Masukห้องทำงานของหัวหน้านักเรียนมีขนาดกว้างขวาง เขามีโต๊ะทำงานตัวเขื่องสำหรับใช้งาน มันทำมาจากไม้สักแต่ดูเรียบง่าย ใกล้ๆมีชุดโซฟาสีดำพร้อมโต๊ะกระจกใส จากที่นั่งสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของโรงเรียนทิศเหนือได้ร้อยแปดสิบองศา เทพทัตนั่งบนโซฟานุ่มแล้วทอดมองทิวทัศน์อย่างเหม่อลอย เขามองนักเรียนทิศเหนือเดินเข้าอาคาร คิดถึงการกลับไปเป็นนักเรียนที่ไม่ต้องมีภาระให้หนักสมอง
"เคาะประตูก่อนนะคะ" เสียงเด็กสาวดังขึ้น เขาคุ้นๆกับเสียงนั้นอย่างบอกไม่ถูก
ประตูถูกเคาะแล้วเปิดเข้ามา ปุยฝ้าย มนสิชา และชูครีมเดินเข้ามา ความเซ็งเปลี่ยนเป็นความสดชื่นแทน เขาคงได้ข้อมูลอะไรบางอย่างเพื่อไปให้ถึงจุดสูงสุดแน่
"เชิญครับๆ"
ปุยฝ้ายชูครีมและมนสิชานั่งลงบนโซฟา ตัวเกร็งเล็กน้อย
เมื่อนั่งต่อหน้าหัวหน้านักเรียน ไม่อยากเชื่อว่าชายที่หน้าตารุ่นราวคราวเดียวกับพวกเธอจะได้ห้องทำงานใหญ่โตขนาดนี้
"พวกเราทำตามที่ตกลงกับคุณเทพทัตได้แล้วค่ะ" ชูครีมเป็นฝ่ายเกริ่น
"ผมได้ยินข่าวแล้ว แทนที่คุณจะเปิดโปงกิ่งฟ้า แต่กลับปล่อยนกเหยี่ยวออกมาแก้แค้นเลยนะครับ" เทพทัตเอ่ย ไม่แสดงท่าทางว่าดีใจหรือเสียใจ "ผมไม่ได้หวังว่าพวกคุณต้องทำขนาดนั้น แต่เรื่องมันแล้วไปแล้ว งั้นเรามาคุยเรื่องสัญญาที่ผมเคยให้ไว้แล้วกันนะครับ"
"ดีเลยค่ะ" มนสิชาร้อง
"เอาล่ะครับ แล้วพวกคุณอยากรู้เรื่องอะไรบ้าง" เทพทัตถาม
"คำถามแรกเลยนะคะ เราจะตื่นจากฝันนี้ได้อย่างไร" ชูครีมถาม
"ผมไม่รู้ แม้แต่ผู้สร้างก็ไม่รู้ พวกเราได้แต่สร้างโลกที่น่าอยู่ให้พวกคุณสามารถมีตัวตนไปได้เรื่อยๆ ในฝันเท่านั้น" เทพทัตตอบอย่างซื่อตรง เขาประสานมือไว้บนหน้าตัก แสดงทีท่าว่ากำลังรับฟังปัญหาที่สำคัญ
"ผู้สร้างมีจุดประสงค์อะไรถึงสร้างโรงเรียนนี้ขึ้นมา ทำไมต้องเป็นโรงเรียนด้วย" ปุยฝ้ายถาม
"เขาไม่ยอมตอบคำถามนี้ว่าสร้างโรงเรียนขึ้นมาทำไม แต่เขาเคยบอกกับพวกเราหัวหน้านักเรียนทุกคน ว่าสาเหตุที่ทุกคนอยู่ในช่วงม.ปลาย เพราะเขาไม่อยากให้อายุเป็นปราการกั้นไม่ให้ทุกคนคุยกันหรือเป็นเพื่อนกัน ถ้าเราเห็นว่าคนอื่นอายุห่างกับเรามากเกินไป คงกลัวว่าจะคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าดูอายุเท่ากันไปหมด ก็ไม่กลัวที่จะพูดกันครับ"
"ก่อนที่คุณเทพทัตจะมาอยู่ที่นี่ คุณเป็นใครมาก่อน" มนสิชาถามเรื่องส่วนตัวของเขา เธอคิดว่าเขาจะไม่พอใจ แต่เทพทัตมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่านั้น แค่ยิ้มเล็กน้อยแล้วตอบคำถามอย่างลื่นไหล
"ผมอายุห้าสิบปีแล้ว ตอนอยู่ข้างนอกผมเป็นผู้ใหญ่บ้านอยู่ที่ต่างจังหวัด มีวันหนึ่งเข้ามาเยี่ยมลูกสาวที่กรุงเทพฯ แต่ประสบอุบัติเหตุเสียก่อน ผมเองก็อยู่ในฝันมาสองปีแล้ว" เทพทัตตอบ แล้วให้ข้อมูลเพิ่ม "เท่าที่ถามมา ทุกคนที่นี่กลายเป็นเจ้าหญิงหรือเจ้าชายนิทรากันหมด ผู้สร้างสามารถสร้างเครือข่ายฝันได้ใหญ่ขนาดจุคนพันคนได้ อีกอย่างหนึ่งที่ผมแน่ใจคือ ผู้สร้างไม่ได้ใช้แค่วิทยาศาสตร์อย่างเดียวเพื่อรวบรวมพวกเรา แต่น่าจะใช้เวทมนตร์ด้วย"
"เวทมนตร์!!" ทั้งสามคนอุทานพร้อมกัน
"นั่นมันผิดกฎหมายนี่" ชูครีมพูด อีกสองคนเงียบไป ต่างมีความในใจที่ไม่ได้เอ่ยออกมา
"งั้นก็แปลว่าพวกเราจะตื่นขึ้นได้ด้วยการแก้เวทมนตร์หรือคะ" มนสิชาถาม
"เปล่าครับ ผู้สร้างปลุกพวกเราไม่ได้ อย่างที่ผมบอกคือเขาไม่รู้วิธี แต่ที่ผ่านมามีคนตื่นไปแล้วสามคน พวกเราตื่นขึ้นเองโดยไม่ได้ใช้เวทมนตร์ แต่จนตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาตื่นขึ้นได้ยังไง"
"งั้นขอรายชื่อให้เราหน่อยได้ไหมคะ ทั้งคนที่ตื่นแล้วก็เพื่อนๆของเขา" ปุยฝ้ายขอร้อง "พวกเราจะไปถามจากเพื่อนสนิทของเขาเอง
"ตกลงครับ" เทพทัตตอบ
"เรื่องนี้อาจจะนอกเรื่องไปบ้าง แต่คุณเทพทัตได้อะไรจากการมาเป็นหัวหน้านักเรียนคะ" ชูครีมถาม
"ก็อย่างที่คุณน่าจะทราบกันอยู่แล้ว ผมจะได้รับอาหารและการดูแลเป็นพิเศษ ผู้สร้างบอกว่าเขามีเส้นสายในโรงพยาบาล สามารถช่วยคนที่ทำประโยชน์ให้กับโรงเรียนได้" เทพทัตเปลี่ยนท่านั่งมาไขว่ห้าง เขาต้องระมัดระวังมากขึ้นในการตอบคำถาม
"แล้วถ้าเป็นประธานนักเรียนล่ะคะ จะได้อะไร" ชูครีมถามอีก
"จะได้รับการดูแลเป็นพิเศษขึ้นไปอีกครับ" เทพทัตตอบโดยไม่สบตา ทุกคนมองออกในทันทีว่าเขาตอบไม่หมด แต่ไม่มีใครเซ้าซี้อีก เทพทัตเดินไปหยิบกระดาษและปากกามาจดอะไรขยุกขยิกก่อนยื่นกระดาษให้พวกเธอ ชูครีมรับเอาไว้
"นี่เป็นรายชื่อคนที่ตื่นขึ้นทั้งสามคน พร้อมที่อยู่คนสนิทของพวกเขา สัญญากับผมอย่างหนึ่ง" เทพทัตเอ่ย
"อะไรคะ" ปุยฝ้ายถาม
"ถ้ารู้วิธีตื่น คุณต้องมาบอกผมเป็นคนแรก"
"ตกลงค่ะ" ทั้งสามคนตอบพร้อมกัน
สามสาวเดินออกมาจากโรงเรียน แล้วกลับไปที่บ้านของพวกเธอ บ้านยังให้ความรู้สึกอบอุ่นเมือนเดิม ชูครีมหย่อนก้นลงบนโซฟานุ่มนิ่ม มองมนสิชากำลังตื่นตาตื่นใจกับบ้านหลังใหญ่
"พวกเธอเป็นเศรษฐีกันเหรอ" มนสิชาถามซื่อๆ
"ชูครีมเป็นอัศวินที่มีชื่อเสียงมากนะ มนเคยเห็นสเลฟ ของเธอแล้วนี่" ปุยฝ้ายอธิบายอยู่หลังเคาน์เตอร์ หยิบน้ำออกมาเสิร์ฟเพื่อนๆ "เธอหาเงินได้เยอะเลยล่ะ"
"ขอบคุณนะ" มนสิชาเอ่ยกับปุยฝ้ายเมื่อได้รับน้ำ
ชูครีมก้มมองกระดาษที่เทพทัตยื่นมาให้ แล้วเอ่ยขึ้น
"ชูครีมว่าชูครีมรู้จักคนนี้นะคะ" ชูครีมชี้ไปที่รายชื่อคนรู้จักของคนตื่น
"ชอปเปอร์เหรอ" ปุยฝ้ายอ่านตามที่ชี้
"เขาเป็นใครล่ะ" มนสิชาถาม
"เขาเป็นอัศวินที่แข็งแกร่งที่สุดในทิศเหนือ ถึงท่าทางเขาจะดูจ๋องๆ แต่พลังของเขาไม่ธรรมดาเลยนะคะ แถมนิสัยก็ดุร้ายสุดๆ เขามักจะท้าดวลกับคนที่ทำให้โกรธอยู่เสมอ หลายครั้งที่เขาพลั้งมือฆ่าอัศวินหรือคนธรรมดาเพียงเพราะทำให้เขาขัดใจ เลยถูกสภาอัศวินเรียกตัวไปพิพากษา มีพยานเห็นเหตุการณ์มากมาย และทุกคนลงความเห็นให้เนรเทศเขาออกไป แต่เขาไม่ยอมไปและไม่มีใครทำอะไรเขาได้ สภาอัศวินไม่อยากเสียคนไปอีก เพราะทุกครั้งที่คนตายแล้วเกิดใหม่ โอกาสที่อัศวินจะย้ายเมืองก็มี ดังนั้นสภาอัศวินจึงลงมติไม่ให้นักเรียนทิศเหนือทุกคนพูดกับชอปเปอร์อีก ไม่ขายของให้ และทำเหมือนเขาเป็น อากาศธาตุค่ะ" ชูครีมเล่า
"แล้วไงต่อๆ" ปุยฝ้ายถาม สนใจที่เรื่องน่าสนุกขึ้น
"ไม่รู้แล้วล่ะคะ ชูครีมออกมาจากทิศเหนือเสียก่อน"
ชอปเปอร์เดินเตร็ดเตร่ในเมืองทิศเหนือ ผู้คนหลีกทางให้เขาเดิน หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือหลบเข้าไปในที่พักมากกว่า เด็กหนุ่มรู้สึกเหงาแม้จะอยู่ในย่านที่มีคนอยู่หนาแน่น ชอปเปอร์เดินเข้าไปในร้านอาหารริมทางอย่างอารมณ์ดี คนที่กำลังสั่งซื้ออาหารเดินจากไปทันที ชอปเปอร์มองสำรวจในร้าน ลูกค้าที่เห็นเขาหลบสายตา บางคนก้มหน้างุด เขาเดินไปนั่งยังโต๊ะว่าง
"ขอเมนูด้วยครับ" ชอปเปอร์ยกมือขึ้นเมื่อไม่เห็นพนักงานเสิร์ฟมาสักที
ไม่มีใครกล้าเดินไปที่เขา แม้แต่เจ้าของร้านก็มือไม้สั่นอยู่หลังเคาน์เตอร์เก็บเงิน
"เอาเมนูมา" ชอปเปอร์สั่งเสียงแข็ง "ฉันนับถึงสาม ถ้าเมนูยังไม่ถึง พวกแกตายยกร้าน"
ทุกคนกรีดร้องและวิ่งหนีออกนอกร้าน ชอปเปอร์มองสภาพร้านเปล่าแล้วใจหาย เป็นแบบนี้มาสามร้านแล้ว เขาเดินลากขาอย่างหมดกำลังใจออกจากร้านไปที่โรงเรียน แอบคิดว่าบางทีครูคงจะคุยกับเขาบ้าง คนที่ยืนในที่แจ้งมักอ้างตัวว่ามีคุณธรรม ชอปเปอร์คิดว่าครูต้องไม่ปล่อยเขาไว้เฉยๆ ต้องคุยกับเขาแน่นอน
ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียน ห้องเดียวที่มีครูอยู่ก็คือห้องพยาบาล ชอปเปอร์แทบจะวิ่งไปที่นั่นด้วยความตื่นเต้น เขาไม่ได้คุยกับใครมาสองวันแล้ว การนึกถึงเรื่องดีๆ ทำให้เขายิ้มกว้างออกมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน
ในห้องพยาบาลทุกอย่างเป็นสีขาวหมด ผนังห้องสีขาว ผ้าม่านสีขาว ผ้าคลุมเตียงสีขาว และเฟอร์นิเจอร์สีขาว แต่ไม่มีใครอยู่ในนั้น เขาเห็นประตูบานเล็กสีขาวอยู่ข้างในห้อง ดูเหมือนมีห้องที่เชื่อมต่อกับห้องนี้อีกที ชอปเปอร์เดินไปสำรวจที่ประตูนั้น เขาผลักประตูเข้าไป มีอุโมงค์ขนาดเล็กทอดยาวออกไป ไฟดวงเล็กๆที่ติดอยู่ในอุโมงค์สว่างขึ้น มันดูเหมือนฐานทัพลับมากกว่าสถานที่ที่น่ากลัว
อุโมงค์สิ้นสุดลง เขาเจอห้องขนาดใหญ่ที่บรรจุนักเรียนเอาไว้ แต่ที่นี่ไม่มีโต๊ะ มีแต่ห้องกว้างที่เต็มไปด้วยกองของเล่น นักเรียนมัธยมปลายที่เล่นดินน้ำมัน รถของเล่น และวิ่งไล่จับกัน ไม่มีใครสนใจชอปเปอร์ เขายืนมองอยู่นานจึงเรียกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
"ที่นี่ที่ไหน" ชอปเปอร์ถาม
"ห้องเรียนครับ แต่พวกผมเลิกเรียนแล้ว" เด็กหนุ่มตอบโดยยังร่อนเครื่องบินกระดาษ
"ทำไมถึงเล่นอะไรเหมือนเด็กๆล่ะ พวกนายเป็นเด็กหรือไง" ชอปเปอร์ถาม
เด็กหนุ่มมองชอปเปอร์เหมือนเขาพูดอะไรแปลกๆออกมา
"ผมว่าผมโตแล้วนะ อายุตั้งเจ็ดขวบแล้วด้วย พวกนั้นต่างหากที่เป็นเด็ก" เด็กหนุ่มชี้ไปที่นักเรียนกลุ่มหนึ่งกำลังนอนอยู่บนพื้น เอาหัวแม่มืออมไว้ในปาก
สมองชอปเปอร์ทำงานอย่างรวดเร็ว นอกจากผู้ใหญ่จะกลายเป็นเด็กแล้ว ที่ในฝันแห่งนี้เด็กก็จะมีร่างกายใหญ่โตเท่านักเรียนมัธยมปลายด้วย ชอปเปอร์มองเครื่องบินกระดาษในมือเด็กแล้วนึกถึงสมัยก่อน เขาอมยิ้ม
"งั้นให้พี่เล่นด้วยได้ไหม" ชอปเปอร์ถาม ส่งสายตาเว้าวอนไปที่เด็กหนุ่ม
"ได้สิครับ" เด็กหนุ่มยื่นกระดาษเปล่าให้เขาพับ
"พี่ชื่อชอปเปอร์ แล้วน้องชื่ออะไร"
"ผมชื่อเก็นฮะพี่ชาย"
"เรามาเล่นมอญซ่อนผ้ากันไหม ชวนเพื่อนๆมาเล่นด้วยกันสิ" ชอปเปอร์ถาม เขาเห็นผ้าขนหนูวางอยู่บนโต๊ะพอดี เก็นเรียกเพื่อนๆเสียงดังให้มาเล่นด้วยกัน เด็กๆนับสิบคนมารวมตัวนั่งเป็นวงกลม อีกส่วนหนึ่งยังนอนหลับอุตุ "เล่นมอญซ่อนผ้าเป็นกันไหม"
"เป็นค่ะ/ครับ" เด็กๆตอบพร้อมกัน
"งั้นพี่เป็นมอญก่อนนะ"
"ค่ะ/ครับ"
ชอปเปอร์รู้สึกถึงพลังงานด้านบวกที่เขาได้รับมาจากเด็กๆ เขาเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ชายหนุ่มเดินไปรอบๆวงขณะที่พวกเด็กๆร้องเพลง
"มอญซ่อนผ้า ตุ๊กตาอยู่ข้างหลัง ไว้โน่นไว้นี่ ฉันจะตีก้นเธอ"
ประตูเปิดออกโดยไม่มีปี่ไม่ขลุ่ย เด็กนักเรียนสองคนเดินเข้ามาพร้อมกับอาหารเย็น พวกเขาอึ้งเมื่อเห็นชายแปลกหน้าเล่นกับเด็กๆ
"พี่ๆ มาเล่นด้วยกันไหมครับ" เก็นตะโกนถาม
"แล้วนี่ใครครับ เข้ามาได้ยังไง" เด็กหนุ่มที่เข้ามาใหม่ถาม ไม่ไว้ใจเขา
"พวกคุณเป็นใคร แล้วทำไมต้องขังพวกเด็กๆไว้ในนี้
ด้วย" ชอปเปอร์ถาม ไม่สนใจจะตอบ
"พวกเราเป็นอาสาสมัครค่ะ เราไม่อยากให้เด็กๆหลงทางไปไหน ก็เลยให้เล่นอยู่แต่ในนี้" เด็กสาวตอบแทน "มากินข้าวกับพวกเราไหมคะ เราเอาข้าวมาเผื่อเยอะเลย"
ชอปเปอร์ดีใจที่เธอไม่รู้จักเขา เขารับข้าวกล่องจากพวกอาสาสมัคร แล้วนั่งคุยกับพวกเขา
"พอดีผมเห็นประตูในห้องพยาบาล ก็เลยลองเดินเข้ามา ไม่นึกว่าจะเจอเด็กๆที่นี่" ชอปเปอร์บอก
"สนใจจะเป็นอาสาสมัครบ้างไหมครับ เรากำลังต้องการคนอยู่พอดี" หนุ่มอาสาสมัครถาม
"ผมมาที่นี่ทุกวันยังได้เลย" ชอปเปอร์อวดเหมือนเด็กๆ "แล้วต้องทำยังไงบ้าง"
"เดี๋ยวพอเด็กๆนอน เธอก็ออกไปลงชื่อได้เลยค่ะ แล้วก็มาที่นี่ตามวันที่ลงชื่อเอาไว้" ผู้หญิงเอ่ย
หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน ปุยฝ้ายไปเยี่ยมดนุเดชที่เรือนจำ พวกเขานั่งโต๊ะที่จัดไว้สำหรับให้ญาติมาเยี่ยม ดนุเดชดูโทรมไปถนัดตา ขอบตาดำคล้ำอย่างคนนอนไม่หลับ เขาสวมเสื้อสีน้ำตาล หมดแววคุณหมอไฮโซที่ปุยฝ้ายเคยรู้จัก "พ่อทานข้าวบ้างหรือเปล่าคะ" ปุยฝ้ายพยายามยิ้มให้พ่อ แต่ทำไม่ได้เลย "กินได้บ้างแล้ว" ดนุเดชตอบคอแห้งเป็นผง "เจ้าหน้าที่เขาเข้ามาคุยกับหนูเมื่อวาน บอกข่าวว่าศาลจะทำอะไรกับพวกเราบ้าง" ปุยฝ้ายจั่วหัวไปเท่านั้น ดนุเดชดูไม่สนใจฟังว่าคนอื่นจะทำยังไงกับตน "พ่อต้องได้รับโทษตามกฎหมายค่ะ คนไข้คนอื่นเขาจะไม่เรียกค่าเสียหาย แต่จะไม่มีใครยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาล พวกทีมบริหารบอกผ่านคุณย่ามาว่าโรงพยาบาลของเราจะล้มละลาย คุณย่าจะมาจัดการเรื่องขายโรงพยาบาลให้ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ" ดนุเดชดูเหม่อลอย ไม่ตอบอะไร "แน่นอนว่าคุณพ่อต้องติดคุก แล้วพวกเราจะโดนฉีดยาสลายเวทมนตร์ ไม่เฉพาะเราสองคน แต่เป็นคนใช้เวทมนตร์ทั้งประเทศจะโดนเหมือนกันหมด" ปุยฝ้ายถอนหายใจ "ปกติเราก็ไม่ได้ใช้เวทมนตร์กันอยู่แล้ว เรื่
ดนุเดชเดินกลับไปกลับมาในห้องทำงาน ผู้ถือหุ้น คนไข้ รวมทั้งลูกสาวกดดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่างกับการประท้วงที่หน้าโรงพยาบาล นักข่าวเริ่มมาทำข่าวกันแล้ว เวทมนตร์เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนไทยในเวลานี้ พวกเขามองว่าคนใช้เวทมนตร์เป็นคนไม่ดี แต่สำหรับเขาเวทมนตร์หรืออะไรก็แล้วแต่เป็นสิ่งที่เขาจะทุ่มเทให้ได้เพื่อให้ลูกสาวฟื้นขึ้นมา คำสาปทิ้งร่องรอยไว้ให้ผู้ร่ายคำสาปเสมอ ดนุเดชร่ายเวทมนตร์เก่าแก่อีกครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่ม คนไข้ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้ทุกคนกำลังฝัน และฝันก็คือร่องรอยของแต่ละคนที่เขาสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายที่สุด เขาสาปอีกครั้ง เป็นคำสาปที่ไม่รุนแรงนัก มีผลแค่ทำให้คนไข้ทั้งหนึ่งพันกว่าคนฝันร้าย มนสิชาเป็นหนึ่งในผู้ต้องคำสาป เธอเห็นดวงตะวันถูกเมฆบังจนมืดสนิท ยมบาลตัวสีแดงถือไม้ตะบองที่มีหนามแหลมทั่วทั้งอันมาด้วย เขาร้องเสียงดุร้าย "หยุดก่อน!" มนสิชาวิ่งหนี ชายตัวแดงวิ่งตามเธอมาเพียงสามก้าวก็ถึงตัวเธอ เขาใช้ไม้ตะบองตีหัวเธอ หนามแหลมทะลุเข้าไปในสมอง มนสิชาร้
มนสิชาลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอเห็นเพดานสีขาวที่ไม่คุ้นเคย ผ้าห่มอุ่นห่มให้เธอถึงอก มองไปรอบๆห้องก็พบว่าที่นี่เป็นห้องพักในโรงพยาบาล กุมภากำลังนอนหลับอยู่ที่โซฟาใกล้ๆ น้องสาวกรนเบาๆ "กุมภา" มนสิชาเรียกน้องสาวเสียงแหบ กุมภาคิดว่าฝันไปจึงหลับต่อ แต่เมื่อคิดอีกทีว่าเธออยู่กับพี่สาวตามลำพังจึงเปิดตาขึ้นมอง เห็นมนสิชายันตัวลุกขึ้นนั่ง หน้าขาวซีด "พี่มน!" กุมภาเด้งตัวลุกมาหาพี่สาว "พี่มนๆๆ" "จ้ะ พี่เอง" มนสิชายิ้มให้ รู้สึกตัวหนักไปหมด คอก็แห้งผาด "ขอ..น้ำ" กุมภารินน้ำให้พี่สาว มนสิชาดื่มอย่างกระหาย เสียงเธอกลับมาสดชื่นขึ้นเล็กน้อย "พี่รู้ไหมว่าหนูลำบากมากแค่ไหนตอนพี่ไม่ได้สติ ต้องช่วยพ่อทำงาน ต้องมาเฝ้าพี่ และทำงานพิเศษด้วย พวกเรายังไม่รู้เลยว่าจะหาค่ารักษาที่ไหนมาจ่ายให้พี่" กุมภาบอกความในใจทั้งหมดกับพี่สาว มนสิชาคิดอยู่แล้วว่าเรื่องจริงต้องร้ายแรงกว่าที่คุยกับปริญ มนสิชาพยายามจะตอบ แต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา "...โทษ ขอโทษ" เธอจึงร้องไห้ออกมาแทน
สุกฤตเดินเล่นกับเทพทัตในสนามหญ้าของโรงเรียนทิศเหนือ พวกเขายิ้มให้กับนักเรียนที่เดินเข้ามาทักทาย ทั้งสองคนไม่ค่อยจะได้คุยกันมากนักเพราะสุกฤตค่อนข้างเก็บตัว แต่เขาก็แสดงให้เห็นว่าตัวเองเปลี่ยนไปหลังจากที่เทพทัตรับตำแหน่งประธานนักเรียน "ผมอยากให้คุณเทพทัตผลิตเงินให้เยอะขึ้นครับ บอกตามตรงว่าชนชั้นแรงงานไร้ฝีมือค่อนข้างเยอะ แล้วพวกเขาก็ประท้วงกันบ่อยครั้งว่าอยากได้เงินเยอะขึ้น" สุกฤตปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้น "ถ้าผมทำอย่างนั้น เงินจะมีค่าน้อยลง ของทุกอย่างจะแพงขึ้นนะครับ" เทพทัตอธิบายเศรษฐศาสตร์แบบง่ายๆ "แค่ให้คนรู้สึกว่ามีเงินในมือเยอะขึ้น เท่านั้นก็พอแล้วครับ พวกเราก็ค่อยโทษว่าพ่อค้าแม่ค้าขายของกันแพง จนทำให้พวกเขาซื้อของได้น้อยลง แต่ข้อดีคือพวกอสังหาริมทรัพย์ก็จะแพงขึ้นด้วย แต่ละทิศที่ก่อสร้างบ้านขึ้นมาก็จะได้ประโยชน์จากตรงนี้ แถมค่าเช่าก็จะขึ้นได้อีก" สุกฤตเอ่ย "นั่นสินะครับ" เทพทัตหัวเราะอย่างพอใจ "ผมไม่นึกว่าคุณสุกฤตจะมีหัวการค้าขนาดนี้" "ผมเองก็มักจะใช้เวลาใคร่ครวญสิ่งต่างๆเสมอ มันคงเป
ย่านการค้าทิศตะวันออกกลับมาคึกคักอีกครั้ง มนสิชาได้โอกาสเดินไปคุยกับแม่ค้าแอปเปิ้ลที่นั่งอยู่ เธอเป็นหญิงร่างท้วมตัวสูง หน้าตาซีเรียส มนสิชาแอบคิดว่าแผงของเธอคงไม่ต้องการใครมาปกป้อง เพราะเธอท่าทางจะปกป้องตัวเองได้แน่ๆ "ลูกละสิบห้าบาทจ้า กรอบหวานทุกลูกเลยนะ" แม่ค้าเอ่ย "เรามาถามเรื่องคนที่ชื่อโอ๊ตน่ะคะ" ปุยฝ้ายถามแทน ชูครีมเดินตามมาทีหลัง เพราะถือของกินพะรุงพะรัง "เขาตื่นไปนานแล้วนี่" แม่ค้าสาวบอก ดูแปลกใจที่มีคนมาถามเรื่องโอ๊ต "ค่ะ เพราะเขาตื่นแล้ว เราเลยอยากได้ข้อมูลของเขาไงคะ" มนสิชาบอก "แล้วแม่ค้าก็เป็นคนเดียวที่รู้เรื่องโอ๊ตด้วย" "ฉันเองก็รู้อะไรไม่มากหรอกค่ะ รู้แค่ว่าก่อนมาที่นี่เขากระโดดให้รถชน พอรู้ตัวอีกทีก็ติดอยู่ในความฝันแล้ว เขาเป็นคนที่ไม่มีอนาคตและไม่นึกถึงอดีต เขาพอใจที่สามารถเริ่มต้นชีวิตในความฝันใหม่ได้ เคยมาคุยกับฉันว่าจะไม่ตามหาวิธีตื่น แต่แค่สามวันที่เขามาอยู่ที่นี่ เขาก็ตื่นขึ้นค่ะ" ทั้งสามคนเงียบฉี่ ต่างคนต่างนึกว่าต้องถามอะไรอีก แต่
วันเลือกตั้งใกล้เข้ามาทุกที นักเรียนทุกคนรอการหาเสียงจากแต่ละทิศอย่างตื่นเต้น เริ่มต้นจากทิศใต้ที่เน้นการศึกษา พวกเขารู้ดีว่านักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนปัจจุบันเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาอยู่แล้ว ขณะเดียวกันนักเรียนทุกคนก็รู้ว่าหากอยากเรียนมากๆให้ไปทิศใต้ ดังนั้นจึงไม่สามารถตามหานักเรียนที่สนใจการศึกษาได้มากไปกว่านี้ สุกฤตจึงใช้เรื่องอื่นจูงใจนักเรียนแทน เขาสั่งให้อัศวินลอบไปทิศอื่นเพื่อปิดป้ายประกาศเสนอคูปองกินฟรีตลอดหนึ่งเดือนสำหรับนักเรียนใหม่ เพียงย้ายที่อยู่ไปในทิศใต้ก่อนวันเลือกตั้งเท่านั้น นักเรียนชายร่างท้วมเดินไปดูป้ายอย่างสนใจ พลางกอดคอเพื่อนหุ่นพอๆกับเขาไปด้วย พวกเขาอยู่ทิศตะวันออก ที่นี่ช่างสดใสเมื่อได้ปรับปรุงที่อยู่ใหม่ ส่วนคนที่ย้ายไปก็เริ่มกลับมาบ้างแล้ว "สมุทร นายว่าเราย้ายโรงเรียนกันสักเดือนดีไหม" ลำธารเพื่อนรักเอ่ยให้ฟังด้วยแผนการ "นายหมายถึง ย้ายไปเพื่อรับอาหารฟรีงั้นเหรอ" สมุทรหัวเราะในลำคอ "ก็ไม่มีใครตามมาบังคับให้เราต้องอยู่ที่นั่นตลอดไปนี่นา แถมพวกเรายังเป็นแรงงานไร้ฝีมื







