เสียงเปียโนแผ่วเบาที่ลอยคลออยู่ในเลานจ์ของโรงแรมหรู ทำให้ปิ่นมุกต้องหลับตาลงอย่างไม่รู้ตัว ท่วงทำนองนั้นพาเธอย้อนกลับไปยังวันแรกที่ได้พบเขา
ค่ำคืนของงานเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ เธอลูกสาวของนักธุรกิจชื่อดัง ที่จำใจต้องมาปรากฏตัวในงานเลี้ยงแสนจอมปลอม สายตาเธอมองลงมาจากชั้นสอง ริมบันไดหินอ่อนสูง ผู้คนด้านล่างแต่งแต้มรอยยิ้มแสร้งท่าที แต่สำหรับเธอ มันช่างน่าเบื่อเหลือเกิน
“ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อยปิ่นมุก” ปิ่นปักเอ็ดลูกสาวไม่ว่าจะชวนมางานเลี้ยงทีไร มักเป็นแบบนี้ทุกครั้งจนเธอเองเหนื่อยที่จะว่าลูกสาว
“คุณแม่มุกไม่ชอบงานแบบนี้นี่คะ”
“ไม่ชอบก็เก็บอาการอย่าแสดงออกให้มาก เดี๋ยวแขกคนอื่นจะว่าแม่เอาได้”
ปิ่นปักแม่หม้ายไฮโซสาวถึงแม้ธุรกิจกำลังไปได้สวย แต่เธอไม่ยอมเปิดใจให้กับใครเข้ามาในชีวิต เพราะรักลูกสาวคนเดียวมากกลัวว่าจะเข้ามาทำร้ายลูกสาว ตามข่าวที่ออกตามทีวีบ่อยๆ
ปิ่นมุก หรือมีชื่อจริงว่าปรางลิษา เมธากาญจน์ อายุ 24 ปี เป็นหญิงสาวเรียบร้อย อ่อนหวานแต่เป็นคนที่เข้มแข็งมาก นิสัยอ่อนนอกแข็งใน
ใบหน้าสวยหวานราวกับตุ๊กตา ผิวขาวเนียนละเอียดราวหิมะ ดวงตากลมโตเป็นประกายแฝงความเศร้าละเมียดละไม จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากเล็กแดงระเรื่ออย่างธรรมชาติ ผมยาวสลวยเป็นลอนคลื่นสีช็อกโกแลตเข้ม ทิ้งตัวนุ่มลื่นคลอเคลียไหล่อย่างอ่อนช้อย
“ไม่แน่ลูกสาวแม่อาจจะได้เจอคนที่ถูกใจ”
“มุกไม่ชอบใครทั้งนั้นค่ะ” ตั้งแต่เรียนจนเข้ามหาลัยแม่ก็ห้ามมีคนรัก เพราะกลัวว่าจะเรียนไม่จบ จนตอนนี้เรียนจบมาสองปีแล้วก็ยังไม่เจอคนที่ถูกใจเสียที
“หรืออยากทำความรู้จักกับใครบอกแม่ได้นะ” ปิ่นปักบังคับลูกสาวมากเกินไป จนตอนนี้ควรปล่อยให้ลูกได้มีชีวิตของตัวเอง
“ไม่เอาค่ะผู้ชายหล่อๆ มักเจ้าชู้ทั้งนั้นมุกชอบผู้ชายที่เหมือนคุณพ่อค่ะ” แววตาสดใสยามที่คิดถึงผู้เป็นพ่อที่ล่วงลับไปนานหลายสิบปี
“คนรักเดียวใจเดียวก็มีเอาไว้แม่จะแนะนำให้ลูกรู้จักแล้วกัน”
“คุณปิ่นปักถึงเวลาแล้วค่ะ” ทรายแก้วเลขาคนสนิทเข้ามาตามเจ้านาย
“ลูกอยู่คนเดียวไปก่อนนะ”
“คุณแม่ไม่ต้องห่วงค่ะ” เธอมองเบื่อหน่ายไม่น้อย
มองดูผู้คนแสแสร้งไปทั่วจนสะดุดตากับชายในชุดสูทตัดพอดีตัวเดินเข้ามาในแสงไฟเหมือนพระเอกละคร ปิ่นมุกจำได้แม่นว่าธรรศชวินในตอนนั้นมองสบตาเธอขึ้นมาครู่หนึ่ง เขาไม่ได้มองเธอด้วยแววตาพิเศษอะไร แต่เธอกลับจำเขาได้ขึ้นใจตั้งแต่วินาทีแรก
ปิ่นมุกที่แม้จะเป็นสาวเพียบพร้อมแต่กลับไม่เคยมั่นใจในตัวเอง แต่ไหนแต่ไรก็ขี้เขินขี้อายเข้าสังคมไม่เป็น ไม่ได้มีเสน่ห์เหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ในแวดวงธุรกิจ เธอเหมือนคนหลงทางในเมืองใหญ่ เดินเรื่อยไปตามแรงลมของความหวัง ชีวิตเธอไม่เคยมีจุดหมายอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่าการจะได้มีตัวตนในสายตาใครสักคน
ธรรมศชวินลดแก้วไวน์ลงทันทีที่สบตากับสาวสวยคนนั้น เขาไม่เคยเจอหน้าหญิงสาวมาก่อน ดูแล้วอายุน่าจะยังน้อยอยู่
“คุณวินซ์จะกลับเลยไหมครับ” วศินถามเจ้านายแต่เหมือนว่าสิ่งที่เขาถามจะไม่เข้าหูเลย
“คุณวินซ์ครับ!”
“มีอะไร” เขาตอบอย่างหัวเสียเพราะกำลังจับจ้องสาวสวยคนนั้นอยู่ แต่พอหันไปอีกทีเธอไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว ทำให้เขาหงุดหงิด
“คุณวินซ์มองใครครับ”
“รู้ดี กลับก่อนเลยฉันจะไปต่อ”
“ให้ผมไปด้วยดีกว่าครับ”
“ไม่ต้อง!” เขาเห็นหญิงสาวเดินผ่านสายตาออกไปนอกโรงแรมเขาจึงรีบเดินตามออกไป
เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นข้างหลัง ก่อนที่เธอจะได้หันกลับ ชายหนุ่มที่แอบมองก็ยืนอยู่ตรงหน้า ร่างสูงในสูทสีเข้มเปล่งออร่าน่าเกรงขาม ดวงตาคมกริบของเขาสบตากับเธอแน่นิ่ง ราวกับมองทะลุเข้าไปในความคิดที่เธอซ่อนเอาไว้
“เอ่อ มีอะไรคะ”
“ผมธรรศชวิน เรียกวินซ์ก็ได้ผมอยากรู้จักคนสวยได้ไหมครับ” แววตาของเขาแพรวพราวระยิบระยับตามฉบับหนุ่มเจ้าชู้ ที่เห็นผู้หญิงเป็นเพียงแค่ที่ระบาย
“คือ”
ปิ่นมุกทำตัวไม่ถูกเพราะเขินอาย เธอประหม่าทุกครั้งยามที่มีชายหนุ่มเข้ามาจีบ เป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไร
“ผมขอรู้จักชื่อคนสวยได้ไหมครับ” เขารอคอยคำตอบอย่างใจเย็น และเลื่อนสายตามองต่ำลงไปจนเห็นเนินอกที่โผล่พ้นชุดเดรสเกาะอก ทำให้ลมหายใจของเขาติดขัด
“ปิ่นมุกค่ะ”
“คนก็สวยชื่อก็เพราะอีกว่าแต่คุณมากับใครครับ” ดูท่าทางน่าจะเป็นลูกคุณหนูบ้านไหนสักที่ งานนี้มีแต่ไฮโซเข้ามาร่วมงาน
“ขอบคุณค่ะคุณธรรศชวิน”
“เรียกห่างเหินจังเรียกว่าผมว่าวินซ์ก็ได้ หรือจะเรียกพี่วินซ์ผมไม่ขัด” เขาทำตัวสบายเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัด
ปิ่นมุกทำตัวไม่ถูกก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเท้า ข้างนอกอากาศเริ่มหนาวชุดที่เธอใส่วันนี้ทำให้รู้สึกหนาวขนลุก ยามที่สายลมพัดผ่านมา
เขามองหญิงสาวตัวเล็กดูท่าแล้วน่าจะหนาวจึงถอดเสื้อสูทคลุมไหล่ให้อย่างเป็นสุภาพบุรุษ ทั้งที่เขาต้องการมากกว่านั้น
“ไม่ต้องค่ะ”
“คลุมไว้ครับผมไม่หวงเสื้อ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ผมไม่ค่อยชอบงานแบบนี้เท่าไหร่ แต่ทำยังไงได้หน้าที่มันค้ำคออยู่” จู่ๆ เขาพูดออกมาสบตากับสาวน้อย ที่ทำให้เขาอยากลิ้มรส เขาไม่คิดจะจีบเธอแบบบจริงจังอยู่แล้ว
“ปิ่นมุกครับ”
“คะ”
“คุณเชื่อเรื่องรักแรกพบหรือเปล่า”
“มุกไม่เคยเจอความรักเลยไม่รู้ค่ะ” เธอยิ้มแบบเขินอายเอาผมทัดใบหู แต่ไม่รู้เลยว่าทุกอย่างเป็นแค่คารมของผู้ชายเจ้าชู้เท่านั้น
เขามองเธอด้วยแววตาจริงจังที่ทำให้เธอรู้สึกร้อนวูบไปทั้งร่าง ทั้งที่อากาศในห้องเย็นเฉียบ
“ผมอยากทำความรู้จักคุณให้มากกว่านี้” เสียงของเขานุ่มนวล ชัดถ้อยชัดคำ ไม่มีการหยอกล้อ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม
ปิ่นมุกนิ่งงัน ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนคำพูดเพียงไม่กี่คำจากเขา กลับสั่นคลอนหัวใจเธอได้ถึงเพียงนี้ เธอไม่เคยคาดคิดเลยว่าเขาจะพูดแบบนี้
“คุณแน่ใจเหรอ?” เสียงของเธอเบาหวิว ไม่มั่นใจเหมือนทุกครั้ง
เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วยิ้มบางๆ ที่แฝงความอ่อนโยนแบบที่เธอไม่เคยเห็นจากเขามาก่อน
“ผมไม่เคยแน่ใจอะไรเท่านี้มาก่อนเลย” เขาตอบ แล้วก็มองเธอนิ่งนานราวกับกำลังจดจำทุกส่วนของเธอไว้ในใจ
ในห้วงวินาทีนั้นปิ่นมุกรู้ตัวว่าบางสิ่งในหัวใจเธอเพิ่งเริ่มต้น และโลกที่เคยเงียบเหงาของเธอมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ปิ่นมุกหน้าแดงระเรื่อจนร้อนวูบไปถึงใบหู หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะหลังจากได้ยินคำพูดตรงไปตรงมาจากเขา เธอเม้มริมฝีปากแน่น พยายามรักษาท่าที
“ขะ ขอโทษนะคะ มุกควรจะกลับเข้าไปข้างใน”
เธอพูดเร็วๆ พร้อมกับเบี่ยงตัวหมายจะเดินกลับไปยังห้องจัดเลี้ยง แต่เพราะส้นรองเท้าสูงกับพรมหรูใต้เท้าทำให้เกิดเรื่องไม่คาดคิด
ปลายเท้าสะดุดเข้ากับความต่างของพื้นระดับ ร่างของเธอเสียหลัก ทิ้งตัวไปข้างหน้าอย่างไม่มีเวลาตั้งตัว
“อ๊ะ!”
ในจังหวะนั้นเอง ธรรศชวินรีบคว้าแขนเธอไว้โดยสัญชาตญาณ แต่แรงเหวี่ยงทำให้ทั้งสองเซเข้าหากัน ร่างบางของปิ่นมุกล้มพุ่งไปข้างหน้า
ริมฝีปากของเธอก็ไปจุ๊บเข้ากับริมฝีปากของเขาอย่างจังปิ่นมุกเบิกตากว้างดวงตาของเธอสบเข้ากับแววตาตกใจของเขาในระยะประชิดสุดขีด และในวินาทีนั้นเองเขาก็ยิ้มนิดๆ อย่างไม่ตั้งใจ ก่อนจะกระซิบแผ่วเบา
“ถ้าจะเริ่มต้นทำความรู้จักกันแบบนี้ก็น่าสนใจดีเหมือนกันนะ”
“ยะ อย่ามาพูดเล่นนะคะ”
ปิ่นมุกดีดตัวออกมา ใบหน้าแดงเรื่อขึ้นทันตาแทบอยากมุดพรมหนีให้รู้แล้วรู้รอด
“นามบัตรของผมครับติดต่อมานะผมจะรอ”
หัวใจของเธอเต้นแรงราวกับจะทะลุออก เธอกำนามบัตรของเขาไว้แน่น ก่อนจะยกขึ้นมาอ่านดวงตาเบิกกว้าง เพราะเธอเคยได้ยินชื่อของเขามาก่อน
ธรรศชวิน ศิวะนันทเวศน์
บ่ายวันเสาร์ในสวนสาธารณะอากาศดี เสียงเด็กๆ วิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวไปทั่วสนามหญ้า ข้างม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ สองคุณพ่อรูปหล่อ กำลังนั่งจิบกาแฟคุยกันแบบพ่อๆ ยุคใหม่ที่แต่งตัวดีแต่เลี้ยงลูกเอง“ทัพน้อยโตขึ้นเยอะเลยว่ะ ขาเริ่มยาวเหมือนพ่อนะ” เอกวินพูดยิ้มๆ ขณะมองเจ้าหนูน้อยวัยสี่ขวบที่วิ่งเล่นอยู่กับเด็กคนอื่น“เออน่าหล่อไม่แพ้พ่อแหละ” ธรรศชวินยักคิ้วข้างเดียวอย่างภาคภูมิข้างๆ กัน เด็กหญิงตัวน้อยผมลอนหยักศก ดวงตากลมโตใสแจ๋ววัยสองขวบที่ชื่อ แก้มใส ลูกสาวสุดหวงของเอกวิน กำลังยืนเกาะกระโปรงตุ๊กตาหมีของตัวเองอย่างน่ารัก“ลูกสาวมึงเนี่ยหน้าหวานเหมือนแม่เลยนะ ไม่เหมือนมึงซักนิด” เขาหันไปมองแล้วแซวเล่น“แน่นอนแม่น้องแก้มสวยขนาดนั้น แต่ถ้าใครมาแตะนะกัดแน่” เอกวินพูดเล่นแบบจริงจัง คิดไม่ถึงว่าเขาจะแต่งงานและมีลูกตามเพื่อนไปติดๆ ยังไม่ทันขาดคำเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยดังขึ้น จนคนที่อยู่บริเวณนั้นตกใจ“ฮืออออ~ พ่อจ๋า! เขามาหอมแก้มหนู!!!”ทุกสายตาหันไปทันที และภาพที่เห็นก็คือเจ้าทัพน้อยยืนยิ้มฟันหลอ กำลังจุ๊บมือเปื้อนดินของตัวเองเหมือนนักรักตัวจิ๋ว ส่วนน้องแก้มใสยืนทำหน้าจะร้องไห้อยู่ข้างๆ มือจับแก้มตัวเองแล
“ลูกชาย! มานี่เลยนะครับ!” เสียงเข้มแต่แฝงความเหนื่อยหอบของธรรศชวินดังลั่นไปทั่วห้องนอนพ่อหนุ่มมาดเนี้ยบมีคนรับใช้ล้อมรอบ วันนี้ต้องนั่งคุกเข่าบนพื้นพรมในสภาพเสื้อยับผมกระเซิง ถือแพมเพิสในมือหนึ่ง ส่วนอีกมือกำลังเอื้อมคว้าหลังเจ้าลูกชายวัยแปดเดือนที่กำลังคลานหนีอย่างปราดเปรียวเหมือนนักวิ่งโอลิมปิก“ทัพน้อย! อย่าคลานไปแทะรีโมตสิลูกรีโมตไม่ใช่ข้าวเกรียบ!”ลูกกูเหมือนกูท่องไว้ พ่อบ้านใจกล้าที่แท้หรูกลัวเมียจะเลี้ยงลูกเหนื่อยเลยให้ออกไปเที่ยว แต่ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงลูกชายก็แผลงฤทธิ์ใส่เขาเด็กน้อยหัวกลมๆ หันมายิ้มกว้างโชว์ฟันน้ำนมซี่เล็กๆ หนึ่งซี่ ก่อนจะหมุนตัวหนีอีกครั้ง โดยไม่รู้เลยว่าด้านหลังน่ะยังเปลือยเปล่า! คนเป็นพ่อทิ้งตัวนั่งแผละถอนหายใจยาว“เมื่อก่อนพ่อใส่สูทประชุมกับผู้บริหาร ตอนนี้ใส่แพมเพิสให้ลูกแต่ยังแพ้ลูกอยู่เลย”เขาพูดกับตัวเองก่อนจะรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย ลุกขึ้นมาใช้แผนใหม่วางผ้าเปียกไว้ข้างตัว เอาแพมเพิสวางตรงกลาง และเปิดคลิปเสียงแม่ของลูกในมือถือเสียงนุ่มๆ ของมุกดังขึ้นจากโทรศัพท์ที่วางไว้บนพื้น “ทัพน้อยครับ มาหาแม่เร็ว~”แผนนี้ได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์ เจ้าตัวเล็กหยุดคลานทั
เสียงดนตรีจังหวะชิลล์ๆ ดังคลอเบาๆ ในห้องวีไอพีของบาร์หรูที่ตกแต่งสไตล์ลอฟต์ผสมโมเดิร์น กลิ่นเหล้าแพงและซิการ์จางๆ ลอยตลบผสมกับกลิ่นน้ำหอมผู้ชายระดับไฮเอนด์ท่ามกลางแสงไฟสีอุ่นและบรรยากาศที่ไม่ได้ครึกครื้นจนอึดอัด แต่ก็ไม่เงียบเหงาจนน่าเบื่องานปาร์ตี้สละโสดของ ธรรศชวินกำลังดำเนินไปอย่างเรียบง่ายตอนนี้ปิ่นมุกตั้งท้องได้สี่เดือนและงานแต่งงานจะถูกจัดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า เรียกว่าตอนนี้ทุกอย่างลงตัวสุดๆ พ่อแม่ของเขาก็รักเอ็นดูปิ่นมุกมาก จนลืมไปแล้วว่าตัวเองมีลูกชาย“บอกตรงๆ นะงานนี้ไม่ใช่ความคิดของกู” ธรรศชวินพูดขณะยกแก้วขึ้นจิบเบาๆ ใบหน้ายังเรียบเฉยเหมือนทุกวัน แต่สายตากลับหลุดกลอกไปมาราวกับหาทางหนีทีไล่“แน่นอนอยู่แล้ว เพราะกูเป็นคนจัดเองกับมือ!” เอกวินกระแทกตัวลงนั่งข้างเขาอย่างไม่สนใจฟอร์ม เสื้อเชิ้ตแบรนด์เนมของเขาถูกปลดกระดุมสองเม็ดเผยอกนิดๆ ตามสไตล์คนไม่ยอมแก่มันทิ้งให้เขาอยู่เป็นโสดตามลำพัง ส่วนตัวเองหนีไปมีเมียก่อน“แล้วลากกูมาแบบนี้ทำไม” เขาถามเสียงเบาแต่ปากเริ่มยิ้มขำ คิดถึงปิ่นมุกอยากนอนกอดเมียใจจะขาด“ก็เพื่อย้ำให้รู้ตัวไงมึง ว่าคืนนี้คือคืนสุดท้ายแล้วที่มึงจะอยู่ในสารบบชาย
ประตูเพนท์เฮาส์หรูบนชั้นสูงสุดของตึกกลางเมืองปิดลงอย่างเงียบงัน กลางห้องกว้างที่ตกแต่งอย่างหรูหราด้วยโทนสีขาวเทา ธรรศชวินอุ้มปิ่นมุกเข้ามาอย่างระมัดระวังแล้วค่อยๆ วางเธอลงบนโซฟาหนังแท้ริมหน้าต่างบานใหญ่ที่มองเห็นวิวเมืองยามค่ำคืนแต่ยังไม่ทันที่มือของเขาจะผละจากแขนเธอ ปิ่นมุกก็สะบัดมันออกเต็มแรง ใบหน้าเรียวหันหนีไปทางอื่นดวงตาคู่งามฉายแววเย็นชาเสียยิ่งกว่าท้องฟ้ายามฝนตก“อย่าแตะต้อง” เสียงเธอแข็งราวมีดบางคมกริบเฉือนลงกลางใจเขาชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าต่อหน้าเธอ มือทั้งสองประสานกันไว้ราวกับกำลังสารภาพบาป ใบหน้าคมคายที่เคยเต็มไปด้วยความมั่นใจบัดนี้อ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด“มุก...พี่รักมุกนะ” เขาเอ่ยช้าๆ ดวงตาจับจ้องเธอแน่นิ่ง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีความเย่อหยิ่งใดๆ มีแต่ความรู้สึกเปลือยเปล่าจากส่วนลึกของหัวใจปิ่นมุกหัวเราะออกมาเสียงแห้ง รอยยิ้มที่ผุดขึ้นไม่ใช่ความสุข แต่คือความเจ็บปวดที่พยายามหลบซ่อนไว้“รักเหรอ? ตอนนี้เนี่ยนะ” เธอเชิดหน้าขึ้น ดวงตาเริ่มคลอด้วยน้ำตาแต่ไม่ยอมให้ไหลลงมา“ตอนที่มุกรักคุณหมดหัวใจ คุณกลับผลักไสไล่ส่ง บอกว่ามุกไม่มีค่าอะไร แล้วตอนนี้ล่ะจะเอาอะไรจากฉันอีก
“ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงใจร้ายจัง มายอมมาดูดำดูดีกันเลย” คุณหญิงวีณาบ่นเสียงแข็ง วางตะกร้าผลไม้ลงโต๊ะอย่างแรงจนผลแอปเปิลกลิ้งตกไปลูกหนึ่งธรรศชวินที่นอนอยู่บนเตียงเงยหน้ามามองแม่ ร่างเขายังดูอ่อนแรงสีหน้าไม่สดใสเหมือนเคย แต่แววตายังแข็งกร้าวอยู่บ้าง“แม่อย่าว่ามุกเลยครับ” เขาพูดเบาๆ ขณะพยายามลุกขึ้นนั่ง“ไม่ให้ว่าได้ยังไงคนอะไรใจร้าย ไม่มาเยี่ยมไม่ถามไถ่สักคำ คนเคยรักกันนะวินซ์ เขาเห็นสภาพลูกไหมเนี่ยแผลยังไม่หายดีเลย!” เสียงแม่ขึ้นสูงเล็กน้อยปนห่วงและโมโหแทน“ผมทำกับเขาไว้เยอะเขาไม่ควรต้องอยู่ใกล้ผมด้วยซ้ำ” เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนเอ่ยออกมาช้าๆคุณหญิงชะงักมองหน้าลูกชายอย่างไม่อยากเชื่อหู เสียงของลูกชายเรียบนิ่ง แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด คุณหญิงเงียบลงสีหน้าค่อยๆ อ่อนลงอย่างไม่ทันรู้ตัว หัวใจคนเป็นแม่แม้จะไม่ชอบผู้หญิงคนนั้นนัก แต่ก็สะเทือนใจเมื่อเห็นลูกชายเจ็บทั้งกายและใจ“แต่ลูกก็รักเขาไม่ใช่เหรอ” คุณหญิงถามเบาๆ“ครับรักจนไม่รู้จะทำยังไงกับตัวเองดี” เขาหันหน้าไปอีกทางดวงตาแดงวาบริมฝีปากเม้มแน่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบช้าๆบรรยากาศในห้องเงียบงันอยู่พักหนึ่ง ก่อนคุณหญิงจะเดินเข
คิรันกับปิ่นมุกที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ห้องโถงขวับไปมองพร้อมกัน สีหน้าของหญิงสาวซีดเผือดทันทีเมื่อเห็นชายร่างสูงเดินเข้ามาอย่างโกรธจัด มีรอยเลือดซึมตรงเสื้อผ้าที่แผลผ่าตัดตรงหน้าท้อง “ป้าห้ามเขาแล้วค่ะเขาจะเข้ามาให้ได้” “เดี๋ยวมุกจัดการเองค่ะ” เขาต้องอยู่โรงพยาบาลไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมาในสภาพแบบนี้ได้“คุณวินซ์!” ปิ่นมุกลุกพรวดขึ้นด้วยความตกใจ“มุกถอยไป” คิรันลุกขึ้นมาขวางทันทีไม่ทันได้พูดอะไรต่อ หมัดของธรรศชวินก็พุ่งเข้าใส่หน้าคิรันเต็มแรง เสียงกระแทกดังสนั่นจนคิรันเซล้มลงไปกองกับพื้น เลือดซึมตรงมุมปาก“คุณวินซ์หยุดนะ!” ปิ่นมุกกรีดร้อง พุ่งเข้าไปจับแขนเขาไว้ แต่เขาสะบัดแขนออกอย่างแรง ดวงตาแดงก่ำและบ้าคลั่ง“มึงเป็นใครถึงมานั่งข้างเมียกูแบบนี้ ห้ะ! มึงเป็นใคร!!!”“มุกไม่ใช่เมียคุณ! ออกไปจากบ้านของมุก” ปิ่นมุกตะโกนสวนเขากำลังจะพุ่งเข้าไปซ้ำอีก แต่ปิ่นมุกเข้าขวางแล้วผลักเขาออกเต็มแรงจนชายหนุ่มเสียหลักล้มกระแทกลงกับพื้นตุบ!ชายหนุ่มกัดฟันแน่น มือข้างหนึ่งกดที่แผลผ่าตัดที่เหมือนจะปริออก เลือดสีแดงสดไหลทะลุผ้าพันแผลอย่างน่าตกใจ“พี่วินซ์!” ปิ่นมุกร้องเสียงหลง มองเห็นเลือดแล้ว