ร่างสูงสง่าตามแบบฉบับชายหนุ่มลูกครึ่งยืนกอดอกทอดมองออกไปยังสวนร่มรื่น ที่มีต้นไม้นานาพันธุ์ทั้งน้อยใหญ่ปลูกอยู่ทั่วอาณาบริเวณคฤหาสน์หรู ห้องทำงานส่วนตัวเงียบสงบ ไม่มีเสียงใดรบกวนนอกจากเสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังขึ้นริบหรี่บ่งบอกให้รู้ว่ากำลังถูกเปิดใช้งานอยู่ ใบหน้าหล่อรูปหัวใจนิ่งเรียบตามสไตล์ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มดุจพญาเหยี่ยวแลดูน่าเกรงขาม รับกับจมูกโด่งที่บ่งบอกถึงความเป็นฝรั่ง ปากหยักเรียวสีชมพูราวกับผู้หญิง โดยรวมแล้วราฟาเอล บารานอฟ หล่อแบบดิบๆ ออกแนวดุดัน รอยยิ้มของเขาไม่เคยจะมีใครได้เห็นง่ายๆ นอกเสียจากเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันที่มักจะได้เห็นอยู่เสมอ
หลังจากที่บิดามารดาได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก ชีวิตวัยหนุ่มของเขาก็ได้จบลงด้วย ในตอนนั้นเขามีอายุเพียงแค่ยี่สิบปี อยู่กับความเศร้าโศกได้ไม่นานก็ต้องรับช่วงต่อกิจการทั้งหมดของครอบครัว ที่มีทั้งอสังหาริมทรัพย์ตามหัวเมืองใหญ่ๆ ของประเทศต่างๆ เป็นรายใหญ่ในการนำเข้าส่งออกสินค้าจากประเทศนั้นไปประเทศนี้ รวมถึงยิบย่อยอีกหลายอย่าง ด้วยความที่เป็นลูกชายคนเดียว ทำให้เขาต้องทำงานอย่างหนักพร้อมกับเรียนหนังสือไปด้วย เทียวไปเทียวมาระหว่างมหาวิทยาลัยในกรุงลอนดอนกับอีกหลายประเทศ จนกระทั่งอายุยี่สิบเอ็ดเขาก็สามารถคว้าใบปริญญาทางด้านบริหารธุรกิจมาได้ และได้กลับมาปักหลักอยู่ที่ประเทศไทย ประเทศที่พ่อและแม่ของเขารักที่สุด
การบริหารงานของเขาส่วนใหญ่จะอยู่ที่เมืองไทย สาขาต่างประเทศก็สั่งงานผ่านระบบวิดีโอคอนฟอเรนซ์ หากมีปัญหาที่ใหญ่เกินกว่าจะคุยผ่านวิดีโอเขาถึงจะบินไปแก้ไขด้วยตนเอง การทำงานของเขาเด็ดขาด ตัดสินใจอะไรลงไปแล้วไม่มีเปลี่ยนแปลง ทำให้ลูกน้องต่างเคารพยำเกรง และเมื่อถึงคราวที่ต้องบริจาคเงินทำบุญให้กับสถานสงเคราะห์ต่างๆ เขาก็ทุ่มไม่งั้นเหมือนครั้งที่พ่อกับแม่เคยทำเอาไว้ในแต่ละปี
ปีแรกของการมาบริหารงาน เขาเลือกทำบุญกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง โดยได้เดินทางไปมอบด้วยตนเอง วันนั้นเขาได้พบกับเด็กผู้หญิงวัยสิบขวบที่ แอบนั่งร้องไห้อยู่ทางด้านหลังของบ้านเด็กกำพร้า ด้วยความที่สงสารทำให้เขาได้เข้าไปคุย และจับจูงให้เดินกลับเข้าบ้าน ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ใช่คนรักเด็ก สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับความเป็นมาของแม่หนูน้อยจากคนดูแล บวกกับที่เขาถูกชะตาและรู้สึกเอ็นดู ทำให้เขาตัดสินใจรับเด็กคนนี้มาอุปการะ โดยที่ไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้น เด็กหญิงผมเปียหน้าตาบ๊องแบ๋วในวันนั้นทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปจากเดิม เขาใช้เวลาสองปีในการส่งให้น้องสาวบุญธรรมเรียนภาษา หลังจากนั้นเขาก็ส่งสาวน้อยให้ไปเรียนโรงเรียนประจำที่ประเทศอังกฤษเขายังจำถึงเหตุการณ์ในวันนั้นได้เป็นอย่างดี
‘พี่ราล์ฟขาแพรวอยากอยู่กับพี่ราล์ฟ พี่ราล์ฟอย่าทิ้งแพรวไว้คนเดียวสิคะ ฮึก แพรวไม่อยากอยู่ที่นี่’
‘พี่อยากให้น้องแพรวได้รับสิ่งดีๆ อยู่ที่นี่น้องแพรวต้องเป็นเด็กดีนะครับ แล้วพี่จะมาหาบ่อยๆ พี่ไม่ได้ทิ้งน้องแพรวไปไหน’
‘แต่แพรวอยากกลับบ้านกับพี่ราล์ฟ’
‘เลิกร้องนะคนดี พี่รักน้องแพรวนะ’
แม้แพรวพิชชาจะส่งเสียงร่ำไห้เพียงใด เขาก็ไม่หันกลับไปมอง เพราะกลัวว่าตัวเองจะใจอ่อนพาน้องกลับบ้าน จากวันนั้นถึงวันนี้กสิบสองปีแล้ว จากเด็กวัยสิบขวบกลายเป็นสาววัยยี่สิบสองปี และวันนี้เองสิ่งที่เขารอคอยมานานหลายปีกำลังจะสิ้นสุดลง ความอดทนอดกลั้นก็จะไม่มีอีกต่อไป เมื่อของรักกำลังจะกลับเข้าสู่อ้อมอกในอีกไม่ช้า
ร่างบางในชุดทะมัดทะแมงก้าวขาออกมาจากอาคารผู้โดยสารขาออกด้วยท่าทางมั่นใจ สายตากลมโตกวาดมองผู้คนที่เดินกันไปมา พลางชะเง้อมองหาคนที่มารับเธอกลับบ้าน แล้วรอยยิ้มแฉ่งอย่างดีใจก็ปรากฎเมื่อเห็นป้ายขนาดใหญ่ที่ชูขึ้นโดยผู้ชายร่างโต
‘ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับคุณหนู’
แม้จะแอบน้อยใจนิดๆ ที่ไม่เห็นผู้เป็นพี่ชายมารับด้วยตัวเองอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ แต่รอยยิ้มสดใสก็ไม่ได้จางหายไปจากใบหน้าแต่อย่างใด
“พี่แบรทคิดถึงจังค่ะ ไม่เจอกันตั้งนาน ดูหล่อขึ้นนะเนี่ย” ร่างเล็กกระโดดกอดชายหนุ่มร่างโตที่ยืนยิ้มแฉ่งให้เธอ แต่พอโดนกอดก็รีบกระโดดออกราวกับติดสปริง ใบหน้าที่ขาวอยู่แล้วถึงกลับซีดลงไปอีกราวกับไก่ต้ม ถ้าทางลนลานของแบรททำให้คนชอบแกล้งอมยิ้มอย่างถูกใจ
“ผมก็คิดถึงคุณหนู แต่คุณหนูอย่ากอดผมแบบนี้สิครับ ถ้าคุณราล์ฟรู้เข้ามีหวังผมโดนยิงทิ้งแน่” แบรททำหน้าแหย ใครๆ ก็รู้ดีว่าคุณราล์ฟของเขาหวงคุณหนูแพรวพิชชาขนาดไหน ยิ่งถ้ารู้ว่าคุณหนูกอดเขาแบบนี้ไม่ตายดีแน่ แค่คิดก็กลัวจะแย่อยู่แล้ว
“พี่ราล์ฟจะรู้ได้ยังไงถ้าเราสองคนไม่พูด พี่แบรทกับพี่โรมนี่กลัวพี่ชายแพรวเกินไปแล้วนะคะ” แพรวพิชชากลั้วหัวเราะ ลูกน้องคนสนิทของพี่ชายเธอกลัวเจ้านายยังไงก็อย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
“ไม่กลัวได้ยังไงล่ะครับ คุณหนูก็รู้ว่ารายนั้นดุอย่างกับอะไรดี ทำอะไรไม่ถูกใจนิดเดียวก็โดนเตะแล้วครับ เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะครับคุณหนู ผมว่าเราไปคุยต่อกันในรถดีกว่าครับจะได้กลับบ้านกัน เดี๋ยวคุณราล์ฟรอนานแล้วพาลโมโหผมอีก ท่านยิ่งกำชับว่าให้รีบกลับทันทีไม่ต้องโอ้เอ้ที่ไหนตามใจคุณหนู” แบรทถ่ายทอดคำสั่งของเจ้านาย พร้อมกับแย่งรถเข็นสัมภาระของคุณหนูคนสวยมาเข็นเอง
“แพรวไม่ได้จะโอ้เอ้สักหน่อย พี่ราล์ฟชอบเห็นแพรวเป็นเด็กอยู่เรื่อยเลย พี่แบรทเดินนำไปที่รถเลยค่ะ เดี๋ยวเจ้านายรูปหล่อของพี่จะของขึ้น” แพรวพิชชาหน้าง้ำ แล้วผายมือให้แบรทเดินนำหน้า
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาเดินเข้ามาด้วยความระมัดระวัง หวังจะไม่ให้คนที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่รู้ตัว แต่คนที่มีเส้นประสาทในการฟังดีเยี่ยมก็รับรู้ได้ ทว่าแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ร่างบางที่เดินเข้ามาประชิดติดด้านหลังกว้าง โผเข้ากอดเอวสอบอย่างแนบแน่น ใบหน้าน่ารักแนบลงกับแผ่นหลังอบอุ่น มีเสียงหัวเราะคิกคักดังเล็ดลอดออกมาจากเรียวปากสวย ไม่สนใจว่าคนที่กอดอยู่จะคุยอยู่กับใคร ราฟาเอลที่คุยธุระเสร็จแล้วหันกลับมามองอ้อมแขนเล็กที่กอดรัดเอวเอาไว้ด้วยสีหน้าท่าทางไม่ยินดียินร้ายอะไร
“คิดถึงจังค่ะพี่ราล์ฟ ไม่เจอกันตั้งนานขอกอดให้หายคิดถึงนานๆ หน่อยนะคะ” เสียงอู้อี้ดังอยู่ที่แผ่นหลังแกร่งอย่างออดอ้อน
มือใหญ่ดึงแขนเรียวออกห่าง ทำให้เห็นหน้าคนช่างอ้อนชัดๆ นัยน์ตาคมสำรวจคนตรงหน้าอย่างพินิจ ใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้ม สวยใสไร้ที่ติ คิ้วเรียวงาม ดวงตาเป็นประกายสดใส จมูกโด่งเล็กน่ารัก เรียวปากเป็นกระจับสวย ทุกอย่างที่เห็นมันน่ารักไปเสียหมด
“ตัดผมสั้นทำไมน้องแพรว” ราฟาเอลถามเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ น้ำเสียงแลหงุดหงิด สายตาคมจับจ้องอยู่ที่ผมสั้นสีน้ำตาลสวยอย่างไม่วางตา แพรวพิชชาถึงกับถอนหายใจอย่างเซ็งๆ แทนที่พี่ชายของเธอจะบอกว่าคิดถึงอะไรแบบนี้ กลับพูดถึงเรื่องผมเป็นอันดับแรก เธอละเชื่อเขาเลยจริงๆ
“แทนที่พี่ราล์ฟจะบอกว่าคิดถึงแพรว แต่กลับพูดเรื่องผมเป็นอันดับแรก แบบนี้มันน่าน้อยใจนะคะ” เจ้สของใบหน้างอเอ่ยอย่างงอนๆ ยกแขนขึ้นมากอดอกตัวเองเอาไว้แน่นอย่างต้องการจะประท้วง คนอะไรนอกจากจะชอบทำหน้าตายแล้วยังใจดำอีก
“จะน้อยใจพี่ด้วยเรื่องอะไร ในเมื่อน้องแพรวก็รู้อยู่แล้วว่าพี่คิดถึงเรามากแค่ไหน พี่แค่อยากจะรู้ว่าทำไมน้องแพรวของพี่จะต้องตัดผมสั้นด้วย เพราะพี่ชอบให้ไว้ผมยาวมากกว่า” ราฟาเอลพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้าคมก็ยังคงไม่คลายความขุ่นเคืองลง
“แพรวไม่อยากพูดกับพี่ราล์ฟแล้ว ขอตัวขึ้นไปพักผ่อนก่อนนะคะ เดินทางมาเหนื่อย ไว้เจอกันค่ะ” แพรวพิชชาแก้มป่องหมุนตัวหันหลังเตรียมจะเดินออกไป
“ขี้งอนไม่เคยเปลี่ยนจริงๆ น้องแพรว” ราฟาเอลพึมพำกับตัวเอง แล้วส่ายหน้าน้อยๆ
“ว้าย!”
ตกดึกหลังจากส่งลูกๆ เข้านอนแล้วก็เป็นเวลาของพ่อแม่ สองร่างเปลือยเปล่ากำลังแลกจูบ ลูบไล้ร่างกายของกันและกันอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น “หลายวันแล้วที่ไม่ได้กินน้องแพรว คืนนี้พี่ขอทั้งคืนเลยได้ไหมคะ” “หลายวันที่ไหนกันคะ แค่วันเดียวเท่านั้นเอง” เรียวขางามแยกออกจากกันเพื่อให้สามีได้ซุกหน้าลงมาหาได้ถนัด “ทั้งคืนไม่ดีมั้งคะ แพรวกลัวลูกตื่นแล้วไม่เจอเรา” “ลูกไม่ตื่นหรอกค่ะ เล่นกันจนเพลียขนาดนั้น” “พี่ราล์ฟก็รู้ว่าลูก…อื้อ อย่าเป่าลมหายใจใส่แพรวแบบนี้สิคะ แพรวเสียว หยุดแกล้งสักที” แพรวพิชชาหนีบขาจึงเท่ากับหนีบใบหน้าสามีไปด้วย คนถูกหนีบชอบใจ ขยี้ปาก จมูกรังแกร่างบางจนสะโพกลอยเด่น “ลูกสองแล้วอะไรก็เอาเมียพี่ไม่ลง ยังน่ากิน และทำใจผัวสั่นทุกครั้ง” “ทำเลยได้ไหมคะ แพรวกลัวลูกตื่นจัง” “ไม่ตื่นหรอกค่ะ” “พ่อจ๋า แม่จ๋าอยู่ไหน ฮือๆ” “พี่ราล์ฟ เสียงเอลลี่นี่คะ!” แพรวพิชชาหน้าตื่น ดันไหล่สามี “เอลลี่ของพ่อ ทำไมหนูทำกับพ่อแบบนี้คะลูก” โอดครวญกลางวงล้อมระหว่างขาเมีย “รีบลุกสิคะพี่ราล์ฟ อย่ามัวแต่ซบแพรว เดี๋ยวแอรอนก็ร้องอีกคนหรอกค่ะ” ฟาดไหล่สามีพลางมองหาชุดนอนที่อยู่ไกลออกไปจากโซฟา ตอนบอกให้รีบล
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ลูกสาวคนโตซึ่งเป็นโซ่ทองคล้องใจของราฟาเอล และแพรวพิชชามีอายุได้สามขวบแล้ว ความสวยที่ฉายแววมาตั้งแต่เล็กๆ นับวันยิ่งโดดเด่นจึงทำให้คุณพ่อหวงลูกสาวมากกว่าเดิม ส่วนลูกชายคนที่สองก็โตตามพี่สาวมาติดๆ รูปหล่อ น่ารักไม่แพ้พี่สาว ลูกหัวปีท้ายปีทำเอาคนเป็นพ่อแม่หัวหมุนไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับความสุขนั้นย่อมมีมากกว่า เป็นความวุ่นวายที่มีแต่รอยยิ้ม “แม่จ๋าเอลลี่อยากกินเยลลี่ค่ะ” สาวน้อยทำตาปริบๆ ออดอ้อนคุณแม่ท่าทางน่ารักน่าชัง “แต่เอลลี่เพิ่งจะทานขนมไปนะคะคนดี หนูหิวอีกแล้วเหรอคะ” แพรวพิชชาก้มมองลูกสาวที่กำลังยืนซบแก้มกอดขาเธอก่อนจะอุ้มขึ้นมาหอมแก้มยุ้ยๆ ด้วยความรักสุดหัวใจ เอลลี่น้อยของเธอชอบทานขนมเป็นชีวิตจิตใจ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะตามใจทุกครั้งที่เจ้าตัวร้องขอ ที่บอกว่าหิวน่ะบางครั้งก็ไม่ได้หิวจริงๆ แต่อยากทานมากกว่า “หิวค่ะ เอลลี่หิว” แพรวพิชชาอมยิ้ม เขี่ยจมูกน้อยๆ ด้วยจมูกของเธอ “หิวแบบไหนคะ ข้าวหรือขนม” “ขนมค่ะ” ตอบชัดถ้อยชัดคำแล้วใช้จมูกเล็กๆ หอมแก้มเอาใจคุณแม่ “เรานี่น้า” “แม่ค้าบ อุ้มแอรอนด้วย” “ครับลูก” แพรวพิชชาย่อตัวลงอุ้มลูกชาย มือน้อยๆ เกี่ยวคอคุณ
“เฮ้ย! แกเป็นใครวะมานอนกอดฉันแบบนี้ได้ไง ออกไปเดี๋ยวนี้นะเว้ย!” ตอเรสโวยวายเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วเจอชายแปลกหน้ากำลังยุ่มย่ามกับตนเอง “เสียงดังหาป้าแกเหรอ เดี๋ยวหลานก็ตื่นเพราะความขี้โวยวายของแกหรอก” ไรอันลุกขึ้นนั่งทั้งที่ตายังไม่ลืม ท่าทางสะลึมสะลือ ผมยุ่งไม่เป็นทรง “ช่วยแหกตาขึ้นมาดูก่อนได้ไหมวะไรอัน จะเสียตัวให้ไอ้ห่านี่อยู่แล้วแม่งเอ๊ย!” ตอเรสหน้าบึ้งจัด พลางผลักชายแปลกหน้าที่ส่งยิ้มให้ไปทางไรอันแล้วตัวเองรีบกระโดดหนี “หลับสบายไหมครับสุดหล่อ” เจคอปถามชายหนุ่มที่ตนซบไหล่อยู่เสียงนุ่ม “เฮ้ย! ไอ้หมอนี่มันเป็นใครวะตอเรส ท่าทางมันเหมือนชอบเพศเดียวกันเลยว่ะ” ไรอันหน้าตาตื่น ผลักหน้าขาวๆ ถอยหลังกรูดทันทีที่มีสติ เขาเกือบจะเสียจูบให้มันไปแล้ว “ไม่เหมือนหรอกมันใช่เลยไอ้เพื่อนโง่เอ๊ย! ส่วนแก เป็นใครวะ เข้ามาในบ้านเพื่อนฉันได้ยังไงฮะ ไม่ต้องยิ้มให้ฉัน ขนลุกไปหมดแล้วกู” ตอเรสรัวภาษาอังกฤษ “นี่พวกแกเสร็จเพื่อนน้องแพรวไปแล้วเหรอวะตอเรส ไรอัน” “คุณตอเรสกับคุณไรอันไม่นะครับ” โรมตามเจ้านายเข้ามาทำตาโต “เมื่อคืนพวกผมก็เกือบโดนเหมือนกันครับ แต่ดีที่รอดมาได้” แบรทเสริมพลางค้อนเจ้านาย “พี่ไรอันก
“เอลลี่จ๋าวันนี้หนูต้องอยู่บ้านกับพ่อสองคนนะครับ คุณแม่เขาจะทิ้งเราพ่อลูกไว้ที่บ้านแล้วตัวเองก็ออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ หนูอย่างอแงกับพ่อมากนะครับ” ราฟาเอลพูดกับลูกน้อยตัวหอมฟุ้งระหว่างรอเมียบรรจงแต้มเครื่องสำอางบนใบหน้าขาวผ่อง ก่อนหน้านี้เขานอนเล่นกับลูกบนเตียงแต่อยู่ดีๆ หนูน้อยก็แผดเสียงร้องไห้จ้าแบบไร้สาเหตุ พออุ้มพามาหาแม่ก็อารมณ์ดี ไม่รู้ว่าหลังจากนี้ถ้าแม่ไม่อยู่ให้เห็นหน้าจะร้องไห้อีกหรือเปล่า “แม่ไม่ได้ทิ้งหนูจ้ะ คุณพ่อพูดเกินความจริงไปมาก” แพรวพิชชาหันกลับมามองสองพ่อลูกที่นั่งเฝ้าเธอแต่งหน้า พลางค้อนสามีไปหนึ่งที ดูเอาเถอะท่านประธานที่น่ารักของเธอ เมื่อคืนก็นึกว่าจะคุยกันรู้เรื่องแล้ว แต่พอถึงเวลาที่เธอจะไปดันงอแงแข่งกับลูก ขอตีสักทีจะได้ไหม หน้างอใส่เธอตั้งแต่ตื่นนอนจนตอนนี้ “แอ้ๆ” เห็นคุณแม่คนสวยหันมาคุยด้วยเอลลี่น้อยก็ตอบโต้อย่างอารมณ์ดี ดวงตากลมโตจ้องกลับ ส่งเสียงอ้อแอ้ แกว่งแขน แกว่งกำปั้น เจื้อยแจ้วต เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากพ่อและแม่ ยามคุณพ่อเอาไรเคราถูตรงฝ่าเท้าน้อยๆ ก็หัวเราะ เป็นภาพที่น่ารักน่าเอ็นดูเหลือเกินในสายตาแพรวพิชชา ก่อนรอยยิ้มจะมาสะดุดตรงประโยคคุณพ่อของลูก “ล
“แน่ใจนะคะว่าแค่อยากอาบน้ำให้เมีย” ดวงตาคู่งามมองสามี เธอรู้ทันเขาหรอก ถ้าไม่ติดว่าลูกกำลังกินนมอยู่ล่ะก็พี่จะจับน้องแพรวแก้ผ้าเดี๋ยวนี้เลย กระซิบชิดเรียวปากหวาน คว้าหมับเข้าที่เต้าอวบใหญ่ข้างที่เอลลี่ไม่ได้ดูดพลางบี้หัวนมแข็งคัดจนน้ำนมพุ่งออกมาจนเปรอะมือ ดวงตาเร่าร้อนมองสบตาเมียสาวแล้วเลียกิน “อร่อย” การกระทำดังกล่าวไม่ได้ทำให้คนเป็นเมียอายแต่อย่างใด “แย่งลูกกินทุกวันเลยนะคะคุณพ่อ”“แบ่งกันกินไงครับ ใช่ไหมลูก เราแบ่งกันได้ใช่ไหมคะ” ยิ้มพลางจูบแก้มลูกสาวด้วยความเอ็นดู “เอลลี่รักพ่อเลยไม่หวงพ่อ” “กินนมเมียเหมือนลูกต้องเชื่อฟังเมียด้วยนะคะ” แพรวพิชชายกมือขึ้นลูบแก้มสากของสามีเล่น “ทุกวันนี้พี่ก็เชื่อฟังเมียทุกเรื่องอยู่แล้ว” เสียงทุ้มกระซิบชิดเรียวปากบาง “เชื่อฟังอยู่คนเดียว” แกล้งงับแล้วดูดดึงกลีบปากล่าง จากนั้นค่อยๆ แทรกลิ้นเข้าไปกลืนกินความหวาน นานกว่าจะผละออกจากกัน “พรุ่งนี้แพรวขอพาเจคออกไปเที่ยวนะคะ” ไม่เชิงขออนุญาต เรียกว่าแจ้งให้ทราบ “แค่ในกรุงเทพนี่แหละค่ะ ไม่ได้จะไปไหนไกล เพราะรู้อยู่แล้วว่าสามีต้องไม่อนุญาต” แพรวพิชชาอมยิ้มประโยคสุดท้าย หลับตาพริ้มพิงอกกว้างของร่างสูงที่
ราฟาเอลอุ้มลูกสาวเดินพลางชวนคุยไปด้วย ตอนนี้อาจจะยังไม่เข้าใจแต่เขาเชื่อว่าลูกจะซึมซับได้ เขาสื่อสารกับเอลลี่ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ เพราะต้องการให้แข็งแรงทั้งสองภาษา หลังจากทานอาหารเย็นด้วยกันทุกคนก็มารวมตัวกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่น มีโรมกับแบรทตามมาสมทบด้วย บทสนทนาส่วนใหญ่เวลานี้จึงผูกไว้ที่เจคอป และสองคู่หูดูโอ้ แบรท โรมที่จ้อไม่หยุดตั้งแต่มาถึง ด้านราฟาเอลกับแพรวพิชชาก็ให้ความสนใจลูกสาวมากกว่าจะร่วมวงคุย มีบ้างที่จะกล่าวเสริมสักสองประโยค “คุณแบรทกับคุณโรมดูสนิทกันมากเลยนะครับ ไม่ทราบว่าทั้งสองคนมีคนรู้ใจกันหรือยังครับ” เจคอปถามพลางจิ้มผลไม้ที่สาวใช้เพิ่งยกมาเสิร์ฟเข้าปาก โรมโบกมือ “ผมสองคนยังโสดสนิทครับคุณเจค ไม่มีเวลาไปจีบสาวที่ไหนหรอกครับ” “โสดแบบไม่ธรรมดาด้วยนะครับ โส๊ดโสด สาวๆ นี่ไม่แลพวกเราเลยล่ะครับ แล้วคุณเจคล่ะครับ แต่ผมว่าหน้าตาหล่อๆ เรียกสาวแบบนี้คงไม่โสดเหมือนพวกพวกผมหรอกใช่ไหมครับ” แบรทยิ้มขณะที่เจคขยิบตาท่าทางขี้เล่น “พี่ว่าไอ้สองตัวนี้ไม่ใครก็ใครที่จะโดนงาบ” ราฟาเอลกระซิบข้างหูเมียเสียงเบา “คงไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ พี่ราล์ฟน่ะพูดอะไรก็ไม่รู้” เท่าที่ได้ยินก็คุย