เรื่องราววันนั้นเกิดเป็นจุดเริ่มต้นของข้อตกลงที่ไม่มีสถานะ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเริ่มต้นหลังทันทีในค่ำคืนนั้น หลังจากวันนั้นธรรศชวินไม่ได้ใช้คำว่าจีบ ไม่เคยเอ่ยปากขอเธอเป็นแฟน แต่พวกเขาก็มักจะเจอเพื่อมีอะไรกันตลอด
“อื้อ พี่วินซ์” ปิ่นมุกกอดเขาไว้แน่นยามที่ทั้งสองเสร็จสมพร้อมกัน เขาเงยหน้าขึ้นมาและหอมแก้มเธอเบาๆ ทั้งสองข้าง และลุกออกจากตัวหญิงสาวพร้อมกับประโยคที่เขาคิดว่าตัวเองคิดดีแล้ว
“ผมอยากให้เราสองคนเจอกันแค่ในเวลาที่ผมต้องการเท่านั้น”
คำพูดของเขาไม่ได้มีน้ำเสียงเยาะหยัน ไม่มีแม้แต่ความลังเลหรือความรู้สึกผิด ตรงไปตรงมาเย็นชา และเด็ดขาดอย่างคนที่รู้ว่าตัวเองมีอำนาจเหนือทุกอย่างในห้องนั้น
“หมายความว่ายังไงคะ” ปิ่นมุกเงยหน้ามองเขา ดวงตาคู่นั้นยังคงหล่อหลอมเธอได้เสมอ ไม่ว่าเขาจะพูดคำไหนออกมา และแม้ว่าในถ้อยคำที่หล่นจากริมฝีปากของเขาจะไม่มีคำว่ารักเลยสักนิดเดียว
“หมายถึงเป็นแค่คู่นอน เราเจอกันตอนที่ยอมต้องการคุณเท่านั้น”
“ที่พี่วินซ์เข้ามาจีบมุกเพราะต้องการเรื่องแบบนี้เท่านั้นเหรอคะ” เธอถามเสียงเบาจนแทบเป็นกระซิบ ที่ผ่านมาหลงดีใจคิดว่าเขารักเธอเสียอีก
ธรรศชวินไม่ได้ตอบ เขาเพียงเดินเข้ามาใกล้จนระยะห่างแทบไม่มีเหลือ ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นเกลี่ยปอยผมของเธอเบาๆ แล้วกระซิบเบาๆ
“คุณเป็นคนสวยปิ่นมุก แต่แค่เป็นดอกไม้ที่หยิบขึ้นมาดอมดมได้ง่าย” เขาเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้เธอเบาๆ และพูดประโยคต่อมา
“ถ้าหากคุณรับไม่ได้เราก็ต่างคนต่างไป”
“ไม่นะคะมุกรักคุณ ฮึก~ มุกยอมทุกอย่าง” เธอกอดเขาแน่นตลอดสามเดือนที่ผ่านมาเธอมีความสุขมาก และตอนนี้จะไม่ยอมเสียเขาไปเด็ดขาด
“คุณจะให้มุกเป็นอะไรมุกก็ยอม”
“แค่เป็นของผมก็พอ”
แต่เธอกลับพยักหน้ายอมรับข้อตกลงเงียบๆ โดยไม่ถามอะไรอีก
บางทีเพราะความรักของเธอมันไม่ต้องการเหตุผล หรือบางที เธอแค่อยากอยู่เคียงข้างผู้ชายที่เคยมองเห็นเธอในวันที่เธอรู้สึกไร้ค่า
เธอแค่อยากมีตัวตนสำหรับเขา แม้เพียงเศษเสี้ยวของความรู้สึก แม้ต้องเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในโลกของธรรศชวิน เธอไม่ใช่คนสำคัญ
หนึ่งปีผ่านไปเร็วอย่างน่ากลัว แต่ช้าอย่างเจ็บปวดหนึ่งปีที่ปิ่นมุกยอมลดศักดิ์ศรีของตัวเองลงเหลือเพียงคนที่เขาเรียกหาเมื่อว่างจากงาน
ไม่มีสถานะไม่มีคำว่ารัก ไม่มีแม้กระทั่งคำว่าสำคัญ แต่เธอก็ยังอยู่อย่างเงียบงัน และซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง
ในทุกคืนที่แสงไฟสลัวลง เธอจะเป็นคนที่นอนอยู่ข้างเขา แต่ในทุกเช้าที่ฟ้ายังไม่สว่างดี เขาจะเป็นคนเดินจากไปก่อนเสมอ
เหมือนกับว่าความสัมพันธ์ของเธอมีอายุแค่กลางคืน และจะหมดอายุทุกครั้งเมื่ออาทิตย์ขึ้น
ปิ่นมุกเปลี่ยนตัวเองแทบทุกอย่างเพื่อเขา จากหญิงสาวเสียงใสกลายเป็นผู้หญิงพูดน้อยเรียบร้อย และไม่เคยเรียกร้อง
เธอเปลี่ยนวิธีแต่งตัวให้ดูแพงแต่ไม่โดดเด่น เปลี่ยนรสนิยมการกินให้เข้ากับร้านที่เขาชอบกระทั่งรอยยิ้ม เธอยังต้องฝึกให้พอดี ไม่อ่อนหวานเกินไปจนเขารำคาญ ไม่เย็นชาจนเขารู้สึกเบื่อ
เธอพยายามทุกอย่างเพราะเธอรัก เธอยอมเป็นเมียลับในเงามืด ในขณะที่เขามีผู้หญิงมากหน้าหลายตาในงานสังคม ทุกคนล้วนสวยเด่นและมีชื่อเสียง
แต่ไม่มีใครรู้เลยว่า ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งกำลังรอเขาอยู่ที่ห้องเงียบๆ ทุกคืน รอด้วยความหวังว่าบางที คืนนี้เขาอาจจะกลับมากอดเธอแน่นขึ้น
พูดจานุ่มนวลขึ้น หรือแค่มองเธอด้วยสายตาที่ต่างออกไปจากเดิม
“ความรักจะทำให้เขาเปลี่ยนไปได้ในสักวัน”
เธอย้ำกับตัวเองแบบนั้นทุกครั้งที่ได้กลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงคนอื่นติดมาบนตัวเขา ทุกครั้งที่ต้องนั่งรอเขากลับมาจนเช้า และทุกครั้งที่ได้ยินข่าวลือว่าเขากำลังจะหมั้นกับใครอีกคน
เธอยังเชื่อแม้หัวใจของเธอจะแหลกเป็นเสี่ยง เพราะบางครั้ง ความรักที่มากเกินไปก็ทำให้คนเรายอมแม้จะไม่ได้อะไรตอบแทนเลยก็ตาม
“มุก มุกนั่งเหม่อคิดอะไรอยู่”
“เปล่าค่ะคุณแม่แขกสำคัญของคุณแม่ใกล้มาถึงหรือยังคะ” เธอหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะถูกแม่บังคับให้มาทานข้าวกับแขกคำสำคัญ แต่เขาดันปล่อยให้พวกเธอรอนานเกือบยี่สิบนาที
“รถติดนิดหน่อยคุณคเชนทร์ใกล้ถึงแล้ว” ปิ่นปักอยากให้หนุ่มสาวทำความรู้จักกัน ตอนนี้ลูกสาวสมควรจะมีครอบครัวแล้ว
“ไม่มีมารยาทเอาเสียเลยปล่อยให้ผู้ใหญ่รอ”
“ปิ่นมุก! อย่าพูดแบบนี้อีกนะ”
“ขอโทษค่ะคุณแม่”
“สวัสดีครับคุณปิ่นปักขอโทษที่ให้รอนะครับ พอดีติดประชุมอยู่เล็กน้อย”
“ไม่เป็นไรคุณคเชนทร์ ฉันรู้ว่าช่วงนี้งานที่บริษัทแน่น ไหนๆ ก็มาถึงแล้วปิ่นมุกลูกสาวคนเดียวของฉันค่ะ อยากให้รู้จักกันไว้หน่อย พูดคุยกันเผื่อจะเข้ากันได้”
ปิ่นมุกชะงักมือตักข้าวทันที เธอหันมามองชายหนุ่มข้างหน้าเพียงเสี้ยววินาทีแล้วหันหน้ากลับไปทางจานข้าวเช่นเดิม ไม่แม้แต่จะกล่าวทักทาย
“สวัสดีครับคุณปิ่นมุก” คเชนทร์เอ่ยทักพร้อมรอยยิ้มสุภาพ
“ค่ะ” เสียงตอบสั้นและไร้อารมณ์จนอึดอัดเต็มโต๊ะ
“คเชนทร์เขาเป็นหุ้นส่วนใหม่ของบริษัทเรา เขาฉลาด ขยัน แถมยังบริหารงานเก่งมากๆ ลูกน่าจะลองพูดคุยกันดูบ้าง อย่าทำเหมือนคนอื่นเป็นอากาศแบบนี้สิ” ปิ่นปักยิ้มแห้งๆ ก่อนจะรีบกล่าวแทรก
“คุณแม่คะ มุกแค่อยากกินข้าวให้หมดไม่ได้คิดจะสัมภาษณ์ใครนะคะ” ปิ่นมุกพูดโดยไม่หันมองใคร น้ำเสียงนั้นแฝงความหงุดหงิดที่พยายามเก็บไว้เต็มที่
“ไม่เป็นไรครับคุณปิ่นปักผมเข้าใจ บางทีอาจจะต้องใช้เวลาหน่อย” คเชนทร์ชะงักเล็กน้อย แต่ยังยิ้มสุภาพเขาพอใจกับสาวน้อยตรงหน้า
ปิ่นปักหันไปยิ้มให้เขาอย่างขอบคุณ แต่พอหันกลับมามองลูกสาว แววตาเธอก็เปลี่ยนเป็นตำหนิทันที
“ถ้ายังทำตัวหยิ่งแบบนี้อยู่ ก็ไม่ต้องแปลกใจนะว่าทำไมถึงไม่มีใครเข้ามาจีบ!”
คำพูดนั้นทำเอาปิ่นมุกวางช้อนลงเสียงดัง เธอเงยหน้าขึ้นสบตาแม่ตรงๆ แล้วพูดชัดถ้อยชัดคำ
“เพราะมุกไม่ต้องการคนที่แม่เลือกให้ค่ะ โดยเฉพาะคนที่มุกเพิ่งรู้จักไม่ถึงห้านาที”
คเชนทร์เงียบลงทันที ส่วนปิ่นปักก็หน้าตึง บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเย็นวาบจนเหมือนใครเปิดแอร์ใส่กลางวงข้าว ปิ่นมุกลุกขึ้นช้าๆ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่น้ำแข็งจับ
“ขอโทษนะคะคุณคเชนทร์ มุกขอตัวก่อนค่ะ”
เธอเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับ ปล่อยให้โต๊ะอาหารที่ควรจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ กลับเหลือเพียงเสียงลมหายใจหนักๆ ของผู้ใหญ่ที่กำลังเริ่มหมดความอดทน
.
ยิ่งเวลาผ่านไปความหวังที่เคยถูกเก็บไว้ในใจลึกๆ ของปิ่นมุกก็เริ่มมอดลงเหมือนไฟที่ถูกปล่อยให้ดับไปเองอย่างช้าๆ ไม่มีมือไหนยื่นมาช่วยประคอง มีเพียงเขาที่ยังเดินเข้ามาในชีวิตเธอในฐานะเดิม คนที่ต้องการบางสิ่งจากเธอ แล้วจากไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
ทุกครั้งที่เขามาเธอก็ยังคงเปิดประตูรออย่างโง่เขลา เขาจะไม่อยู่จนเช้า เขาจะไม่กอดเธอไว้ในวันที่เธอร้องไห้ เขาจะไม่เอ่ยคำว่ารัก เขาจะไม่แม้แต่ถามว่าเธอสบายดีไหม
เขาแค่ต้องการร่างกายของเธอ ความอบอุ่นชั่วคราวแล้วกลับไปใช้ชีวิตของเขาเหมือนเธอไม่เคยมีตัวตน
“ค้างก่อนไหมคะดึกมากแล้ว” เธอพยายามจะรั้งเอาไว้ให้นานที่สุด
“ปิ่นมุกผมต้องกลับ”
“พี่วินซ์ไม่คิดจะเปิดใจให้มุกบ้างเหรอคะ ตอนเย็นคุณแม่พามุกไปรู้จักกับผู้ชายคนหนึ่ง” เธออยากให้เขาแสดงอาการหึงหวงออกมาบ้างว่าเธอสำคัญ
“ผมยินดีหากคุณเจอผู้ชายที่รักคุณจริง” เขาก้มลงเก็บเสื้อผ้าขึ้นมาสวมใส่ สายตาไม่ยอมมองปิ่นมุกที่นั่งร้องไห้อยู่บนเตียงกว้าง
“ผู้ชายที่ไหนเขาจะรักคนมีตำหนิแบบมุก” เธอเสียใจที่เขาไม่ยื้อไม่รั้ง และยังยกเธอให้คนอื่นอย่างง่ายดาย
“ผู้หญิงทุกคนเขามีคุณค่าในตัวเองคุณจะดูถูกตัวเองทำไม คุณกำลังงี่เง่า”
“มุกผิดตรงไหนที่งี่เง่าในเมื่อผัวตัวเองกำลังจะหมั้นกับคนอื่น!”
“ปิ่นมุกผมไม่ใช่ผะ...” เสียงของเขากลืนหายไปในลำคอ เสื้อของเขาถูกกระชากออกจากมือ ปิ่นมุกโผล่เข้ากอดและจูบริมฝีปากเขา
เขาจูบตอบเธอทันที ครั้งนี้เหมือนครั้งสุดท้ายที่เขาต้องลาจากเธอ มือผลักปิ่นมุกลงที่เตียงและขึ้นคร่อมเธอไว้ก่อนบทรักจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
บ่ายวันเสาร์ในสวนสาธารณะอากาศดี เสียงเด็กๆ วิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวไปทั่วสนามหญ้า ข้างม้านั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ สองคุณพ่อรูปหล่อ กำลังนั่งจิบกาแฟคุยกันแบบพ่อๆ ยุคใหม่ที่แต่งตัวดีแต่เลี้ยงลูกเอง“ทัพน้อยโตขึ้นเยอะเลยว่ะ ขาเริ่มยาวเหมือนพ่อนะ” เอกวินพูดยิ้มๆ ขณะมองเจ้าหนูน้อยวัยสี่ขวบที่วิ่งเล่นอยู่กับเด็กคนอื่น“เออน่าหล่อไม่แพ้พ่อแหละ” ธรรศชวินยักคิ้วข้างเดียวอย่างภาคภูมิข้างๆ กัน เด็กหญิงตัวน้อยผมลอนหยักศก ดวงตากลมโตใสแจ๋ววัยสองขวบที่ชื่อ แก้มใส ลูกสาวสุดหวงของเอกวิน กำลังยืนเกาะกระโปรงตุ๊กตาหมีของตัวเองอย่างน่ารัก“ลูกสาวมึงเนี่ยหน้าหวานเหมือนแม่เลยนะ ไม่เหมือนมึงซักนิด” เขาหันไปมองแล้วแซวเล่น“แน่นอนแม่น้องแก้มสวยขนาดนั้น แต่ถ้าใครมาแตะนะกัดแน่” เอกวินพูดเล่นแบบจริงจัง คิดไม่ถึงว่าเขาจะแต่งงานและมีลูกตามเพื่อนไปติดๆ ยังไม่ทันขาดคำเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยดังขึ้น จนคนที่อยู่บริเวณนั้นตกใจ“ฮืออออ~ พ่อจ๋า! เขามาหอมแก้มหนู!!!”ทุกสายตาหันไปทันที และภาพที่เห็นก็คือเจ้าทัพน้อยยืนยิ้มฟันหลอ กำลังจุ๊บมือเปื้อนดินของตัวเองเหมือนนักรักตัวจิ๋ว ส่วนน้องแก้มใสยืนทำหน้าจะร้องไห้อยู่ข้างๆ มือจับแก้มตัวเองแล
“ลูกชาย! มานี่เลยนะครับ!” เสียงเข้มแต่แฝงความเหนื่อยหอบของธรรศชวินดังลั่นไปทั่วห้องนอนพ่อหนุ่มมาดเนี้ยบมีคนรับใช้ล้อมรอบ วันนี้ต้องนั่งคุกเข่าบนพื้นพรมในสภาพเสื้อยับผมกระเซิง ถือแพมเพิสในมือหนึ่ง ส่วนอีกมือกำลังเอื้อมคว้าหลังเจ้าลูกชายวัยแปดเดือนที่กำลังคลานหนีอย่างปราดเปรียวเหมือนนักวิ่งโอลิมปิก“ทัพน้อย! อย่าคลานไปแทะรีโมตสิลูกรีโมตไม่ใช่ข้าวเกรียบ!”ลูกกูเหมือนกูท่องไว้ พ่อบ้านใจกล้าที่แท้หรูกลัวเมียจะเลี้ยงลูกเหนื่อยเลยให้ออกไปเที่ยว แต่ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงลูกชายก็แผลงฤทธิ์ใส่เขาเด็กน้อยหัวกลมๆ หันมายิ้มกว้างโชว์ฟันน้ำนมซี่เล็กๆ หนึ่งซี่ ก่อนจะหมุนตัวหนีอีกครั้ง โดยไม่รู้เลยว่าด้านหลังน่ะยังเปลือยเปล่า! คนเป็นพ่อทิ้งตัวนั่งแผละถอนหายใจยาว“เมื่อก่อนพ่อใส่สูทประชุมกับผู้บริหาร ตอนนี้ใส่แพมเพิสให้ลูกแต่ยังแพ้ลูกอยู่เลย”เขาพูดกับตัวเองก่อนจะรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย ลุกขึ้นมาใช้แผนใหม่วางผ้าเปียกไว้ข้างตัว เอาแพมเพิสวางตรงกลาง และเปิดคลิปเสียงแม่ของลูกในมือถือเสียงนุ่มๆ ของมุกดังขึ้นจากโทรศัพท์ที่วางไว้บนพื้น “ทัพน้อยครับ มาหาแม่เร็ว~”แผนนี้ได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์ เจ้าตัวเล็กหยุดคลานทั
เสียงดนตรีจังหวะชิลล์ๆ ดังคลอเบาๆ ในห้องวีไอพีของบาร์หรูที่ตกแต่งสไตล์ลอฟต์ผสมโมเดิร์น กลิ่นเหล้าแพงและซิการ์จางๆ ลอยตลบผสมกับกลิ่นน้ำหอมผู้ชายระดับไฮเอนด์ท่ามกลางแสงไฟสีอุ่นและบรรยากาศที่ไม่ได้ครึกครื้นจนอึดอัด แต่ก็ไม่เงียบเหงาจนน่าเบื่องานปาร์ตี้สละโสดของ ธรรศชวินกำลังดำเนินไปอย่างเรียบง่ายตอนนี้ปิ่นมุกตั้งท้องได้สี่เดือนและงานแต่งงานจะถูกจัดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า เรียกว่าตอนนี้ทุกอย่างลงตัวสุดๆ พ่อแม่ของเขาก็รักเอ็นดูปิ่นมุกมาก จนลืมไปแล้วว่าตัวเองมีลูกชาย“บอกตรงๆ นะงานนี้ไม่ใช่ความคิดของกู” ธรรศชวินพูดขณะยกแก้วขึ้นจิบเบาๆ ใบหน้ายังเรียบเฉยเหมือนทุกวัน แต่สายตากลับหลุดกลอกไปมาราวกับหาทางหนีทีไล่“แน่นอนอยู่แล้ว เพราะกูเป็นคนจัดเองกับมือ!” เอกวินกระแทกตัวลงนั่งข้างเขาอย่างไม่สนใจฟอร์ม เสื้อเชิ้ตแบรนด์เนมของเขาถูกปลดกระดุมสองเม็ดเผยอกนิดๆ ตามสไตล์คนไม่ยอมแก่มันทิ้งให้เขาอยู่เป็นโสดตามลำพัง ส่วนตัวเองหนีไปมีเมียก่อน“แล้วลากกูมาแบบนี้ทำไม” เขาถามเสียงเบาแต่ปากเริ่มยิ้มขำ คิดถึงปิ่นมุกอยากนอนกอดเมียใจจะขาด“ก็เพื่อย้ำให้รู้ตัวไงมึง ว่าคืนนี้คือคืนสุดท้ายแล้วที่มึงจะอยู่ในสารบบชาย
ประตูเพนท์เฮาส์หรูบนชั้นสูงสุดของตึกกลางเมืองปิดลงอย่างเงียบงัน กลางห้องกว้างที่ตกแต่งอย่างหรูหราด้วยโทนสีขาวเทา ธรรศชวินอุ้มปิ่นมุกเข้ามาอย่างระมัดระวังแล้วค่อยๆ วางเธอลงบนโซฟาหนังแท้ริมหน้าต่างบานใหญ่ที่มองเห็นวิวเมืองยามค่ำคืนแต่ยังไม่ทันที่มือของเขาจะผละจากแขนเธอ ปิ่นมุกก็สะบัดมันออกเต็มแรง ใบหน้าเรียวหันหนีไปทางอื่นดวงตาคู่งามฉายแววเย็นชาเสียยิ่งกว่าท้องฟ้ายามฝนตก“อย่าแตะต้อง” เสียงเธอแข็งราวมีดบางคมกริบเฉือนลงกลางใจเขาชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าต่อหน้าเธอ มือทั้งสองประสานกันไว้ราวกับกำลังสารภาพบาป ใบหน้าคมคายที่เคยเต็มไปด้วยความมั่นใจบัดนี้อ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด“มุก...พี่รักมุกนะ” เขาเอ่ยช้าๆ ดวงตาจับจ้องเธอแน่นิ่ง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีความเย่อหยิ่งใดๆ มีแต่ความรู้สึกเปลือยเปล่าจากส่วนลึกของหัวใจปิ่นมุกหัวเราะออกมาเสียงแห้ง รอยยิ้มที่ผุดขึ้นไม่ใช่ความสุข แต่คือความเจ็บปวดที่พยายามหลบซ่อนไว้“รักเหรอ? ตอนนี้เนี่ยนะ” เธอเชิดหน้าขึ้น ดวงตาเริ่มคลอด้วยน้ำตาแต่ไม่ยอมให้ไหลลงมา“ตอนที่มุกรักคุณหมดหัวใจ คุณกลับผลักไสไล่ส่ง บอกว่ามุกไม่มีค่าอะไร แล้วตอนนี้ล่ะจะเอาอะไรจากฉันอีก
“ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงใจร้ายจัง มายอมมาดูดำดูดีกันเลย” คุณหญิงวีณาบ่นเสียงแข็ง วางตะกร้าผลไม้ลงโต๊ะอย่างแรงจนผลแอปเปิลกลิ้งตกไปลูกหนึ่งธรรศชวินที่นอนอยู่บนเตียงเงยหน้ามามองแม่ ร่างเขายังดูอ่อนแรงสีหน้าไม่สดใสเหมือนเคย แต่แววตายังแข็งกร้าวอยู่บ้าง“แม่อย่าว่ามุกเลยครับ” เขาพูดเบาๆ ขณะพยายามลุกขึ้นนั่ง“ไม่ให้ว่าได้ยังไงคนอะไรใจร้าย ไม่มาเยี่ยมไม่ถามไถ่สักคำ คนเคยรักกันนะวินซ์ เขาเห็นสภาพลูกไหมเนี่ยแผลยังไม่หายดีเลย!” เสียงแม่ขึ้นสูงเล็กน้อยปนห่วงและโมโหแทน“ผมทำกับเขาไว้เยอะเขาไม่ควรต้องอยู่ใกล้ผมด้วยซ้ำ” เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนเอ่ยออกมาช้าๆคุณหญิงชะงักมองหน้าลูกชายอย่างไม่อยากเชื่อหู เสียงของลูกชายเรียบนิ่ง แต่น้ำเสียงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด คุณหญิงเงียบลงสีหน้าค่อยๆ อ่อนลงอย่างไม่ทันรู้ตัว หัวใจคนเป็นแม่แม้จะไม่ชอบผู้หญิงคนนั้นนัก แต่ก็สะเทือนใจเมื่อเห็นลูกชายเจ็บทั้งกายและใจ“แต่ลูกก็รักเขาไม่ใช่เหรอ” คุณหญิงถามเบาๆ“ครับรักจนไม่รู้จะทำยังไงกับตัวเองดี” เขาหันหน้าไปอีกทางดวงตาแดงวาบริมฝีปากเม้มแน่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบช้าๆบรรยากาศในห้องเงียบงันอยู่พักหนึ่ง ก่อนคุณหญิงจะเดินเข
คิรันกับปิ่นมุกที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ห้องโถงขวับไปมองพร้อมกัน สีหน้าของหญิงสาวซีดเผือดทันทีเมื่อเห็นชายร่างสูงเดินเข้ามาอย่างโกรธจัด มีรอยเลือดซึมตรงเสื้อผ้าที่แผลผ่าตัดตรงหน้าท้อง “ป้าห้ามเขาแล้วค่ะเขาจะเข้ามาให้ได้” “เดี๋ยวมุกจัดการเองค่ะ” เขาต้องอยู่โรงพยาบาลไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมาในสภาพแบบนี้ได้“คุณวินซ์!” ปิ่นมุกลุกพรวดขึ้นด้วยความตกใจ“มุกถอยไป” คิรันลุกขึ้นมาขวางทันทีไม่ทันได้พูดอะไรต่อ หมัดของธรรศชวินก็พุ่งเข้าใส่หน้าคิรันเต็มแรง เสียงกระแทกดังสนั่นจนคิรันเซล้มลงไปกองกับพื้น เลือดซึมตรงมุมปาก“คุณวินซ์หยุดนะ!” ปิ่นมุกกรีดร้อง พุ่งเข้าไปจับแขนเขาไว้ แต่เขาสะบัดแขนออกอย่างแรง ดวงตาแดงก่ำและบ้าคลั่ง“มึงเป็นใครถึงมานั่งข้างเมียกูแบบนี้ ห้ะ! มึงเป็นใคร!!!”“มุกไม่ใช่เมียคุณ! ออกไปจากบ้านของมุก” ปิ่นมุกตะโกนสวนเขากำลังจะพุ่งเข้าไปซ้ำอีก แต่ปิ่นมุกเข้าขวางแล้วผลักเขาออกเต็มแรงจนชายหนุ่มเสียหลักล้มกระแทกลงกับพื้นตุบ!ชายหนุ่มกัดฟันแน่น มือข้างหนึ่งกดที่แผลผ่าตัดที่เหมือนจะปริออก เลือดสีแดงสดไหลทะลุผ้าพันแผลอย่างน่าตกใจ“พี่วินซ์!” ปิ่นมุกร้องเสียงหลง มองเห็นเลือดแล้ว