LOGINบทที่4
ของขวัญ ฟ้าเช้าวันใหม่ส่องลอดผนังกระจกของเพนต์เฮาส์ เหลือบแสงอุ่นไล้ไหลตามพื้นไม้สักจนเกิดริ้วละมุนราวผืนผ้าทอทอง มินตรานั่งนิ่งงันที่ปลายโซฟา ทว่าดวงตากลมกลับขุ่นมัวคล้ายหมอกเช้าเพราะน้ำตาที่ค้างขอบชั่วครู่ เธอไม่แน่ใจว่าหลับไปตอนไหน ความอ่อนแรงทำให้สติเลือนหายราวฝัน หากสิ่งแรกที่เห็นตอนลืมตา คือกล่องสีน้ำตาลสันเรียบวางอยู่บนโต๊ะกระจกตรงหน้า ไม่มีโบ ไม่มีการ์ด ไม่มีแม้กระดาษแทรกบอกชื่อผู้ส่ง แต่มินตรากลับรู้ว่าของสิ่งนี้ผู้ให้คือใคร มินตราไม่รีบเปิด แต่ทอดมองกล่องนั้นชั่วครู่พลันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พอจะให้หัวใจที่ถูกขยี้ด้วยคำพูดเมื่อคืนคลี่คลาย ก่อนปลายนิ้วเรียวจะค่อย ๆ แกะปมริบบิ้นออก ฝากล่องถูกยกอย่างช้า ช้า จนแสงเช้าสาดลงบนเนื้อในกระดาษสา เผยให้เห็นบางสิ่งที่ทำให้ลมหายใจเธอติดขัดอีกครั้ง เช็กเงินสดยอดหกหลักวางเรียงอย่างราบเรียบอยู่ในซองขาวไร้ตัวหนังสือ และเหนือเช็กนั้นคือแฟ้มแผ่นบางพิมพ์ตราโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง ในนั้นแนบสัญญาค่ารักษาครบวงจร ลงลายเซ็นคิรินทร์ วัชรเมธาชัดเจน เส้นหมึกเรียบกริบราวคมมีด แต่ตวัดปลายอักษรอย่างอ่อนโยนจนชวนให้คิดว่าเจ้าของลายเซ็นคงตั้งใจมอบมากกว่าตัวเลขบนกระดาษ หญิงสาวตัวน้อยนั่งน้ำตาเอ่อขึ้นอีกครั้งคราวนี้ไม่ใช่เพราะความหวาด แต่เพราะหวั่นไหว มินตรายกมือสั่น ๆ แตะมุมเช็ก หยดน้ำอุ่นกลิ้งลงปลายนิ้ว เกิดวงเล็ก ๆ บนกระดาษสา กึ่ก เสียงประตูบานด้านขวาเลื่อนเปิดก่อนฝีเท้าหนักแน่นกึ่งผ่อนคลายจะก้าวเข้ามา ร่างสูงใหญ่ในสูทคนละสีกับเมื่อคืนปรากฏบนริมกรอบสายตา ชายเสื้อคลุมทิ้งตัวพลิ้วเหนือกางเกงเข้ารูปดูสง่าดุจราชสีห์ คิรินทร์วางเอกสารอีกชุดลงบนโต๊ะ ฝ่ามือหนาเคาะเบา ๆ ราวบอกว่าการตัดสินใจได้เกิดขึ้นตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ทันแย้มพ้นขอบตึก ฝั่งตรงข้าม เขาถอดเนกไทเหวี่ยงคล้องพนักเก้าอี้ ดึงกระดุมแขนเสื้อสองเม็ดออกเพื่อคลายความแน่นตึง ก่อนหมุนตัวมานั่งอีกฝั่งโซฟา ดวงตาคมลึกจ้องเธอนิ่งไม่พูดอะไร “คุณทำแบบนี้ทำไมคะ หนูบอกแล้วไงว่าจะจัดการเอง” “ตอบแทนที่เธออยู่กับฉัน” น้ำเสียงเขาไม่ได้ดูเย็นชาเหมือนหน้าตาที่แสดงให้เห็นเลยสักนิด “แค่ค่าตัวเหรอคะหรือซื้อความสงบสุขให้คุณเหมือนเดิม” มินตราคลี่ยิ้มมุมปากทว่า นัยน์ตาเธอยังคงเศร้าและให้นาทีต่อมาน้ำตายังคลอแวว คิรินทร์ไม่โต้เขาเพียงโน้มตัวพาดท่อนแขนบนพนัก หรี่ตาอมยิ้มบาง ๆ บนมุมปาก เสียงหัวเราะในลำคอยิ่งทำให้คนตรงหน้าไม่เข้าใจ “ค่าตัวสำหรับฉันคือสัมผัสเธอทุกคืน เงินนี่เป็นแค่เศษกระดาษที่ฉันแถมให้” มินตราขบริมฝีปากแน่น ใจนึกตัดพ้อแต่ก็ยอมรับว่าคำพูดทื่อดิบของเขามักกดปุ่มบางอย่างในหัวใจเธอให้เต้นแรงได้เสมอ เธอเอื้อมหยิบแฟ้มในนั้นระบุขั้นตอนการรักษาของพ่ออย่างละเอียด วงเงินที่ถล่มประสาทเธอให้หนักตลอดปีถูกตีตราว่าชำระเต็มด้วยตัวอักษรสีน้ำเงิน “คุณทำแบบนี้ทำไม…ทั้งที่หนูไม่เคยขอให้ช่วยเรื่องนี้” “เพราะเธอร้องไห้ไง” เขาตอบคำถามหน้าตาเฉยพร้อมให้เหตุผลที่ดูธรรมดาที่สุด ประโยคนั้นทำให้เธอต้องก้มหน้าซ่อนน้ำตาที่ไหลพร่างอีกครั้ง คราวนี้หยดน้ำหล่นบนเอกสาร เธอยกมือปาดมันทุลักทุเลแต่ยิ่งเช็ดยิ่งชุ่ม หมับ! เขารั้งฝ่ามือบางให้หยุด เจ้าของมือใหญ่บีบเบา ๆ จนความอุ่นกรุ่นแทรกผ่านผิว “ต่อไปถ้ามีอะไรพูดกับฉันตรง ๆ” เสียงทุ้มของเขาแผ่วลง แต่เต็มไปด้วยแรงโน้มน้าวแข็งแรงกว่าเงินสดกองโตเสียอีก มินตราสูดลมหายใจลึก หลุบตาลงมองนิ้วมือของเขาที่ประสานนิ้วเธอแน่น ลมหายใจติดขัดคล้ายจะปล่อยน้ำตาอีกลูก แต่สุดท้ายเธอเงยใบหน้าเปียกน้ำขึ้น สบตาคมลึกอย่างท้าทายเป็นครั้งแรก “คุณให้ได้ทุกอย่างจริงเหรอคะนอกจากคำว่ารัก” คิรินทร์ชะงัก ไม่ตอบในทันทีดวงตาเขาแฝงความคิดอยู่มากมายจนมินตราเดาความคิดยาก เขาได้แต่พูดกระชับคำแต่หนักแน่นเหลือเกิน “ฉันยังไม่กล้าพูดคำนั้นหรอก แต่ฉันกล้าทำ” ความเงียบที่เกิดหลังประโยคนั้นนิ่งงัน ไร้สำเนียง เป็นระยะนานพอให้หัวใจสองดวงรับรู้เสียงเต้นของกันและกัน จนมินตราผ่อนลมหายใจยาว ไหล่ที่เกร็งคลายลง เธอยกมือขึ้นลูบหลังมือเขาเบา ๆ ราวยอมรับ ทุกคำที่ไม่พูด แสงแดดสาดส่องเข้ามาภายในเพ้นท์เฮ้าส์สูงขึ้นกว่าขอบกระจก ในอ้อมผู้หญิงคนหนึ่งเธอน้ำตาคลอด้วยซึ้งใจ ส่วนผู้ชายหนึ่งคนยกมือเกลี่ยหยดน้ำทิ้งโดยไม่จำเป็นต้องพูดคำว่ารักแต่ใช้การกระทำเป็นคำพูดแทน รัศมีอาทิตย์ยามเย็นดั่งริ้วทองอ่อนทอดเข้ามาเคลือบพื้นไม้สัก เพนต์เฮาส์บนยอดตึกสูงเงียบสงบจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศกวาดอากาศเบา ๆ มินตราเพิ่งอาบน้ำเสร็จ สวมเสื้อยืดผ้าฝ้ายสีครีมกับกางเกงผ้าขายาวหลวม ๆ ทับด้วยเสื้อคลุมตัวเดิมของคิรินทร์ พลางเดินเท้าเปล่าตรงไปยังห้องทำงานครึ่งกระจกที่ประตูแง้มอยู่ ในนั้นคิรินทร์กำลังก้มอ่านแฟ้มบัญชี แว่นกรอบบางพาดสันจมูก ชายเสื้อเชิ้ตสีเทาอ่อนพับปลายแขนขึ้นเหนือข้อศอกโชว์ท่อนแขนแข็งแรง เอกสารกองใหญ่กระจายบนโต๊ะโอ๊ค แต่เสียงนิ้วเคาะเบา ๆ ของเขาลงบนปกแฟ้มกลับสม่ำเสมอและเป็นจังหวะ ราวเครื่องดนตรีที่ควบคุมวงได้ด้วยตัวคนเดียว “เหนื่อยไหมคะ” มินตราเคาะประตูเบา ๆ ก่อนโผล่หน้าเข้าไป เสียงของเธออ่อนลงโดยไม่รู้ตัวเมื่อมองเสี้ยวใบหน้าจดจ่อของเขา คิรินทร์เงยหน้า ดึงแว่นลงมาห้อยที่กระเป๋าเสื้อ ยกมุมปากเล็กน้อย “นิดหน่อย แต่ตอนนี้กล้ามคอเริ่มตึงล่ะ” ถ้อยคำเรียบ ๆ นั้นคือการอนุญาต มินตรายิ้มอาย แล้วเดินอ้อมหลังเก้าอี้หนังพลางใช้มือนวดบริเวณท่อนไหล่กว้าง หยิบความกล้าคลึงกล้ามเนื้อกระจายความเมื่อยให้เขา “แรงกว่านิด” เขาแนะพลางเอนศีรษะพิงพนัก ปล่อยให้มือเล็กกดจังหวะหนักขึ้น กลิ่นครีมหอมอ่อน ๆ บวกอบอวลกลิ่นกาแฟคั่วจากมุมห้องซึมเข้าลมหายใจ เขาหลับตาแผ่ว ถอนลมหายใจราวปลิดภาระบนโต๊ะครึ่งหนึ่งทิ้งไปกับแรงมือเธอ มินตราลอบสังเกตเส้นกรามที่ผ่อนคลาย ร่องลึกระหว่างคิ้วคลายออกทีละน้อย เธอกดนิ้วช้า ๆ ไล่ขึ้นถึงต้นคอ ก่อนนวดคลึงกกหูเบา ๆ เส้นเลือดเต้นต่ำ ๆ ใต้ผิวเขาเตือนว่าเจ้าของร่างสภาพสงบแต่ยังครอบครองแรงสั่นสะเทือนอันตรายได้ทุกวินาที “ตรงนี้ตึงสุด” เธอกระซิบเขาตอบรับในลำคอมือข้างหนึ่งยกจับข้อมือเธอไว้ สัมผัสนั้นไม่ได้ห้าม หากแต่ชวนให้ร่างเธอร้อนวาบตาม ในจังหวะที่เธอกำลังคลึงนิ้วโป้งวนใต้กกหู เสื้อคลุมชายยาวเลิกเผยต้นขาเปลือยเหนือเข่า คิรินทร์ลืมตาขึ้นทันที สายตาเข้มจับภาพขาวเนียนตรงหน้าไม่กะพริบ “นวดลงต่ำสิ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มปนเสียงคำสั่งมินตราหัวเราะพลางเลื่อนมือไล่ไหล่ลงสู่กล้ามแขน แล้วลูบเบาๆ ตรงแนวเขาขยับนิ้วจิกท้าวแขนกับผนังทุกครั้งที่เธอกดถูกจุด “อื้อ” หมับ!! และในจังหวะที่ฝ่ามือเลื่อนไปแตะแผ่นอกกว้าง คิรินทร์หมุนเก้าอี้ครึ่งรอบรวบร่างเธอให้นั่งคร่อมลงบนตักง่ายดาย “อ๊ายย!!คะ..คุณคิรินทร์” จ้วบบ!! เสียงร้องตกใจถูกกลืนหายเมื่อริมฝีปากเขาแนบแก้มแล้วเลื่อนจูบซับถึงมุมปาก “แบบนี้นวดง่ายขึ้นไหม” เขากระซิบติดผิวแก้มกลิ่นโคโลญจ์และกาแฟผสานลมหายใจทำหัวเธอหมุน เธอสั่นสะท้านแต่ยอมวางมือลงบนลาดไหล่เขาอยู่ท่านั้น ลมหายใจปะทะกันในระยะห่างไม่ถึงนิ้ว คิรินทร์ยกมือประคองท้ายทอยนวดเธอกลับอย่างช้า ๆ นิ้วใหญ่ไล้กดจุดหลังหูเธอจนหลับตาครางแผ่ว เขาแอบหัวเราะพร่าในลำคอ ก่อนกดจูบเข้าริมฝีปากบางดูดกลืนเสียงอ่อนหวานนั้นทั้งหมด “อื้ออ” จ้วบบ ความอบอุ่นแพร่ซ่านร่างสองคน เธอกอดคอเขาแน่น ลิ้นร้อนแลกสัมผัสนุ่มลึกสลับถอนหายใจต่ำกระเส่า เขาหอมแก้มเธอซ้ายทีขวาที ฟัดซอกคอจนเธอหัวเราะในลำคอปนขวยเขิน “คุณคิรินทร์คะเดี๋ยวงาสก็ไม่เสร็จหรอก” เธอเตือนหอบ ๆ มือยังลูบไหล่เขา “งานสำคัญน้อยกว่าเธอ” เขาอมยิ้มรวบเอวบางแนบแน่น พลิกตัวหมุนเก้าอี้เข้าหาโต๊ะ วางเธอบนตักต่อหน้ากองแฟ้มเหมือนประกาศให้รู้ว่าเขาเลือกอะไร ท่อนแขนใหญ่ที่กอดตัวเล็กแนบชิด นิ้วเธอยังซุกผมด้านหลังเขาเบา ๆ ส่วนเขาเปลี่ยนจากหอมหยอกเป็นกดจูบเนิ่นนานตรงขมับ ราวจะย้ำเตือนว่า…เขาไม่ปล่อยให้เธอออกไปจากห้องนี้ง่ายๆแน่ ถึงปากเขายังไม่พูดว่ารัก แต่หัวใจและร่างกายของเขากำลังเปิดให้อยู่แล้วบทที่9ระแวงห้องรับแขกกว้างขวางของเพ้นท์เฮ้าส์ราคาแพงเงียบสงัด จนได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาเดินเป็นจังหวะเนิบช้า มินตรายืนกอดอกอยู่หน้าเตาผิงจำลอง ดวงตากลมโตฉายแววลังเลและสั่นไหว ร่องรอยจางบนแก้มยังไม่ทันจางลงจากไอร้อนยามบ่าย แต่ภายในกลับเย็นเยียบยิ่งกว่าอากาศยามค่ำเธอกำลังรอและการรอคอยครั้งนี้ช่างยาวนานเกินกว่าจะนับเวลาได้เพียงชั่วโมงเดียว รถเบนท์ลีย์สีดำคันคุ้นตาแล่นจากรั้วไปตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ลับฟ้า โดยมีเพียงคำสั้น ๆ ว่ามีประชุมด่วนทิ้งไว้แสงไฟสีอบอุ่นจากหัวบันไดสะท้อนกับโซฟาหนังแท้สีอ่อน เธอลอบมองโทรศัพท์ที่สว่างขึ้นทุก ๆ สิบนาทีจากการแจ้งเตือนของเพื่อนร่วมรุ่น แต่กลับไม่มีแม้เพียงหนึ่งข้อความจากเขา คิรินทร์ วัชรเมธา ชายผู้ที่เธอกำลังฝากหัวใจไว้โดยไม่รู้ตัวแฟ้มบางบนโต๊ะกลางยังอ้าปากเผยรูปถ่ายหญิงสาวปริศนา ผู้มีดวงตาคมลึกและรอยยิ้มบางเฉียบที่เปี่ยมไปด้วยชัยชนะ หน้ากระดาษแนบถ้อยคำทิ้งท้ายว่า ‘ถึงคนที่อยู่ข้างกายฉัน วันนี้ พรุ่งนี้ และอนาคต’ เหมือนจะส่งสารบางอย่างจากอดีตสู่ปัจจุบันหญิงสาวกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เธอคือใครกันแน่ มินตราเริ่มตั้งคำถามว่า เธอมีสิทธิ์ในหัวใจเขาจริง หรือ
บทที่8ใครคนนั้นหลังจากเช้าอุ่นไอรักผ่านพ้นไป มินตราคิดว่าเขาจะกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมอีกครั้ง เหมือนทุกครั้งที่หมดภารกิจในห้องนอน แต่เปล่าเลยคิรินทร์กลับทำในสิ่งที่เธอไม่ทันตั้งตัว“ไปเปลี่ยนชุด” เขาพูดขณะยกกาแฟขึ้นจิบใบหน้ายังเรียบเฉยเหมือนทุกวัน แต่แววตานั้นกลับซ่อนรอยยิ้มบางเบาไว้“หืม..คุณว่าไงนะคะ” มินตราเงยหน้าขึ้นจากขนมปังตรงหน้าที่เขาเตรียมไว้ให้ เพราะมีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้น“เราจะไปไหนกันเหรอคะ”“ฉันอยากพาเธอไปสูดลมทะเล” เขาตอบเรียบ ๆ ก่อนจะวางแก้วลง “บนเรือ...ไปทะเลกัน”“...”มินตราไม่มีเวลาอึ้งนานก็ต้องเตรียมตัวลุกไปจัดเตรียมสัมภาระ ไม่ถึงชั่วโมงต่อมารถยนต์คันหรูพามาถึงท่าเรือส่วนตัว มินตรายืนกะพริบตาถี่เมื่อเห็นเรือยอชต์สีขาวหรูเทียบท่ารออยู่ คนที่เคยเห็นเรือพวกนี้แค่ในโฆษณา ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะได้เหยียบมันจริง ๆ ด้วยเท้าตัวเอง“นี่คือ...ของคุณ” เธอถามเสียงอ่อยขณะจับมือเขาขึ้นเรือ“หึ...เธอเข้าใจถูกแล้วล่ะที่นี่เป็นของฉันทุกอย่าง” เขาตอบพร้อมกับรั้งมือเธอแน่น บนเรือยอชต์สุดหรู พนักงานต้อนรับและกัปตันล้วนรู้จักเขาดีจนไม่ต้องออกคำสั่งใด ๆ เรือค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจาก
บทที่7คำสัญญาเพียงแค่ประโยคนั้นหลุดจากริมฝีปากของคิรินทร์ กลิ่นอายของค่ำคืนนี้ก็เปลี่ยนไป แต่มันคือพลังบางอย่างที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาแรงปรารถนาอันเงียบงันแต่ทรงพลังมินตรานั่งนิ่งใบหน้าร้อนวูบวาบแต่ไม่กล้าหันไปมองเขา เธอรับรู้ได้ถึงมืออุ่นที่จับมือเธอไว้แน่น และนิ้วโป้งที่เกลี่ยเบา ๆ บนหลังมืออย่างเชื่องช้า ราวกับพยายามกล่อมจิตใจเธอให้ล่องลอยไปตามจังหวะของเขาเมื่อรถจอดที่หน้าเพนต์เฮาส์ เธอยังรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้เดิน แต่ถูกแรงอ่อนโยนบางอย่างพาเข้าสู่ลิฟต์ส่วนตัวจนถึงชั้นบนสุดประตูลิฟต์เปิดออกโดยไม่มีคำพูดใด ๆ เขาเดินนำหน้าเธอเข้าไปในห้อง ขณะเธอก้าวตามเหมือนถูกสะกดด้วยแรงอธิบายไม่ได้ภายในห้องตกแต่งด้วยแสงไฟสีส้มอมทองที่ส่องจากโคมข้างหัวเตียง กลิ่นหอมของดอกไม้จากเครื่องกระจายกลิ่นลอยคลุ้งในอากาศ ทุกอย่างเหมือนจัดเตรียมไว้สำหรับค่ำคืนนี้ค่ำคืนที่เขาบอกว่าจะทำให้เธอลืมคำดูถูกทั้งปวง คิรินทร์หันกลับมามองเธอในแสงสลัว ดวงตาของเขาเข้มลึกและมั่นคงเหมือนพายุที่ซ่อนอยู่หลังเงาเมฆ"เดินมาหาฉัน มิน"“ค่ะ”เสียงของเขาเรียกเธออย่างแผ่วเบา แต่มันสะเทือนจนเธอรู้สึกได้ถึงแรงสั่นในอก เธอเดินเ
บทที่6หนูก็แค่เด็กคนหนึ่งที่เอาตัวแลกเงินแสงแดดสายแกว่งไกวบนเคาน์เตอร์หินอ่อนสีครีมในครัวเปิดโล่งด้านตะวันออก กลิ่นกาแฟคั่วสดจากเครื่อง เอสเพรสโซ่แตะจมูกตั้งแต่ทางเดิน มินตราสวมเสื้อเชิ้ตผู้ชายตัวยาวสีขาวล้วน ก้าวเท้าเบา ๆ ยืนพิงกรอบประตู มองภาพเบื้องหน้า คิรินทร์ในเสื้อยืดสีเทาอ่อนตัวเดียว กางเกงลำลองสีน้ำตาลเข้มขยับมีดครัวหั่นเบคอนอย่างตั้งอกตั้งใจราวเชฟมืออาชีพเขาไม่ใช่มืออาชีพเห็นได้จากวิธีหยิบมีดแข็ง ๆ แต่แค่ภาพชายผู้บริหารที่เมื่อคืนยังเด็ดขาดในห้องประชุม ตอนนี้ยืนหันหลังให้เธอสะบัดกระทะก็เพียงพอจะทำให้ใจเธออุ่นวาบเสียงช้อนกระทบแก้วดังกรุ๋งกริ๋ง เขาหันมารับรู้สายตาหญิงสาว แล้วยกยิ้มมุมปากที่ทำให้กล้ามแก้มเขาเป็นคลื่น“ตื่นแล้วเหรอ คนขี้เซา ฝากอุ่นนมให้ทีสิ” เขาพูดเสียงนุ่มสอดสายตาอบอุ่นแม้ยังถือมีดมินตรายิ้มและพยักหน้าเข้าใจก่อนเดินไปเปิดเตาเล็ก เคลื่อนหม้อนมอย่างคล่อง เธอเติมผงโกโก้ลงไปเล็กน้อยให้สีละมุน แล้วคนด้วยช้อนเงิน ยกขึ้นดมกลิ่นหอมละมุนทำให้เธอนึกถึงบ้านครั้งยังเด็กคิรินทร์จับเบคอนเรียงลงกระทะ เสียงฉ่าเบา ๆ ดัง เคล้าเสียงขนมปังเด้งจากเครื่องปิ้งอัตโนมัติราวจังหวะด
บทที่5 กอดทั้งคืน กลางคืนของกรุงเทพฯ ความเงียบสงัดกลับกล่อมโลกทั้งใบให้หลับใหล มินตรายืนอยู่ริมหน้าต่าง กระชับเสื้อคลุมแพรสีน้ำเงินเข้มแนบอก ร่างบางสะท้อนแสงจันทร์เป็นเงาอ่อนบนกระจกเงา กลิ่นสบู่อ่อน ๆ จากห้องน้ำยังติดปลายจมูก ภาพของชายหนุ่มที่เดินเข้าไปด้วยท่วงท่าหนักแน่นและเงียบงันยังติดตา เธอก้มมองโทรศัพท์ที่วางหงายอยู่บนโต๊ะ ข้อความสุดท้ายที่ได้รับก่อนเขาเดินเข้าไปอาบน้ำเพียงหนึ่งบรรทัด K:คืนนี้ อย่าแตะโทรศัพท์ ฉันต้องการเวลากับเธอทั้งคืน หัวใจเธอเต้นแรงกว่าเดิมไม่ใช่เพราะถ้อยคำหวงแหน แต่เพราะน้ำเสียงในข้อความนั้นแฝงแรงดึงดูดบางอย่างที่ห้ามไม่ได้ เสียงประตูเลื่อนเปิดช้า ๆ กลุ่มไอร้อนจากห้องน้ำลอยออกมาก่อนที่เขาจะก้าวออกมา คิรินทร์สวมชุดคลุมอาบน้ำผืนบาง เส้นผมเปียกชื้นแนบกรอบหน้า ดวงตาคมเข้มหยั่งลึกจับจ้องเธอในความมืดครึ่งหนึ่งของห้อง เขาไม่ได้พูดทันที แค่เดินเข้าใกล้เรื่อย ๆ “ยังไม่นอน?” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม ผิดกับบุคลิกที่เธอเคยรู้จักในห้องประชุมมากนัก “รอคุณค่ะ” เธอกลืนน้ำลายเบา ๆ ก่อนตอบเขาหยุดห่างเพียงช่วงลมหายใจ ดวงตาของเขามองต่ำลงที่เสื้อคลุมของเธอที่คล้ายหลวมไปนิด
บทที่4ของขวัญฟ้าเช้าวันใหม่ส่องลอดผนังกระจกของเพนต์เฮาส์ เหลือบแสงอุ่นไล้ไหลตามพื้นไม้สักจนเกิดริ้วละมุนราวผืนผ้าทอทอง มินตรานั่งนิ่งงันที่ปลายโซฟา ทว่าดวงตากลมกลับขุ่นมัวคล้ายหมอกเช้าเพราะน้ำตาที่ค้างขอบชั่วครู่เธอไม่แน่ใจว่าหลับไปตอนไหน ความอ่อนแรงทำให้สติเลือนหายราวฝัน หากสิ่งแรกที่เห็นตอนลืมตา คือกล่องสีน้ำตาลสันเรียบวางอยู่บนโต๊ะกระจกตรงหน้า ไม่มีโบ ไม่มีการ์ด ไม่มีแม้กระดาษแทรกบอกชื่อผู้ส่ง แต่มินตรากลับรู้ว่าของสิ่งนี้ผู้ให้คือใครมินตราไม่รีบเปิด แต่ทอดมองกล่องนั้นชั่วครู่พลันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พอจะให้หัวใจที่ถูกขยี้ด้วยคำพูดเมื่อคืนคลี่คลาย ก่อนปลายนิ้วเรียวจะค่อย ๆ แกะปมริบบิ้นออกฝากล่องถูกยกอย่างช้า ช้า จนแสงเช้าสาดลงบนเนื้อในกระดาษสา เผยให้เห็นบางสิ่งที่ทำให้ลมหายใจเธอติดขัดอีกครั้งเช็กเงินสดยอดหกหลักวางเรียงอย่างราบเรียบอยู่ในซองขาวไร้ตัวหนังสือ และเหนือเช็กนั้นคือแฟ้มแผ่นบางพิมพ์ตราโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง ในนั้นแนบสัญญาค่ารักษาครบวงจร ลงลายเซ็นคิรินทร์ วัชรเมธาชัดเจน เส้นหมึกเรียบกริบราวคมมีด แต่ตวัดปลายอักษรอย่างอ่อนโยนจนชวนให้คิดว่าเจ้าของลายเซ็นคงตั้งใจมอบมากกว่า







