“อยู่ในวังหลวงนางอึดอัดใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ หรือว่าการปลดปล่อยเจ้าไปจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับเจ้ากันแน่นะ”
“ฝ่าบาทแล้วเรื่องที่พระสนมซูหลินทรงทำร้ายพระสนมลิ่งเฟยล่ะพ่ะย่ะค่ะ พระองค์จะทรงตัดสินเช่นไรต่อดีพ่ะย่ะค่ะ”
“จะตัดสินอะไรอีกล่ะเจ้าก็รู้ที่องค์รักเงาดำมารายงานนั่นเพราะสนมลิ่งเฟยหาเรื่องนางก่อน หากนางจะปกป้องตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องผิดอันใด”
“ส่วนเรื่องลงโทษนางนั้นแค่การออกราชโองการไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้ตำหนักของนางก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ และนี่คงเป็นวิธีเดียวที่ข้าจะช่วยให้นางได้อยู่ห่างจากคนที่คิดร้ายนางได้ก็เท่านั้นเอง”
“แล้วจะไม่เป็นการทำให้พระสนมเข้าใจพระองค์ผิดหรือพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ข้ากักขังนางเอาไว้ในวังไร้การเหลียวแล หากนางจะเกลียดข้าก็คงไม่ผิดอะไร”
-โรงเตี๊ยมฟู่อันหลง-
“พระสนม”
“ชู่ว…ข้าบอกแล้วว่าให้เรียกข้าว่านายหญิงอย่างไรเล่า”
“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าลืม”
“ว่าแต่นายหญิง ทำไมพวกเราไม่นำเหล้าพวกนี้ไปขายที่ร้านเหล้ากันล่ะเจ้าคะ”
“โรงเตี๊ยมก็รับเหล้ามาจากร้านเหล้านั้นแหละ จะขายร้านเหล้าก็ได้แต่กำลังซื้อของร้านนั้นท่าจะน้อยกว่าร้านพวกนี้ดีไม่ดีถูกกดราคาอีกต่างหาก”
“นายหญิงช่างปราดเปรื่องยิ่งนักเจ้าค่ะ”
“ไปกันเถอะ”
จ้าวซูหลินและซั่วอิงเดินเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมที่ถูกตกแต่งด้วยความงดงามวิจิตรตระการยิ่งนัก
“แม่นาง เชิญขอรับท่านจะรับอะไรบอกข้าน้อยได้เลยนะขอรับ”
“ข้าไม่ได้มาเป็นลูกค้าของท่านหรอกเจ้าค่ะ แต่ที่มาวันนี้เพราะข้าจะนำสิ่งนี้มาขาย”
“อะไรเช่นนั้นหรือขอรับ”
“เหล้าองุ่นเจ้าค่ะ”
“เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินชื่อนีัเลยล่ะ แต่ช่างเถอะเชิญด้านในก่อนขอรับเฒ่าแก่มาที่ร้านพอดีเลย”
“ขอบคุณหลงจู๊มากเจ้าค่ะ”
“ขอรับ”
จ้าวซูหลินเดินตามหลังหลงจู๊เข้าไปด้านในของร้าน ก่อนจะถูกเชื้อเชิญให้นั่งรอเจ้าของโรงเตี๊ยมที่เก้าอี้ไม้หรูหราตัวหนึ่ง
‘ท่าทางคงจะร่ำรวยมากสินะ ข้าวของเครื่องใช้ดูจะราคาแพงทั้งนั้นเลย’
“แม่นาง คนนี้คือเฒ่าแก่ต้วนเจ้าของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ขอรับ”
“ยินที่ได้พบขอรับแม่นาง คนของข้าบอกว่าท่านนำเหล้ามาขายขอข้าดูก่อนได้หรือไม่”
“เจ้าค่ะ ข้าเตรียมไหเล็กไว้สำหรับท่านโดยเฉพาะเลย”
“ดียิ่งนักเลยขอรับ”
เฒ่าแก่ต้วนรับไหเหล้าใบเล็กจากมือของนางมาก่อนจะรินลงในจอกเหล้าแล้งยกขึ้นจิบดื่มทีละนิด
“อืมม แม่นางนี่คือเหล้าอะไรหรือรสชาติไม่เลวเลยกลมกล่อมยิ่งนัก ข้าไม่เคยเห็นเหล้าที่ไหนรสชาติดีเท่าเหล้าของแม่นางมาก่อนเลย”
“นี่คือเหล้าองุ่นสูตรพิเศษของข้าเองเจ้าค่ะ หากเฒ่าแก่ต้องการข้าจะนำมาอีก”
“ข้าต้องซื้อขายกับแม่นางอยู่แล้ว ของดีเช่นนี้จะปล่อยให้หลุดมือข้าไปได้อย่างไรกันขอรับ”
“ข้าให้ท่านไหละห้าสิบตำลึง ท่านจะขัดข้องหรือไม่”
“ห้าสิบตำลึงเลยหรือเจ้าคะ?”
“ทำไม น้อยไปหรือเช่นนั้นก็…”
“ไม่ใช่ๆ ข้าไม่ขัดข้องเลยเจ้าค่ะเพียงแต่ข้าคิดว่าจะขายได้มากสุดเพียงไหละสิบตำลึงเท่านั้น”
“เหล้ารสชาติดีหายากเช่นนี้ ข้าย่อมรับซื้อในราคาที่สูงอยู่แล้วแม่นางอย่าได้กังวลใจไปเลย”
“ว่าแต่ท่านมีมาเพียงสองไหเองหรือ”
“ไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะที่บ้านข้ายังหมักไว้อีกเยอะ หากท่านต้องการวันพรุ่งนี้ข้าจะนำมาที่ร้านของท่านอีกสักสิบไหท่านจะว่าอย่างไรเจ้าค่ะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ตกลงขอรับต่อให้แม่นางนำมาให้ข้าสักร้อยไหข้าก็รับไว้ได้ทั้งหมดเลย”
“จริงหรือเจ้าค่ะ”
“จริงสิขอรับ”
‘อะไรจะง่ายดายเช่นนี้กันล่ะง่ายจนน่าแปลกใจเสียจริง แต่ช่างเถอะขายแล้วได้เงินเท่านั้นคือสิ่งที่ข้าต้องการ’
“เช่นนั้นวันพรุ่งนี้เวลานี้ข้าจะให้คนนำมาส่งที่ร้านของท่านนะเจ้าค่ะ”
“ให้ข้าไปรับที่บ้านท่านก็ได้นะขอรับแม่นาง บ้านของท่านอยู่ที่ไหนบอกคนของข้าเอาไว้ได้เลย”
“เอ่อ….ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ พอดีว่าข้าแอบที่บ้านหมักเหล้าขายหากว่าพวกเขาเห็นท่านมารับเหล้าเองอาจจะแย่ได้ ข้าอาจไม่ได้ส่งเหล้าให้ร้านท่านอีกเป็นแน่”
“เป็นเช่นนั้นหรือขอรับ ได้ๆเช่นนั้นข้าจะรอท่านนำมาส่งที่ร้านก็ได้ขอรับ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะเฒ่าแก่ต้วน ข้ากลับแล้วนะเจ้าค่ะ”
“เดินทางกลับดีๆนะขอรับแม่นาง”
“เจ้าค่ะ”
จ้าวซูหลินถือเอาตำลึงเงินมาไว้ในอ้อมอกของตัวเองด้วยความหวงแหน ตำลึงเงินที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองมันช่างภูมิใจยิ่งนัก ถึงแม้การเจรจาซื้อขายจะเรียบง่ายไม่มีอุปสรรคใดๆจนนางเองก็ยังนึกสงสัยอยู่ไม่น้อยก็ตาม
‘จะอะไรก็ช่างเถอะขอเพียงแค่ได้เงินมาเยอะๆ นางก็จะได้ออกจากวังหลวงที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายนั่นเสียที’
“ฮ่าฮ่าฮ่า คิดแล้วก็ช่างมีความสุขเสียจริง”
“นายหญิงท่านหัวเราะเสียงดังจนคนอื่นมองกันใหญ่เลยนะเจ้าค่ะ”
“จะเป็นไรไปล่ะก็ข้ามีความสุขนี่นา”
“โธ่นายหญิงล่ะก็”
“ฮ่าฮ่าฮ่า” พวกนางทั้งสองมองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมๆกันอีกครั้ง ภายใต้สายตาอันคมกริบของบุรุษสองคนที่กำลังจับจ้องพวกนางอยู่
“ฝ่าบาท”
“เรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่”
“กระหม่อมทิ้งตำลึงเงินเอาไว้ที่โรงเตี๊ยมหมื่นตำลึงสำหรับค่าซื้อขายเหล้าองุ่นของพระสนมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ดี”
“จะกลับวังเลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ได้”
แม้จะตอบองค์รักษ์คนสนิทไปแต่ตัวของฮ่องเต้เองก็ยังไม่ยอมขยับไปไหน ในหัวของเขายังคงได้ยินเสียงหัวเราะสดใสของนางที่ดังก้องกังวาลอยู่ตลอดเวลา
‘เจ้ามีความสุขเมื่อได้อยู่นอกวังจริงๆสินะ จ้าวซูหลิน’
-5 ปีผ่านไป-เทศกาลโคมไฟวนเวียนกลับมาในอีกรอบปีแล้ว แต่ปีนี้นั้นจ้าวซูหลินกลับรู้สึกว่าช่างเงียบเหงายิ่งนัก ในทุกๆปี นางจะนั่งชมโคมไฟรูปแบบต่างๆกับฮ่องเต้เสมอแต่มาปีนี้กลับต้องนั่งเหงาเดียวดายอยู่เพียงลำพัง“ฝ่าบาท หากชาติหน้ามีจริงขอให้พวกเรากลับมาพบกันอีกครั้งนะเพคะ”ฮ่องเต้ฮั่วจงสวรรคตไปเมื่อหนึ่งปีก่อนหลังเทศกาลโคมไฟของปีที่แล้วพอดี จ้าวซูหลินไม่อาจยื้อชีวิตพระองค์ได้อีกต่อไปแล้วอาจเพราะเครื่องมือที่มีไม่มากพอและตัวนางเองก็ไม่อยากทำให้พระองค์ต้องเจ็บปวดอีกต่อไปแม้จะเป็นไปตามประวัติศาสตร์ที่ฮ่องเต้ฮั่วจงต้องสวรรคตในวัยเพียงแค่สี่สิบชันษา และแม้นางอยากที่จะยื้อชีวิตให้เขาได้อยู่กับนางนานๆมากกว่านี้แต่นางก็ไม่อยากฝืนชะตาลิขิตอีกต่อไปได้เพียงแค่หวังว่าหากชาติหน้ามีจริง นางและเขาจะกลับมาพบกันในสถานะที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในชาตินี้ มีเพียงกันและกันและสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้โดยไม่ต้องผิดต่อใคร-โรงเตี๊ยมฟู่อันหลง-เช้าวันนี้จ้าวซูหลินรู้สึกว
ฮ่องเต้และฮองเฮาเดินเข้ามาในงานด้วยท่วงท่าสง่างามยิ่ง ฮ่องเต้นั้นสวมฉลองพระองค์ด้วยชุดสีเหลืองทองอร่ามปักลายมังกรงามสง่า ส่วนฮองเฮาสวมชุดคลุมพญาหงส์สวยตระการตาปิ่นห้อยพญาหงส์สีแดงทองทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยความสูงค่าทรงสง่าดูมีท่วงท่าของพระมารดาของแผ่นดินเป็นอย่างมาก บนโถงพิธีมงคลเทียนสีแดงถูกจุดสว่างตำแหน่งเก้าอี้สูงมีฮ่องเต้และฮองเฮาประทับอยู่ ด้านนอกโถงพิธีมงคลมีขุนนางที่หลี่กงอี้เชื้อเชิญมาร่วมงานรวมตัวกันอยู่ไม่น้อย“ได้ฤกษ์แล้ว ต้อนรับบ่าวสาว” ผู้ดูแลจวนเดินออกมายืนป่าวประกาศด้วยเสียงอันดังดนตรีมงคลก็เริ่มบรรเลง เกี้ยวเจ้าสาวหามมาถึงนอกประตูใหญ่ของจวนตระกูลหลี่แล้ว ซั่วอิงถูกประคองลงจากเกี้ยวขณะนั้นก็ได้ยินเสียงประทัดดังปึงปังความปีติยินดีเบิกบานลั่นทั่วทั้งท้องฟ้าพรมสีแดงถูกปูมาจนถึงใต้เท้าของนาง “เจ้าสาวมาแล้ว” มีคนร้องขึ้น ซั่วอิงถูกประคองมาถึงหน้าโถงรับแขก จากนั้นมีสาวใช้สองคนเดินเข้ามารับช่วงต่อจากจ้าวซูหลินสาวใช้สองคนประคองซั่วอิงซ้ายขวาเดินเข้ามาในพิธีชุดมงคลแดงปักท
เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกปีแล้วจ้าวซูหลินยังคงอาศัยอยู่ในวังเพื่อถวายการรักษาฮ่องเต้อย่างต่อเนื่อง หลายๆครั้งที่นางพาฮ่องเต้แอบหนีออกจากวังเพื่อไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านในหลายๆหมู่บ้าน อะไรที่เขาไม่เคยทำจ้าวซูหลินก็พาทำหมดทุกอย่างหลี่กงอี้ที่เดิมทีเป็นกังวลเกี่ยวกับพระวรกายของฝ่าบาทแต่เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ยังคงแข็งแรงไปไหนมาไหนได้ไม่รู้เหน็ดเหนื่อยเขาจึงไม่เอ่ยคัดค้านใดๆ ทำได้เพียงแค่ตามทั้งสองคนไปในทุกๆที่เท่านั้น“ท่านกงอี้”“แม่นางซูหลิน มีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ”“เปล่าเสียหน่อยข้าเพียงแค่จะถามท่านว่าท่านไม่คิดจะแต่งงานบ้างหรือ”“ข้าหรือ?”“ใช่สิเจ้าคะ”“ข้าเห็นนะ ท่านแอบไปที่โรงเตี๊ยมของข้าบ่อยๆ”“อะไรกันนั่นข้าไม่ได้สั่งเสียหน่อย เจ้าไปที่นั่นทำไม? คงไม่ได้แค่ไปกินข้าวกระมัง”“อะเอ่อ ฝ่าบาทคือว่า”“ว่าอย่างไร อ้ำอึ้งอยู่ได้”“คือว่ากระหม่อม”“เจ้าชอบซั่วอิงงั้นหรือ แค่ช
“ก็ฮองเฮาอย่างไรเล่าเพคะ คนที่มีอำนาจในวังหลังมากสุดก็คือฮองเฮา ลองใครกล้านินทาหม่อมฉันดูสิฮองเฮาต้องออกหน้าจัดการแทนแน่นอน”“แล้วการที่เข้ามาดูแลรักษาอาการของพระองค์มันผิดตรงไหนกัน ใครๆก็รู้ว่าหม่อมฉันเป็นหมอ”“ข้าไม่ได้ว่าอะไร กลัวก็เพียงว่าคนที่เจ้าชอบจะมองเจ้าไม่ดี”“หม่อมฉันไม่มีลูกตาให้มองใครแล้วนะเพคะ”“แล้วเจ้ามองใครอยู่หรือ”จ้าวซูหลินยิ้มเบาๆนางไม่ตอบคำถามนี้แต่กลับกำลังค้นหาขวดยาเพื่อนำมาให้ฮ่องเต้เสวยอีกครั้ง“เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าข้ากินยาแล้วหรือ”“นั่นยาของหมอหลวง ส่วนนี่ของหม่อมฉัน”“ได้อย่างไรข้ากินแล้วนะ”“อย่าดื้อสิเพคะ หากท่านหายดีในเร็ววันหม่อมฉันจะพาพระองค์อบออกไปเที่ยวนอกวัง”“เที่ยวนอกวัง?”“ใช่แล้วเพคะ”“ไม่กี่วันข้างหน้าก็ถึงเทศกาลโคมไฟแล้วนะเพคะ หม่อมฉันอยากไปดูโคมไฟสวยๆ ฝ่าบาทก็ต้องไปกับหม่อมฉันด้วยนะเพคะ”จ้าวซูหลินยิ้มก่อนจะยื่นเม็ดยาที่นางสกัดออกมาเองใส่พระหัตถ์ของฝ่าบาทฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะเล็กน้อย‘เอาก็เอา อย่างน้อยถ้าหายดีก็จะได้พานางไปเที่ยวเล่
“ท่านน่าจะบอกข้าให้รู้เร็วกว่านี้”“ก็ฝ่าบาทไม่ยอมให้ข้าบอกท่านนี่นา เอาแต่ขู่ข้าว่าหากข้าปากโป้งไปบอกท่านจะตัดหัวข้าทิ้งเสีย ข้าเป็นองค์รักษ์ไม่กลัวตายหรอกนะแต่ข้าเพียงแค่กลัวว่าจะไม่มีใครอยู่คอยดูแลพระองค์ก็เท่านั้นเอง”‘ไม่กลัวตายเลยจริงจริ๊ง’“ใช่สินะ ใครจะไปรู้พระทัยฝ่าบาทเท่าท่านกัน”“แต่ก็อย่างที่ข้าตำหนิท่าน หากบอกข้าเร็วกว่านี้อาการของฝ่าบาทก็จะไม่ทรุดลงเร็วเช่นนี้”“แล้วแม่นางซูหลิน ฝ่าบาทจะทรงหายดีใช่หรือไม่”“ท่านรู้จักข้ามานานรู้ใช่หรือไม่ว่าข้าไม่พูดโกหก แม้บางครั้งจะจำเป็นต้องโกหกก็ตาม”“ข้ารู้”“ฝ่าบาทร่างกายอ่อนแอลงอย่างมากสุดก็ห้าปี”“ห้าปีงั้นหรือ”“พอจะจัดการอะไรๆ ได้ใช่หรือไม่”“ข้านึกว่าจะไม่นานเพียงนั้น”“ท่านกงอี้!”“ข้าพูดเรื่องจริงทั้งไทเฮาและฮองเฮาต่างก็วิตกเพราะรัชทายาทเองก็อายุได้เพียงสิบชันษายังไ
“สะ สนมซู ไม่ใช่ว่าเจ้าตายไปแล้วหรอกหรือ แล้วเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่!”“ไทเฮา ฮองเฮา เรื่องนี้หม่อมฉันจะมาอธิบายทีหลังนะเพคะ ตอนนี้ให้หม่อมฉันตรวจอาการของฝ่าบาทก่อน”“เจ้ารักษาคนเป็นหรือ”“ฮองเฮาที่กระหม่อมพาพระสนมมาก็เพราะว่านางมีฝีมือทางการแพทย์พ่ะย่ะค่ะ เห็นสมควรให้นางลองรักษาฝ่าบาทไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”ฝ่าบาทที่เดิมกำลังจะบรรทมต่อเพราะฤทธิ์ยาที่หมอหลวงให้กิน แต่ก็ต้องตื่นตกใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินว่าจ้าวซูหลินมาที่นี่‘มาได้อย่างไร?’ฮ่องเต้รีบทอดพระเนตรดูคนตรงหน้าทันที‘ชัดเลย จ้าวซูหลินจริงๆ! ต้องเป็นเจ้าบ้าหลี่กงอี้แน่ๆ อยากหัวหลุดจากบ่ามากหรืออย่างไรกัน’หลี่กงอี้ที่เหมือนจะรู้ตัวว่ามีสายตาอาฆาตจากฝ่าบาทมุ่งมาทางเขาก็รีบหลบไปที่หลังของจ้าวซูหลินทันที นางแปลกใจเล็กน้อยที่อยู่ๆหลี่กงอี้ก็มาหลบที่หลังของนางแต่เมื่อหันไปมองดูคนบนเตียงก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ!“ตะ…ใต้เท้า!”