Masukแม้ว่าชีวิตจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ทว่าสองแม่ลูกก็ไม่ได้ทำตัวเป็นวัวลืมตีน ทั้งคู่อยู่อย่างเจียมตัว เอมอรดูแลปริญญาในเรื่องอาหารการกิน และดูแลนารถลดาที่มีอายุมากกว่าตนสิบสองปีที่ตอนนั้นป่วย ส่วนพวงชมพูไม่ได้ทำตัวเป็นภาระให้คนรับใช้ เธอทำความสะอาดห้องเอง ซักชุดชั้นในเอง ช่วยทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ทำอาหารให้คนในบ้านกินบ้างเป็นบางมื้อ สองแม่ลูกจึงเป็นที่รักใคร่มากกว่าถูกเกลียดชัง
ห้องของปราณปวิชที่ตอนนี้อยู่ต่างประเทศ แม้ว่าเจ้าของห้องไม่อยู่ ทว่าห้องก็ถูกทำความสะอาดอาทิตย์ละหนึ่งครั้ง เดิมทีเป็นหน้าที่คนรับใช้ในบ้าน ทว่าตั้งแต่พวงชมพูเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ เธอจะรับหน้าที่นี้แทน และนั่นทำให้เธอหลงรักเจ้าของห้องผ่านทางรูปถ่ายที่ติดไว้บนผนังห้อง เป็นความรักปลาบปลื้มที่เกิดขึ้นในหัวใจอันบริสุทธิ์ รักเงียบๆ โดยไม่หวังว่าจะได้ความรักนั้นตอบ และเฝ้ารอการกลับมาของเขา โดยไม่รู้ตัวเลยว่า ปราณปวิชจะนำความเจ็บปวดมาสู่ตน
ปราณปวิชกลับมาเมืองไทยโดยไม่บอกให้บิดามารดารู้ เขาพักอาศัยอยู่ในคอนโดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ซื้อไว้ มีอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่มีใครรู้คือ ระหว่างที่เขาเรียนอยู่ประเทศอังกฤษ เขาได้จ้างวานนักสืบดูความเคลื่อนไหวของสองแม่ลูก อีกทั้งได้โทรศัพท์มาถามแก้วสาวใช้ในบ้าน ทำทีเป็นถามนั่นถามนี่หลายคำถาม ก่อนวกมาถามเรื่องเอมอรกับพวงชมพู
และนั่นทำให้ปราณปวิชรู้ว่า เอมอรกับพวงชมพูได้รับความเมตตาจากบิดาตนมาก ถึงขนาดซื้อรถให้ใช้ แล้วยังอีกเรื่องว่า ตั้งแต่สองแม่ลูกเข้ามาอยู่ในบ้าน มารดาเขาป่วยมาตลอดคงตรอมใจกับเรื่องสามีพาภรรยาน้อยเข้ามาในบ้าน เรื่องนี้ปราณปวิชไม่รู้เลยหากแก้วไม่บอก เพราะทุกครั้งที่โทรศัพท์มาหานารถลดา นางจะบอกว่าสบายดี ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร ราวกับว่าไม่อยากให้คนเป็นลูกเป็นห่วง ส่งผลให้ความไม่พอใจและความเกลียดชังที่มีต่อเอมอรกับพวงชมพูมีเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสองแม่ลูกเป็นสุข ในขณะที่แม่เขาเป็นทุกข์ หน้าชื่นอกตรม แน่นอนว่า เขาไม่ยอมให้มารดาทุกข์ฝ่ายเดียวแน่ ใครทำแม่เขาเจ็บจะต้องเจ็บปวดยิ่งกว่า
ปราณปวิชกลับบ้านที่ห่างหายไปนานหนึ่งปีครึ่งโดยไม่ได้บอกใคร คนแรกที่เขาเจอคือนารถลดาที่ดีใจมากเมื่อได้เห็นหน้าลูก นางสวมกอดลูกชายด้วยความคิดถึง ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ที่ปราณปวิชเห็นแล้วรู้สึกได้ว่า มารดาหน้าชื่นอกตรม
“แม่ดีใจจังที่ปราบกลับบ้าน แต่กลับทำไมไม่บอกแม่ล่ะ แม่จะได้ไปรับ”
“ผมเซอร์ไพร์สคุณแม่ไงครับ” ปราณปวิชยิ้มให้มารดา ก่อนก้มกราบบนตัก “ผมขอโทษนะครับที่ไม่ได้กลับมาจัดการเมียน้อยของคุณพ่อ ไม่ได้อยู่กับคุณแม่ด้วยในช่วงเวลานั้นปล่อยให้คุณแม่ต้องเสียใจตามลำพัง”
นารถลดาได้ยินคำพูดลูกชายแล้วน้ำตาไหล ก่อนปล่อยโฮออกมาอย่างสุดจะกลั้น ปราณปวิชเห็นแม่ร้องไห้ก็รีบสวมกอด เขาเจ็บปวดอย่างหนักราวกับมีของคมกรีดหัวใจเมื่อน้ำตาของมารดาซึมเสื้อผ้าที่ตนสวมใส่สัมผัสกับผิวเนื้อของตน เปรียบเสมือนพลังความแค้นเพิ่มพูน กรามทั้งสองข้างขบกันจนเป็นเส้นนูน นัยน์ตาระอุไปเพลิงไฟ
“แม่ไหวลูก แม่ไหว” นารถลดาสะอื้นไห้ ฝืนยิ้ม
“ผมจะจัดการสองแม่ลูกคู่นั้นเอง ผมไม่มีวันยอม” คนเป็นลูกยิ่งนึกถึงเอมอรกับลูกที่อยู่อย่างสุขสบาย ไม่ทุกข์ร้อนกับการกระทำของตนเองก็ยิ่งแค้น มีความสุขบนความเจ็บปวดของคนอื่น เขาไม่มีวันให้ทั้งสองเสวยสุขอยู่ในบ้านหลังนี้นานแน่
“อย่าลูก อย่าทำอะไรอรกับชมนะลูก มันเป็นความสุขของพ่อ ถ้าปราบรักแม่ ปราบต้องเชื่อฟังแม่นะลูก นะลูกนะ แม่ขอ” นางพูดเสียงสั่น “แม่ไม่เคยขออะไรปราบ แต่เรื่องนี้แม่ขอนะ อย่าทำลายความสุขพ่อ แม่ขอนะลูก”
ปราณปวิชสงสารมารดายิ่งนัก ความรักที่มีต่อปริญญามีมากเหลือเกิน มากจนยอมเจ็บปวดทนทุกข์ใจให้บิดาพาหญิงอื่นเข้ามาอยู่ร่วมบ้านเดียวกันในฐานะภรรยาน้อย เขารู้เรื่องการหาเศษหาเลยของบิดามาตลอด ทุกครั้งที่ผ่านมาปริญญาจะซื้อกิน พอทุกอย่างจบลงบนเตียงก็แยกย้าย ไม่ได้เลี้ยงดูเป็นเรื่องเป็นราวหรือมอบฐานะเมียน้อยให้ใคร แต่พอมีก็พาเข้ามาในบ้าน โดยไม่นึกถึงความรู้สึกของภรรยาหลวง
“คุณแม่รักคุณพ่อมากเกินไป คุณพ่อเลยทำอะไรไม่นึกถึงใจคุณแม่” น้ำเสียงเขาค่อนข้างแข็งกระด้าง แววตามีประกายไฟเคลือบแฝง
“จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้หรอก พ่อมาขอแม่เอง ถ้าแม่ไม่ยอมอรก็เข้ามาอยู่ในบ้านไม่ได้ แม่ยอมเอง แม่ยอมเจ็บเพื่อความสุขของพ่อ ปราบเป็นลูก ปราบก็ต้องทำให้พ่อมีความสุข อย่าทำอะไรที่ทำลายความสุขของพ่อเลยนะ แม่ขอนะลูก” นางพยายามร้องขอลูกชาย
“คุณพ่อเห็นแก่ตัว เห็นแต่ความสุขของตัวเอง” ปราณปวิชต่อว่าบิดาต่อหน้านารถลดา
“อย่าว่าพ่อไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง เอาเป็นว่าเรื่องนี้แม่ยอมพ่อเอง ปราบอย่าพูดแบบนี้หรือทำอะไรให้พ่อรู้สึกว่า ปราบไม่พอใจ ปราบต้องเชื่อฟังแม่ ถ้าอยากให้แม่สบายใจ แต่ถ้าปราบอยากให้แม่ทุกข์มากกว่านี้ ร้องไห้หนักกว่านี้ ปราบก็ทำตามใจปราบเลย แม่จะไม่ขออะไรปราบอีกแล้ว” เจอประโยคนี้เข้าไปคนแข็งก็อ่อนยวบ ปราณปวิชยอมเพราะไม่ต้องการให้มารดาเสียใจไปมากกว่านี้
ปากรับปากแต่ใจไม่คิดทำตาม...
“ครับคุณแม่ ผมจะไม่ยุ่งเรื่องนี้ครับ” คนเป็นแม่ยิ้มเมื่อลูกชายตกปากรับคำ
“ต้องฉลองการกลับมาของปราบซะหน่อย วันนี้แม่จะทำกับข้าวของโปรดปราบให้กินนะลูก ไม่รู้ว่าปราบอยากกินฝีมือแม่รึเปล่า” ปราณปวิชยิ้ม กอดร่างมารดาอย่างเอาใจ
“ผมอยากกินฝีมือคุณแม่ที่สุดในโลกเลยครับ”
อ้อมกอดของเขากระชับแน่นด้วยความรัก ความเคารพทั้งหมดที่มีต่อนารถลดา ผู้หญิงที่แข็งแกร่งทั้งกายและใจ
‘ผมสัญญาว่า ใครที่ทำให้คุณแม่เจ็บ ผมจะทำให้เจ็บกว่าร้อยเท่าพันเท่า’
แผนการชำระแค้นจึงเริ่มต้นขึ้น...ความแค้นของเขาพุ่งเป้าไปที่พวงชมพู ลูกสาวเมียน้อยบิดา เขาจะทำร้ายเธอให้ย่อยยับ ให้เจ็บไปทั้งทรวง
Chapter 77 “เรื่องทั้งหมดมันเกิดขึ้นหลังจากวันที่เพชรทำการแสดง กล้ามเนื้อขาและแขนของปราบดีขึ้น ปราบมารู้ในวันที่หัดเดินกับตั้ม วันนั้นชมไม่อยู่ออกไปเอายาให้แม่ ปราบเดินได้หลายก้าว ปราบเลยมีความตั้งใจว่า จะไม่บอกเรื่องนี้ให้ชมรู้เพื่อจะได้มอบเป็นของขวัญวันเกิดให้ชม ปราบหัดเดินกับตั้มบ่อยขึ้นตอนที่ชมไม่อยู่บ้าน ไปรับเพชรบ้าง ไปทำธุระอื่นๆ บ้าง แต่เวลาชมอยู่ปราบก็จะทำเหมือนยังเดินไม่ได้ ส่วนเรื่องพูดก็ดีขึ้นพร้อมกับแขนขา หัดขยับปาก นวดปากและหัดพูด จนมาถึงวันนี้อาการปราบดีขึ้นมาก คุณหมอบอกว่าเกินเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ อีกสักหน่อยก็คงหายเป็นปกติ เป็นไงลูก ของขวัญวันเกิดชิ้นนี้คงถูกใจชมนะ” พวงชมพูยืนฟังเรื่องเซอร์ไพร์สด้วยรอยยิ้ม เธอไม่โกรธที่ปราณปวิชปิดบังเรื่องนี้กับตน รวมถึงทุกคนในที่นี้ด้วย พวงชมพูดีใจด้วยซ้ำไปที่สามีหายจนเกือบเป็นปกติ “เป็นของขวัญที่ดีที่สุดในโลกค่ะแม่” พวงชมพูตอบทั้งน้ำตา โผกอดร่างสามี “ชมดีใจที่สุดค่ะพี่ปราบ” ปราณปวิชยกลำแขนกอดร่างเมียรัก อยากกอดแบบนี้นานแล้ว หลายครั้งที่เขาอยากกอด อยากหอม อยากทำอะไรหลายๆ อย่าง ทว่าก็เก็บความอยากนั
Chapter 76 ปราณปวิชนั่งอยู่ในรถวีลแชร์ระบบไฟฟ้า แล้วรถที่เขานั่งกำลังถูกเข็นเข้าไปในห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่ภายในโรงแรมหรูกลางกรุง ที่วันนี้มีงานกาล่าดินเนอร์และมีการแสดงให้ความบันเทิงหลายชุด หนึ่งในหลายชุดคือการแสดงของเพชรกล้ากับเหล่าเพื่อนในโรงเรียนสอนร้อง เล่นและเต้นแสดงที่เด็กชายเรียนอยู่ ครอบครัวปราณปวิชจึงมาให้กำลังใจเพชรกล้าครบทุกองค์ประชุม รวมถึงเหล่าพี่เลี้ยงนามว่ารัชนีกรกับรวิกาญน์ รวมถึงวรเทพก็มาดูการแสดงของหลานรักครั้งนี้ด้วย ก่อนการแสดงเพชรกล้าที่ตอนนี้แต่งตัวเสร็จรอเวลาขึ้นเวที ได้เดินมาหาบิดาที่นั่งอยู่บนโต๊ะวีไอพี เด็กชายขึ้นไปนั่งบนตักบิดาที่ก้มหน้าหอมแก้ม “เพชรมาขอกำลังใจจากพ่อฮะ” ปราณปวิชยิ้ม หอมแก้มบุตรชายแทนคำพูด เพชรกล้ายิ้ม หอมแก้มบิดาตอบกลับ ก่อนลงจากตักแล้วเดินไปยังห้องเตรียมตัวแสดงโดยมีรัชนีกรเดินไปพร้อมกันด้วย อีกสิบนาทีต่อมาเด็กชายเพชรกล้าขึ้นไปแสดงบนเวทีร่วมกับเพื่อนอีกเจ็ดคน ปราณปวิชมองดูลูกชายเต้นบนเวทีด้วยรอยยิ้ม เขาพยายามยกแขนขึ้นเพื่อโบกมือให้ เพชรกล้า แต่ก่อนกว่าเขาจะยกแขนได้ก็ต้องใช้เวลาพอสมคว
Chapter 75“วันนี้ชมทำแกงเผ็ดเป็ดย่างให้พี่ปราบกินด้วยนะคะ” พวงชมพูวางถาดที่ใส่อาหารจานโปรดของเขาลงบนโต๊ะลาก จากนั้นก็มาปรับเตียงนอนให้เขาอยู่ในท่านั่งเพื่อสะดวกในการกินข้าว “ค่อยๆ อ้าปากนะคะ”พวงชมพูบอกสามีที่อ้าปากรับอาหารรสชาติอร่อย ค่อยๆ เคี้ยวและกลืนลงคอ พวงชมพูหยิบแก้วน้ำให้สามีจิบเพื่อให้น้ำทำให้คล่องคอ“พี่ปราบอยากกินของหวานเป็นอะไรคะ วันนี้มีสัปปะรดลอยแก้ว หรือว่าจะเอาผลไม้คะ มีแอปเปิ้ล ส้ม แก้วมังกรค่ะ” เธอพูดไปป้อนข้าวเขาไป “วันมะรืนกล้าต้องขึ้นทำการแสดงที่โรงแรมค่ะ เป็นงานการกุศลที่คุณแม่เป็นโต้โผใหญ่ ชมเตรียมชุดหล่อๆ ไว้ให้พี่ปราบแล้ว เราจะได้ไปดูลูกเต้นด้วยกันค่ะ”ปราณปวิชพยักหน้ารับรู้ มองภรรยาที่ปรนนิบัติตนอย่างดีทั้งน้ำตา การที่เขาตกอยู่ในสภาพนี้ ทำให้คิดอะไรได้หลายอย่าง อย่างหนึ่งที่แน่ชัดคือ สถาบันครอบครัวของเขาแข็งแรงมาก มีความรักและความเอาใจใส่ต่อกัน ไม่มีใครทอดทิ้งเขาสักคน ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นห่วง ไม่มีใครพูดถึงเรื่องอดีตให้ตนเจ็บช้ำ มีแต่ให้กำลังใจให้เกิดความฮึกเหิมฮึดสู้กับอาการป่วย“ขะ...ขอ...โทด” การพูดของปราณปวิชเป็นอีกเรื่องที่ดีขึ้นตามลำดับ แต่เป็นการพูดค
Chapter 74“เรื่องนี้ต้องให้คุณหมอตอบนะคะ อีกสักครู่คุณหมอก็จะออกมาค่ะ”“เดี๋ยวผมกับแทคไปจัดการเรื่องห้องพักให้เองครับ คุณพ่อคุณแม่รอฟังอาการปราบอยู่ที่นี่นะครับ” อิสทัชอาสา“ขอบใจมากทัช แทค” สองหนุ่มยิ้มก่อนเดินไปจัดการเรื่องห้องพักให้เพื่อนรักอีกราวสิบนาทีต่อมา นายแพทย์มงคลผู้ให้การรักษาเดินออกมาจากห้องผ่าตัด มงคลแจ้งกับญาติคนไข้ว่า อุบัติเหตุครั้งนี้อาจทำให้สมองของปราณปวิชช้ำ ผลข้างเคียงคือทำให้แขนขาอ่อนแรง ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ หรือจะเรียกว่าเป็นอัมพาต แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องรอดูอาการตอนฟื้นอีกทีว่า จะออกมาในทิศทางใดได้ยินเพียงแค่นี้ทุกคนก็ปล่อยน้ำตาออกมา เพราะไม่คิดว่าปราณปวิชจะตกอยู่ในอาการเช่นนี้ ทว่าทุกคนก็คิดในทางเดียวกันว่า ก็ยังดีกว่ายมทูตคร่าชีวิตเขาไป ไม่ว่าปราณปวิชเป็นอย่างไร ทุกคนก็พร้อมดูแลเขาเต็มที่ โดยเฉพาะพวงชมพูที่เวลานี้โทษตัวเองว่า เพราะตนทำให้ปราณปวิชต้องเป็นเช่นนี้พวงชมพูไม่ต้องการให้ปราณปวิชตายหรือเป็นอัมพาต พวงชมพูแค่ต้องการให้เขารู้สึกเจ็บปวดกับอดีตที่เคยทำไว้กับตนแค่นั้น...แค่นั้นจริงๆ7 เดือนต่อมา ในเรื่องร้ายยังมีความโชคดี อาการของปราณปวิชไม
Chapter 73“เจ็ดปีที่ผ่านมา มีใครมีความสุขแบบเต็มอิ่มบ้าง ลุงเชื่อว่าไม่มี ที่เห็นกับตาทุกวันคือปราบ ปราบไม่มีความสุขเลยนับตั้งแต่ชมจากไป ปราบบอกความจริงกับตาลเรื่องของชม แล้วยังบอกด้วยว่า หัวใจของเขามีแต่ชมคนเดียว ตาลเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายนะ เมื่อรู้ว่าปราบไม่รักก็ไม่ได้ตื้อหรือโวยวาย ทั้งคู่จึงจบกันด้วยดี หลังจากนั้นหนึ่งปีตาลก็แต่งงานกับนักธุรกิจชาวเยอรมัน ปราบยังไปงานแต่งงานตาลเลย พอกลับมาจากงานแต่งก็เอาแต่ดื่มเหล้าอยู่สามวัน ดื่มไปก็ร้องไห้ไปเพราะคิดถึงชม ปราบอยากมีงานแต่งงานบ้าง อยากแต่งชุดเจ้าบ่าวโดยที่เจ้าสาวคือชม เมื่อรู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เหล้าจึงเป็นที่พึ่งทางใจอย่างเดียว มาห่างดื่มก็ตอนแม่ไปขอร้องนี่แหละ” ปริญญาเล่าอีกเรื่องให้พวงชมพูฟัง “ปราบเคยคิดออกตามหาชมนะ แต่ลุงคิดว่าคงไม่มีประโยชน์อะไร เพราะวันนั้นอรกับชมก็ประกาศตัดขาด แล้วยังเรื่องที่ปราบทำกับชมอีก บางทีเวลาเจ็ดปีอาจเป็นบทลงโทษปราบไปในที ทำให้ปราบรู้ซึ้งถึงคำว่าเจ็บปวดทางใจที่หนักหนาสาหัสกว่าที่ชมเจอ ตอนนี้ลุงคิดว่า มันสมควรกับเวลาแล้วนะ ที่พวกเราจะมีความสุขกันเสียที ชมคิดเหมือนลุงไหมลูก” พวงชมพูน้ำตาไหล เธอน้ำมือ
Chapter 72“ชมแม่ว่า...” เอมอรได้ยินก็ตกใจมาก ไม่คิดว่าลูกสาวจะยื่นเงื่อนไขนี้ ปริญญากับนารถลดาก็พลอยตกใจไปด้วย“แม่ไม่ต้องยุ่ง เรื่องนี้เป็นเรื่องของชมกับเขา ถ้าเขากล้าทำตามที่ชมบอก ชมก็กล้าทำตามข้อตกลงค่ะ” ในใจพวงชมพูคิดว่าปราณปวิชไม่กล้า “ว่าไงกล้าหรือเปล่า”“ชมก็คอยดูก็แล้วกัน” คำพูดของพวงชมพูว่าน่าตกใจแล้ว การกระทำของปราณปวิชน่าตกใจยิ่งกว่า ตอนนี้เขาหมุนตัววิ่งออกไปจากบ้าน ท่ามกลางความตกใจของทุกคน“ปราบลูก ปราบจะไปไหน” นารถลดาวิ่งตามลูกชาย ปริญญา เอมอรกับพวงชมพูจึงวิ่งตามไปด้วย แต่ก่อนพวงชมพูจะวิ่งตามรั้งท้ายไป เธอสั่งให้เพชรกล้าอยู่ที่บ้าน สั่งเสร็จจึงรีบวิ่งออกไปบ้านที่พวงชมพูอาศัยอยู่เป็นซอยย่อย ความยาวของซอยนี้ประมาณสามร้อยเมตร บ้านของเธออยู่ห่างจากถนนหลักที่ตัดผ่านไปถนนใหญ่ได้ถึงสองถนน รถยนต์จึงค่อนข้างมาก ปราณปวิชวิ่งออกจากบ้านพวงชมพู ก่อนวิ่งออกไปยังถนนสายหลักที่อยู่ห่างจากบ้านของเธอประมาณหนึ่งสิบเมตร ขณะที่กำลังก้าวเท้าวิ่งอยู่นั้น เขาหันไปมองรถยนต์ที่วิ่งอยู่บนถนน ระยะห่างจากตัวเขากับรถเป้าหมายคันนั้นราวสิบเมตร เขาวิ่งออกไปยืนกลางถนนอย่างไม่ลังเล หมายให้รถคันนั้นชนตนเอง







