Share

บทที่ 18

Author: Me.Daisy
last update Last Updated: 2025-01-16 18:59:29

              ชูครีมและปุยฝ้ายเดินไปย่านร้านค้า  เวลานั้นเป็นช่วงสายของวันหยุด  มีร้านกาแฟโบราณเปิดอยู่  ไม่มีที่ไหนเหมาะไปกว่าที่นี่อีกแล้ว  โต๊ะในร้านให้บริการคนในท้องถิ่นมานั่งคุยกัน  เจ้าของร้านชงกาแฟแบบโบราณ  รสชาติที่ทุกคนคุ้นเคย  ไม่ว่าจะในโลกแห่งความเป็นจริงหรือโลกแห่งความฝัน  พวกเขาไม่ได้ติดใจเพียงรสชาติ  แต่ยังติดใจบรรยากาศการนั่งคุยฉันมิตรด้วย

              เด็กหนุ่มทั้งหมดสวมชุดนักเรียนมานั่งดื่มชาร้อนกันกว่าหกคน  ชูครีมและปุยฝ้ายเลือกที่นั่งริมๆโต๊ะ  แล้วสังเกตุการพูดคุยของพวกเขา  แหล่งข่าวชั้นเยี่ยมก็คือสถานที่ๆ มีคนนั่งเม้าท์กันอย่างไม่ระวังนี่แหละ

              "ได้ยินมาว่าที่ทิศตะวันตกมีกบฏด้วยนะ"  ชายคนหนึ่งเอ่ย  สามสาวยังไม่ได้หันไปมองว่าใครพูด  จึงไม่เห็นว่าเป็นใคร

              "แล้วปฏิวัติสำเร็จหรือเปล่าล่ะ"

              "ไม่เลย  แถมคุณสุกฤตยังไม่เอาเรื่องด้วยนะ"  คนที่เล่าตอบ  "ไม่มีใครตาย  แต่คนเจ็บเยอะอยู่"

              มนสิชาเงี่ยหูฟังเต็มที่  ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ดาวเหนือปลอดภัย

              "หัวหน้าทิศตะวันออกน่ะนะ"  เด็กหนุ่มผมสีอ่อนเอ่ยเสียงเบาลง  คนที่เหลือจึงยื่นศีรษะเข้ามาใกล้เพื่อให้ได้ยิน  "เขาว่ากันว่าเป็นลูกสาวเศรษฐีล่ะ  อายุสามสิบห้าปีเท่านั้นเอง"

              "สามสิบห้าปีเท่านั้นเหรอคะ"  ชูครีมถาม  สำหรับเธอเท่านั้นก็ถือว่าอายุมากแล้ว

              "คนที่ชอบมานั่งคุยในร้านแบบนี้  ส่วนใหญ่ก็อายุสี่สิบปีขึ้นไปทั้งนั้น  จริงไหม"  ชายฟันเหยินคนหนึ่งให้ข้อมูล

              "จริงสิๆ"  ผู้ชายที่เหลือพยักหน้า 

              "นี่แล้วคุณกิ่งฟ้านะ  ยังสวยมากอีก  ตั้งใจทำงาน   ทั้งคุณสมบัติเพียบพร้อม  ผมว่าเธอนี่แหละที่จะได้เป็นประธานนักเรียน"  ชายคนแรกเอ่ย  คนที่เหลือพยักหน้าและยิ้มอย่างภูมิใจ

              ปุยฝ้ายและชูครีมทำหน้าเฉยเมย  ไม่มีส่วนร่วม  ชายฟันเหยินสังเกตเห็นจึงถาม

              "พวกเธอสองคนไม่ใช่คนที่นี่แน่ๆ  มาจากไหนล่ะ"

              "พวกเราเพิ่งรู้ตัวว่าฝันเมื่อไม่นานมานี้เองค่ะ"  ชูครีมปด  "เรายังไม่ค่อยรู้อะไร  รู้แต่ว่ามีโรงเรียนสี่แห่ง  เลยอยากรู้ว่าจะไปที่ไหนดี"

              "อยู่ที่นี่แหละ  ที่นี่เป็นเมืองผู้ดี  มีแต่คนมีมารยาท  พูดดี  ทำตัวดี  และเป็นโรงเรียนที่แกร่งที่สุด  คนเยอะที่สุด"  ชายผมสีอ่อนยอเมืองที่ตนอาศัยอยู่

              "คงจะอย่างนั้นค่ะ"  ชูครีมหัวเราะแห้งๆ

              ปุยฝ้ายมองไปที่ถนน  คนกำลังเดินกันขวักไขว่  เธอเห็นชายสองคนกำลังทะเลาะกันด้วยคำสุภาพ

              "นี่คุณ  อย่ามายุ่งกับแฟนคนอื่นนะครับ"  ชายหนุ่มท่าทางดูดีเอ่ย  หญิงสาวที่เขาอ้างว่าเป็นแฟนยืนอยู่หลังชายอีกคนซึ่งตัวใหญ่เหมือนหมี  แต่ดูเป็นคนใจดีกว่ามาก

              "คงไม่ได้  เพราะผมชอบคนๆ นี้ครับ"

              "รักษาหน้าให้พ่อแม่คุณด้วย  ท่านจะว่ายังไงถ้ารู้ว่าลูก

ท่านมาแย่งแฟนคนอื่น"  ชายคนนั้นแขวะเหมือนจะสุภาพ  แต่ลามปามถึงพ่อแม่

              "ให้ผู้หญิงเลือกแล้วกัน  ว่าจะเลือกใคร"

              คนกลางมีท่าลำบากใจ  ความจริงแล้วเธอไม่ได้ตัดสินใจไม่ได้  เพียงแต่ไม่อยากทำให้ใครเสียใจ  ร้านกาแฟโบราณเงียบสนิทเพราะลุ้นว่าฝ่ายหญิงจะเลือกใคร  หญิงสาวจับแขนแฟนเก่า  เขามีทีท่าผ่อนคลายคิดว่าเธอเลือกเขา

              "ขอโทษนะชาย  แต่ฉันชอบบาสจริงๆ  เราพอกันแค่นี้นะ"  เธอเอ่ย  น้ำตาคลอเบ้า  ชายที่ดูดีสติขาดผึง  ตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดัง

              "นังคนหลายใจ  แกคิดจะทิ้งฉันไปหาคนใหม่เหรอ  วันนี้แกอย่าอยู่เลย  ถ้าฉันไม่ได้  ก็อย่าคิดว่าใครจะได้ผู้หญิงแพศยาอย่างแก"

              เขาทิ้งคำพูดแบบสุภาพชน  ดึงมีดจากกระเป๋ากางเกงแล้วแทงเธอ  ลูกไฟเผาไหม้ร่างของเธอแล้วสลายหายไป

              คนในร้านกาแฟโบราณนิ่งอึ้ง  ตกใจกับคำพูดหยาบและการกระทำรุนแรง  มองดูชายสองคนชกต่อยกันเพื่อระบายความแค้น

              "ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้พวกเธอต้องมาฟังอะไรแบบนี้"  คนฟันเหยินเอ่ยแก้เก้อ

              "หนูกลับคิดว่าคนโรงเรียนนี้ก็คือคนธรรมดาๆ  มีความรักโลภโกรธหลงเหมือนกัน  มีความหยาบคายเหมือนกัน  เพียงแต่ว่าจะซ่อนไว้ได้ดีแค่ไหนเท่านั้นเอง"  ปุยฝ้ายเอ่ยอย่างเข้าใจ  คนฟังทำหน้าไม่ถูกเพราะยังถือว่าตัวเองเป็นผู้ดีกว่าใคร  "ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอตัวไปสำรวจรอบๆ เพื่อดูอีกทีนะคะ"

              สองสาวจ่ายเงินแล้วเดินออกจากร้าน  พวกเธอมุ่งหน้าเข้าไปในเมืองลึกขึ้นเรื่อยๆ  จากร้านค้าคึกคักกลายเป็นร้างผู้คน  ถนนลาดยางสิ้นสุดที่ตรงนั้น  แต่มีถนนลูกรังทอดตัวออกไปแทน

              "เราจะเดินต่อไปอีกเหรอคะ"  ชูครีมถามปุยฝ้าย  เมื่อเดินบนถนนลูกรังมาได้พักใหญ่

              "มีป้ายห้ามเข้าด้วยนี่สิ"  ปุยฝ้ายชี้ป้ายที่อยู่ตรงหน้า  ติดอยู่เหนือกำแพงเก่าๆที่มีประตูเหล็ก  ปุยฝ้ายเดินไปเปิดประตูออกแล้วเดินเข้าไปข้างใน  มีโกดังอยู่หลังกำแพง  "เข้าไปสำรวจโกดังนั้นหน่อยไหม"

              "ก็ลองดูค่ะ"

              มองจากด้านนอกโกดังร้างมีสภาพผุพังเต็มที่  สนิมขึ้นเกรอะตามจุดที่เป็นโครงสร้างเหล็ก  ฝุ่นฟุ้งกระจายเมื่อพวกเธอเปิดประตูเข้าไป  ทั้งสองคนได้ยินเสียงร้องดังระงม  แสงสว่างทำให้เห็นว่าข้างในมีแต่นกเหยี่ยวยักษ์นอนอยู่บนพื้น  พวกมันยังมีชีวิตอยู่แต่ถูกมัดขาและปีกเอาไว้จนเคลื่อนที่ไม่ได้  ดวงตาสีแดงนั้นอ้อนวอนให้พวกเธอช่วยแก้มัด  แต่พวกเธอทำไม่ได้

              เสียงไซเรนดังขึ้น  ปุยฝ้ายและชูครีมสะดุ้งสุดตัว  รีบปิดประตูโกดังเหมือนเดิม  พวกเธอเดินเข้าไปหามุมหลบให้ตัวเอง  เสียงเรียกสเลฟดังเล็ดลอดเข้ามา  ที่แท้หลังโกดังนี้เป็นประตูมิติของทิศตะวันออก  อัศวินกำลังใช้พละกำลังต่อสู้กับมอนสเตอร์อย่างดุเดือด 

              ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงประตูโกดังก็เปิดออก  พวกเขาโยนนกเหยี่ยวที่มัดขาและปีกเข้ามา  พวกที่เหลือร้องอย่างทุกข์ทรมานที่ถูกขังในโกดังมืดๆ  ก่อนอัศวินจะกลับเมืองไป

              "ฉันคิดอะไรดีๆออกแล้วล่ะ"  ปุยฝ้ายเอ่ย  "พวกเราควรจะปล่อยเหยี่ยวออกมาทำร้ายเมืองทิศตะวันออก"

              ชูครีมแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

              "ชูครีมว่าในเมืองคนที่อ่อนแอมีมาก  เราอาจไม่ได้แค่สร้างความตกใจ  แต่คนจำนวนมากอาจจะตายได้นะคะ"  ชูครีมเอ่ยสีหน้าเป็นกังวล

              "นั่นก็ยิ่งดีใหญ่  เพราะถ้าแค่เปลี่ยนผู้นำด้วยหลักฐานพวกนี้  คนอาจจะยังไม่ตัดสินใจย้ายเมือง  แต่ถ้ามีคนตาย  ก็แปลว่าพวกเขาต้องตัดสินใจเลือกเมืองใหม่  โอกาสที่คนจะย้ายไปทิศเหนือจะมีมากขึ้น  แล้วชาวเมืองที่รอดชีวิตจะเป็นพยานว่า  เหยี่ยวยักษ์ออกมาจากทิศตะวันออก  ถึงตอนนั้นคุณกิ่งฟ้าก็จะหมดความน่าเชื่อถือ  พวกเขาต้องอยากเปลี่ยนผู้นำแน่"

              "แต่ชูครีมไม่เห็นด้วยนะคะ  ทำไมเราต้องทำตัวเหมือน

คนที่เราไม่ชอบด้วยล่ะคะ  แบบนี้ก็เท่ากับเราไม่ต่างอะไรจากพวกเขาเลย"

              "เป้าหมายของเราคือทำให้คุณเทพทัตพอใจ  ถ้าเธอไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร  เดี๋ยวฉันจะทำทั้งหมดนี้เอง"  ปุยฝ้ายตอบเสียงร่าเริง  เธอไม่ไตร่ตรองอีกครั้ง  แต่หันไปลงมือแกะเชือกออกจากนกเหยี่ยว  บางตัวเห็นพวกมนุษย์เป็นศัตรู  มันพุ่งเข้ามาโจมตีปุยฝ้าย  ชูครีมจึงเรียกบลูฮาร์ทออกมาปกป้องพวกเธอ

              ปุยฝ้ายเปิดประตูโกดังให้นกกว่าร้อยตัวบินออกไป  พวกมันร้องคลั่งไปด้วยความโกรธ  บินโฉบเข้าสู่ตัวเมือง 

              ชาวเมืองมองท้องฟ้าที่จู่ๆก็มืดลง  ฝูงนกยักษ์บินบดบังแสงแล้วเข้าโจมตีผู้คน  เหยี่ยวยักษ์หลายตัวหิวโหย  มันจิกทึ้งร่างกายของชาวเมืองแล้วกินเนื้อสดๆแดงฉาน  ทั้งที่คนยังไม่ตาย  เพราะพวกมันรู้ว่าพอตายแล้วร่างกายก็จะสลายตัวไป 

              มีแต่เสียงร้องไห้  รวมทั้งกรีดร้องอย่างเสียสติ  ลูกไฟล้างชีวิตสว่างจ้าจนแสบตา  ผู้คนมากมายเสียชีวิตจากการโจมตีของนกยักษ์ 

              อัศวินออกมาปราบเหยี่ยวยักษ์ในเมือง  พวกเขามีจำนวนน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับจำนวนนก  หลายคนปิดประตูอยู่ในบ้าน  แต่กลับหลบเหยี่ยวทีสายตาดีได้ยาก  พวกมันพังกระจกเข้าไปแล้วทำร้ายผู้คนด้วยแรงอาฆาต  เลือดและน้ำตานองไปทั่วแผ่นดินทิศตะวันออก  คนที่ยังอยู่ต่างตั้งคำถามกับกิ่งฟ้าว่า  ไหนเธอบอกว่าเหยี่ยวยักษ์ไม่ได้มาจากทิศตะวันออก  แล้วเหยี่ยวพวกนี้บินออกมาจากฝั่งประตูมิติในเขตตะวันออกได้อย่างไร

              มนสิชาขี่ฟ้าลั่นอยู่เหนือน่านฟ้าของโรงเรียนทิศตะวันออก  เธอทำได้แค่เพียงช่วยเหลือตัวเองเท่านั้น  เธอมองดูผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากโดยไม่อาจช่วยใครได้เลย

              ชูครีมขี่มังกรมาพร้อมกับปุยฝ้ายและตะโกนเมื่อเห็นเธอ

              "พวกเราไปกันเถอะค่ะคุณมน"

              มนสิชาเห็นว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย  ไม่สามารถสู้กับนกยักษ์ได้  และไม่สามารถปกป้องใครได้  จึงตัดสินใจกลับไปกับพวกเด็กสาว  ทิ้งโรงเรียนทิศตะวันออกไว้เบื้องหลัง

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • เมืองนิทรา   บทที่ 33 (ตอนจบ)

    หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือน ปุยฝ้ายไปเยี่ยมดนุเดชที่เรือนจำ พวกเขานั่งโต๊ะที่จัดไว้สำหรับให้ญาติมาเยี่ยม ดนุเดชดูโทรมไปถนัดตา ขอบตาดำคล้ำอย่างคนนอนไม่หลับ เขาสวมเสื้อสีน้ำตาล หมดแววคุณหมอไฮโซที่ปุยฝ้ายเคยรู้จัก "พ่อทานข้าวบ้างหรือเปล่าคะ" ปุยฝ้ายพยายามยิ้มให้พ่อ แต่ทำไม่ได้เลย "กินได้บ้างแล้ว" ดนุเดชตอบคอแห้งเป็นผง "เจ้าหน้าที่เขาเข้ามาคุยกับหนูเมื่อวาน บอกข่าวว่าศาลจะทำอะไรกับพวกเราบ้าง" ปุยฝ้ายจั่วหัวไปเท่านั้น ดนุเดชดูไม่สนใจฟังว่าคนอื่นจะทำยังไงกับตน "พ่อต้องได้รับโทษตามกฎหมายค่ะ คนไข้คนอื่นเขาจะไม่เรียกค่าเสียหาย แต่จะไม่มีใครยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาล พวกทีมบริหารบอกผ่านคุณย่ามาว่าโรงพยาบาลของเราจะล้มละลาย คุณย่าจะมาจัดการเรื่องขายโรงพยาบาลให้ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ" ดนุเดชดูเหม่อลอย ไม่ตอบอะไร "แน่นอนว่าคุณพ่อต้องติดคุก แล้วพวกเราจะโดนฉีดยาสลายเวทมนตร์ ไม่เฉพาะเราสองคน แต่เป็นคนใช้เวทมนตร์ทั้งประเทศจะโดนเหมือนกันหมด" ปุยฝ้ายถอนหายใจ "ปกติเราก็ไม่ได้ใช้เวทมนตร์กันอยู่แล้ว เรื่

  • เมืองนิทรา   บทที่ 32

    ดนุเดชเดินกลับไปกลับมาในห้องทำงาน ผู้ถือหุ้น คนไข้ รวมทั้งลูกสาวกดดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่างกับการประท้วงที่หน้าโรงพยาบาล นักข่าวเริ่มมาทำข่าวกันแล้ว เวทมนตร์เป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนไทยในเวลานี้ พวกเขามองว่าคนใช้เวทมนตร์เป็นคนไม่ดี แต่สำหรับเขาเวทมนตร์หรืออะไรก็แล้วแต่เป็นสิ่งที่เขาจะทุ่มเทให้ได้เพื่อให้ลูกสาวฟื้นขึ้นมา คำสาปทิ้งร่องรอยไว้ให้ผู้ร่ายคำสาปเสมอ ดนุเดชร่ายเวทมนตร์เก่าแก่อีกครั้ง ตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่ม คนไข้ทุกคนเข้านอนกันหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้ทุกคนกำลังฝัน และฝันก็คือร่องรอยของแต่ละคนที่เขาสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายที่สุด เขาสาปอีกครั้ง เป็นคำสาปที่ไม่รุนแรงนัก มีผลแค่ทำให้คนไข้ทั้งหนึ่งพันกว่าคนฝันร้าย มนสิชาเป็นหนึ่งในผู้ต้องคำสาป เธอเห็นดวงตะวันถูกเมฆบังจนมืดสนิท ยมบาลตัวสีแดงถือไม้ตะบองที่มีหนามแหลมทั่วทั้งอันมาด้วย เขาร้องเสียงดุร้าย "หยุดก่อน!" มนสิชาวิ่งหนี ชายตัวแดงวิ่งตามเธอมาเพียงสามก้าวก็ถึงตัวเธอ เขาใช้ไม้ตะบองตีหัวเธอ หนามแหลมทะลุเข้าไปในสมอง มนสิชาร้

  • เมืองนิทรา   บทที่ 31

    มนสิชาลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอเห็นเพดานสีขาวที่ไม่คุ้นเคย ผ้าห่มอุ่นห่มให้เธอถึงอก มองไปรอบๆห้องก็พบว่าที่นี่เป็นห้องพักในโรงพยาบาล กุมภากำลังนอนหลับอยู่ที่โซฟาใกล้ๆ น้องสาวกรนเบาๆ "กุมภา" มนสิชาเรียกน้องสาวเสียงแหบ กุมภาคิดว่าฝันไปจึงหลับต่อ แต่เมื่อคิดอีกทีว่าเธออยู่กับพี่สาวตามลำพังจึงเปิดตาขึ้นมอง เห็นมนสิชายันตัวลุกขึ้นนั่ง หน้าขาวซีด "พี่มน!" กุมภาเด้งตัวลุกมาหาพี่สาว "พี่มนๆๆ" "จ้ะ พี่เอง" มนสิชายิ้มให้ รู้สึกตัวหนักไปหมด คอก็แห้งผาด "ขอ..น้ำ" กุมภารินน้ำให้พี่สาว มนสิชาดื่มอย่างกระหาย เสียงเธอกลับมาสดชื่นขึ้นเล็กน้อย "พี่รู้ไหมว่าหนูลำบากมากแค่ไหนตอนพี่ไม่ได้สติ ต้องช่วยพ่อทำงาน ต้องมาเฝ้าพี่ และทำงานพิเศษด้วย พวกเรายังไม่รู้เลยว่าจะหาค่ารักษาที่ไหนมาจ่ายให้พี่" กุมภาบอกความในใจทั้งหมดกับพี่สาว มนสิชาคิดอยู่แล้วว่าเรื่องจริงต้องร้ายแรงกว่าที่คุยกับปริญ มนสิชาพยายามจะตอบ แต่ไม่มีเสียงเล็ดรอดออกมา "...โทษ ขอโทษ" เธอจึงร้องไห้ออกมาแทน

  • เมืองนิทรา   บทที่ 30

    สุกฤตเดินเล่นกับเทพทัตในสนามหญ้าของโรงเรียนทิศเหนือ พวกเขายิ้มให้กับนักเรียนที่เดินเข้ามาทักทาย ทั้งสองคนไม่ค่อยจะได้คุยกันมากนักเพราะสุกฤตค่อนข้างเก็บตัว แต่เขาก็แสดงให้เห็นว่าตัวเองเปลี่ยนไปหลังจากที่เทพทัตรับตำแหน่งประธานนักเรียน "ผมอยากให้คุณเทพทัตผลิตเงินให้เยอะขึ้นครับ บอกตามตรงว่าชนชั้นแรงงานไร้ฝีมือค่อนข้างเยอะ แล้วพวกเขาก็ประท้วงกันบ่อยครั้งว่าอยากได้เงินเยอะขึ้น" สุกฤตปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้น "ถ้าผมทำอย่างนั้น เงินจะมีค่าน้อยลง ของทุกอย่างจะแพงขึ้นนะครับ" เทพทัตอธิบายเศรษฐศาสตร์แบบง่ายๆ "แค่ให้คนรู้สึกว่ามีเงินในมือเยอะขึ้น เท่านั้นก็พอแล้วครับ พวกเราก็ค่อยโทษว่าพ่อค้าแม่ค้าขายของกันแพง จนทำให้พวกเขาซื้อของได้น้อยลง แต่ข้อดีคือพวกอสังหาริมทรัพย์ก็จะแพงขึ้นด้วย แต่ละทิศที่ก่อสร้างบ้านขึ้นมาก็จะได้ประโยชน์จากตรงนี้ แถมค่าเช่าก็จะขึ้นได้อีก" สุกฤตเอ่ย "นั่นสินะครับ" เทพทัตหัวเราะอย่างพอใจ "ผมไม่นึกว่าคุณสุกฤตจะมีหัวการค้าขนาดนี้" "ผมเองก็มักจะใช้เวลาใคร่ครวญสิ่งต่างๆเสมอ มันคงเป

  • เมืองนิทรา   บทที่ 29

    ย่านการค้าทิศตะวันออกกลับมาคึกคักอีกครั้ง มนสิชาได้โอกาสเดินไปคุยกับแม่ค้าแอปเปิ้ลที่นั่งอยู่ เธอเป็นหญิงร่างท้วมตัวสูง หน้าตาซีเรียส มนสิชาแอบคิดว่าแผงของเธอคงไม่ต้องการใครมาปกป้อง เพราะเธอท่าทางจะปกป้องตัวเองได้แน่ๆ "ลูกละสิบห้าบาทจ้า กรอบหวานทุกลูกเลยนะ" แม่ค้าเอ่ย "เรามาถามเรื่องคนที่ชื่อโอ๊ตน่ะคะ" ปุยฝ้ายถามแทน ชูครีมเดินตามมาทีหลัง เพราะถือของกินพะรุงพะรัง "เขาตื่นไปนานแล้วนี่" แม่ค้าสาวบอก ดูแปลกใจที่มีคนมาถามเรื่องโอ๊ต "ค่ะ เพราะเขาตื่นแล้ว เราเลยอยากได้ข้อมูลของเขาไงคะ" มนสิชาบอก "แล้วแม่ค้าก็เป็นคนเดียวที่รู้เรื่องโอ๊ตด้วย" "ฉันเองก็รู้อะไรไม่มากหรอกค่ะ รู้แค่ว่าก่อนมาที่นี่เขากระโดดให้รถชน พอรู้ตัวอีกทีก็ติดอยู่ในความฝันแล้ว เขาเป็นคนที่ไม่มีอนาคตและไม่นึกถึงอดีต เขาพอใจที่สามารถเริ่มต้นชีวิตในความฝันใหม่ได้ เคยมาคุยกับฉันว่าจะไม่ตามหาวิธีตื่น แต่แค่สามวันที่เขามาอยู่ที่นี่ เขาก็ตื่นขึ้นค่ะ" ทั้งสามคนเงียบฉี่ ต่างคนต่างนึกว่าต้องถามอะไรอีก แต่

  • เมืองนิทรา   บทที่ 28

    วันเลือกตั้งใกล้เข้ามาทุกที นักเรียนทุกคนรอการหาเสียงจากแต่ละทิศอย่างตื่นเต้น เริ่มต้นจากทิศใต้ที่เน้นการศึกษา พวกเขารู้ดีว่านักเรียนที่อยู่ในโรงเรียนปัจจุบันเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาอยู่แล้ว ขณะเดียวกันนักเรียนทุกคนก็รู้ว่าหากอยากเรียนมากๆให้ไปทิศใต้ ดังนั้นจึงไม่สามารถตามหานักเรียนที่สนใจการศึกษาได้มากไปกว่านี้ สุกฤตจึงใช้เรื่องอื่นจูงใจนักเรียนแทน เขาสั่งให้อัศวินลอบไปทิศอื่นเพื่อปิดป้ายประกาศเสนอคูปองกินฟรีตลอดหนึ่งเดือนสำหรับนักเรียนใหม่ เพียงย้ายที่อยู่ไปในทิศใต้ก่อนวันเลือกตั้งเท่านั้น นักเรียนชายร่างท้วมเดินไปดูป้ายอย่างสนใจ พลางกอดคอเพื่อนหุ่นพอๆกับเขาไปด้วย พวกเขาอยู่ทิศตะวันออก ที่นี่ช่างสดใสเมื่อได้ปรับปรุงที่อยู่ใหม่ ส่วนคนที่ย้ายไปก็เริ่มกลับมาบ้างแล้ว "สมุทร นายว่าเราย้ายโรงเรียนกันสักเดือนดีไหม" ลำธารเพื่อนรักเอ่ยให้ฟังด้วยแผนการ "นายหมายถึง ย้ายไปเพื่อรับอาหารฟรีงั้นเหรอ" สมุทรหัวเราะในลำคอ "ก็ไม่มีใครตามมาบังคับให้เราต้องอยู่ที่นั่นตลอดไปนี่นา แถมพวกเรายังเป็นแรงงานไร้ฝีมื

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status