-วัดฮุ่ยหลอ-
“เจ้าพาข้ามาถูกที่แน่นะ”
“ถูกแน่นอนเพคะ ขึ้นเขาไปอีกนิดนึงก็ถึงวัดแล้ว”
“แล้วเหตุใดถึงได้รกร้างน่ากลัวเช่นนี้กันเล่า”
“หม่อมฉันถึงได้บอกท่านอย่างไรล่ะเพคะว่าวัดนี้ไม่มีใครย่างกรายเข้ามาเลยสักคน ถึงได้ถูกปล่อยให้รกร้างไม่มีคนเหลียวแลเช่นนี้”
“โอ๊ย!!น่ากลัวชะมัด ข้าไม่ไปมันแล้ว”
จังหวะที่จ้าวซูหลินกำลังจะหันหลังกลับก็ได้ยินเสียงเหมือนบทเพลงบรรเลงจากที่ไหนสักแห่งดังก้องกังวานกระทบกับใบหูของนาง
แต่เมื่อฟังชัดๆบทเพลงนั้นช่างเหมือนเพลงที่นางชอบฟังหลังออกจากการทำงานในโรงพยาบาลในยุคที่นางจากมาเสียจริง
“หูแว่วไปหรือไม่นะ”
“อะไรหรือเพคะ”
“เจ้าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยหรือ”
“เสียงอะไรหรือเพคะ พระสนมอย่าทำให้หม่อมฉันกลัวสิเพคะ”
จ้าวซูหลินไม่สนใจที่ซั่วอิงพูด นางเดินขึ้นไปตามไหล่เขาเรื่อยๆ น่าแปลกที่ยิ่งเดินต่อบทเพลงนั้นก็เหมือนจะดังเข้ามาเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็มาพบกับอารามเก่าแก่หลังหนึ่ง
“นั่นอย่างไรล่ะเพคะ อารามที่ท่านเคยมาสักการะและพบเจ้าอาวาสที่นี่”
“ที่นี่งั้นหรือ เจ้ารอข้าที่นี่นะ”
“แต่ว่าพระสนม”
“นั่งรอตรงนี้แหละ กลางวันแสกๆกลัวอะไร”
‘หืม เหตุใดข้าถึงจำได้ว่าตอนอยู่ที่ตีนเขาพระสนมยังบอกว่าที่นี่น่ากลัวอยู่เลยล่ะ’
ซั่วอิงนั่งลงตรงม้านั่งเก่าๆก่อนจะมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวง จ้าวซูหลินค่อยๆเดินตามเสียงเพลงนั้นเข้าไปในอารามด้วยความระมัดระวัง
แต่เมื่อเข้ามาถึงด้านในบทเพลงนั้นกลับค่อยๆเงียบลงจนในที่สุดก็ไม่ได้ยินเสียงใดแว่วมาอีกเลย นางสอดส่ายสายตาหันมองไปทั่วทั้งอารามกลับไม่พบผู้ใดเลยสักคน
“น่าแปลกหากไม่มีคนอยู่ที่นี่ แล้วเพลงนั่นมาจากไหนกัน”
“เจ้าหาใครอยู่หรือ”
“คุณพระคุณเจ้าช่วยลูกด้วย!”
“พูดภาษาอะไรของเจ้า”
“ทะ ท่านเป็นใคร?”
“เจ้ามาที่นี่โดยไม่รู้ว่าข้าคือใครเช่นนั้นหรือ”
“คือว่าข้า”
“ช่างเถอะ ข้าคือเจ้าอาวาสของวัดนี้”
“ในที่สุดเวลาที่ข้ารอคอยก็มาถึงเสียที รู้หรือไม่ข้าคอยเจ้าอยู่นานหลายปีเลยเชียวล่ะอึดอัดจะแย่ข้าอยากจะออกท่องยุทธภพมานานแล้ว”
“ท่านหมายถึงอะไรกันหรือเจ้าคะ”
“มานี่สิ”
จ้าวซูหลินหลี่ตาลงด้วยความไม่ไว้วางใจบุรุษตรงหน้า
“เจ้าคิดบ้าอะไร คิดอกุศลกับข้าหรืออย่างไร”
“อะ อะไรนะ”
“เฮ้อ เช่นนั้นก็นั่งรอข้าตรงนี้เดี๋ยวข้ามา”
จ้าวซูหลินเห็นเขาเดินเข้าไปในห้องที่มีบานประตูลับบานหนึ่งหากไม่มองดีๆคงไม่รู้เลยว่านั่นคือประตู!
“คุณพระ! ประตูโดเรม่อนก็มา”
เพียงไม่นานชายผู้นั้นก็เดินออกมาในมือของเขาถือกล่องไม้สีขาวบริสุทธิ์กล่องหนึ่งติดมือออกมาด้วย
“เอานี่ ของเจ้า”
“ของข้า? ท่านคงเข้าใจผิดแล้วล่ะข้าพึ่งจะ…”
“เจ้าพึ่งจะมาที่นี่คงคิดว่าไม่มีสิ่งใดเป็นของเจ้าแม้แต่ร่างที่เจ้าอาศัยอยู่สินะ”
“ทะ ท่าน! ท่านรู้ได้อย่างไร”
“ข้าคือผู้ถือศีลเป็นผู้ที่กุมความลับสวรรค์ บางสิ่งบางอย่างแม้ข้าจะพูดออกมาไม่ได้แต่ก็ใช่ว่าจะทำอะไรไม่ได้ เอ้ารีบรับไปสิ”
จ้าวซูหลินรับเอากล่องไม้มาถือเอาไว้ในมือ แต่เมื่อเพ่งพินิจดูอีกครั้งเหตุใดกล่องนี้ถึงได้คุ้นตานักล่ะ ไม่ใช่ว่าเป็นกล่องอุปกรณ์การแพทย์ของนางที่อาจารย์ของนางเคยมอบเป็นของขวัญให้หรอกหรือ
“ข้าคืนให้เจ้า”
“คืนให้ข้า? ท่านหมายความว่าอย่างไรเจ้าค่ะ”
“ของที่เป็นของเจ้าก็ย่อมกลับคืนหาเจ้าและไม่ว่าเจ้าปรารถนาสิ่งใดย่อมมีทุกสิ่งที่เจ้าต้องการอยู่ในนั้น กล่องนี้อาจารย์ของเจ้ามอบให้ไว้ใช่หรือไม่ล่ะ”
“ท่านรู้ได้อย่างไร แล้วยังรู้อีกว่าข้าไม่ใช่คนที่นี่”
“ข้าหยั่งรู้ทุกเรื่อง”
“แล้วข้าจะได้กลับบ้านหรือไม่เจ้าค่ะ”
“ถามตรงๆเช่นนี้เลยหรือ”
“ไม่ได้หรือเข้าค่ะ”
“ลิขิตสวรรค์หาใช่สิ่งที่ข้าบอกเจ้าได้ไม่ เปิดดูสิ”
จ้าวซูหลินถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเปิดกล่องไม้นั้นออกมาก็พบว่าในกล่องบรรจุไปด้วยตำรับยามากมายที่สำคัญมียาสำหรับรักษาโรคหัวใจด้วย
‘ข้าจะหัวใจวายตายงั้นหรือถึงได้มียานี้โผล่มาในกล่องได้ จำได้ว่าตอนได้รับของขวัญจากอาจารย์มันก็เป็นเพียงกล่องบรรจุตำรับยาสามัญทั่วไปเท่านั้น แต่ที่แน่นอนที่สุดมันไม่มียาตัวนี้!’
“เอาน่าจะคิดมากไปทำไมกัน ทุกสิ่งล้วนถูกลิขิตเอาไว้แล้ว”
จ้าวซูหลินมองเจ้าอาวาสด้วยสายตาที่อยากจะฟาดเขาไปสักทีสองที คนบ้าอะไรพูดเป็นคำเดียว 'ลิขิตๆ'
นางปิดกล่องไม้ลงก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ข้าไม่อยากได้ยานี่เท่าไหร่หรอกเจ้าค่ะอยู่แค่ในวังจะเอาไปใช้ทำอะไรได้ สถานะของข้าตอนนี้เปิดเผยกับใครก็ไม่ได้หากทะลุมิติมาอยู่ในร่างของหมอหนุ่มผู้หล่อเหลาได้ก็คงดีไม่น้อย”
“ข้าบอกเจ้าแล้ว กล่องนั่นมีทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ”
“ทุกสิ่งที่ข้าต้องการเลยเช่นนั้นหรือเจ้าคะ”
“แน่นอน”
“ฮึๆๆ เช่นนั้นข้าอยากได้….”
“อะไรของเจ้า”
จ้าวซูหลินยกยิ้มอย่างมีเลศนัยก่อนจะหลับตาลงเพียงครู่เดียวก็ค่อยๆเปิดกล่องนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้นางตาลุกวาวและยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้นทันที
“เยี่ยม!”
"?"
-5 ปีผ่านไป-เทศกาลโคมไฟวนเวียนกลับมาในอีกรอบปีแล้ว แต่ปีนี้นั้นจ้าวซูหลินกลับรู้สึกว่าช่างเงียบเหงายิ่งนัก ในทุกๆปี นางจะนั่งชมโคมไฟรูปแบบต่างๆกับฮ่องเต้เสมอแต่มาปีนี้กลับต้องนั่งเหงาเดียวดายอยู่เพียงลำพัง“ฝ่าบาท หากชาติหน้ามีจริงขอให้พวกเรากลับมาพบกันอีกครั้งนะเพคะ”ฮ่องเต้ฮั่วจงสวรรคตไปเมื่อหนึ่งปีก่อนหลังเทศกาลโคมไฟของปีที่แล้วพอดี จ้าวซูหลินไม่อาจยื้อชีวิตพระองค์ได้อีกต่อไปแล้วอาจเพราะเครื่องมือที่มีไม่มากพอและตัวนางเองก็ไม่อยากทำให้พระองค์ต้องเจ็บปวดอีกต่อไปแม้จะเป็นไปตามประวัติศาสตร์ที่ฮ่องเต้ฮั่วจงต้องสวรรคตในวัยเพียงแค่สี่สิบชันษา และแม้นางอยากที่จะยื้อชีวิตให้เขาได้อยู่กับนางนานๆมากกว่านี้แต่นางก็ไม่อยากฝืนชะตาลิขิตอีกต่อไปได้เพียงแค่หวังว่าหากชาติหน้ามีจริง นางและเขาจะกลับมาพบกันในสถานะที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในชาตินี้ มีเพียงกันและกันและสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้โดยไม่ต้องผิดต่อใคร-โรงเตี๊ยมฟู่อันหลง-เช้าวันนี้จ้าวซูหลินรู้สึกว
ฮ่องเต้และฮองเฮาเดินเข้ามาในงานด้วยท่วงท่าสง่างามยิ่ง ฮ่องเต้นั้นสวมฉลองพระองค์ด้วยชุดสีเหลืองทองอร่ามปักลายมังกรงามสง่า ส่วนฮองเฮาสวมชุดคลุมพญาหงส์สวยตระการตาปิ่นห้อยพญาหงส์สีแดงทองทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยความสูงค่าทรงสง่าดูมีท่วงท่าของพระมารดาของแผ่นดินเป็นอย่างมาก บนโถงพิธีมงคลเทียนสีแดงถูกจุดสว่างตำแหน่งเก้าอี้สูงมีฮ่องเต้และฮองเฮาประทับอยู่ ด้านนอกโถงพิธีมงคลมีขุนนางที่หลี่กงอี้เชื้อเชิญมาร่วมงานรวมตัวกันอยู่ไม่น้อย“ได้ฤกษ์แล้ว ต้อนรับบ่าวสาว” ผู้ดูแลจวนเดินออกมายืนป่าวประกาศด้วยเสียงอันดังดนตรีมงคลก็เริ่มบรรเลง เกี้ยวเจ้าสาวหามมาถึงนอกประตูใหญ่ของจวนตระกูลหลี่แล้ว ซั่วอิงถูกประคองลงจากเกี้ยวขณะนั้นก็ได้ยินเสียงประทัดดังปึงปังความปีติยินดีเบิกบานลั่นทั่วทั้งท้องฟ้าพรมสีแดงถูกปูมาจนถึงใต้เท้าของนาง “เจ้าสาวมาแล้ว” มีคนร้องขึ้น ซั่วอิงถูกประคองมาถึงหน้าโถงรับแขก จากนั้นมีสาวใช้สองคนเดินเข้ามารับช่วงต่อจากจ้าวซูหลินสาวใช้สองคนประคองซั่วอิงซ้ายขวาเดินเข้ามาในพิธีชุดมงคลแดงปักท
เวลาล่วงเลยผ่านไปอีกปีแล้วจ้าวซูหลินยังคงอาศัยอยู่ในวังเพื่อถวายการรักษาฮ่องเต้อย่างต่อเนื่อง หลายๆครั้งที่นางพาฮ่องเต้แอบหนีออกจากวังเพื่อไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านในหลายๆหมู่บ้าน อะไรที่เขาไม่เคยทำจ้าวซูหลินก็พาทำหมดทุกอย่างหลี่กงอี้ที่เดิมทีเป็นกังวลเกี่ยวกับพระวรกายของฝ่าบาทแต่เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ยังคงแข็งแรงไปไหนมาไหนได้ไม่รู้เหน็ดเหนื่อยเขาจึงไม่เอ่ยคัดค้านใดๆ ทำได้เพียงแค่ตามทั้งสองคนไปในทุกๆที่เท่านั้น“ท่านกงอี้”“แม่นางซูหลิน มีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือขอรับ”“เปล่าเสียหน่อยข้าเพียงแค่จะถามท่านว่าท่านไม่คิดจะแต่งงานบ้างหรือ”“ข้าหรือ?”“ใช่สิเจ้าคะ”“ข้าเห็นนะ ท่านแอบไปที่โรงเตี๊ยมของข้าบ่อยๆ”“อะไรกันนั่นข้าไม่ได้สั่งเสียหน่อย เจ้าไปที่นั่นทำไม? คงไม่ได้แค่ไปกินข้าวกระมัง”“อะเอ่อ ฝ่าบาทคือว่า”“ว่าอย่างไร อ้ำอึ้งอยู่ได้”“คือว่ากระหม่อม”“เจ้าชอบซั่วอิงงั้นหรือ แค่ช
“ก็ฮองเฮาอย่างไรเล่าเพคะ คนที่มีอำนาจในวังหลังมากสุดก็คือฮองเฮา ลองใครกล้านินทาหม่อมฉันดูสิฮองเฮาต้องออกหน้าจัดการแทนแน่นอน”“แล้วการที่เข้ามาดูแลรักษาอาการของพระองค์มันผิดตรงไหนกัน ใครๆก็รู้ว่าหม่อมฉันเป็นหมอ”“ข้าไม่ได้ว่าอะไร กลัวก็เพียงว่าคนที่เจ้าชอบจะมองเจ้าไม่ดี”“หม่อมฉันไม่มีลูกตาให้มองใครแล้วนะเพคะ”“แล้วเจ้ามองใครอยู่หรือ”จ้าวซูหลินยิ้มเบาๆนางไม่ตอบคำถามนี้แต่กลับกำลังค้นหาขวดยาเพื่อนำมาให้ฮ่องเต้เสวยอีกครั้ง“เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าข้ากินยาแล้วหรือ”“นั่นยาของหมอหลวง ส่วนนี่ของหม่อมฉัน”“ได้อย่างไรข้ากินแล้วนะ”“อย่าดื้อสิเพคะ หากท่านหายดีในเร็ววันหม่อมฉันจะพาพระองค์อบออกไปเที่ยวนอกวัง”“เที่ยวนอกวัง?”“ใช่แล้วเพคะ”“ไม่กี่วันข้างหน้าก็ถึงเทศกาลโคมไฟแล้วนะเพคะ หม่อมฉันอยากไปดูโคมไฟสวยๆ ฝ่าบาทก็ต้องไปกับหม่อมฉันด้วยนะเพคะ”จ้าวซูหลินยิ้มก่อนจะยื่นเม็ดยาที่นางสกัดออกมาเองใส่พระหัตถ์ของฝ่าบาทฮ่องเต้ถอนพระปัสสาสะเล็กน้อย‘เอาก็เอา อย่างน้อยถ้าหายดีก็จะได้พานางไปเที่ยวเล่
“ท่านน่าจะบอกข้าให้รู้เร็วกว่านี้”“ก็ฝ่าบาทไม่ยอมให้ข้าบอกท่านนี่นา เอาแต่ขู่ข้าว่าหากข้าปากโป้งไปบอกท่านจะตัดหัวข้าทิ้งเสีย ข้าเป็นองค์รักษ์ไม่กลัวตายหรอกนะแต่ข้าเพียงแค่กลัวว่าจะไม่มีใครอยู่คอยดูแลพระองค์ก็เท่านั้นเอง”‘ไม่กลัวตายเลยจริงจริ๊ง’“ใช่สินะ ใครจะไปรู้พระทัยฝ่าบาทเท่าท่านกัน”“แต่ก็อย่างที่ข้าตำหนิท่าน หากบอกข้าเร็วกว่านี้อาการของฝ่าบาทก็จะไม่ทรุดลงเร็วเช่นนี้”“แล้วแม่นางซูหลิน ฝ่าบาทจะทรงหายดีใช่หรือไม่”“ท่านรู้จักข้ามานานรู้ใช่หรือไม่ว่าข้าไม่พูดโกหก แม้บางครั้งจะจำเป็นต้องโกหกก็ตาม”“ข้ารู้”“ฝ่าบาทร่างกายอ่อนแอลงอย่างมากสุดก็ห้าปี”“ห้าปีงั้นหรือ”“พอจะจัดการอะไรๆ ได้ใช่หรือไม่”“ข้านึกว่าจะไม่นานเพียงนั้น”“ท่านกงอี้!”“ข้าพูดเรื่องจริงทั้งไทเฮาและฮองเฮาต่างก็วิตกเพราะรัชทายาทเองก็อายุได้เพียงสิบชันษายังไ
“สะ สนมซู ไม่ใช่ว่าเจ้าตายไปแล้วหรอกหรือ แล้วเหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่!”“ไทเฮา ฮองเฮา เรื่องนี้หม่อมฉันจะมาอธิบายทีหลังนะเพคะ ตอนนี้ให้หม่อมฉันตรวจอาการของฝ่าบาทก่อน”“เจ้ารักษาคนเป็นหรือ”“ฮองเฮาที่กระหม่อมพาพระสนมมาก็เพราะว่านางมีฝีมือทางการแพทย์พ่ะย่ะค่ะ เห็นสมควรให้นางลองรักษาฝ่าบาทไม่ดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”ฝ่าบาทที่เดิมกำลังจะบรรทมต่อเพราะฤทธิ์ยาที่หมอหลวงให้กิน แต่ก็ต้องตื่นตกใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยินว่าจ้าวซูหลินมาที่นี่‘มาได้อย่างไร?’ฮ่องเต้รีบทอดพระเนตรดูคนตรงหน้าทันที‘ชัดเลย จ้าวซูหลินจริงๆ! ต้องเป็นเจ้าบ้าหลี่กงอี้แน่ๆ อยากหัวหลุดจากบ่ามากหรืออย่างไรกัน’หลี่กงอี้ที่เหมือนจะรู้ตัวว่ามีสายตาอาฆาตจากฝ่าบาทมุ่งมาทางเขาก็รีบหลบไปที่หลังของจ้าวซูหลินทันที นางแปลกใจเล็กน้อยที่อยู่ๆหลี่กงอี้ก็มาหลบที่หลังของนางแต่เมื่อหันไปมองดูคนบนเตียงก็ต้องตกใจแทบสิ้นสติ!“ตะ…ใต้เท้า!”