Mag-log inพวกเธอลงจากสเลฟแล้วก็เดินทางเข้าไปยังส่วนกลาง คนมากหน้าหลายตาเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่นั่น หลายคนไม่รู้ว่าต้องทำอะไรเมื่อมาที่นี่ เพราะจดจำเรื่องในฝันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ปุยฝ้ายและชูครีมพามนสิชาไปยังสวนดอกไม้ลับของพวกเธอ ทุ่งดอกไม้ยังคงสวยอยู่เหมือนเดิม พวกเธอนั่งลงใต้ร่มไม้ใหญ่ ปุยฝ้ายนอนแผ่บนพื้น ชูครีมพิงต้นไม้ ส่วนมนสิชานั่งอย่างเกร็งๆ
"เล่าให้พวกเราฟังหน่อยสิคะ คุณมนไปเป็นอัศวินให้ คุณกิ่งฟ้าได้ยังไง" ชูครีมเป็นคนถาม
"ตอนแรกจำได้ว่าจะมาสมัครงานที่โรงเรียนวรรณวิลาศ แล้วรถมาจอดที่อาคารบริหาร พี่เดินเข้ามาในส่วนกลางแล้วก็เดินไปเจอป้าย เลยสุ่มเดินไปทางทิศตะวันออก ตอนนั้นได้ยินเสียงเอะอะดังมา พี่เห็นกลุ่มเด็กนักเรียนปิดหน้ากำลังลอบโจมตีนักเรียนกลุ่มหนึ่ง มารู้ทีหลังว่าพวกนักเรียนปิดหน้าคือกบฏ"
"ที่ไหนๆ ก็มีกบฏทั้งนั้นเนอะ" ปุยฝ้ายแทรก แล้วก็ทำมือให้เธอเล่าต่อ
"พี่เห็นพวกกบฏได้เปรียบ แล้วก็มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่มีอาวุธกำลังจะโดนทำร้าย พี่เลยขว้างก้อนหินใส่คนร้าย แล้วรู้ทีหลังว่าคนที่ช่วยไว้คือคุณกิ่งฟ้า จากนั้นอัศวินของคุณกิ่งฟ้าก็มาช่วยเธอไว้ ส่วนพี่ก็โดนฟันที่แขนไปหนึ่งที เธอพาพี่ไปรักษาตัวแล้วก็ชวนมาเป็นอัศวิน เธอสอนอะไรพี่หลายอย่างทั้งเล่าเรื่องประตูมิติ เรื่องฝัน เรื่องวิธีการเรียกสเลฟ แล้วก็ให้ที่พัก พวกอัศวินก็ใจดีกับพี่มาก แต่พวกเขามีมาดมากเกินไปจนพี่เข้าไม่ถึง มันทำให้พี่คิดถึงใครบางคนที่คุ้นเคยเหมือนครอบครัวที่ร่าเริงและห่วงพี่จากใจจริง แต่ก็นึกไม่ออกว่าเพื่อนแบบนั้นคือใคร จนกระทั่งได้มาพบกับพวกเธอ ก็เลยตัดสินใจว่าจะเชื่อความรู้สึกของตัวเอง"
ชูครีมอ้าปากเตรียมจะขอกอดเธอด้วยความซาบซึ้ง แต่มนสิชากระพริบตาถี่ๆ ก่อนหายตัวไปจากตรงนั้น เธอหลับไม่ฝันไปซะแล้ว
"อ้าว ไปซะแล้ว งั้นเราก็มานั่งรอกันเถอะ" ปุยฝ้ายบอก
มนสิชาไม่มีความรู้สึกตัวตลอดเวลาที่หลับไม่ฝัน เหมือนโลกทั้งใบดับวูบลง เธอไม่ได้คิดอะไร จนกระทั่งได้ยินเสียงทะเลาะกันดังอยู่ใกล้ๆ เธอลืมตาขึ้นมาเห็นสองสาวยังนั่งอยู่ที่เดิม คุยกันเสียงเครียด
"ชูครีมขอแค่นิดเดียวเองนะคะ" ชูครีมตัดพ้อ
"ก็คนมันหวงนี่นา" ปุยฝ้ายแสดงเหตุผลแบบใจดำ
"แต่ถ้าใครคิดเองได้ คุณปุยฝ้ายก็ไม่ควรบังคับเขาสิคะ" ชูครีมเถียงคอขึ้นเอ็น
"นี่พวกเธอ อย่าบอกนะว่า" มนสิชาเดาจากบทสนทนา "แย่งผู้ชายกัน"
"คุณมนไม่เกี่ยวค่ะ" ชูครีมบอกโดยไม่สนใจ
"ไหนบอกรักกันไง ที่พาพี่มาก็เพราะจะให้พวกเราอยู่ด้วยกันไม่ใช่เหรอ ทำไมมาทะเลาะกันเรื่องผู้ชาย" มนสิชาพยายามทำให้พวกเธอนึกออกว่าพวกเธอรักกัน
"ให้เขาเลือกดีกว่าค่ะ ว่าอยากให้ใครลูบหัว ให้นอน
หนุนตัก" ชูครีมท้า
"ถ้าอย่างนั้นฉันก็แพ้เธอน่ะสิชูครีม ก็เธอน่ะพกอาหารติดตัวตลอด" ปุยฝ้ายไม่ลดราวาศอก
"เขาเป็นผู้ชายเห็นแก่กินงั้นเหรอ" มนสิชาอุทานอย่างแปลกใจ
"ไม่ใช่ผู้ชายแต่เป็นผู้หญิง" ปุยฝ้ายประกาศ
"พวกเธอเป็นยูริงั้นเหรอ" มนสิชาตาโต
"เรียกออกมาเลยค่ะ" ชูครีมไม่สนใจ
"อย่าท้านะ" ปุยฝ้ายเสียงสูง "สเลฟจงออกมา"
กระรอกน้อยตัวสีน้ำตาล อ้วนปุกลุก ขนชี้โด่เด่ ท่าทางขี้เซาออกมาจากประตูมิติ มันตกลงบนมือของเจ้านาย แล้วหลับตาพริ้มเมื่อถูกปุยฝ้ายลูบหัว สายตาแข็งกร้าวของทั้งสองคนอ่อนโยนขึ้นทันที
"อิซาเบลล่า" ชูครีมเรียกเสียงหวาน ชูแอปเปิ้ลเขียวไว้ในมือ "มาหาพี่มา"
อิซาเบลล่ากระโดดเข้าหาชูครีม คว้าแอปเปิ้ลแล้วลังเล ชั่วครู่ว่าจะไปนั่งบนตักใครดี เพราะชูครีมและปุยฝ้ายต่างร้องเรียกเสียงดังให้เข้าไปหา เมื่อเห็นมนสิชาไม่ส่งเสียงเรียกมัน ก็ตัดสินใจว่าที่นี่คงสงบกว่าจึงไปนั่งกินบนตักมนสิชาแทน ไม่สนใจสองสาวที่ทำตาเป็นประกาย หญิงสาวลูบหัวกระรอกแล้วหัวเราะออกมาอย่างโล่งใจ ก่อนเอ่ยด้วยเสียงร่าเริง
"เรากลับทิศเหนือกันเถอะ"
ช่วงเวลาเดียวกัน กุมภาเห็นปริญใช้เวทมนตร์เต็มสองตา เธอเปิดประตูเข้ามาในห้องพักแล้วสำรวจร่างกายพี่สาว แผลฟกช้ำต่างๆหายไปหมด ใบหน้าดูมีเลือดฝาด ปากกลับมาสีชมพู ตอนนี้เธอดูเหมือนแค่หลับไปเท่านั้น
"ทำไมพี่มนถึงยังไม่ฟื้นล่ะคะ" กุมภาถาม
"พี่ก็ไม่รู้ ตอนนี้สภาพร่างกายเธอเป็นปกติแล้ว
แต่ระหว่างตอนที่พี่ร่ายเวท พี่เจอเวทมนตร์ที่ผูกความฝันเธอไว้กับเครือข่ายความฝันของคนอีกนับพัน" ปริญบอก ส่งสายตากังวลไปที่มนสิชา
"หมายความว่ายังไงคะ" กุมภาไม่เข้าใจ
"หมายความว่าตอนนี้เธอกำลังฝันเรื่องเดียวกันกับคนอีกนับพันที่โคม่าหรือเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่ในโรงพยาบาลแห่งนี้" เขาบอก
"เพราะแบบนี้พี่มนเลยฟื้นขึ้นมาไม่ได้ใช่ไหมคะ" กุมภานั่งลงบนเก้าอี้ รู้สึกหมดเรี่ยวแรง
"ไม่นะ มันเป็นเวทการรักษาแบบโบราณ แค่เรายังไม่รู้ว่าคนที่ฝันต้องทำอะไรหรือคิดแบบไหนถึงจะตื่นขึ้นมา" ปริญคิดหนัก ก่อนหันมาเผชิญหน้ากับกุมภาโดยตรง "กุมภาไม่ตกใจเหรอที่พี่ใช้เวทมนตร์ได้"
"หนูต่างหากที่เป็นคนควรถามพี่ว่า ทำไมถึงเพิ่งมาใช้ เวทมนตร์เอาป่านนี้"
ปริญโล่งอก อย่างน้อยเขาก็ไม่ถูกแจ้งความ โทษฐานที่ใช้เวทมนตร์กับคนอื่น
"ที่พี่ไม่ใช้เพราะหวังว่ามนจะตื่นโดยไม่ต้องพึ่งของแบบนี้" ปริญบอก
ความเงียบแทรกซึมอยู่ในทุกอณูอากาศ ปริญทรมานกับการคิดลบว่าญาติของมนสิชาจะรังเกียจ ถ้ารู้ว่าเขาเป็นพวกใช้ เวทมนตร์ ในขณะที่กุมภากลับครุ่นคิดบางเรื่องที่แตกต่างออกไป
"เดี๋ยวนะ หมายความว่า ถ้าพี่มนทำอะไรบางอย่างหรือคิดอะไรบางอย่างได้ถูกต้อง เธอจะฟื้นงั้นเหรอ" กุมภาถาม ปริญพยักหน้าแทนคำตอบ "แล้วอะไรที่ว่า มันคืออะไรคะ ถ้าเรารู้ เราจะบอกพี่มนได้ไหม"
"ก็ได้อยู่"
"พี่บอกว่าคนที่ใช้เวทมนตร์เขาทำแบบเดียวกันกับคนอื่นอีกนับพัน นั่นก็แปลว่าเขาเป็นคนที่สามารถเข้าถึงเจ้าหญิง-เจ้าชายนิทราในโรงพยาบาลนี้ได้ทั้งหมดน่ะสิ" กุมภาพูด รู้สึกเหมือนมีคนมาจุดแสงสว่างในหัวเธอทีละจุด
"ก็นะ ที่นี่เป็นโรงพยาบาลสำหรับอนุบาลเจ้าหญิง-เจ้าชายนิทราโดยเฉพาะนี่นา" ปริญบอก
"หนูว่าต้องเป็นเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลนี่แหละ"
ปริญและกุมภามองหน้ากันอย่างตื่นเต้น
"พวกเราไปลองถามพยาบาลตรงเคาน์เตอร์ของแผนกดูไหม" ปริญเสนอ
"ไปกันเถอะค่ะ"
ปริญและกุมภาเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยออกไปยังบริเวณใกล้กับลิฟท์ นางพยาบาลประจำแผนกมีแค่สองคน คนหนึ่งกำลังรับโทรศัพท์ ส่วนอีกคนก้มหน้าอ่านอะไรบางอย่าง ปริญใช้ร่างสูงใหญ่ของตัวเองทำให้พยาบาลรู้สึกเหมือนมีเงาขนาดใหญ่เดินผ่าน เมื่อรู้สึกตัว เธอจึงเงยหน้าขึ้นมองเขา
"ขอโทษนะครับ ผมขอทราบชื่อหมอเจ้าของไข้ของนางสาวมนสิชา ภูริเดโชได้หรือเปล่าครับ"
"คุณหมอดนุเดช กิตติวินท์ค่ะ" พยาบาลตอบโดยไม่ต้อง
หาข้อมูล
"คนไข้โคม่าหรือเจ้าหญิงนิทราที่นี่ มีหมอเจ้าของไข้คนเดียวกันหรือเปล่าครับ" ปริญยิงคำถามตรงๆ พยาบาลสาวกดโทรศัพท์มือถือของตัวเองโทรออกไปยังเบอร์ฉุกเฉิน หมอดนุเดชรับสายแต่ไม่พูดอะไร
"คนไข้ที่เป็นเจ้าหญิงนิทราที่นี่มีนับพันคน หมอหรือพยาบาลคนเดียวคงจะดูแลไม่ทั่วถึงหรอกค่ะ ดังนั้นทางโรงพยาบาลจึงจัดหมอที่ดูแลไว้หลายท่านนะคะ" พยาบาลตอบ พยายามเก็บความกังวลไว้ข้างใน
"แล้วมีใครหรือเปล่าที่สามารถเข้าห้องคนไข้ทุกคนได้" ปริญถามตรงๆอีก กุมภาอยากจะฟาดแขนเขาให้ระวังปากมากกว่านี้ แต่ไม่ทันแล้ว
"เกิดอะไรขึ้นกับคนไข้หรือเปล่าคะ ถ้ามีเรื่องร้องเรียนก็เชิญบอกได้เลยนะคะ เราจะได้สืบหาตัวคนทำได้" พยาบาลสาวตอบอย่างมืออาชีพ
"คุณยังไม่ได้ตอบคำถามผมเลย" ปริญเซ้าซี้
"พยาบาล แม่บ้าน หรือคุณหมอทุกคนสามารถเข้าไปในห้องผู้ป่วยได้อยู่แล้วค่ะ ถ้าทราบเวลาที่แน่นอนว่าคนไข้ได้รับ การรักษาที่ไม่ถูกต้อง หรือของหาย เราสามารถหาตัวคนทำผิดมาสอบสวนได้นะคะ"
ปริญมองหน้ากุมภา รู้สึกมืดแปดด้าน เขาแทบไม่ได้เบาะแสอะไรเลย
"งั้นก็ช่างเถอะครับ เราไม่ได้มาเอาผิด แค่มาถามเท่านั้นเอง" ปริญเดินจากไป
พยาบาลสาวยกโทรศัพท์มือถือขึ้นพูด
"ดูเหมือนจะมีคนรู้ตัวแล้วค่ะ ผอ."
หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน ปุยฝ้ายไปเยี่ยมดนุเดชที่เรือนจำ พวกเขานั่งโต๊ะที่จัดไว้สำหรับให้ญาติมาเยี่ยม ดนุเดชดูโทรมไปถนัดตา ขอบตาดำคล้ำอย่างคนนอนไม่หลับ เขาสวมเสื้อสีน้ำตาล หมดแววคุณหมอไฮโซที่ปุยฝ้ายเคยรู้จัก "พ่อทานข้าวบ้างหรือเปล่าคะ" ปุยฝ้ายพยายามยิ้มให้พ่อ แต่ทำไม่ได้เลย "กินได้บ้างแล้ว" ดนุเดชตอบคอแห้งเป็นผง "เจ้าหน้าที่เขาเข้ามาคุยกับหนูเมื่อวาน บอกข่าวว่าศาลจะทำอะไรกับพวกเราบ้าง" ปุยฝ้ายจั่วหัวไปเท่านั้น ดนุเดชดูไม่สนใจฟังว่าคนอื่นจะทำยังไงกับตน "พ่อต้องได้รับโทษตามกฎหมายค่ะ คนไข้คนอื่นเขาจะไม่เรียกค่าเสียหาย แต่จะไม่มีใครยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาล พวกทีมบริหารบอกผ่านคุณย่ามาว่าโรงพยาบาลของเราจะล้มละลาย คุณย่าจะมาจัดการเรื่องขายโรงพยาบาลให้ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ" ดนุเดชดูเหม่อลอย ไม่ตอบอะไร "แน่นอนว่าคุณพ่อต้องติดคุก แล้วพวกเราจะโดนฉีดยาสลายเวทมนตร์ ไม่เฉพาะเราสองคน แต่เป็นคนใช้เวทมนตร์ทั้งประเทศจะโดนเหมือนกันหมด" ปุยฝ้ายถอนหายใจ "ปกติเราก็ไม่ได้ใช้เวทมนตร์กันอยู่แล้ว เรื่
ดนุเดชเดินกลับไปกลับมาในห้องทำงาน ผู้ถือหุ้น คนไข้ รวมทั้งลูกสาวกดดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่างกับการประท้วงที่หน้าโรงพยาบาล นักข่าวเริ่มมาทำข่าวกันแล้ว เวทมนตร์เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนไทยในเวลานี้ พวกเขามองว่าคนใช้เวทมนตร์เป็นคนไม่ดี แต่สำหรับเขาเวทมนตร์หรืออะไรก็แล้วแต่เป็นสิ่งที่เขาจะทุ่มเทให้ได้เพื่อให้ลูกสาวฟื้นขึ้นมา คำสาปทิ้งร่องรอยไว้ให้ผู้ร่ายคำสาปเสมอ ดนุเดชร่ายเวทมนตร์เก่าแก่อีกครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่ม คนไข้ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้ทุกคนกำลังฝัน และฝันก็คือร่องรอยของแต่ละคนที่เขาสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายที่สุด เขาสาปอีกครั้ง เป็นคำสาปที่ไม่รุนแรงนัก มีผลแค่ทำให้คนไข้ทั้งหนึ่งพันกว่าคนฝันร้าย มนสิชาเป็นหนึ่งในผู้ต้องคำสาป เธอเห็นดวงตะวันถูกเมฆบังจนมืดสนิท ยมบาลตัวสีแดงถือไม้ตะบองที่มีหนามแหลมทั่วทั้งอันมาด้วย เขาร้องเสียงดุร้าย "หยุดก่อน!" มนสิชาวิ่งหนี ชายตัวแดงวิ่งตามเธอมาเพียงสามก้าวก็ถึงตัวเธอ เขาใช้ไม้ตะบองตีหัวเธอ หนามแหลมทะลุเข้าไปในสมอง มนสิชาร้
มนสิชาลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอเห็นเพดานสีขาวที่ไม่คุ้นเคย ผ้าห่มอุ่นห่มให้เธอถึงอก มองไปรอบๆห้องก็พบว่าที่นี่เป็นห้องพักในโรงพยาบาล กุมภากำลังนอนหลับอยู่ที่โซฟาใกล้ๆ น้องสาวกรนเบาๆ "กุมภา" มนสิชาเรียกน้องสาวเสียงแหบ กุมภาคิดว่าฝันไปจึงหลับต่อ แต่เมื่อคิดอีกทีว่าเธออยู่กับพี่สาวตามลำพังจึงเปิดตาขึ้นมอง เห็นมนสิชายันตัวลุกขึ้นนั่ง หน้าขาวซีด "พี่มน!" กุมภาเด้งตัวลุกมาหาพี่สาว "พี่มนๆๆ" "จ้ะ พี่เอง" มนสิชายิ้มให้ รู้สึกตัวหนักไปหมด คอก็แห้งผาด "ขอ..น้ำ" กุมภารินน้ำให้พี่สาว มนสิชาดื่มอย่างกระหาย เสียงเธอกลับมาสดชื่นขึ้นเล็กน้อย "พี่รู้ไหมว่าหนูลำบากมากแค่ไหนตอนพี่ไม่ได้สติ ต้องช่วยพ่อทำงาน ต้องมาเฝ้าพี่ และทำงานพิเศษด้วย พวกเรายังไม่รู้เลยว่าจะหาค่ารักษาที่ไหนมาจ่ายให้พี่" กุมภาบอกความในใจทั้งหมดกับพี่สาว มนสิชาคิดอยู่แล้วว่าเรื่องจริงต้องร้ายแรงกว่าที่คุยกับปริญ มนสิชาพยายามจะตอบ แต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา "...โทษ ขอโทษ" เธอจึงร้องไห้ออกมาแทน
สุกฤตเดินเล่นกับเทพทัตในสนามหญ้าของโรงเรียนทิศเหนือ พวกเขายิ้มให้กับนักเรียนที่เดินเข้ามาทักทาย ทั้งสองคนไม่ค่อยจะได้คุยกันมากนักเพราะสุกฤตค่อนข้างเก็บตัว แต่เขาก็แสดงให้เห็นว่าตัวเองเปลี่ยนไปหลังจากที่เทพทัตรับตำแหน่งประธานนักเรียน "ผมอยากให้คุณเทพทัตผลิตเงินให้เยอะขึ้นครับ บอกตามตรงว่าชนชั้นแรงงานไร้ฝีมือค่อนข้างเยอะ แล้วพวกเขาก็ประท้วงกันบ่อยครั้งว่าอยากได้เงินเยอะขึ้น" สุกฤตปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้น "ถ้าผมทำอย่างนั้น เงินจะมีค่าน้อยลง ของทุกอย่างจะแพงขึ้นนะครับ" เทพทัตอธิบายเศรษฐศาสตร์แบบง่ายๆ "แค่ให้คนรู้สึกว่ามีเงินในมือเยอะขึ้น เท่านั้นก็พอแล้วครับ พวกเราก็ค่อยโทษว่าพ่อค้าแม่ค้าขายของกันแพง จนทำให้พวกเขาซื้อของได้น้อยลง แต่ข้อดีคือพวกอสังหาริมทรัพย์ก็จะแพงขึ้นด้วย แต่ละทิศที่ก่อสร้างบ้านขึ้นมาก็จะได้ประโยชน์จากตรงนี้ แถมค่าเช่าก็จะขึ้นได้อีก" สุกฤตเอ่ย "นั่นสินะครับ" เทพทัตหัวเราะอย่างพอใจ "ผมไม่นึกว่าคุณสุกฤตจะมีหัวการค้าขนาดนี้" "ผมเองก็มักจะใช้เวลาใคร่ครวญสิ่งต่างๆเสมอ มันคงเป
ย่านการค้าทิศตะวันออกกลับมาคึกคักอีกครั้ง มนสิชาได้โอกาสเดินไปคุยกับแม่ค้าแอปเปิ้ลที่นั่งอยู่ เธอเป็นหญิงร่างท้วมตัวสูง หน้าตาซีเรียส มนสิชาแอบคิดว่าแผงของเธอคงไม่ต้องการใครมาปกป้อง เพราะเธอท่าทางจะปกป้องตัวเองได้แน่ๆ "ลูกละสิบห้าบาทจ้า กรอบหวานทุกลูกเลยนะ" แม่ค้าเอ่ย "เรามาถามเรื่องคนที่ชื่อโอ๊ตน่ะคะ" ปุยฝ้ายถามแทน ชูครีมเดินตามมาทีหลัง เพราะถือของกินพะรุงพะรัง "เขาตื่นไปนานแล้วนี่" แม่ค้าสาวบอก ดูแปลกใจที่มีคนมาถามเรื่องโอ๊ต "ค่ะ เพราะเขาตื่นแล้ว เราเลยอยากได้ข้อมูลของเขาไงคะ" มนสิชาบอก "แล้วแม่ค้าก็เป็นคนเดียวที่รู้เรื่องโอ๊ตด้วย" "ฉันเองก็รู้อะไรไม่มากหรอกค่ะ รู้แค่ว่าก่อนมาที่นี่เขากระโดดให้รถชน พอรู้ตัวอีกทีก็ติดอยู่ในความฝันแล้ว เขาเป็นคนที่ไม่มีอนาคตและไม่นึกถึงอดีต เขาพอใจที่สามารถเริ่มต้นชีวิตในความฝันใหม่ได้ เคยมาคุยกับฉันว่าจะไม่ตามหาวิธีตื่น แต่แค่สามวันที่เขามาอยู่ที่นี่ เขาก็ตื่นขึ้นค่ะ" ทั้งสามคนเงียบฉี่ ต่างคนต่างนึกว่าต้องถามอะไรอีก แต่
วันเลือกตั้งใกล้เข้ามาทุกที นักเรียนทุกคนรอการหาเสียงจากแต่ละทิศอย่างตื่นเต้น เริ่มต้นจากทิศใต้ที่เน้นการศึกษา พวกเขารู้ดีว่านักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนปัจจุบันเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาอยู่แล้ว ขณะเดียวกันนักเรียนทุกคนก็รู้ว่าหากอยากเรียนมากๆให้ไปทิศใต้ ดังนั้นจึงไม่สามารถตามหานักเรียนที่สนใจการศึกษาได้มากไปกว่านี้ สุกฤตจึงใช้เรื่องอื่นจูงใจนักเรียนแทน เขาสั่งให้อัศวินลอบไปทิศอื่นเพื่อปิดป้ายประกาศเสนอคูปองกินฟรีตลอดหนึ่งเดือนสำหรับนักเรียนใหม่ เพียงย้ายที่อยู่ไปในทิศใต้ก่อนวันเลือกตั้งเท่านั้น นักเรียนชายร่างท้วมเดินไปดูป้ายอย่างสนใจ พลางกอดคอเพื่อนหุ่นพอๆกับเขาไปด้วย พวกเขาอยู่ทิศตะวันออก ที่นี่ช่างสดใสเมื่อได้ปรับปรุงที่อยู่ใหม่ ส่วนคนที่ย้ายไปก็เริ่มกลับมาบ้างแล้ว "สมุทร นายว่าเราย้ายโรงเรียนกันสักเดือนดีไหม" ลำธารเพื่อนรักเอ่ยให้ฟังด้วยแผนการ "นายหมายถึง ย้ายไปเพื่อรับอาหารฟรีงั้นเหรอ" สมุทรหัวเราะในลำคอ "ก็ไม่มีใครตามมาบังคับให้เราต้องอยู่ที่นั่นตลอดไปนี่นา แถมพวกเรายังเป็นแรงงานไร้ฝีมื







