หยางซีห่าวมองภรรยาที่ทรุดกายร่ำไห้อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกเจ็บปวด ก่อนนี้เขาตัดสินใจเข้ากรมเพื่อเป็นทหารก็เพราะอยากให้ภรรยาอยู่อย่างสุขสบาย ไม่ต้องไปทนลำบากทำงานตากแดดในแปลงนา
แต่ดูสภาพเขาตอนนี้สิ แม้หมอที่ค่ายจะไม่ได้วินิจฉัยว่าเขาจะพิการเสียทีเดียว แต่ก็ไม่แน่ว่าจะกลับมาเดินได้เหมือนเดิม จางซิ่วอิงคงเสียใจมากที่สุดท้ายแล้วสามีอย่างเขาก็ไม่อาจทำให้ชีวิตของเธอนั้นสุขสบายได้ตลอด แถมยังเจ็บหนักเข้าขั้นพิการกลับมาให้เธอดูแลต่อ สามีเช่นเขานี่มันไร้ประโยชน์เสียจริง
เสียงเอะอะโวยวายและถ้อยคำด่าทอรุนแรงของย่าสามีนั้นเรียกสติในตัวเธอให้กลับมาได้ทันเวลา มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำตาบนแก้มออก พลางตวัดตามองย่าของสามีด้วยความไม่พอใจ
“ซีห่าว!! แก!! แกมันตัวไร้ประโยชน์!”เหยียนเพ่ยแสดงท่าทีเกรี้ยวกราดตีอกชกหัวทันทีที่ได้เห็นสภาพหลานชายที่เคยเป็นคนหาเงินเข้าบ้านมากที่สุด ตอนนี้หยางซีห่าวไม่ใช่ว่าคนไร้ประโยชน์ไปแล้วหรือ
คิดได้ดังนั้นร่างท้วมของผู้เป็นย่าก็ปรี่เข้าไปหาหลานชายคนเล็กด้วยความโมโหสุดขีด มืออวบหยาบกร้านเงื้อขึ้นสูงเตรียมจะลงมือทุบตีหลานชายให้ตายไปเสีย เพราะไหน ๆ ก็ไร้ค่าอยู่แล้ว แล้วไหนจากนี้ทั้งค่ารักษา ค่าหมอ ค่ายา ไม่ใช่ว่าต้องเบิกเงินกองกลางหรอกนะ
“หยุด!! พอได้แล้วยายเฒ่าเหยียนเพ่ย!”เป็นเสียงผู้นำหมู่บ้านที่เอ่ยห้ามเสียก่อนที่หยางซีห่าวจะถูกย่าทุบตีทั้งที่ยังบาดเจ็บ
จางซิ่วอิงอาศัยจังหวะที่ทุกคนให้ความสนใจกับย่าสามีและผู้นำหมู่บ้านเดินไปหาสามีที่นั่งอยู่บนรถเข็น แววตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและผิดหวังอย่างไม่อาจปิดบัง
หยางซีห่าวหันมาสบตาภรรยาตรง ๆ ด้วยความรู้สึกผิดเอ่อล้น ทว่ามือนิ่มที่วางลงบนหลังมือ พร้อมกับแววตาอ่อนโยนคู่นั้นทำให้จิตใจเขารู้สึกสงบลงอย่างน่าประหลาด
“ภรรยาคือผม…ขอโทษ”
เสียงทุ้มแผ่วเบากล่าวกับภรรยา ใบหน้าหล่อคมเข้มก้มต่ำลงเล็กน้อยอย่างรู้สึกผิด เป็นเขาไม่ใช่หรือที่ตัดสินใจเข้ากรม และสุดท้ายก็พิการกลับมาเช่นนี้ เขาเองที่พลาด
จางซิ่วอิงเห็นใบหน้าหม่นหมองของคนรักในชาติก่อน ทั้งยังเป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของเธอในชาตินี้ เธอรู้สึกถึงแรงบีบรัดในใจอย่างหนัก
มือเรียวตบลงบนหลังมือสามีเบา ๆ สองสามครั้ง ก่อนจะเอ่ยปลอบให้เขาคลายความรู้สึกผิด “คุณไม่ผิดเลย ฉันไม่โทษคุณ”
เพราะหยางซีห่าวไม่ได้ผิดเลยจริง ๆ มีใครบ้างอยากบาดเจ็บ แม้จะไม่แน่ชัดว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะหายหรือไม่ เพราะเธอเองก็ยังไม่เห็นบาดแผล แต่เธอจะพยายามทุกทางเพื่อให้เขากลับมาเดินได้อีกครั้ง เธอเชื่อแบบนั้น
“คุณพร้อมจะตัดขาดกับครอบครัวของคุณไหมคะ?”เสียงใสพูดขึ้นเบา ๆ ให้ได้ยินกันแค่เพียงสองคนเท่านั้น
ยอมรับว่าเธอคิดอยากจะให้สามีตัดขาดจากคนที่ชอบเอาเปรียบอย่างบ้านใหญ่ของเขา แต่ยังหาหนทางไม่ได้จึงคิดเผื่อว่าหากเขาไม่ยอมตัดขาดเธออาจจะเป็นฝ่ายตัดขาดจากเขาเอง
แต่นึกไม่ถึงว่าหยางซีห่าวจะกลับบ้านมาในสภาพนี้ และหากเธอคาดเดาไม่ผิดทางนั้นก็คงคิดเรื่องตัดขาดจากหลานชายคนนี้อยู่แน่ ๆ คนเหล่านี้เห็นแก่ตัวแค่ไหนในหมู่บ้านมีใครบ้างไม่รู้ถึงนิสัยของคนบ้านนี้บ้าง
หยางซีห่าวนิ่งคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับครอบครัวของผู้เป็นพ่อ ก่อนนี้ตอนที่ปู่ยังอยู่เขามีชีวิตที่ดีกว่านี้มาก แต่หลังจากที่ปู่จากไปหลานชังอย่างเขานั้นไม่ต่างจากทาสที่คอยรับใช้ทุกคนในบ้านโดยไม่มีข้อแม้ พอโตพอที่จะหาเงินได้ ความสำคัญของเขาสำหรับคนบ้านนี้ก็ไม่ต่างจากเครื่องผลิตเงิน เขาต้องทำงานทุกอย่าง แม้จะเหนื่อยยากแค่ไหนก็ต้องอดทน อาหารการกินก็ต้องรอให้ลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนกินอิ่มเสียก่อน จึงได้กินเศษข้าวก้นชามที่เหลือ
หยางซีห่าวเคยคิดว่าหากเขาหาเงินเข้าบ้านได้เยอะ คนในบ้านจะปฎิบัติต่อเขาเท่าเทียมกับหลานคนอื่น แต่เปล่าเลย…พอโตมากขึ้นเขาจึงได้ตระหนักว่าความคิดนั้นช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน ไม่ว่าเขาจะหาเงินได้มากขนาดไหน คนเหล่านี้ก็ไม่เคยมองว่าเขาเป็นคนด้วยซ้ำไป
แต่กลับกันภรรยาที่ไม่เคยเจอหน้ากันสักครั้ง พอเธอแต่งให้เขาและแยกบ้านไปอยู่ลำพังสองคน จางซิ่วอิงในตอนนั้นแม้จะดูขลาดกลัว และเฉยชาต่อกันอย่างไร แต่จางซิ่วอิงไม่เคยปล่อยให้เขาต้องรู้สึกเหมือนตอนอยู่บ้านใหญ่
ในตอนนั้นแม้ว่าบรรยากาศระหว่างเขาและเธอจะเฉยชา แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เลิกงานจากแปลงนากลับบ้านมาแล้วจะไม่มีข้าวกิน ร่างกายผอมบางแม้จะอ่อนแอและมักเจ็บป่วยอยู่เสมอ พยายามทำอาหารให้เขาทานทุกวัน งานบ้านแม้ไม่ได้ดีเลิศ แต่เขาก็มองเห็นความพยายามของเธอมาตลอด
ฉะนั้นตอนนี้เขาจึงตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ครับ แต่ถ้าคุณอยากหย่า…”เขาตอบรับภรรยาในเวลาต่อมา โดยไม่ลืมหาทางออกให้กับเธอ ภรรยาของเขายังสาวและอายุน้อย หากหย่ากันไปเธออาจจะมีชีวิตที่ดีกว่าการทนอยู่กับชายพิการอย่างเขาก็ได้
จางซิ่วอิงไม่รอให้สามีพูดจบ ใบหน้าได้รูปคลี่ยิ้มเบาบางพลางส่ายไปมาเล็กน้อย ก่อนจะบีบมือของสามีครั้งหนึ่งแล้วตอบกลับไป
“เราจะผ่านมันไปด้วยกัน คุณเชื่อใจฉันนะคะ”
หยางซีห่าวรับรู้ได้ถึงความอุ่นซ่านที่ส่งผ่านมือนิ่มมายังเขา หากสังเกตุให้ดีภรรยาในตอนนี้ช่างแตกต่างจากครั้งสุดท้ายที่เจอกันก่อนที่เขาจะเข้ากรมไป
จางซิ่วอิงในตอนนี้ในแววตาไม่มีความขลาดกลัวอย่างเช่นเมื่อก่อน แววตาของเธอเด็ดเดี่ยวมั่นคง และยังอบอุ่นเมื่อมองมาที่เขา แต่ทว่าพอเธอหันไปเผชิญหน้ากับคนบ้านใหญ่ แผ่นหลังบอบบางนั้นกลับเหยียดตรงสง่าผ่าเผยไร้ความเกรงกลัว นัยน์ตาวาวโรจน์แฝงไปด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ ในขณะที่ใบหน้านั้นกลับเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใดออกมา
หยางซีห่าวพยายามคิดหาคำตอบของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับภรรยา แต่ก็ไร้คำตอบ แต่หากจะว่าไปแล้วเขากลับชอบจางซิ่วอิงในตอนนี้มากทีเดียว ไม่ใช่ว่าในอดีตไม่ดี แต่จางซิ่วอิงในตอนนั้นอ่อนแอเกินไป จนเขาเองนึกห่วงหญิงสาวอยู่ตลอดเวลาที่ห่างกันไปหลายเดือน
“พี่ซีห่าวเจ็บหนักขนาดนี้ คุณย่าจะใจร้ายใจดำทุบตีเขาอยู่อีกเหรอคะ?” ใบหน้าได้รูปเผยรอยยิ้มหยัน พลางปรายตามองญาติของสามีอย่างดูแคลน ก็แค่ยายแก่ที่รักลูกหลานลำเอียง จิตใจดำมืดคอยแต่จะเอาเปรียบสามีของเธออยู่ร่ำไป ยิ่งเห็นตอนที่คนเป็นย่ากำลังปรี่เข้าไปทุบตีสามีของเธอถึงรถเข็นในใจเธอยิ่งรู้สึกเกลียดมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
“แกเป็นแค่สะไภ้ อย่ามาสอดปาก!!”เหยียนเพ่ยตวาดกร้าว เดินตรงไปหยุดอยู่ตรงหน้าของหลานชายคนเล็กกับสะไภ้ยืนอยู่ด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว
จางซิ่วอิงจ้องมองย่าของสามีโดยไม่มีท่าทีเกรงกลัวแต่อยากใด มุมปากผุดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ พลันนึกแผนการเร่งเร้าเรื่องแยกบ้านได้พอดีจึงโต้ตอบกลับไป
“จะว่าไม่เกี่ยวก็คงไม่ได้หรอกค่ะคุณย่า เพราะหลังจากนี้พี่ซีห่าวจะต้องรักษาตัว ฉะนั้นเงินกองกลางที่เคยส่งให้ทุกเดือนฉันขอแบ่งสักห้าสิบหยวนเพื่อมารักษาพี่ซีห่าวได้หรือไม่คะ?”หญิงสาวพูดขึ้นเสียงดังฉะฉานก็เพื่อให้ชาวบ้านที่มุงดูและพยานคนสำคัญอย่างผู้นำหมู่บ้านได้ยินด้วย
“ไม่ได้! ยังต้องรักษาอะไรอีก ในเมื่อมันพิการไปแล้ว”ผู้เป็นย่าขึ้นเสียงใส่หลานสะไภ้อย่างนึกโมโห เงินที่มีในบ้านเป็นของเธอและลูกหลาน เกี่ยวอะไรกับหลานชายนอกคอกที่เกิดจากสะไภ้ที่เธอไม่ยอมรับกันล่ะ วันนี้หัวเด็ดตีนขาดแม้แต่เศษเงินก็ไม่มีทางกระเด็นออกจากมือเธอแน่นอน
จางซิ่วอิงเหยียดยิ้ม ก่อนจะหันไปหาผู้นำหมู่บ้านเพื่อหาพรรคพวกเพื่อให้สิ่งที่จะพูดต่อจากนี้มีน้ำหนักมากขึ้น
“ท่านผู้นำดูเอานะคะ พี่ซีห่าวเข้ากรมเสี่ยงชีวิตทุกวี่วัน ส่งเงินเข้ากองกลางเดือนละหลายร้อยหยวน แต่พอบาดเจ็บมาก็…”
“รักษาตัวแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเงิน นี่มันเงินกองกลาง แยกบ้านไปแล้วมีสิทธิ์มาทวงถามอะไรอีก ห๊ะ!!!”
“มีสิทธิ์หรือไม่ ก็ลองถามท่านผู้นำดูนะคะคุณย่า”จางซิ่วอิงเมินเฉยต่อน้ำเสียงเกรี้ยวกราดของย่าสามี หญิงสาวหันไปหาขอความช่วยเหลือจากอีกคนแทน แต่ยังไม่ทันที่ผู้นำหมู่บ้านจะพูดอะไร หยางจางหมิ่นที่กลับบ้านมาพอดีก็พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
“น้องสะไภ้พูดแบบนี้ก็ไม่ถูก เพราะน้องสามมีเงินชดเชยติดตัวมาอยู่แล้ว จำต้องเบิกเงินกองกลางไปทำไมอีกเล่า?”เขาเรียนจบถึงมหาวิทยาลัย เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้มีหรือจะไม่รู้ ทันทีที่พูดเสร็จหลานชายคนโตของบ้านหยางก็ยืดตัวขึ้นพลางกอดอกอย่างผู้มีความรู้เหนือกว่า
แต่ทว่าสิ่งที่ผู้นำหมู่บ้านพูดต่อจากนั้น ก็เป็นสิ่งที่หยางจางหมิ่นไม่อาจแย้งได้อยู่ดี จึงได้แต่นิ่งฟังและเงียบไป ปล่อยให้ผู้เป็นย่าจัดการดังเดิม
“ซีห่าวมีสิทธิ์ในเงินนั้นเพราะไม่ได้ตัดขาดกัน แล้วเงินนั้นก็เป็นซีห่าวที่หามาส่วนหนึ่ง อีกอย่างบาดแผลใหญ่เช่นนี้ นอกจากค่าหมอค่ายา ค่าเดินทาง ค่าอาหารบำรุงก็ต้องซื้อหา หากจะเบิกเงินไปก็ไม่ผิด”โจวเหวินพูดขึ้นอย่างเป็นกลาง แม้จะเห็นใจลูกชายของสหายผู้ล่วงลับของตนไม่น้อย แต่ด้วยตำแหน่งที่ค้ำคอผิดถูกก็ต้องว่าไปตามนั้น
“อย่างนั้นก็…ตัดขาด!! ตัดขาดตอนนี้เลย!”
ภายในบ้านหลังสีขาวขนาดกลางในย่านการค้าสำคัญ เสียงหัวเราะพูดคุยของคนที่อาศัยอยู่ในบ้าน ช่วยทำให้บรรยาของบ้านหลังนี้ดูอบอุ่นไม่น้อยในช่วงเช้าอากาศสดใสจางซิ่วยืนมองหน้าท้องที่เริ่มนูนเล็กน้อยของตนเองผ่านกระจกเงาบานใหญ่ ใบหน้าเอิบอิ่มของคุณแม่ยังสาวนับวันยิ่งสวยขึ้นจนผิดหูผิดตาตอนนี้เธอตั้งครรภ์ได้สี่เดือนแล้ว หลังจากที่เจ้าสองแสบเข้าโรงเรียนได้ไม่นาน สามีอย่างหยางซีห่าวที่ขยันบอกรักภรรยาเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็ขยันมากขึ้นอีกหลายเท่า จนผ่านไปสองเดือนเจ้าหัวผักกาดหัวที่สามก็ถือกำเนิดขึ้นมาในท้องของเธอในที่สุด“ผมต้องไปแล้วครับ คุณก็อย่าหักโหมนะครับ ผมเป็นห่วง”ชายหนุ่มเอ่ยเตือนภรรยาประโยคเดิมเช่นทุกวัน น้ำเสียงนุ่มทุ้มฟังดูอบอุ่น ทั้งแววตาที่มองภรรยานั้นอ่อนโยนกว่าตอนที่อยู่ต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นไหน ๆเพราะภรรยาของเขานั้นขึ้นชื่อเรื่องความขยันขันแข็ง ในแต่ละวันเธอทั้งทำงานนอกบ้าน ทำอาหาร เลี้ยงลูก
จางซิ่วอิงยังต้องอยู่รักษาตัวที่โรงพยาบาลต่ออีกหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งก็ทำให้ลูกน้อยทั้งสองต้องอยู่กับเธอด้วย หยางซีห่าวก็เช่นกัน เขาทำเรื่องลางานถึงหนึ่งเดือนเพื่อมาดูแลภรรยาและลูกน้อยทั้งสองด้วยตนเอง“เด็ก ๆ ป้ามาแล้ววววว!!”เยว่ผิงอันส่งเสียงเรียกหลานทั้งสองก่อนที่ตัวเองจะเข้ามาในห้องเสียอีก เธอเข้ามาเยี่ยมหลาน ๆ พร้อมกับสามีที่ถือของพะรุงพะรังตามหลังมาจางซิ่วอิงยิ้มให้กับคนเห่อหลานทั้งสองเล็กน้อย ก่อนจะให้สามีรับข้าวของเหล่านั้นและนำไปเก็บไว้ก่อน“ผมฝากดูแลเธอและเด็ก ๆ ด้วยนะครับ แล้วผมจะรีบกลับมา”หยางซีห่าวพูดขึ้นอย่างเป็นกังวล วันนี้เขากับพี่ภรรยามีธุระที่ต้องไปสะสางจึงต้องฝากเธอกับลูกไว้กับพี่สะไภ้เสียก่อนจางซิ่วอิงยังไม่หายดีนัก ส่วนลูกทั้งสองแม้จะเป็นเด็กเลี้ยงง่ายแต่การมีคนคอยช่วยเหลือย่อมดีกว่า เขาไม่อยากให้ภรรยาเหนื่อยจนเกินไป“ไปจัดการ
สายลมวูบหนึ่งพัดผ่านร่างโปร่งแสงไปอย่างแรงจนผมยาวพลิ้วไสวไปตามแรงลม จางซิ่วอิงเผยรอยยิ้มยินดีออกมาในทันที เธอเข้าใจว่าคุณยายรับรู้ความปรารถนาของเธอแล้วจึงเอ่ยพรข้อที่สามออกไป“พรข้อสุดท้ายฉันขอให้ฉันและลูก ๆ ปลอดภัยค่ะ ขอโอกาสให้ฉันได้คลอดพวกเขา ให้พวกเขาได้ออกมาใช้ชีวิตบนโลกอย่างปลอดภัยด้วยนะคะ”คำอ้อนวอนปนเสียงสะอื้นไห้ของหญิงสาวลอยหายไปตามสายลม ก่อนจะได้รับรู้ได้ถึงลมอีกระลอกหนึ่งพัดผ่านร่างของเธอไปอย่างรวดเร็ว สายลมแรงนี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกหนาวเหน็บ แต่ทว่ากลับทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นที่โอบรอบตัวเธอเอาไว้ต่างหาก“พรของหล่อนถูกใช้หมดแล้วนะ ต่อจากนี้ยายขอให้หล่อนมีชีวิตที่ดี”เสียงของหญิงชราดังแว่วอยู่ไกล ๆ จางซิ่วอิงพยายามมองหาเจ้าของเสียงแต่ก็ไม่พบ ทว่าเมื่อมองไปยังหน้าห้องคลอดที่มีร่างของเธอนอนนิ่งอยู่ กลับเห็นเด็กชายหญิงหน้าตาน่ารักยืนยิ้มแฉ่งให้เธออยู่
ซ่งเฟยหลงประกาศกร้าวพร้อมยกปืนขึ้นเล็งไปยังผู้ก่อเหตุทั้งหมด อันธพาลสี่คนที่ถูกจ้างมาให้คอยช่วยเหลือหวงไฉ่หง เมื่อเห็นชายในชุดเครื่องแบบทหารพร้อมปืนก็หวาดกลัวจนต้องยกมือขึ้นเหนือหัว ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นตามคำสั่ง แม้แต่หวงไฉ่หงเองที่เป็นเพียงชาวบ้านชนบทมีหรือจะกล้าขัดขืนพันโทซ่งเฟยหลงย้ายมาประจำการที่นี่ในวันนี้ซึ่งเขาไปรายงานตัววันแรก พอเรียบร้อยแล้วก็เจอเข้ากับลูกน้องเก่าอย่างหยางซีห่าวกำลังออกจากค่ายพอดี เขาจึงขอติดรถออกมาด้วยเพื่อหาบ้านพักชั่วคราว ระหว่างรอทำเรื่องขอบ้านพักสวัสดิการ ซึ่งหยางซีห่าวก็รับปากว่าจะพาไปดูบ้านพัก แต่ขอไปรับภรรยาที่กำลังท้องแก่เสียก่อน แต่เมื่อรถเข้ามาจอดภาพเหตุการณ์อุกฉกรรจ์นี้ก็ทำให้เขาต้องเร่งฝีเท้าวิ่งมาจากรถที่จอดอยู่อีกด้านทว่าจากที่ซ่งเฟยหลงคิดว่าเป็นเหตุการณ์ของชาวบ้านธรรมดาทั่วไปคงไม่ใช่แล้ว เพราะลูกน้องอย่างหยางซีห่าวรีบวิ่งไปประคองหญิงท้องแก่ พร้อมตะโกนเรียกชื่อภรรยาดังลั่น“ซิ่วอิง ภรรยา!”
กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรจางซิ่วอิงก็อุ้มท้องเจ้าหัวผักกาดมาได้จนถึงแปดเดือนแล้ว เพราะขนาดท้องที่ใหญ่กว่าปกติของคุณแม่ลูกแฝดทำให้การเดินเหินค่อนข้างเป็นไปอย่างยากลำบากโดยปกติแล้วการมาทำงานของจางซิ่วอิงจะต้องมีพี่ชายหรือสามีอยู่ด้วยเพื่อคอยระมัดระวังหากเกิดเหตุไม่คาดคิด แต่ทว่าเมื่อวานโรงงานผลไม้กระป๋องของเธอที่อยู่ต่างเมืองมีปัญหาพี่ชายอย่างจ้าวคุนจึงรับอาสาไปดูแทนส่วนสามีนั้นติดภารกิจตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งอันที่จริงเขาทำภารกิจนี้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อวาน แต่ต้องอยู่ต่ออีกนิดเพื่อทำเรื่องลาหยุดงานมาดูแลเธอจนกระทั่งคลอด ซึ่งคนเป็นภรรยาเองก็เข้าใจและไม่ได้เร่งรัดอะไรจากคนเป็นสามี เพราะอย่างไรวันนี้เธอก็ตั้งใจจะมาทำงานวันสุดท้ายอยู่แล้ว ท้องเธอโตมากและใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว การเดินทางไปทำงานคงไม่สะดวกนัก หลังจากนี้จึงตั้งใจว่าจะให้พี่สะไภ้เอางานส่วนของเธอมาให้ที่บ้านแทนจางซิ่วอิงเดินไปยังลานจอดรถโดยมีพี่สะไภ้คอยประคองอย
“ฉุนเหรอคะ?” คำพูดของเจ้านายสาวทำเอาแม่บ้านซุนคิดหนัก หญิงวัยกลางคนขมวดคิ้วเข้าหากันจนเป็นปม พยายามนึกถึงอาหารแต่ล่ะจานว่าเธอทำผิดพลาดที่ตรงไหนกัน มีส่วนผสมอะไรที่ผิดแปลกหรือพิศดารจึงได้ทำให้เจ้านายอาเจียนออกมาจนหมดไส้หมดพุงเช่นนี้“ขอโทษด้วยนะคะ ฉันไม่ได้ว่าอาหารของป้าซุนไม่ดี แต่ว่าฉันได้กลิ่นแล้วรู้สึกเวียนหัวมากจริง ๆ”หญิงสาวกล่าวขอโทษแม่บ้านทั้งน้ำตาคลอหน่วย เธอเห็นแก่ความทุ่มเทของป้าซุนที่พยายามรังสรรอาหารหลากหลายอย่างเพื่อเอาใจเธอ แต่กลิ่นแบบนั้นเธอไม่สามารถทนได้จริง ๆแม่บ้านวัยกลางคนได้รับคำยืนยันเช่นนั้นก็คิดหนัก แต่ก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เห็นทีฝีมือการทำอาหารของเธอคงตกเสียแล้ว พลันวิ่งเข้าไปเตรียมยาดมและยาหอมมาให้กับเจ้านายเพื่อบรรเทาอาการเยว่ผิงอันที่ยืนอยู่ข้างกันกับคู่หมั้นหนุ่มพอฟังอยู่ไม่ไกลนั้นรู้สึกแปลกใจกับน้องสาวขึ้นมาในทันที อาหารบนโต๊ะนั้นแน่นอนว่าล้วนเป็นอาหารอย่างดี ถูกรังสรรขึ้นมาจนหน