหน้า แต่แววตาเธอเปลี่ยนไปไม่ใช่เพียงความเสียใจ แต่คือการตั้งใจฟังและเผชิญหน้ากับความจริง “ผู้หญิงในรูปชื่อ ลตินา ลูกสาวของนักการทูตอิตาลี เราเคยหมั้นกันเมื่อ10ปีก่อน” เขาเว้นวรรคเล็กน้อย ขณะปลายนิ้วไล้ผ่านภาพถ่ายในแฟ้ม “มันเกิดขึ้นเร็ว เหมือนถูกจัดวางให้ถูกต้องทุกอย่างยกเว้นความรู้สึก” มินตรานิ่งไม่พูด แต่สายตาเธอทอดมองภาพนั้น มันชัดเจนว่าผู้หญิงคนนั้นสวย สง่างาม และดูเหมาะกับเขาทุกประการ “ฉันรักเธอในแบบที่ผู้ชายวัยนั้นคิดว่าคือรัก” เขาวางแฟ้มลง แล้วหันมาหาเธอเต็มตัว “แต่สุดท้ายเราก็แตกหักเพราะเธอต้องการชีวิตที่มีสีและแสง ฉันเป็นคนที่เธอรักในความสงบก็จริงแต่เกลียดความเงียบ” เธอเม้มริมฝีปากนิ่งความเจ็บปวดของเขาสะท้อนออกมาทางน้ำเสียง แม้จะพยายามควบคุมแล้วก็ตาม “แล้วเรื่องลูกล่ะคะ” เธอถามเบา ๆคิรินทร์นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ย “ไม่ทันได้ลืมตาดูโลก เธอแท้งตอนทะเลาะกับฉันครั้งใหญ่ และวันนั้นก็เป็นวันที่เธอจากไป ไม่หันกลับมาอีกเลย” มินตรารู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบช้า ๆ เธอเอื้อมมือไปจับมือนั้นที่วางนิ่งบนตัก แล้วบีบเบา ๆ “ทำไมคุณถึงเพิ่งเล่าให้ฟังคะ” เสียงเธอสั่น แม้พยายามควบคุม “เพราะฉันไม่เคยอยากให้ใครต้องรับรู้ความผิดพลาดของฉัน โดยเฉพาะคนที่กำลังทำให้ฉันเริ่มมีความหวังอีกครั้ง” เขากระซิบ ดวงตาคมสั่นไหวเพียงวินาทีเดียว ก่อนจะกลับมานิ่งสงบ “ฉันคือฉันไม่ใช่เธอคนนั้นค่ะ” มินตราพูดชัดเจนใบหน้าเธอจริงจังอย้่งที่ไม่เคยแสดงมาก่อน “และไม่คิดจะเป็นใครแทนที่ใครด้วย” “ฉันรู้” เขาเผยรอยยิ้มบางเมื่อเห็นปฏิกิริยาแบบนั้น “แต่เธอมีสิทธิ์รู้ทั้งหมด ถ้าจะอยู่ข้างฉันจริง ๆ” หญิงสาวพยักหน้าช้า ๆ ความกลัวในใจเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความเข้าใจ และสิ่งหนึ่งที่แน่นิ่งที่สุดในคืนเงียบนี้คือการจับมือที่ไม่ปล่อย แต่แล้วความใกล้ชิดก็เริ่มจุดไฟบางอย่างในดวงตาของหญิงสาว ดวงหน้าเธอแดงระเรื่อเมื่อสบสายตากับเขา “คืนนี้ขอฉันอยู่ใกล้คุณ…แบบที่ไม่มีอดีต ไม่มีใคร มีแค่เราได้ไหมคะ” เธอถามเบา ๆ เสียงพร่าแต่แน่วแน่คิรินทร์ไม่พูด เขาเพียงแตะปลายนิ้วใต้คางเธอแล้วประคองให้แหงนหน้า ดวงตาของเขาลึกและหนักแน่น “ได้สิ...อีกอย่างฉันชอบให้เธอแทนตัวเองว่าหนูมากกว่า” “...” “มันดูน่ารัก” จ้วบบ ริมฝีปากที่แนบลงมาหาเธอทันที คิรินทร์เริ่มด้วยการกดจูบแผ่วเบาให้เธอได้ลิ้มรสหวานละมุน ก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนจังหวะให้ลึกขึ้น ปลายลิ้นร้อนตวัดแตะริมฝีปากล่างของเธอราวกับเชื้อเชิญ “อื้ออ” มินตราหลับตาแน่นเมื่อลิ้นของเขาสอดเข้ามากวาดลิ้มชิมเพดานปากอ่อนนุ่ม วาดวนเป็นวงโค้งไล่ต้อนชิมน้ำหวานอย่างเพลิดเพลิน ทุกครั้งที่เขาเม้มแล้วดูดเบา ๆ เสียงครางหวานก็หลุดลอดออกจากลำคอเธออย่างไม่รู้ตัว มวลท้องของเธอราวกับมีผีเสื้อนับร้อยบินวนว่อน ปีกบางกระพือไม่หยุด จนขาเรียวสั่นไร้เรี่ยวแรงแนบชิดต้นขาเขาโดยอัตโนมัติ “อื้อ...หนูหะ..หายใจไม่ออกค่ะ” เขายอมผละออกเพียงครู่ให้เธอสูดอากาศ แต่ยังไม่ปล่อยโอกาสให้ได้คิด ลิ้นร้อนจู่โจมกลับเข้ามาอีกครั้ง จ้วบบ! “อื้มม” สอดรัดลิ้นเล็กของเธอกลืนชิมเสียงสะท้อนหวานภายในโพรงปาก มือใหญ่ยกขึ้นประคองท้ายทอยเธอ แนบชิดจนไม่เหลือช่องว่างให้อดีตใดแทรกตัวได้ เมื่อจูบดึงดูดผสานเป็นจังหวะเดียวกัน เขาผละริมฝีปากเพียงเสี้ยววินาทีเพื่อไล้ปลายจมูกลงมาตามรอยคาง ไปทักทายลาดไหล่ขาวนวลอย่างอ้อยอิ่ง สัมผัสลมหายใจร้อนทำให้เธอสั่นสะท้านก่อนเสียงครางจะเล็ดลอดออกมาแผ่ว ๆ ริมฝีปากหนาเคลื่อนต่ำลงทีละน้อย ทิ้งรอยจูบนุ่มลึกไว้เป็นทางจนกระทั่งครอบครองยอดประทุมถันสีหวาน เขาดูดกลืนความอุ่นละมุนเบา ๆ ก่อนใช้ฟันขบปลายเนื้ออ่อนอย่างแผ่วที่สุดมากพอให้เธอสะดุ้ง เสียงหายใจขาดห้วงกะทันหันทำให้มือเรียวยกขึ้นขยุ้มเส้นผมชายหนุ่มแน่นโดยไม่รู้ตัว คิรินทร์ยิ้มกับผิวกายใต้ริมฝีปาก พลางปลอบด้วยการวนปลายลิ้นช้าชิดแนวเนื้อนุ่ม สร้างจังหวะสั้นยาวสลับกัน จนลมหายใจของมินตรากลายเป็นเสียงครางหวานลึก เธอหลับตาซึมซับความวาบหวามที่ทะลักขึ้นทุกขณะ นิ้วมือสอดกดศีรษะเขาไว้ไม่ยอมปล่อย ราวกับกลัวว่าความรู้สึกซ่านนี้จะพรากไปกับลมยามค่ำ ทุกขณะเพลิงปรารถนาโหมแรงขึ้น เขาสอดมือประคองแผ่นหลังเธอให้โค้งรับ ก่อนจูบซับยอดอกอีกข้างอย่างเท่าเทียม ปลอบประโลมทุกอณูด้วยจังหวะดูดและขบกดเบา ๆ สอดประสานกับเสียงพร่าของเขาที่กระซิบบอกว่าเธองดงามเพียงใด จากนั้นเขาค่อย ๆ โอบเธอไว้แนบอก แล้วประคองกายบางให้นอนทอดตัวบนผืนผ้าลินินอย่างนุ่มนวล หัวใจของเธอเต้นแรงประสานกับจังหวะหายใจลึกของเขานับเป็นสัมผัสที่ไม่เพียงปลุกปรารถนา แต่สลักคำว่าเราลงกลางคืนอันเปราะบางนี้อีกด้วยบทที่9ระแวงห้องรับแขกกว้างขวางของเพ้นท์เฮ้าส์ราคาแพงเงียบสงัด จนได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาเดินเป็นจังหวะเนิบช้า มินตรายืนกอดอกอยู่หน้าเตาผิงจำลอง ดวงตากลมโตฉายแววลังเลและสั่นไหว ร่องรอยจางบนแก้มยังไม่ทันจางลงจากไอร้อนยามบ่าย แต่ภายในกลับเย็นเยียบยิ่งกว่าอากาศยามค่ำเธอกำลังรอและการรอคอยครั้งนี้ช่างยาวนานเกินกว่าจะนับเวลาได้เพียงชั่วโมงเดียว รถเบนท์ลีย์สีดำคันคุ้นตาแล่นจากรั้วไปตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ลับฟ้า โดยมีเพียงคำสั้น ๆ ว่ามีประชุมด่วนทิ้งไว้แสงไฟสีอบอุ่นจากหัวบันไดสะท้อนกับโซฟาหนังแท้สีอ่อน เธอลอบมองโทรศัพท์ที่สว่างขึ้นทุก ๆ สิบนาทีจากการแจ้งเตือนของเพื่อนร่วมรุ่น แต่กลับไม่มีแม้เพียงหนึ่งข้อความจากเขา คิรินทร์ วัชรเมธา ชายผู้ที่เธอกำลังฝากหัวใจไว้โดยไม่รู้ตัวแฟ้มบางบนโต๊ะกลางยังอ้าปากเผยรูปถ่ายหญิงสาวปริศนา ผู้มีดวงตาคมลึกและรอยยิ้มบางเฉียบที่เปี่ยมไปด้วยชัยชนะ หน้ากระดาษแนบถ้อยคำทิ้งท้ายว่า ‘ถึงคนที่อยู่ข้างกายฉัน วันนี้ พรุ่งนี้ และอนาคต’ เหมือนจะส่งสารบางอย่างจากอดีตสู่ปัจจุบันหญิงสาวกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เธอคือใครกันแน่ มินตราเริ่มตั้งคำถามว่า เธอมีสิทธิ์ในหัวใจเขาจริง หรือ
บทที่8ใครคนนั้นหลังจากเช้าอุ่นไอรักผ่านพ้นไป มินตราคิดว่าเขาจะกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมอีกครั้ง เหมือนทุกครั้งที่หมดภารกิจในห้องนอน แต่เปล่าเลยคิรินทร์กลับทำในสิ่งที่เธอไม่ทันตั้งตัว“ไปเปลี่ยนชุด” เขาพูดขณะยกกาแฟขึ้นจิบใบหน้ายังเรียบเฉยเหมือนทุกวัน แต่แววตานั้นกลับซ่อนรอยยิ้มบางเบาไว้“หืม..คุณว่าไงนะคะ” มินตราเงยหน้าขึ้นจากขนมปังตรงหน้าที่เขาเตรียมไว้ให้ เพราะมีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้น“เราจะไปไหนกันเหรอคะ”“ฉันอยากพาเธอไปสูดลมทะเล” เขาตอบเรียบ ๆ ก่อนจะวางแก้วลง “บนเรือ...ไปทะเลกัน”“...”มินตราไม่มีเวลาอึ้งนานก็ต้องเตรียมตัวลุกไปจัดเตรียมสัมภาระ ไม่ถึงชั่วโมงต่อมารถยนต์คันหรูพามาถึงท่าเรือส่วนตัว มินตรายืนกะพริบตาถี่เมื่อเห็นเรือยอชต์สีขาวหรูเทียบท่ารออยู่ คนที่เคยเห็นเรือพวกนี้แค่ในโฆษณา ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้เหยียบมันจริง ๆ ด้วยเท้าตัวเอง“นี่คือ...ของคุณ” เธอถามเสียงอ่อยขณะจับมือเขาขึ้นเรือ“หึ...เธอเข้าใจถูกแล้วล่ะที่นี่เป็นของฉันทุกอย่าง” เขาตอบพร้อมกับรั้งมือเธอแน่น บนเรือยอชต์สุดหรู พนักงานต้อนรับและกัปตันล้วนรู้จักเขาดีจนไม่ต้องออกคำสั่งใด ๆ เรือค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจาก
บทที่7คำสัญญาเพียงแค่ประโยคนั้นหลุดจากริมฝีปากของคิรินทร์ กลิ่นอายของค่ำคืนนี้ก็เปลี่ยนไป แต่มันคือพลังบางอย่างที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาแรงปรารถนาอันเงียบงันแต่ทรงพลังมินตรานั่งนิ่งใบหน้าร้อนวูบวาบแต่ไม่กล้าหันไปมองเขา เธอรับรู้ได้ถึงมืออุ่นที่จับมือเธอไว้แน่น และนิ้วโป้งที่เกลี่ยเบา ๆ บนหลังมืออย่างเชื่องช้า ราวกับพยายามกล่อมจิตใจเธอให้ล่องลอยไปตามจังหวะของเขาเมื่อรถจอดที่หน้าเพนต์เฮาส์ เธอยังรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้เดิน แต่ถูกแรงอ่อนโยนบางอย่างพาเข้าสู่ลิฟต์ส่วนตัวจนถึงชั้นบนสุดประตูลิฟต์เปิดออกโดยไม่มีคำพูดใด ๆ เขาเดินนำหน้าเธอเข้าไปในห้อง ขณะเธอก้าวตามเหมือนถูกสะกดด้วยแรงอธิบายไม่ได้ภายในห้องตกแต่งด้วยแสงไฟสีส้มอมทองที่ส่องจากโคมข้างหัวเตียง กลิ่นหอมของดอกไม้จากเครื่องกระจายกลิ่นลอยคลุ้งในอากาศ ทุกอย่างเหมือนจัดเตรียมไว้สำหรับค่ำคืนนี้ค่ำคืนที่เขาบอกว่าจะทำให้เธอลืมคำดูถูกทั้งปวง คิรินทร์หันกลับมามองเธอในแสงสลัว ดวงตาของเขาเข้มลึกและมั่นคงเหมือนพายุที่ซ่อนอยู่หลังเงาเมฆ"เดินมาหาฉัน มิน"“ค่ะ”เสียงของเขาเรียกเธออย่างแผ่วเบา แต่มันสะเทือนจนเธอรู้สึกได้ถึงแรงสั่นในอก เธอเดินเ
บทที่6หนูก็แค่เด็กคนหนึ่งที่เอาตัวแลกเงินแสงแดดสายแกว่งไกวบนเคาน์เตอร์หินอ่อนสีครีมในครัวเปิดโล่งด้านตะวันออก กลิ่นกาแฟคั่วสดจากเครื่อง เอสเพรสโซ่แตะจมูกตั้งแต่ทางเดิน มินตราสวมเสื้อเชิ้ตผู้ชายตัวยาวสีขาวล้วน ก้าวเท้าเบา ๆ ยืนพิงกรอบประตู มองภาพเบื้องหน้า คิรินทร์ในเสื้อยืดสีเทาอ่อนตัวเดียว กางเกงลำลองสีน้ำตาลเข้มขยับมีดครัวหั่นเบคอนอย่างตั้งอกตั้งใจราวเชฟมืออาชีพเขาไม่ใช่มืออาชีพเห็นได้จากวิธีหยิบมีดแข็ง ๆ แต่แค่ภาพชายผู้บริหารที่เมื่อคืนยังเด็ดขาดในห้องประชุม ตอนนี้ยืนหันหลังให้เธอสะบัดกระทะก็เพียงพอจะทำให้ใจเธออุ่นวาบเสียงช้อนกระทบแก้วดังกรุ๋งกริ๋ง เขาหันมารับรู้สายตาหญิงสาว แล้วยกยิ้มมุมปากที่ทำให้กล้ามแก้มเขาเป็นคลื่น“ตื่นแล้วเหรอ คนขี้เซา ฝากอุ่นนมให้ทีสิ” เขาพูดเสียงนุ่มสอดสายตาอบอุ่นแม้ยังถือมีดมินตรายิ้มและพยักหน้าเข้าใจก่อนเดินไปเปิดเตาเล็ก เคลื่อนหม้อนมอย่างคล่อง เธอเติมผงโกโก้ลงไปเล็กน้อยให้สีละมุน แล้วคนด้วยช้อนเงิน ยกขึ้นดมกลิ่นหอมละมุนทำให้เธอนึกถึงบ้านครั้งยังเด็กคิรินทร์จับเบคอนเรียงลงกระทะ เสียงฉ่าเบา ๆ ดัง เคล้าเสียงขนมปังเด้งจากเครื่องปิ้งอัตโนมัติราวจังหวะด
บทที่5 กอดทั้งคืน กลางคืนของกรุงเทพฯ ความเงียบสงัดกลับกล่อมโลกทั้งใบให้หลับใหล มินตรายืนอยู่ริมหน้าต่าง กระชับเสื้อคลุมแพรสีน้ำเงินเข้มแนบอก ร่างบางสะท้อนแสงจันทร์เป็นเงาอ่อนบนกระจกเงา กลิ่นสบู่อ่อน ๆ จากห้องน้ำยังติดปลายจมูก ภาพของชายหนุ่มที่เดินเข้าไปด้วยท่วงท่าหนักแน่นและเงียบงันยังติดตา เธอก้มมองโทรศัพท์ที่วางหงายอยู่บนโต๊ะ ข้อความสุดท้ายที่ได้รับก่อนเขาเดินเข้าไปอาบน้ำเพียงหนึ่งบรรทัด K:คืนนี้ อย่าแตะโทรศัพท์ ฉันต้องการเวลากับเธอทั้งคืน หัวใจเธอเต้นแรงกว่าเดิมไม่ใช่เพราะถ้อยคำหวงแหน แต่เพราะน้ำเสียงในข้อความนั้นแฝงแรงดึงดูดบางอย่างที่ห้ามไม่ได้ เสียงประตูเลื่อนเปิดช้า ๆ กลุ่มไอร้อนจากห้องน้ำลอยออกมาก่อนที่เขาจะก้าวออกมา คิรินทร์สวมชุดคลุมอาบน้ำผืนบาง เส้นผมเปียกชื้นแนบกรอบหน้า ดวงตาคมเข้มหยั่งลึกจับจ้องเธอในความมืดครึ่งหนึ่งของห้อง เขาไม่ได้พูดทันที แค่เดินเข้าใกล้เรื่อย ๆ “ยังไม่นอน?” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม ผิดกับบุคลิกที่เธอเคยรู้จักในห้องประชุมมากนัก “รอคุณค่ะ” เธอกลืนน้ำลายเบา ๆ ก่อนตอบเขาหยุดห่างเพียงช่วงลมหายใจ ดวงตาของเขามองต่ำลงที่เสื้อคลุมของเธอที่คล้ายหลวมไปนิด
บทที่4ของขวัญฟ้าเช้าวันใหม่ส่องลอดผนังกระจกของเพนต์เฮาส์ เหลือบแสงอุ่นไล้ไหลตามพื้นไม้สักจนเกิดริ้วละมุนราวผืนผ้าทอทอง มินตรานั่งนิ่งงันที่ปลายโซฟา ทว่าดวงตากลมกลับขุ่นมัวคล้ายหมอกเช้าเพราะน้ำตาที่ค้างขอบชั่วครู่เธอไม่แน่ใจว่าหลับไปตอนไหน ความอ่อนแรงทำให้สติเลือนหายราวฝัน หากสิ่งแรกที่เห็นตอนลืมตา คือกล่องสีน้ำตาลสันเรียบวางอยู่บนโต๊ะกระจกตรงหน้า ไม่มีโบ ไม่มีการ์ด ไม่มีแม้กระดาษแทรกบอกชื่อผู้ส่ง แต่มินตรากลับรู้ว่าของสิ่งนี้ผู้ให้คือใครมินตราไม่รีบเปิด แต่ทอดมองกล่องนั้นชั่วครู่พลันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พอจะให้หัวใจที่ถูกขยี้ด้วยคำพูดเมื่อคืนคลี่คลาย ก่อนปลายนิ้วเรียวจะค่อย ๆ แกะปมริบบิ้นออกฝากล่องถูกยกอย่างช้า ช้า จนแสงเช้าสาดลงบนเนื้อในกระดาษสา เผยให้เห็นบางสิ่งที่ทำให้ลมหายใจเธอติดขัดอีกครั้งเช็กเงินสดยอดหกหลักวางเรียงอย่างราบเรียบอยู่ในซองขาวไร้ตัวหนังสือ และเหนือเช็กนั้นคือแฟ้มแผ่นบางพิมพ์ตราโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง ในนั้นแนบสัญญาค่ารักษาครบวงจร ลงลายเซ็นคิรินทร์ วัชรเมธาชัดเจน เส้นหมึกเรียบกริบราวคมมีด แต่ตวัดปลายอักษรอย่างอ่อนโยนจนชวนให้คิดว่าเจ้าของลายเซ็นคงตั้งใจมอบมากกว่า







